คนเราเกิดมาเพื่ออะไร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย density, 25 ตุลาคม 2007.

  1. density

    density สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +15
    สิ่งที่คุณตอบมาให้ ขอขอบคุณนะครับ แต่ยังเหมือนไม่ได้ตอบปัญหาผมเลยสักข้อ ผมอยากได้คำตอบที่อธิบายได้จริง ๆ
    คำตอบแรก สัตว์จุติตลอดเวลา คำนี้ไม่ได้อธิบายเรื่องชาติแรกเลย นั่นคือคำถามว่าจุติทำไม ใครให้มาจุติ แล้วจุติเป็นนู่นเป็นนี่ได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่มันคือชาติแรก อยู่ ๆ ก็ให้มาจุติเลยเหรอ ไม่ใช่ละมั้ง หากเป็นแบบนี้ก็แปลว่าอะไรก็ตามกลั่นแกล้งคุณให้จุติขึ้นมาแน่ ๆ
    คำตอบสองที่ตอบว่าเพราะโง่ ไม่จริงละมั้ง คำตอบแบบนี้คิดได้ยังไง อันคนเราในสมัยโบราณ ไม่มีวัฒนธรรม ไม่มีประเพณี ใช้ตะบองตุ๊บ ๆ หัวคน ค้นหาเครื่องมือฆ่าสัตว์เพื่อดำรงค์ชีพ นี่หรือที่คุณเรียกว่าโง่เพราะสร้างกรรม ไม่ยุติธรรมกับคนเหล่านั้น อยู่ ๆ ใครเป็นคนสร้างกฏเรื่องบุญเรื่องกรรมแล้วดันไม่สอนคนสมัยโบราณให้รู้เรื่องล่ะ ให้เค้าตีหัวกันตุ๊บ ๆไปมามาตั้งแต่ยุคหิน นี่แหละที่ผมบอกว่ามันคือการกลั่นแกล้ง การที่คุณให้คนเล่น เล่นโดยไม่ทราบกติกาและก็ยัดเยียดว่าคุณทำแบบนู้นแบบนี้ผิด มันไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรม ซึ่งถ้าไม่ยุติธรรมแต่แรก อะไรก็ตามก็ไม่มีสิทธิตัดสินว่าอะไรถูกหรือผิด เพราะคุณไม่เคยให้กติกาแต่แรก
    คำตอบสามของคุณมันเกิดมาจากคุณด่วนสรุปว่าชาติแรกของคนเกิดมาจากสัตว์ที่จุติอยู่ทุกวัน แล้วทำดีรักษาศีลจึงได้เกิดเป็นคน ซึ่งมันไม่น่าจะใช่ ผมว่ามันไม่ได้ตอบคำถามผมเลย
    คำตอบสี่ที่ตอบว่าไม่ได้แกล้ง ผมว่ามันไม่จริง เพราะคุณสร้างมนุษย์มาให้ไม่เพียบพร้อม สร้างมาพร้อมกับกิเลสเต็มตัวแล้วให้เค้าสร้างกรรมใหม่ ๆ ถามจริง ๆ เถอะ เด็ก ๆ ก่อนสิบขวบจะมีสักกี่คนที่รู้เรื่องรู้ราว แล้วเด็กพวกนี้ ฆ่าสัตว์แบบไม่เข้าใจเหตุผล ฆ่าแมลง ฆ่าสัตว์ต่าง ๆ มาตั้งเท่าไหร่ แบบนี้ก็คือกลั่นแกล้งแท้ ๆ คือให้เกิดมาโดยไม่เข้าใจแล้วใช้กิเลสในการดำรงค์ชีพก่อนรู้เรื่อง มันคือสร้างคุณให้ขึ้นมาสร้างกรรมแท้ ๆ และคนโบราณยุคหินจะรู้เรื่องอะไร รู้ว่าอะไรอยากได้ อะไรหิว แล้วต้องทำอะไรเพื่อให้หายหิว เพื่อตอบสนองการสืบพันธ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสร้างกรรมทั้งนั้น ไม่ใช่ปัจจัยสร้างบุญเลย
    คำตอบห้าของคุณก็ไม่เข้าจุดคำถามหมือนคำตอบสี่ เพราะมันตอบโจทย์คำตอบสี่ผมไม่ได้เลย
    คำตอบหกที่บอกว่ามันไม่คงที่ คำตอบคุณข้อนี้ไม่ได้ตอบอะไรเลย เพราะผมไม่เข้าใจเหตุผล แต่คุณแค่บอกว่ามันคืออะไร ไม่ได้บอกว่ามันเกิดขึ้นจริงเพราะเหตุผลอะไร

    คำตอบที่เหลือค่อนข้าง เหมือนคำตอบทั่วไปที่ไม่ได้อธิบายตรรกะให้เข้าใจ เพียงแต่สรุปให้เลยตามความเชื่อของคุณ ซึ่งผมอยากได้คำตอบตอบตรรกะที่ผมอยากทราบจากด้านบนจริง ๆ

    หลาย ๆ ท่านบอกว่าอย่าไปสนใจว่าเกิดมาชาติแรกได้ยังไง เพราะคำตอบมีไม่ชัดเจน ซึ่งหากไม่ชัดเจนมันก็จะตอบเรื่อง ต่อ ๆ มาไม่ชัดเจนเหมือนกัน จู่ ๆ จะสรุปกันเลยว่า เกิดมาเพราะใช้กรรม มันก็ไม่ชัดเจนแล้วล่ะ เพราะมันจะขัดกับคำตอบที่ว่าชาติแรกที่ไม่มีกรรมมันมาได้ยังไง ผมถามเพราะเคยคุยกับพระหลายท่าน ซึ่งท่านทั้งหลายก็ให้คำตอบหลายแบบ แต่ไม่ชัดเจนเลยสักแบบ ทุกท่านจะพูดเรื่องบุญกรรมในการที่ต้องเกิดมาเพื่อใช้เหมือนกัน แต่พอถึงเรื่องว่าทำไมมันต้องมีบุญกรรม ชาติแรกไม่มีบุญไม่มีกรรม พระหลายท่านยังให้คำตอบผมไม่ได้ ซึ่งคำตอบนี้จะทำให้คำตอบที่เหลือชัดเจน แต่คำตอบนี้ไม่ชัดเจนเลยทำให้คำตอบที่เหลือมีข้อแย้งได้หมด ผมเองยังไงแม้ยังไม่ได้คำตอบ แต่ก็พยายามทำดี เพื่อให้ได้ผลกรรมที่ดี เพราะผมเองแม้ไม่ได้คำตอบแต่ก็แอบเชื่ออยู่ว่า ทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และมีเจ้ากรรมนายเวรคอยติดตาม ผมเชื่อในเรื่องนี้แม้ยังไม่มีคำตอบว่าสิ่งที่ผมเชื่อมันจริง หรือไม่ก็ตาม จะทำดี และทำดีให้มาก ๆ ตลอดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 ตุลาคม 2007
  2. Qiao

    Qiao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +62
    ปกติไม่ค่อยตอบกระทู้นะเนี่ย แต่เห็นคำถามน่าสนใจดี ขอตอบเฉพาะสิ่งที่ตัวเองรู้ละกันนะคะ

    ในสมัยระยะกาลเวลาที่ช้านาน โลกนี้จะพินาศ ในขณะที่โลกกำลังพินาศนั้น สัตว์โดยมากได้ไปเกิดในชั้น อาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้ความสำเร็จด้วยใจ เสพปิติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกาย สัญจรไปมาได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม

    หลังจากโลกที่พินาศไปแล้วนั้นกำลังจะกลับเจริญขึ้นมาใหม่ สัตว์เหล่านั้นพากันจุติจากชั้นพรหมลงมาเป็นมนุษย์ ในขณะที่ยังไม่ปรากฏแม้แต่กลางวันกลางคืน เพราะเนื่องจากยังไม่ปรากฏพระอาทิตย์และพระจันทร์ แม้กระทั่งดวงดาว ขณะนั้นจึงยังไม่มี วัน เดือน ปี และฤดูกาล สัตว์ที่มาจุติเหล่านั้นจึงยังไม่ปรากฏเพศว่าชายหรือหญิง สัตว์ทั้งหลายจึงเพียงแต่ว่าสัตว์เท่านั้น ครั้นต่อมาระยะเวลาได้ผ่านมาอีกช้านาน ได้เกิดง้วนดินขึ้นลอยอยู่บนพื้นน้ำทั่วไป สัตว์เหล่านั้นจึงมองเหมือนนมสดที่มีไขนมลอยอยู่ด้านบน ฉะนั้นง้วนดินนั่นจึงมีสี กลิ่น รส คล้ายเนย มีรสอร่อย เหมือนรวงน้ำผึ้ง

    ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งสงสัยว่าสิ่งนี้คืออะไร แล้วเอานิ้วจิ้มง้วนดินแล้วลองชิมดู เมื่อรับรู้ถึงรสชาติ ความอยากจึงเกิดขึ้น สัตว์อื่นเลยพากันทำตาม จึงมีความอยากเกิดขึ้น ทำให้รัศมีกายที่มีอยู่เริ่มจางหายไป พอรัศมีกายจางหาย ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จึงปรากฏ ดวงดาวจึงปรากฏ หลังจากนั้นจึงเกิดกลางวัน กลางคืน วัน เดือน ปี และฤดูกาล โลกจึงกลับเจริญขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
     
  3. Qiao

    Qiao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +62
    หลังจากสัตว์เหล่านั้นได้บริโภคง้วนดิน ดำรงชีพโดยมีง้วนดินเป็นอาหาร สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายที่แข็งกล้าขึ้น ผิวพรรรเริ่มต่างออกไป ทั้งที่มีผิวพรรรงาม และไม่งาม จึงมีการแบ่งแยก ดูหมิ่นกันเกิดขึ้น เมื่อสัตว์ทั้งสองพวกได้มีการไว้ตัวและดูหมิ่นกัน เพราะทะนงในผิวพรรณของตน ง้วนดินจึงหายไป

    หลังจากง้วนดินหายไป ก็เกิดมีกะบิดินเกิดขึ้น มีลักษณะคล้ายเห็ด มีสี กลิ่น รส เหมือนเนย มีรสอร่อยดุจรวงผึ้ง สัตว์เหล่านันจึงบริโภคกะบิดินเป็นอาหาร ผิวพรรรณของสัตว์เหล่านั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งงามและไม่งาม ทำให้เกิดการดูหมิ่นเกิดขึ้นอีกครั้ง กะบิดินจึงหายไป

    หลังจากกะบิดินหายไป ได้ปรากฏเครือดินขึ้นมาอีก และก็เป็นแบบเดิมอีก จนเครือดินได้หายไป

    จึงเกิดความทุกข์ขึ้นว่า "สิ่งของที่เราเคยได้เคยมีแลวหนอ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งของทั้งหลายของเราได้มาสูญหายเสียแล้วหนอ"
     
  4. Qiao

    Qiao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +62
    ในขณะที่บริโภคสารที่หยาบเหล่านั้น กายจึงเริ่มหยาบขึ้นด้วย แสงสว่างที่เคยมีในตัวจึงถูกห่อหุ้มไว้ด้วยกายหยาบ แสงในกายจึงหมองลงและหดหายไป ทำให้เกิด นาม-รูป เกิดขึ้น

    ครั้นต่อมาหลังจากที่เครือดินหายไปแล้ว จึงมีข้าวสาลีเกิดขึ้น สัตว์เหล่านั้นจึงดำรงชีพด้วยข้าวสาลีเป็นอาหาร ทำให้ร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ผิวพรรรยิ่งแตกต่างกันออกไปมากขึ้น และเริ่มปรากฏเพศหญิง ชาย เกิดขึ้น

    เมื่อมีเพศเกิดขึ้น สตรีก็มองบุรุษ บุรุษก็มองสตรี มองกันไปมองกันมา เลยเกิดความกำหนัดขึ้น จึงเริ่มเสพเมถุนธรรม (สมสู่)

    สัตว์เนื่องจากแต่เดิมตอนที่อยู่ในสภาวะพรหม ไม่มีเพศ ไม่เสพกาม เสพปิติเป็นอาหาร แต่เมื่อมีเพศเกิดขึ้น ทำให้เริ่มเสื่อมลง มีผัสสะแรงกล้าเกิดขึ้น สัญชาติญาณในการดำรงตนไว้จึงเกิดขึ้น เนื่องจากกลัวว่าตนจะเสื่อมหรือตายไป จึงมีการดิ้นรนผสมพันธุ์เพื่อจำลองตนออกมาใหม่ ตามสัญชาติญาณของสัตว์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2007
  5. koymoo

    koymoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    2,067
    ค่าพลัง:
    +7,066
    บอกตรงๆนะว่า ตอนแรกๆที่ก้อยเพิ่งศึกษาธรรมะ ก็มีความสงสัยในเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ท่าทางจะสงสัยมากกว่านี้ซะด้วย แต่ก้อยจะบอกให้นะว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่อง "อจินไตย" เป็นเรื่องที่เกินขอบเขตมนุษย์เราจะหยั่งถึง ถึงกระทู้นี้มีคนตอบ ก็ใช่ว่าจะเป็นคำตอบที่ถูก เพราะทุกๆคนเราๆท่านๆก็จำชาติแรกที่เกิดไม่ได้หรอก สรุป ถ้าอยากรู้ ผู้ที่รู้ดีที่สุด คือ พระพุทธเจ้า ก็ไป ถามพระพุทธเจ้าเอา พวกเราถึงอยากรู้ ก็หาคำตอบที่แท้จริงไม่ได้หรอก ไปสงสัยเรื่องอื่นที่ทำให้เราเกิดธรรมปฏิบัติดีกว่า สงสัยมากๆจะบ้าเอานา... บางเรื่องที่ควรรู้และเกิดประโยชน์ ก็สมควรที่จะศึกษา แต่บางเรื่องรู้ไปก็เท่านั้น เสียเวลา ไม่มีประโยชน์กับตัวเราหรือเราแค่อยากรู้เพื่อสนองความ"อยาก"รู้ของเราเท่านั้น ก็ไม่เกิดประโยชน์ เอาเวลาไปสงสัยธรรมะข้ออื่นๆจะดีกว่านะ ก้อยว่า...
     
  6. Qiao

    Qiao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +62
    เมื่อมีการดำรงชีพด้วยข้าวสาลีเป็นอาหาร จึงเริ่มมีการกักตุนข้าวสาลี ทำให้เกิดความเกียจคร้าน ความเห็นแก่ได้ การครอบครอง ยึดเอาถือเอา ปรากฏขึ้น จึงเริ่มมีการปกครอง เริ่มมีผู้นำมาควบคุมการยึดครองถือครองที่มากเกินไป

    เนื่องจากข้าวสาลีเป็นอาหารของมนุษย์ สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่เริ่มกินพืชเป็นอาหารจึงปรากฏขึ้น ต่อมาจึงเกิดสัตว์ใหญ่ที่กินสัตว์เล็กเกิดขึ้น ต่อมามนุษย์ไปพบสัตว์ใหย่นั้นตายอยู่ จึงนำมาบริโภค เมื่อบริโภคเข้าก้ติดใจในรสเนื้อนั้น จึงอยากบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มมากขึ้น มนุษย์จึงไม่รอให้สัตว์ตายก่อน กลับฆ่าเพื่อบริโภคเสียเอง การล่าจึงเกิดขึ้น

    เหมือนดังพุทธทำนายที่ว่าในยุคที่มนุย์เสื่อมทรามถึงขีดสุด จะฆ่ากันและกันเอง โดยนึกแค่ว่านี่คืออาหารของเรา นี่คืออาหารของเรา

    สาเหตุสำคัญของความเสื่อมของมนุษย์เนื่องมาจากการกินดังสมัยช้านานนั้น ความพินาศของมนุษย์ต่อไปก็เนื่องมาจากการกินเช่นกัน
     
  7. Qiao

    Qiao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +62
    ที่เล่าไปพอแล้วมั้ง น่าจะเข้าใจขึ้น
    แต่เจ้าของกระทู้จำไว้นะคะ ความรู้ความสงสัย เป็นเรื่องที่ดี อยากรู้ รู้ได้ แต่สิ่งสุดท้ายที่ต้องจบ คือ ปล่อยวาง ละทิ้งทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ความรู้ที่รู้มานะคะ
     
  8. Qiao

    Qiao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +62
    ส่วนนรก สวรรค์ ภพชาติ มีจริงหรือ ที่ถาม?
    ตอบได้แค่เพียงว่า ถ้าอยากรู้อยากเห็นว่าจริงหรือไม่ ต้องปฏิบัติด้วยตนเองคะ ตำราเล่นสุดท้ายอยู่ในตัวเรา ถ้าอยากรู้ เราต้องเปิดออกดูเองค่ะ อยากรู้หรือสงสัยอะไรเพิ่ม ก็หลังไมค์มาแล้วกันนะคะ เพราะคำตอบที่เจ้าของกระทู้ถาม เราเคยสงสัยมาแล้วเหมือนกัน ปรึกษาได้ค่ะ แต่พอดีไม่สะดวกที่จะตอบตามหน้ากระทู้นะคะ ขอให้มีดวงตาเห็นธรรมค่ะ
     
  9. วิมม์

    วิมม์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +148
    (b-evil)
    น่ารัก ดีแท้...........สำหรับ ความคิด น่ารักษา อ่ะนะ

    คุณชอบเอ่ยอ้าง ถึง ต้นกำเนิด ต้นตอสิ่งทีเกิด จึงใคร่ขอถามหน่อย

    คุณเคยเรียนวิทยาศาสตร์มาแล้ว อ่ะนะ เพราะดู ออกจะมีการศึกษา

    Hydrogen 2 อะตอม Oxygen 1 อะตอม รวมกันกลายเป็น H2O น้ำเปล่า ๆ น้ำบริสุทธิ์ ............... ใช่ อ่ะป่ะ

    ถามว่า มันจะเป็นน้ำบริสุทธิ์ ได้นาน แค่ไหน ในระบบ ธรรมชาติ ระบบธรรมชาติ อ่ะนะ

    ทำไม มันต้องแปดเปื้อนด้วยหล่ะ
    ทำไม มันไม่คงความบริสุทธิ์เอาไว้หล่ะ
    ทำไม มันบริสุทธิ์แต่ข้างใน ข้างนอกไม่บริสุทธิ์หล่ะ
    ทำไม ในเมื่อมันเป็น น้ำเหมือน ๆ กัน เราไม่เอา ปัสสาวะ มาใช้ต้มกาแฟหล่ะ
    ทำไม ................อีกร้อยแปดฟันเก้ารัดสิบเหมาสิบเอ็ด จิปาถะ หน่ะ

    (b-cry)

    เศร้าใจ กับไฉไล ความคิดน่ารัก...................................ษา
     
  10. userx

    userx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2007
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +1,061
    เกิดมาเพื่อ...เรอธัก รักเธอ จุ๊บๆ(kiss)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2007
  11. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    (verygood) (verygood) (verygood) (bb-flower (||) (||) (||)
     
  12. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414

    ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องยากมากที่จะตอบให้เข้าใจได้ เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งเกินกว่าสติปัญญาของผมที่จะอธิบายได้อย่างกระจ่าง เพราะปัญหานี้เป็นพุทธวิสัย แต่ว่าคำตอบเหล่านี้กระจัดกระจายอยู่ในพระอภิธรรมและในพระสูตรหลายๆแห่ง และผมโชคดีได้ฟังธรรมที่เป็นอจินไตยจากพระเถระที่ทรงภูมิธรรม จึงพอเข้าใจบ้างเพียงเล็กน้อย

    แต่ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ กระผมขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัยก่อนหากมีความผิดพลาด และขออภัยทุกท่านที่กระผมอาจแสดงความเห็นให้ขัดเคืองใจ และขอเป็นเพียงการแสดงทัศนคติส่วนตัว ไม่ใช่การชี้ขาด ฟังเล่นๆ อย่าเอาจริงเอาจังมาก

    เริ่มตอบเลยนะครับ
    ปัญหาที่สงสัยกันมากก็คือสังสารวัฎมีความเป็นมาอย่างไร มีจุดเริ่มต้น และสิ้นสุดหรือไม่ ใครสร้าง ใครกำหนดกฎเกณฑ์ในวัฎฎะ ชาติแรกเป็นอย่างไร ชาติสุดท้ายจะเป็นอย่างไร
    ในอภิธรรมปิฎกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่เทวดา ทรงเริ่มอธิบายถึงธาตุธรรม 3 อย่าง คือ กุศลาธัมมา อกุสลาธัมมา และอัพยากตาธัมมา ธรรมทั้งสามเป็นพื้นฐานของธาตุธรรมทั้งหมด
    เดิมทีธรรมทั้งสามก็อยู่กันอย่างอิสระ ไม่ได้ปะปนกัน ไม่ก้าวก่ายกัน ต่างฝ่ายต่างอยู่ แต่ต่อมาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมีการแทรกแซงปะปนกันมากขึ้นเรื่อยๆ ธรรมฝ่ายอกุศลก็เริ่มต้นรุกรานและครอบงำเพื่อปกครองธรรมฝ่ายอื่นๆ ซึ่งเดิมพวกเราก็คือกุศลาธัมมาทั้งนั้น แต่ถูกฝ่ายอกุศลเข้าแทรกแซงยึดครอง ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จิตเดิมนั้นประภัสสร แต่อุปกิเลสจรมา ซึ่งก็คือกุศลถูกฝ่ายอกุศลรุกรานเอาเสียแล้ว
    ธรรมกุศลและอกุศลทั้งสองฝ่ายก็มีกำลังเท่าๆกัน แต่เมื่อฝ่ายอกุศลทำวิชชาฝ่ายตนนำหน้าไปก่อน ฝ่ายกุศลทำอย่างไรก็ไล่ตามไม่ทัน เหมือนนักวิ่งที่กำลังเท่ากันแต่ฝ่ายหนึ่งออกตัวก่อนก็วิ่งนำไปตลอดเส้นทาง ฝ่ายกุศลจึงตกเป็นรองทุกด้าน จึงเริ่มแก้เกมโดยสร้างกายที่คล้ายมนุษย์ขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะป้องกันและช่วยทำวิชชาให้เร็วและแรงขึ้น เหมือนของหนักทุ่มลงในน้ำก็จะจมเร็วกว่าของเบา ฝ่ายอกุศลก็ทำวิชชาแก้โดยสร้างนิวรณ์และกิเลสต่างๆส่งผ่านเข้าทางอายตนะต่างๆของกายฝ่ายกุศลที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อดึงจิตของฝ่ายกุศลให้ทำวิชชาช้าลงและเคลื่อนออกจากเป้าหมาย

    ทั้งสองฝ่ายมีการต่อสู้และแทรกแซงกันตลอดเวลา ส่งวิชชาสู้กันจนเริ่มเกิดเป็นภพและมนุษย์เกิดขึ้น ระยะแรกมนุษย์ที่เกิดมีกายมหาบุรุษเหมือนพระพุทธเจ้า ยังไม่มีนรกสวรรค์ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีการกิน การนอน ขับถ่ายหรือพูดคุย ฝ่ายกุศลก็เริ่มได้เปรียบ แต่ฝ่ายอกุศลก็เริ่มทำอวิชชาแก่กล้าขึ้นเรื่อยๆเช่นกันและส่งมาครอบงำจิตใจของฝ่ายกุศล ก็มีผู้ที่หลงกลและไม่หลงกล จึงต้องมีการตักเตือนสั่งสอนกัน เริ่มมีการแสดงธรรม เริ่มมีพระพุทธเจ้ายุคแรกๆเกิดขึ้น และมีนิพพานมารองรับผู้มีบารมีมากๆ

    ต่อมาฝ่ายอกุศลได้คิดวิชาที่เอาชนะพวกที่เหลืออยู่ได้หมด ก็คือความเสื่อมและความตาย กายมนุษย์ต้องชำรุดและทำวิชชาเพื่อสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งก็ช่องโหว่ให้ถูกแทรกแซงครอบงำมากขึ้น เกิดใหม่ก็จำเรื่องเดิมได้น้อยลง นานเข้ามนุษย์ไม่เห็นและรู้จักนิพพาน พอตัดขาดจากนิพพาน ก็ไม่รู้หนักเข้าก็ถูกกิเลสครอบงำเริ่มมีการเบียดเบียนกัน มีการสร้างกรรม กฎแห่งกรรมก็เกิดขึ้นจำแนกภพภูมิตามผลกรรม ภพภูมิก็ถูกสร้างขึ้นมารองรับ เริ่มมีทุคติภูมิ และเกิดนรกขุมต่างๆ มนุษย์ที่ยังมีสัญญาเก่าๆ บางครั้งคิดสร้างความดีก็มีการสร้างสวรรค์ชั้นต่างๆรองรับเพื่อให้ใช้บุญบารมีให้หมดไป เมื่อหมดก็กลับมาสู่ภพมนุษย์ใหม่ ตกอยู่ใต้อำนาจของอกุศลหมด การเข้านิพพานก็ยิ่งยากขี้น ต้องผ่านหลักสูตรมหาโหดบำเพ็ญบารมี 20 , 40 , 80 อสงไขย จึงจะฝ่าด่านของมารที่ทำไว้ขัดขวางหนทางไปสู่นิพพาน

    ขณะนี้ภพสามจึงเป็นคุกที่ขังสรรพสัตว์ไว้ไม่ให้ไปสู่นิพพาน พวกเราก็คือนักโทษ ไม่มีสิทธิเรียกร้องความเป็นธรรม เพราะไม่เคยมีความเป็นธรรมอยู่แล้วภายใต้การปกครองของฝ่ายอกุศล ต้องหลุดออกไปให้ได้ก่อนจึงจะพบความเป็นธรรม จะเป็นคนป่าก็เพราะว่ากรรมทิษฐิมานะไม่เคารพในผู้ทรงศีล ทรงธรรม กรรมจึงบันดาลให้เกิดในถิ่นห่างไกลจากพระพุทธศาสนา ถ้าสร้างกรรมก็ต้องไปนรก ไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง เพราะกฎถูกสร้างมาอย่างนี้ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ในพระไตรปิฎกยังกล่าวถึงอีกาที่ขโมยกินข้าวที่จะนำไปถวายพระยังต้องไปตกนรก ยิ่งหนักกว่ามนุษย์อีกที่พอรู้อะไรบ้าง

    ส่วนเรื่องของสัตว์ ก็คืออดีตมนุษย์เหมือนอย่างพวกเรานี่เอง แต่ถูกกรรมบีบคั้นให้มีร่างกายวิกลต่างจากมนุษย์ ไม่มีความคิดใดๆนอกจากการกิน สืบพันธ์ ตามสัญชาติญาณ สัตว์ที่กินกันก็เพราะผูกเวรกันมาและเคยผิดศีลปาณาติบาต จึงต้องมาใช้กรรม

    คำถามต่อไป ประชากรของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นดูเหมือนมาก แต่จริงๆแล้วแค่หกพันล้านนี่น้อยมาก เพราะเอาแค่มดในหมู่บ้านเดียวก็มากกว่าคนทั้งโลกแล้ว ยังไม่นับสัตว์อื่นเลย ยังมีพวกในสวรรค์และนรกซึ่งมากกว่ามนุษย์และสัตว์รวมกันเสียอีก จำนวนมนุษย์จึงไม่ถือว่าเปลี่ยนแปลงมากนัก จำนวนสรรพสัตว์ในภพสามนี่มีแต่จะลดลงเพราะไปนิพพานแต่ที่มีก็มีมากนับเป็นอสงไขยไม่ถ้วน อายุที่เพิ่มขึ้นไม่กี่สิบปีก็ไม่มาก เพราะบางยุคมนุษย์อายุยืนกว่าเทวดาเสียอีก

    เรื่องมนุษย์ต่างดาว ในจักรวาลนี้ (ประมาณว่ากาแลกซี่ทางช้างเผือก) มีโลกที่มีมนุษย์อยู่ 4 ดวง (ทางพระไตรปิฎกใช้คำว่าทวีป) โลกที่เราอยู่เรียกว่า ชมพูทวีป ยังมีโลกที่มีมนุษย์อยู่อีกคือ อุตรกรุทวีป อมรโคยานทวีป และอปรโคยานทวีป และมีทวีปน้อยอีก 2000 ทวีป นี่คือจำนวนประชาคมในจักรวาลแห่งนี้ ซึ่งมีจักรวาลแบบนี้อยู่อีกนับไม่ถ้วน คำพระท่านว่าแสนโกฎิจักรวาล อนันตจักรวาล เราไปเกิดในทวีปหรือจักรวาลอื่นได้ แต่เป็นส่วนน้อยเพราะไม่มีกรรมผูกพันกันมากเหมือนคนในโลกเดียวกัน
     
  13. วิมม์

    วิมม์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +148
    งานนี้ คุณถิ่นธรรม เอา อะไร มา เล่า เนี่ย

    แต่ คุ้น ๆ นะ คำว่า ทำ วิชชา หน่ะ มันอยู่ในสำนัก อะไรสักอย่าง

    ทำให้ ................................................

    แต่ก็ เอาเถอะหน๊ะ ยังคงน่าติดตามอยู่

    เมื่อฝ่าย อกุศลธรรม เร่งทำวิชชา ใส่ ร่างมนุษย์ มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น

    มันจะไปถึงไหนหล่ะ ในเมื่อมันได้อยู่แค่นี้แหละ

    จะให้อายุ น้อย ลง น้อยลง อีกใช่ม้า..................แล้วสุดท้าย อะไรสักอย่างมาทำลาย ล้างให้หมด แล้ว จึงเริ่มนับหนึ่งใหม่ อีกล่ะซิ

    อ้อ.................กุศลธรรม แสดงแล้ว อกุศลธรรม แสดงแล้ว แล้ว อัพยากตธรรม ไปหลบ อยู่ที่ไหน อ่ะครับ

    ผม.........ม่าย ซีเรียส เอาแบบ เล่น ๆ อย่างที่คุณว่า นะ

    ขอบคุณงับ
     
  14. มหัศฤทธิ์

    มหัศฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +855
    เกิดมาเพื่อ..ตาย...
     
  15. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    (verygood) (verygood) (verygood) (f) (f) (f)
    สรุป...เกิดมาเพื่อ รัก เมตตา อภัย ต่อกันและกัน มั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2007
  16. jinnivan

    jinnivan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +250
    ชอบคำตอบของ Qiao อ่านแล้วมีที่มาที่ไปดูเหมือนนิยายบทยาว ซึ่งอ้างอิงจากเรื่องการเกิดของมนุษย์ในคัมภีร์ฮินดูโบราณ อ่านแล้วได้แง่คิดดีมาก ทำให้นึกถึงเรื่องพระเจ้าสร้างโลก

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พี่ไทยได้ทำการทดลองโคลนนิ่งมนุษย์ขึ้น แต่เป็นการฝืนมติประชาคมโลก เลยจำเป็นต้องทำอย่างลับๆบนยานอวกาศ ตัวอ่อนตัวนี้เป็นยีนของหัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ และเมื่อตัวอ่อนเริ่มโตขึ้น ก็จะต้องมีที่รองรับไว้ ซึ่งทางพี่ไทยก็ได้รับมือเรื่องนี้ไว้แล้ว โดยได้ส่งยานสำรวจหลายลำ ไปสำรวจ ณ หลายจุดดวงดาว ซึ่งที่พอจะมีความใกล้เคียงกับโลกก็คือดาวที่สามในกลุ่มดาวไถ

    ว่าแล้วพี่ไทยก็จัดแจงทุ่มงบประมาณในการสร้างสวนผักที่มีครอบแก้วขนาดใหญ่ ภายในมีการควบคุมอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกับโลกไว้มาก เพราะกลัวว่าตัวอ่อนจะตาย แล้วเอาตัวอ่อนที่ตอนนี้ไม่อ่อนแล้วมาเลี้ยงไว้ภายใน ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกตัวอ่อนนี้ว่า ไอ้ดำ หรือ เจ้าดำก็ได้ เพราะมันดำเหมือนท่านศาสตราจารย์หัวหน้าคณะเหลือเกิน และต่อมาก็เลยเริ่มมีการทดลองการย้ายโครโมโซม โดยการโคลนนิ่งเพศหญิงมาจากตัวเจ้าดำ ซึ่งทางคณะได้ตั้งชื่อให้โคลนทดลองนี้ว่า อีหว้า หรือ เจ้าหว้าก็ได้

    ทั้งคู่อยู่อย่างหนุงหนิง และเชื่อฟังคณะวิจัยนั้นเป็นอย่างดี โดยที่ทางคณะให้เจ้าดำ และเจ้าหว้า เรียกพวกเขาว่า ผู้มาจากฟ้า ซึ่งจะคอยผลัดเปลี่ยนเวรมาตรวจจากยานแม่เกือบทุกวัน นอกจากนั้นก็ยังส่งสัตว์โคลน สัตว์ทดลองตัดต่อพันธุกรรม จำนวนมาก มาทิ้งไว้ให้ทั้งสองได้เล่นแก้เหงาบ้าง และห้ามไม่ให้ทั้งสองเข้าใกล้หอควบคุมที่อยู่ส่วนกลางของโดมนั้นซึ่งซ่อนไว้ภายในต้นกระทกลก

    จนวันหนึ่ง สายลับจากองค์การประชาชาติได้รู้ความลับของพี่ไทยเข้า เลยแอบรอบเข้าไปในโดมแก้วนั้น และจะเจาะข้อมูลในหอควบคุมกลาง แต่บังเอิญไปเจอเจ้าหว้าเสียก่อน ก็เลยใช้งานเจ้าหว้าที่ไร้เดียงสาซะเลย โดยแสล้งเชื้อเชิญเจ้าหว้าสารพัดเพื่อให้นำจารชนผู้นั้นเข้าสู่หอกลางให้ได้ จนเจ้าหว้าหลงเชื่อ เลยชวนกับเจ้าดำ จัดแจงงัดต้นกระทกลกเป็นที่จน ลิฟลับเปิดออก แล้วนำไปสู่ศูนย์ควบคุมกลางภายใน เจ้าหว้า กับเจ้าดำ เห็นเรื่องทุกอย่างเข้า ด้วยยีนอัจฉริยะของหัวหน้าคณะวิจัย ทำให้เจ้าดำเค้นความจริงจากจารชนผู้นั้น ซึ่งเขาก็เล่าทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง สร้างความตาสว่างให้กับเจ้าดำ และเจ้าหว้าเป็นอันมาก

    ความรู้ไปถึงคณะวิจัย ต่างโกรธเกี้ยวเป็นฟืนไฟในการกระทำของเจ้าดำ และเจ้าหว้า รวมถึงความลับนี้ได้แพร่งพายไปยังองค์การประชาชาติแล้ว ทำให้พี่ไทยไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เลยจะต้องจำใจยุบโครงการนั้น โดยการทำลายทุกอย่าง แต่หัวหน้าทีมวิจัย พ่อต้นแบบของเจ้าดำก็ใจอ่อนทำลายไม่ลง เลยแจ้งกลับไปยังโลกว่าได้ทำลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจากนั้นมาคณะวิจัยก็ไม่เคยมาอีกเลย ทิ้งให้เจ้าดำและเจ้าหว้าอยู่กับตามลำพังในโลกแก้วนั้น และแล้วเจ้าดำกับ เจ้าหว้าก็กล้าที่จะออกมาสู่โลกนอกแก้วนั้น ซึ่งภายนอกก็ไม่ได้แย่กว่าภายในเลย แล้วทั้งสองก็มีวิวัฒนาการ ออกลูกออกหลานเรื่อยมา

    นานๆทีคณะวิจัยบางคนก็กลับมาแวะเวียนถามไถ่สารทุกอยู่บ้าง จนปัจจุบัน ที่ลูกหลานเจ้าดำและเจ้าหว้า กำลังจะสร้างยานสำรวจเพื่อมาสำรวจยังโลก ทางประชาชาติโลกก็เลยรู้ว่า งานทดลองไม่ได้ถูกทำลายจริง เลยจะจัดการซะ นับเป็นวันโลกาวินาศของดาวที่เจ้าดำและเจ้าหว้าอยู่โดยแท้

    อ่านหนุกๆๆ พล็อตคุ้นๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2007
  17. ๋Zeus@

    ๋Zeus@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +1,960
    ตอนเป็นเด็ก ก็สงสัยเรื่องพวกนี้เหมือนกัน...
    แต่ตอนนี้ เริ่มได้คำตอบแล้ว เป็นบางข้อ...

    คงต้องเริ่มจากเอาเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ออกไปจากใจก่อน...
    เพราะคิดแบบตรรกกะของวิทยาศาตร์มันอธิบายธรรมชาติได้ไม่หมด...

    ยังมีอีกหลายล้านเรื่องที่วิทยาศาตร์อธิบายไม่ได้ แต่มันเกิดขึ้น...
    มีหลายคดี ที่ใช้คำว่าแปลก ปริศนา ฯลฯ ...

    พอผมเริ่มศึกษาศาสตร์อื่น ที่มีคนบอกไว้ตั้งแต่สองพันกว่าปีมาแล้ว...
    กลับเริ่มพบเจอ กับข้อเท็จจริงในศาสตร์นั้น มากขึ้น...
    ทำให้มุมมองในการตั้งคำถาม ไม่เหมือนเดิม...

    จำเป็นหรือ???
    เราเกิดจากพ่อ-แม่ (คน)
    คนเกิดจากอะไร เกิดจากคน
    คน ๆ แรกเกิดจากอะไร ต้องเกิดจากคน 2 คน
    คน 2 คนแรก เกิดจากอะไร??? (อาจจะคน 4 คน)???

    วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่าคนพัฒนาการมาจากอะไร???

    หากตั้งคำถามด้วยวิทยาศาสตร์รวมกับธรรมะ จะตอบลำบาก

    หากเชื่อว่าธรรมะตอบได้ ต้องฟังคำตอบแบบธรรมะ แล้วใช้เหตุผลแบบธรรมะ
    ในการทำความเข้าใจ...

    การจะไปค้นหาจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง เพราะเราคุ้นเคยกับการเกิดขึ้นและจบลง
    แต่ใครจะรู้อย่างแท้จริงว่า มันไม่ได้เริ่มต้น...และหายไปไหน
    ธรรมชาติ...อยู่อย่างนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ เป็นวัฏจักร...

    วิญญาณสามารถเข้าสู่นิพพานได้เรื่อย ๆ ไม่มีวันหมดเขต...
    แต่ต่อให้เข้านิพพานไปมากแค่ไหน ตลอดกาลนานก็จะมีวิญญาณที่เหลือ
    เวียนว่ายตายเกิดอีกมหาศาล ไม่มีวัน...หมด

    จะมีหนึ่งดวง เกิดเป็นคนที่รู้ แล้วบอกสอนคนอื่นเสมอว่าธรรมชาติเป็นยังไง
    มีพระพุทธเจ้าอีกมากมายมหาศาล...

    ธรรมชาติ คือความสมดุลย์และเป็นธรรมที่สุดแล้ว...

    หากทำสิ่งใด ๆ ที่ฝืนกฏธรรมชาติ มักจะได้รับผลกระทบรุนแรง...
     
  18. Qiao

    Qiao Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +62
    ข้อมูลเอามาจากคัมภีร์ พระไตรปิกฏฉบับพิเศษค่ะ
    เขียนโดย อาจารย์ ไชย ณ พล อัครศุภเศรษฐ์
     
  19. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    อยากได้คำตอบที่ออกมาจาก "ความรู้จากจิต" เป็นความคิดรวบยอด (Concept) ของจิตล้วน ๆ มิใช่ "ความรู้จากสมอง" สัญญาที่จำมาหรือคัดลอกออกมาจากบันทึกใด ๆ

    เหมือนที่เราปฏิบัติสมาธิแล้วนำปัญหาไปพิจารณา คำตอบก็คือ สรุปเป็นปัญญาของตนเอง ไม่ใช่จำ หรือ อ่านมา ก็คือภูมิรู้ของตัวเองที่มีต่อปัญหานั้น ๆ
     
  20. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    คุณ koymoo ข้อความที่ 25 ตอบได้ดีครับ เห็นด้วยอย่างยิ่ง เรื่องของ โลกีย์วิสัย เป็นเรื่อง อจินไตย อย่าคิดให้มากนักเลย ไม่มีทางได้คำตอบหรอก

    คำตอบที่อธิบายได้ชัดเจนที่สุดคำตอบหนึ่งก็คือ ข้อความที่ 32 ของคุณ ถิ่นธรรม ตอบได้ดีครับ ที่ผมได้ยินมาก็คล้ายๆ กัน แต่จุดเริ่มต้นของผม มีอยู่ 2 ธาตุเท่านั้น คือ ธาตุหนัก กับ ธาตุเบา

    ข้อความของคุณ อักขรสัญจร ก็ตอบได้ดีหนิ เพียงแต่สั้นไปหน่อย ขาดการอธิบาย สงสัยจะมีเวลาตอบน้อย

    อย่าคิดหาคำตอบเลย เครียดเปล่าๆ จะกลายเป็นไปเพิ่มวิจิกิจฉา ทำให้ตัวเรามีกิเลสเพิ่มขึ้นไปอีก ปล่อยวางเสียดีกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...