คนน่ากลัว

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 7 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,173
    คอลัมน์ ขนหัวลุก

    ใบหนาด

    "วิมลวรรณ" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากปากน้ำโพ

    ดิฉันเป็นคนนครสวรรค์ หรือที่พวกเรานิยมเรียกกันง่ายๆ มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายว่า "ปากน้ำโพ"

    จังหวัดดิฉันมีหลายชื่อค่ะ สมัยก่อนมีทั้งเมืองพระบาง ทั้งเมืองชอนตะวัน สันนิษฐานว่าตั้งเมืองมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย มีศิลาจารึกว่าชื่อเมืองพระบาง สาเหตุมาจากเคยมีพระพุทธรูปชื่อพระบาง ประดิษฐานอยู่ในเมืองนี้มาก่อน

    สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองนี้เคยตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา หลังตลาดปากน้ำโพ และหันหน้าสู่ทิศตะวันออก จึงได้ชื่อว่าเมืองชอนตะวัน

    ต่อมา แผ่นดินทางฝั่งตะวันออกเกิดงอกเข้าไปในแม่น้ำมากขึ้นๆ ชาวเมืองจึงอพยพไปอยู่ฝั่งตะวันออก แถวๆ ใต้เมืองเก่าราว 8 กิโลเมตร และเปลี่ยนชื่อเมืองให้เป็นสิริมงคลว่า นครสวรรค์ สาเหตุที่พวกเรานิยมเรียกกันว่าปากน้ำโพ สันนิษฐานว่าคงจะเคยมีต้นโพธิ์ ใหญ่อยู่ตรงปากแม่น้ำนั่นเอง

    คนเก่าๆ เคยเล่าว่า ไม่ใช่เคยมีต้นโพธิ์หรอก แต่เพราะมีแม่น้ำยมและน่าน โผล่ออกมาพอดี เลยเรียกว่า "ปากน้ำโผล่" ต่อมาก็เพี้ยนเป็นปากน้ำโพมาถึงทุกวันนี้ไงคะ

    บางคนเรียกเมืองสี่แคว เพราะแม่น้ำ ปิง วัง ยม และน่านไหลมาบรรจบกันที่นครสวรรค์ สมัยก่อนเคยเป็นชุมทางการค้าที่สำคัญมาก การคมนาคมใช้ทางน้ำเป็นส่วนใหญ่ พ่อค้าจากทางเหนือกับกรุงเทพฯ ไปพบกัน ซื้อขายสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะอยู่ป่าและไม้ซุง บรรยากาศคึกคักไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน

    ดิฉันมีเรื่องขนหัวลุกจากปากน้ำโพมาเล่าสู่กันฟังค่ะ!

    สมัยเด็กๆ อยู่หลังตลาด มีทั้งบ้านเล็กเรือนน้อย ห้องแถวก็มี บ้านเดี่ยวๆ ก็มี เคยเกิดไฟไหม้ขนาดใหญ่ก่อนดิฉันเกิดหลายปี จนไม่เหลือร่องรอยให้เห็นแล้ว

    มีผู้หญิงแก่มากๆ คนหนึ่ง แก่ยิ่งกว่ายายของดิฉันอีกค่ะ บ้านอยู่ใกล้ๆ กับบ้านเราเอง ชื่อซิ้มไล้ แกอยู่ตัวคนเดียวในบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ เขาว่าแกเป็นคนน่ากลัว!

    พูดตามจริง เด็กสิบกว่าขวบอย่างดิฉันกับเพื่อนๆ กลับไม่เห็นว่าซิ้มไล้ที่แก่มากๆ จะเป็นคนน่ากลัวตรงไหน? พวกเราชอบไปคุยกับแกบ่อยๆ ด้วยซ้ำ

    ซิ้มไล้คงจะอายุ 80-90 แล้วค่ะ ร่างเล็กบอบบางเหมือนเด็กๆ นุ่งกางเกงใส่เสื้อแบบจีน ผมขาวโพลนรวบตึงแล้วเกล้ามวยไว้ที่ท้ายทอย ใบหน้าเหี่ยวย่น แก้มยุบบุ๋ม เพราะไม่เหลือฟันแม้แต่ซี่เดียว ปากบางๆ ติดยิ้มอย่างใจดี มักมีขนมอร่อยๆ ให้พวกเรานั่งกินที่โต๊ะตรงระเบียง

    พวกหลานๆ เหลนๆ ของซิ้มไล้ที่ตลาดจะแวะมาเยี่ยมแกบ่อยๆ เอาของกินมาให้สม่ำเสมอ...พวกเขาบอกว่าชวนแกไปอยู่กับใครก็ไม่ยอมไปทั้งนั้น ยืนยันว่าชอบบ้านนี้ จะอยู่ที่นี่ไปจนตาย!

    เมื่อเราถามอายุแก ซิ้มไล้จะยิ้มมากกว่าเดิม นัยน์ตาแคบๆ เป็นสีน้ำข้าว มองพวกเราอย่างเอ็นดู ก่อนจะตอบเสียงเบาๆ

    "เกือบร้อยแล้วมั้ง? หรือร้อยกว่าอั๊วก็ไม่ได้นับ...มันนานซะจนอั๊วขี้เกียจจำแล้วว่ะ สมัยก่อนโน่นน่ะ อั๊วก็เคยเป็นเด็กๆ อย่างพวกลื้อ แล้วก็เป็นสาว มีไอ้หนุ่มมาติดกรอเชียว เฮ้อ..."

    แกถอนใจยาว มองเหม่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย มุมปากเหี่ยวย่นยิ้มละไมเหมือนเห็นใครบางคนที่แกรอคอย ดิฉันมองตามก็ไม่เห็นใครซักคน ยอมรับว่าขนลุกเลยค่ะ

    แม่ดิฉันไม่ค่อยอยากให้ไปเที่ยวบ้านซิ้มไล้ แต่เวลาทำผัดทำแกง หรือทำขนมดีๆ ก็จะใส่หม้ออวยให้ดิฉันเอาไปฝากแก พอถามว่าทำไมไม่ชอบให้ไปที่นั่นบ่อยๆ แม่กลับส่ายหน้า บอกว่าให้ไปถามยายเอาเอง เพราะรู้จักซิ้มไล้มาตั้งแต่ยายยังเด็กๆ แล้ว

    ในที่สุด ยายก็เล่าเรื่องน่ากลัวของซิ้มไล้ให้ฟัง

    สมัยที่ยังเป็นสาว พ่อแม่จะให้แต่งงานกับลูกชายร้านทอง แต่แกรักกับหนุ่มแพซุงที่เพิ่งพบกัน 2-3 ครั้ง เมื่อพ่อแม่บับคับแกก็กินยาตาย กว่าจะพบก็น้ำลายฟูมปาก แน่นิ่งไปแล้ว ใครๆ ก็นึกว่าตายแน่ แต่หมอช่วยล้างท้องจนรอดมาได้

    คราวนี้พ่อแม่เลิกบังคับ แถมยินยอมให้แต่งงานกับหนุ่มแพซุง โดยจัดขึ้นง่ายๆ ที่บ้านหลังนั้นเอง ขณะที่กำลังกินเลี้ยงกัน ลูกชายร้านทองก็บุกเข้ามายิงเจ้าสาวซึ่งๆ หน้า แต่กระสุนกลับผิดเป้าไปหมดทุกนัด มือปืนวิ่งกลับบ้านไปยิงตัวตายหนีความผิด

    เมื่อซิ้มไล้มีลูกชายได้สองคน เกิดอหิวาตกโรคระบาดขึ้น ซิ้มไล่ล้มป่วยได้ 2-3 วันก็สิ้นใจ...แต่ก่อนที่สัปเหร่อจะหามไปเผา ก็ได้ยินเสียงดิ้นขลุกขลักในโลง ตอนแรกเกือบจะเผ่นหนีแล้วเพราะนึกว่าโดนผีหลอก

    "ช่วยด้วย...ฉันยังไม่ตาย..."

    เสียงแหบแห้งที่ดังออกมาจากโลง ทำให้รีบช่วยเหลือได้ทัน ก่อนที่แกจะโดนเผาทั้งเป็น!

    เมื่อมีลูกหลายคน ซิ้มไล้ก็ลงทุนซื้อเรือยนต์มารับจ้างบรรทุกของ รับคนข้ามฟากที่สถานีรถไฟ วันหนึ่งก็โดนโจรปล้น จับมัดมือมัดเท้าแล้วโยนลงน้ำ แต่ซิ้มไล้ก็ดิ้นรนแก้เชือกจนสำเร็จ ตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์

    ชาวบ้านเห็นว่าแกเป็นคนน่ากลัว ไม่ค่อยมีใครอยากคบค้าด้วย ทั้งๆ ที่ซิ้มไล้มีอัธยาศัยกับคนทั่วไป จนกระทั่งลูกๆ เติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว มีครอบครัวไปหมดทุกคน สามีแกก็ตายจากไปเมื่ออายุราว 70 ปี

    ซิ้มไล้ใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบที่บ้านหลังเดิม จนลูกๆของแกล้มตายหมดแล้ว เหลือแต่หลานๆ เหลนๆ เท่านั้น...มีเสียงซุบซิบว่าแกอาจจะตายไปหลายสิบปีแล้วก็ได้ แต่วิญญาณยังสิงร่างอยู่ เพราะมีคนเคยเห็นหญิงสาวแต่งชุดจีนเดินเล่นที่หน้าบ้านในคืนเดือนหงาย ก่อนจะหายไปในบ้านที่ซิ้มไล้อยู่คนเดียวเท่านั้นเอง

    ปัจจุบันดิฉันอยู่กรุงเทพฯ ซิ้มไล้ตายไป 20 กว่าปีแล้วค่ะ แต่นึกถึงแกแล้วทำไมขนลุกทุกทีก็ไม่ทราบเหมือนกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...