กำลังภายใน พลังจิต หรือ มายากล ลองดูครับเรื่องจริงคนที่สามารถหยุดชีพจรตัวเองได้!!!!

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lepus, 20 พฤษภาคม 2007.

  1. lepus

    lepus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,881
  2. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    เป็นเรื่องธรรมดา แต่หากหลงใหลในฤทธิ์ก็กลายเป็นไม่ธรรมดา เกิด "อวิชชา"
    ได้ ในสมัยพุทธกาล มีพวกฤษีมากมาย บำเพ็ญตบะแก่กล้ามาก พระพุทธองค์
    ทรงเทศนาอย่างแยบคาย ท่านหมายถึงคนที่หลงกำลังจิต จนขาดสติ และ
    ปัญญาว่าเป็นพวกภิกษุน้ำลายยืดย้อย (มีศัพท์เรียกแต่ข้าพเจ้าลืม)

    ท่านกล่าวว่า บางคนเข้าฌาน ตั้งจิตจะออกฌานตอนกลางวัน
    แต่ได้กสิณสงสว่าง พอตกกลางคืนออกฌานแล้วหลงว่าเป็น
    เวลากลางวันก็มี สารพัดเรื่องตลก อ่านแล้วขำ แต่ท่านใช้คำ
    เทศนาเรียบง่ายจนฟังไม่ออกว่าคือเรื่องตลก
     
  3. ศิษกวนอู

    ศิษกวนอู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +220
    อืมมันก็เป็นเรื่องที่แปลกๆ ดีนะครับ ที่พอบางคนฝึกได้แล้วก็เอาไปโชว์ แต่บางคนฝึกได้แต่ว่าก็เก็บไว้เงียบๆ คนเดียว ผมว่าคนอย่างหลังนี่น่ายกย่องกว่านะครับ ^ ^
     
  4. จักรราศี

    จักรราศี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,086
    อาจเป็นเพราะว่าศาสนาพุทธเน้นเรื่องการละกิเลส ทำให้การโอ้อวดและการยึดติดฤทธิ์ดูเป็นสิ่งไม่เหมาะสมก็ได้นะคับ ดังนั้นผู้ที่มีของดี มักจะเก็บไว้รู้เฉพาะตนหรือคนกลุ่มน้อยที่สนิทเท่านั้น
    แต่ที่อเมริกา คนที่มีญาณ เค้า เปิดเผยทำเป็นอาชีพเลยนะคับ เช่นช่วยตำรวจในการทำคดี สามารถทำในสิ่งที่ตำรวจเองก็จนมุม ทำคดีต่อไปไม่ได้ เช่นสามารถช่วยหาหลักฐานเพิ่มเติม สามารถบอกเรื่องราวได้ว่า โจร ฆ่าคนตรงนี้ นำศพลากไปไว้ตรงนี้ๆ เล่าได้เป็นฉากๆ และเป็นจริงด้วยคับ รวมทั้งสื่อกับวิญญาณผู้ตาย พวกนี้เค้าลงประกาศโฆษณาด้วยนะคับ คือทำเป็นอาชีพจริงๆ ไม่ได้ปิดเลย นอกจากนี้ ยังเอาไปช่วยสืบความลับทางการทหารด้วยคับ
    แต่ก็อย่างว่าอ่ะคับ จุดมุ่งหมายมันไม่เหมือนกัน ยังไงผมก็ยึดศาสนาพุทธเป็นหลักคับ
     
  5. Alonegirl

    Alonegirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +192
    คุณสัปเหร่อ เขียนได้ดี กับที่ว่า ยึดดี ทำดีก็ไม่ได้ผลดี ไม่ยึดทั้งดีและเลว ถึงทำได้ดีจริง --- ผมคือคนเลว

    เราชอบจัง เพราะเราตกอยู่ในสถานการณ์ของประโยคนั้น ไม่รู้จริงๆว่าเป็นคนดีแล้วไม่มีความสุขได้ยังไง ท้อเหลือเกิน
     
  6. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ถ้าฝึกจิตจนมีสมาธิสูงๆสามารถมีอภิญญาหรือแสดงฤทธิ์ต่างๆได้ ผมก็ขออนุโมทนาด้วย เรื่องฤทธิ์นี้แม้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงสรรเสริญ แต่ตัวท่านเองก็มีฤทธิ์มีอภิญญา เป็นพระสัพพัญญู มีหลายครั้งด้วยกันที่ท่านเองก็ใช้ฤทธิ์ในการทรมานผู้อื่นให้ละมานะ คลายทิฐิ หรือใช้ฤทธิ์ในการช่วยหยั่งรู้ระดับจิต อดีตชาติ ระดับอินทรีย์ของสรรพสัตว์ เพื่อเลือกธรรมที่เหมาะสมในการสั่งสอนผู้คน บางท่านถ้าไม่เจอฤทธิ์ก่อนก็อาจจะละมานะไม่ได้เลยก็มี เช่น ท่านอุรุเวลกัสสปะและบริวาร ที่พระพุทธเจ้าต้องทรงแสดงฤทธิ์ถึง 7 วัน กว่าที่ท่านอุรุเวลกัสสปะและคณะจะยอมตนมาศรัทธาแต่โดยดี

    ต้นเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยไม่ให้พระแสดงฤทธิ์นั้น เกิดมาจากตอนที่พระปิณโฑลภารทวาชะ แสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปเอาบาตรไม้จันทร์ของเศรษฐี ด้วยเหตุเพียงเพื่อแค่รับคำท้า เพราะเศรษฐีประกาศว่าถ้ามีพระอรหันต์จริงก็ให้เหาะขึ้นไปเอาบาตรแล้วตนจะเชื่อ แต่ถ้าไม่มีผู้ใดทำได้ตนก็จะยึดมั่นว่าในโลกนี้ไม่มีพระอรหันต์อีกแล้ว ซึ่งพอดีพระโมคคัลลานะกับพระปิณโฑลภารทวาชะผ่านมาพอดี ท่านทั้งสองก็เลยปรึกษากันด้วยเจตนาที่ไม่อยากให้เศรษฐีเสื่อมจากคุณที่พึงได้ และท่านทั้งสองเห็นว่าถ้าเศรษฐียอมตนมานับถือในพระพุทธศาสนาแล้วก็จะเป็นกำลังสำคัญทีเดียว ตอนแรกจะให้พระโมคคัลลานะแสดงฤทธิ์แต่ภายหลังพระปิณโฑลภารทวาชะตกลงใจแสดงฤทธิ์เอง

    ในที่สุดเศรษฐีก็เชื่อและผู้คนก็แห่กันมาห้อมล้อมท่านทั้งสองพร้อมทั้งยังขอให้ท่านแสดงฤทธิ์ให้ดูอีกหลายครา เมื่อท่านทั้งสองกลับมาถึงวัด พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องแล้วก็ทรงตำหนิท่านปิณโฑลภารทวาชะเป็นอันมาก ว่าแสดงฤทธิ์เพียงเพราะเหตุแค่บาตรใบเดียว จากนั้นก็ทรงบัญญัติพระวินัยห้ามพระแสดงฤทธิ์ เมื่อเรื่องนี้ทราบไปถึงเหล่าเดรถีย์ ก็เลยคิดที่จะทำให้พระพุทธเจ้าเสื่อมเสียชื่อเสียง จริงได้ป่าวประกาศจัดงานประลองฤทธิ์ขึ้นมา อันเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในเวลาต่อมา (เล่าโดยย่อ เรื่องราวเต็มๆสามารถอ่านได้ในพุทธประวัติครับ)

    ต่อมาอรรถกถาจารย์หลายท่านก็วิเคราะห์กันว่าที่พระพุทธเจ้าทรงติเตียนพระปิณโฑลภารทวาชะซึ่งในขณะนั้นเองท่านก็เป็นพระอรหันต์แล้วด้วยนั้น เป็นกุศโลบายของพระพุทธเจ้าที่จะทำเหตุให้เหล่าเดรถีย์หาเรื่องในการจัดงานประลองฤทธิ์ขึ้นมา ซึ่งก็จะเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ซึ่งถือว่าเป็นพุทธประเพณีในพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เพื่อยังความเลื่อมใสศรัทธาและการบรรลุธรรมให้เกิดขึ้นแก่หมู่ชนและเทพเทวดาเป็นอันมาก นั่นเองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...