มีดวงเป็นหมอดูได้ไหม

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย TupLuang, 10 กรกฎาคม 2008.

  1. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    ไดอารี่หมอดูหน้าที่ ๓๕

    หมอพีร์
    กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑

    สวัสดีทุกท่านที่ติดตามอ่านไดอารี่หมอดูค่ะ อาทิตย์ที่ผ่านมาเจอเหตุการณ์ซ้ำ ๆ กันนิดหนึ่ง คือเจอแต่คำถามที่ว่ามีดวงเป็นหมอดูได้ไหม ซึ่งบางคนมีดวงเป็นได้เพราะค่อนข้างมีความสุขได้จากตัวเอง แต่บางคนต้องช่วยเหลือตัวเองให้มีความสุขก่อนจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะสะสมแต่กรรม

    เมื่อปีที่ผ่านมาเจอคำถามนี้เยอะเหมือนกัน ซึ่งไม่แปลกค่ะ เพราะอาชีพหมอดูไม่เสียภาษี ล้อเล่นค่ะ ความคิดเห็นของคนที่อยากเป็นหมอดูส่วนใหญ่จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากช่วยคนเพื่อจะได้สร้างบารมี ส่วนปัจจัยรองลงมาคือรายได้ดี ซึ่งเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ค่ะ

    การเป็นหมอดูเป็นได้ง่ายไม่ยาก แต่จะเป็นหมอดูที่จะสร้างบุญอย่างเดียวนั้นค่อนข้างยาก เพราะคนที่เป็นหมอดูต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน จึงจะไม่สร้างบาปให้ตัวเองได้ง่าย การมีสัมมาทิฏฐินั้นต้องฝึกฝนให้มีความเห็นถูกต้อง ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นจากครูอาจารย์ที่ท่านเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง หรือจากพระไตรปิฎก และจากการปฏิบัติเรียนรู้ด้วยตัวเอง

    หมอดูที่ชี้แนะให้คนเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง จะได้อานิสงส์กลับมาคือชื่อเสียง ที่จะมีคนรู้จักเร็ว และมีรายได้ที่เป็นผลตอบแทนรองลงมา

    ดังนั้นหลาย ๆ คนที่อยากเป็นหมอดู ต้องพยายามสะสมให้ตนเองมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องก่อน ไม่อย่างนั้นคำแนะนำที่จะให้คนแก้ไขปัญหาชีวิตจะเป็นไปในทางที่ก่อให้เกิดความเชื่อที่ผิด ก่อให้เกิดความทุกข์ใจ พอจิตคนที่มาดูหมอ มืดกลับไป ย่อมสร้างบาปสร้างกรรมให้ตัวเองเพิ่มได้อย่างไม่รู้ตัว จะสะสมความมืดจากบาปของการที่แนะให้คนมีความเชื่อที่ผิด จิตย่อมตกลงสู่ที่ต่ำได้ง่าย

    จำได้ว่าเมื่อก่อนที่จะเจอพี่ดังตฤณ ทำอาชีพหมอดูที่ไม่ได้มีสัมมาทิฏฐินั้น ทุกข์มากเลยค่ะ เพราะคำแนะนำที่ให้คนมาดูดวง ไม่มีเหตุผลที่มาที่ไป แถมยังพาคนอื่นเขาเข้ารกเข้าพง มีความเชื่ออะไรที่งมงายไม่มีเหตุผลเลย ดีนะแค่สองปี ถ้านานกว่านั้น มีหวังตีตั๋วปลายทางลงอบายภูมิแน่ ๆ ณ ตอนนี้มองย้อนกลับไป ยังเสียวสันหลังวาบอยู่เลยค่ะ ปัจจุบันนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสิทธิ์ลงอบายได้นะคะ เพราะตอนนี้ยังไม่สามารถปิดประตูอบายได้ค่ะ

    ยังต้องพยายามขยันฝึกฝนตัวเองอย่างมาก ๆ เหมือนกัน เพราะตราบใดที่ยังไม่สามารถพาจิตหลุดพ้นได้ มีสิทธิ์ลงอบายได้ทั้งนั้น ต้องสร้างความเพียร เพื่อให้ตัวเองห่างไกลปากบ่ออบายภูมิหน่อยก็ยังดี เพราะอาชีพหมอดูนอกจากเรื่องคำแนะนำที่ถูกต้องแล้ว ยังต้องพยายามมีสติรักษาจิตไม่ให้เอาจิตตัวเองไปติดกิเลสคนอื่นมาด้วยสิ

    เรื่องใหญ่กว่านั้นอีกคือ คนที่มาดูดวงไม่ค่อยมีใครหอบหิ้วความสว่างของจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิมาดูดวงหรอก มีแต่กระแสของความมืด ด้วยอำนาจของ ความโลภ โกรธ หลงผิด และ ตัณหาความทะยานอยาก

    ถ้าดูดวงด้วยจิตที่ไม่มีสติ มักหลงไปเอากิเลสของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง เอากิเลสของตัวเองไปบอกคนอื่น ปนกันไปหมด ไม่รู้ของใครเป็นของใคร

    จิตที่ต้องคลุกคลีกับจิตคนอื่นมาก ๆ ถ้าบางครั้งดูจิตตัวเองไม่ทันในขณะที่ดูดวง จะพลาดไปยึดถือกิเลสคนอื่นติดมาด้วย ตกตอนเย็นจิตใจจะหนักสะบักสะบอม มอมแมมด้วยกิเลสคนอื่น ต้องพยายามทำความสะอาดจิตทุก ๆ วัน ไม่ให้ไหลไปพลาดไปยึดถือกิเลสคนอื่นติดมาด้วย ตกตอนเย็นจิตใจจะหนักสะบักสะบอม แตะกิเลสของคนอื่นมา ยากมากค่ะ เวลาส่งการบ้านครูบาอาจารย์ ท่านเมตตาบอกว่าจิตเรายุ่งเกี่ยวกับคนมาก เป็นธรรมดาที่จะต้องยากหน่อยในการภาวนา

    ต้องฝึกจิตให้แข็งแรง จะได้ไม่จมลงไปกับเรื่องราวของคนมาดูดวง ต้องพยายามทำให้ได้กับทุกคน ไม่อย่างนั้นวันนั้นก็สอบตก พอก่อนนอนจะหมดแรงเหมือนคนวิ่งไกลหรือขับรถไกล ๆ มาเลย พอหัวถึงหมอนนอนสลบไม่รู้เรื่องถึงเช้า เช้ามาไม่อยากจะตื่นเลยเหมือนคนไม่มีแรง คนที่บ้านบอกว่า ถ้านอนอย่างนี้ เวลาไฟไหม้จะรู้ไหมเนี่ย ต้องฝึกใหม่อีก ไม่ให้จิตวิ่งตามเขามากไป ใช้พลังเยอะไป แต่ถ้าวันไหนรู้ตัวทั้งวัน นอนสามสี่ชั่วโมงยังสบายมากเลย

    บางครั้งไม่สามารถรู้ตัวเองได้เลยนะคะ เพราะมันค่อย ๆ สะสมมาทีละนิดค่ะ ผ่านไปเป็นอาทิตย์กว่าจะรู้ว่าจิตสะสมขยะพิษของคนอื่นมา บางครั้งเป็นเดือนสองเดือน ถึงจะรู้ว่าจิตไปติดกิเลสคนอื่นมาอีกแล้ว มารู้สึกตัวตอนไหนรู้ไหมคะ ตอนที่จิตทุกข์มาก ๆ ไม่ไหวแล้ว หาทางออกไม่เจอ ต้องโทรไปหาพี่ดังตฤณ ให้เคาะกิเลสให้ ดูไม่ออกค่ะว่าจิตเป็นอะไร

    วันหยุดของตัวเองไม่ค่อยไปไหนหรอกค่ะ ไปแต่วัดเพื่อกราบครูบาอาจารย์ ไม่อย่างนั้นจิตจะโดนดูดลงไปที่มืดได้ง่าย เลยต้องอาศัยทางลัดเข้าช่วยเพราะจิตของท่านสว่างไสว พอไปกราบกลับมาจะรู้สึกสว่างตามค่ะ ลักษณะของจิตใจที่ไม่เห็นจิตของตนแล้วหลงไปกับคนอื่นเช่น ลูกค้ามีเรื่องราวชีวิตที่น่าสงสารมาก และเราไม่เห็นอาการที่จิตถลำไปสงสารเขา ความทุกข์ของเขาจะแตะมาทันที ลืมแยกว่ามันเป็นเพราะกรรมที่เขาทำไว้ให้ผล สติดูไม่ทันความสงสาร จึงไปทุกข์กับเขาด้วย หรือบางช่วงเจอลูกค้ามีความทุกข์เรื่องความรัก เรื่องเงิน เรื่องงาน ชีวิตเขาเครียดมาก กระแสความเครียดที่ส่งออกมา แล้วเราไปดูใจเขา แล้วไม่ถอยกลับมาดูจิตตัวเอง ก็เรียบร้อยค่ะ สะสมของหนักต่อ

    อันนี้แค่ตัวอย่างนะคะ ของจริงร้องไห้ไปหลายตลบ จนทำให้เบื่ออาชีพนี้มาก ๆ อยากจะลาออกอยู่บ่อย ๆ สำหรับพีร์ ถ้าไม่มีหมอดูอุปการะเป็นแรงบันดาลใจ ไม่ได้เจอพี่ดังตฤณ และไม่ได้เจอหลวงพ่อปราโมทย์ท่านเมตตาสอนวิปัสสนา คงเลิกอาชีพหมอดูไปแล้ว หรือคงเป็นหมอดูที่สั่งสมบาปแบบไม่รู้ตัวต่อไป
    อาจารย์บอกว่าตอนนี้ถึงอยากเลิกก็ไม่ได้แล้ว ขึ้นหลังเสือแล้วต้องไปให้ถึง ลงกลางคันก็ตายแน่ ๆ ต้องลุกขึ้นสู้ต่อ ฝึกตัวเองให้อยู่เหนือความเบื่อให้ได้อีก แค่เล่าให้ฟังยังเหนื่อยเลยค่ะ เพราะกรรมของตัวเองหนักมากตามหลังมาติดๆเลย

    เล่าประสบการณ์การฝึกเป็นหมอดูที่เป็นสัมมาทิฏฐิคร่าว ๆ นิดนึงไปแล้วนะคะ ความจริงก็คือ การฝึกภาวนาวิปัสสนากรรมฐานเรียนรู้กิเลสของตัวเราเอง และฝึกให้เข้าใจกฎแห่งกรรมนั่นเองค่ะ ดังนั้นถ้าใครสนใจจะเป็นหมอดูที่สร้างกุศล ต้องเรียนวิปัสสนาให้เห็นกิเลสของตัวเอง ให้จิตเปิด เข้าใจการทำงานของกิเลสก่อน ต่อไปเราก็จะสามารถเห็นกิเลสของคนอื่นได้ง่าย

    หรือว่าคนไหนที่เป็นหมอดูอยู่ ต้องไม่รอช้าที่จะฝึกเจริญภาวนานะคะ ไม่อย่างนั้น จิตจะสะสมความมืดโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยคนที่เป็นหมอดูมาได้ ต้องมีซิกซ์เซ้นส์สามารถเห็นจิตคนอื่นได้บางขณะอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าได้เรียนวิปัสสนาเพิ่ม ย่อมเร็วแน่นอนค่ะ

    การที่เรารู้จักกิเลสของตัวเองอย่างช่ำชอง เราก็จะไม่เอากิเลสของคนอื่นมาปนกับกิเลสของตัวเอง คนไหนฝึกวิปัสสนาเก่ง ๆ หลังจากที่จิตเขาเปิด เวลาเขาเล่าถึงคนอื่น บางครั้งจะเป็นการเห็นลงไปที่จิตของคนอื่นก็ยังมีนะคะ บางคนพอจิตเปิดทางวิปัสสนาแล้ว จิตรับกระแสคลื่นของคนอื่นได้ด้วยค่ะ เหมือนพี่คนหนึ่งที่เคยรู้จักมา ตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยเก่งมากจิตเฉื่อย ๆ ไปเรียนวิปัสสนามาเรื่อย ๆ จนจิตสว่างขึ้นมาได้ พอไปทำงานบริษัทกำลังมีปัญหาคนในบริษัทเครียดกันทั้งบริษัท ตัวเองก็ไปทำงานแบบใจสบายไม่ได้ทุกข์กับเขาหรอก แต่พอกลับบ้านเหมือนจิตใจหนัก ๆ ทุกข์มาก ความจริงเกิดจากจิตไปรับกระแสความทุกข์ของคนอื่นแล้วไม่เห็นนั่นเอง

    ความจริงจิตมนุษย์สามารถสื่อสารกันได้โดยต้องผ่านภาษาพูด แต่เราต้องเข้าใจภาษาของจิตก่อน การเห็นจิตตัวเองบ่อย ๆ จิตจำได้ว่าสภาวะที่กำลังเป็นอยู่นั่นเรียกว่าอะไร ต่อไปเวลาคนอื่นเป็นบ้าง เราจะเข้าใจเขาได้ อย่างเช่น คนเรายังไงก็ต้องเคยโกรธคนอื่น เราก็จะจำภาษาของจิตได้ว่า โกรธ มีลักษณะร้อน ๆ ดังนั้นต่อไปเวลาที่เพื่อนเราโกรธบ้าง เพื่อนยังไม่ทันพูดเลยว่าฉันกำลังโกรธ เราก็สามารถจับกระแสเขาได้ว่าเขาเป็นยังไง หรือเราเคยเศร้า เวลาเห็นคนอื่นเขาเศร้า เขาไม่ทันพูดแค่เห็นหน้าเราก็สงสารเขาแล้ว

    หรือว่าเคยไหมคะ ที่คุณกำลังนึกหน้าคนนี้อยู่ สักพักเขากำลังโทรศัพท์มาพอดี ความจริงจิตเขากำลังนึกถึงเราทำให้คลื่นตรงกันพอดี กรณีนี้มีข้อยกเว้นสำหรับคนที่ตกเป็นทาสของความรักนะคะ เพราะอาจจะถูกความคิดถึงปรุงแต่งให้ฟุ้งซ่านไปเอง

    หลายคนอาจจะมีจิตใจที่เปิดแบบนี้นะคะ อาจจะเป็นเพราะบุญเก่าด้วย ถ้าไม่ได้เรียนวิปัสสนา ฝึกที่จะทำความสะอาดจิตตัวเองเข้าไป บางทีไปเจอความทุกข์ของคนอื่น ทั้งที่ไม่ใช่ของตัวเองก็จะกลายเป็นความทุกข์ของตัวเอง ก็สะสมขยะหนักติดตัว

    ยิ่งสังคมเมืองของเรา มีแต่คนส่งกระแสความเครียด กระแสความทุกข์ออกมาตลอดเวลา ถ้าจิตใจไม่มีสติก็ไปรับมาและจะสะสมติดตัวไป สังเกตสิคะบางทีเราไม่ทุกข์แต่ทำไมจิตเราทุกข์ บางวันเช้ามาสดชื่นมาก พอไปทำงาน ไหงตกเย็นมึนตึ้บ

    ต้องหาทางผ่อนคลายด้วยการไปเที่ยว ออกกำลังกาย สปา นวดผ่อนคลายความตึงเครียด หรือนวดแผนไทยช่วยผ่อนคลาย หรือบางคนหนักถึงขั้นต้องหาหมอจิตเวช ซึ่งความจริงถ้าได้ลองฝึกวิปัสสนา ฝึกสติ ฝึกรู้สึกตัวเอง จะทำให้เป็นเหมือนเกราะป้องกันการสะสมขยะพิษทางจิตได้ค่ะ

    มีตัวอย่างของจิตที่มนุษย์สามารถสื่อสารกันได้อีกเยอะเลยค่ะ เพื่อจะได้ฝึกเป็นหมอดูตัวเองกันก่อน ชำระจิตใจจากขยะที่เรารับมาแต่ละวัน และต่อไปค่อยช่วยคนอื่นทีหลัง ทำได้ไม่ยากค่ะ แต่ต้องอดทน วันหน้าจะนำมาเล่าให้ฟังใหม่ค่ะ เดี๋ยวจะยาวเกินไป

    ชีวิต ณ ตอนนี้ของพีร์รู้สึกเปลี่ยนไปแล้วค่ะ อยากเป็นหมอดูต่อไป ที่ผ่านมาล้มลุกคลุกคลานนับหนึ่งใหม่เป็นพัน ๆ ครั้ง ตอนนี้แข็งแรงขึ้นมาก ถึงแม้จะสะบักสะบอมด้วยกิเลส แต่ก็คุ้มมากค่ะ เพราะจิตมนุษย์มันดื้อ ต้องให้ความทุกข์ ต้องให้กรรม

    "เราสอนให้เขาละกิเลส แล้วเราล่ะละได้หรือยังเวลาที่สอนให้เขาถือศีล ตัวเองถือศีลได้ครบหรือยัง เวลาสอนให้เขาให้อภัย เราให้อภัยได้หรือยัง"

    ขอบคุณค่ะ[​IMG]

    http://dungtrin.com/mag/?35.fortune
     
  2. pawan

    pawan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +19
    หมอดูที่เรียกเก็บเงินแพงถือว่าถูกต้องไหมคะ
     
  3. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    ความเห็น

    หมอดูที่ช่วยแก้ปัญหาให้ได้ หรือเตือนสติเราได้ กี่บาทไม่แพง (...คนจะไปหารู้ราคาอยู่ก่อนแล้ว)

    หมอดูที่ช่วยแก้ปัญหาให้ไม่ได้ ไม่เตือนสติ กี่บาทก็แพง
     
  4. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  5. adisak007

    adisak007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    859
    ค่าพลัง:
    +699
    โอ้ละหนอ หมอดู..........ดูหมอ......อืม...
    หมอดู..... เป็นได้ทั้งผู้ชี้แนะ และผู้ทับถม
    บางครั้งแม้ผู้ดูเองก็ไม่รู้ว่า ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเงื่อนไขของกรรม ที่จะมาเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้มารับการดูดวงชะตาเป็นไปตามนั้น บางครั้งดี ส่งเสริมดี บางครั้งร้าย ส่งเสริมร้าย.... สุดท้ายกรรมเป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น แต่เราก็จงเป็นหมอดูที่ดี เป็นหมอดูที่มีสติ อย่าเป็นหมอดูที่ขาดสติ เป็นใช่ได้ ... เป็นหมอดูนี่ฝึกสติปัฎฐานสี่ ได้นี่ยิ่งดี เพราะเราจะมีสติ และจะรู้ว่าจะเตือนสติเขายังไง ตำรามีมากมาย แต่ดวงดาวมีไม่มากมาย บุพกรรมมนุษย์เปรียบดังพรรณไม้ ว่านพืชเช่นไร ได้รับผลเช่นนั้น ดังนั้น เมื่อเกิดมาแล้วจึงพึงได้เพียงให้น้ำที่เหมาะสม ใส่ปุ๋ยให้เหมาะกับชนิดของพืช นำไปใช้ให้ถูกกับประเภทของพันธุ์ เพียงแค่นั้น พืชนั้นก็จะมีคุณค่า
    หมอดู.......................... จะต้องเป็นผู้พึงระลึกตัวเองก่อนผู้อื่น
    เปรียบดังครูบาอาจารย์ที่พึงจะสอนศิษย์ อาจารย์จักต้องเป็นผู้รู้ดี รู้ถูก รู้ผิด รู้ชอบ รู้กว้าง รู้ลึก
    หมอดูที่เป็นหมอดู 100% เลย ท่านรู้วาระจิต ท่านรู้วาระต้องสงเคราะห์ วาระต้องวาง วาระมีกุศโลบาย ท่านรู้อดีต ท่านรู้อนาคต ท่านรู้ที่เกิด รู้กรรมที่มาแห่งเหล่าเวไนยสัตว์ แต่เราไม่เรียกท่านว่าหมอดู... แต่ท่านดูแม่นมากๆๆๆๆๆ ....
    หมอดู..... เป็นผู้ที่รับเคราะห์โดยที่บางคนไม่รู้ว่ารับเคราะห์....
    เคราะห์ที่ 1. บาปจากชาวบ้านที่มาฝากให้ บาปที่เกิดจากใจที่ขุ่นมัวที่เขาเห็นเราเป็นดังกระโถน กระโถนนี้ล้างยังไงความรู้สึกก็เป็นกระโถน
    เคราะห์ที่ 2 บาปที่เกิดจากการเสือกกรรมชาวบ้านเขา เปรียบเปรยเหมือนดังเขากำลังตีกัน ไอ้เราวิ่งเข้าไปห้ามทัพ มันก็ต้องมีลูกหลงบ้าง ไม่มากก็น้อย ไม่โดนด่า โดนหมัด ก็โดนไม้ฟาดเอา ดีไม่ดีโดนลูกปืนด้วย อันนี้ขึ้นอยู่กับโจทย์ที่เหล่าหมอดูต้องเข้าไปห้ามทัพ
    เคราะห์ที่ 3 แม้จะรู้ว่าจริงก็พูดไม่ได้ ไอ้ศีล มุสาวาทา ที่มันก็กินหัวแล้วนี่หน่ะ ... จะไปบอกได้หรือแฟนไปมีก้งมีกิ๊ก กลับบ้านไปมันตีกันตาย...ดีไม่ดีเลิกกัน ไอ้หมอนี่ก็พลอยซวย ไปด้วย ถือว่ามีส่วนร่วมซะนี่..... ฉะนั้นบางทีก็สงสารหมอดูดีๆๆ เขาน่ะ
    เคราะห์ที่ 4 วาระกฎแห่งกรรมบางอย่างช่วยไม่ได้ หมอดูบางคนไม่รู้ดันเข้าไปช่วย พอถึงคราวดวงตก ซวยสุดๆๆ ลองสังเกตุหมอดูจีนสมัยก่อน ส่วนใหญ่จะมีอาการพิกลพิการ ตาบอก มีปัญหา การเงินตอนบั้นปลาย เพราะละเมิดลิขิตฟ้า เบี่ยงเบนชะตาสวรรค์ แถมพวกนั้นไม่ค่อยทำบุญ รับเต็มๆๆใบ เลย ยิ่งบางทีวิชาจากจีนบางอย่างมีคำสาปซ่อนอยู่ ไอ้คนสอนก็ไม่รู้เรื่องก็รู้อย่างเดียวว่าได้ตำรามา ข้าเก่งข้าสอนปาวๆๆๆ พอเก่งได้ที่ ไอ้คำสาปที่บรรดาครูบาอาจารย์หวงวิชา หรือ ไม่อยากให้ศิษย์ฝืนมติฟ้า ก็เริ่มส่งผล...เฮ้อ สงสารเขาน่ะ แต่ของไทยนี่ดีหน่อย ยังรู้จักทำบุญสุนทาน ให้บุญเจ้ากรรมนายเวร เอ้อนี่ฉลาดแฮะ ใช่ได้ๆๆๆ แต่ก็ต้องระวัง เหมือนกัน บางทีมันเป็นเศษกรรมจากอนันตริยกรรม อันนี่ยุ่งไป ไม่ค่อยดีแฮะ กรรมมันแรง เอาไว้ช่วยคนปฏิบัติธรรมพอ พวกปฏิบัติทำๆๆๆ ไม่ต้องไปช่วยมันหรอกไม่คุ้ม
    เคราะห์ที่ 5 รับเงินจากชาวบ้านมา แล้วเผลอใช้หมดไม่ไปทำบุญ... เปรียบหมอเหมือนตู้ทำบุญ หมอรับแล้วไม่ไปทำบุญ กรรมมันก็ต้องเฉลี่ยกันบ้าง ถึงจะเหมาะถึงจะควร (แต่ผู้มารับการดูดวงก็ต้องดูว่าหมอดูน่ะ มีความเป็นหมอด้วยไหม เพราะแทนที่จะมาให้สบายใจพ้นเคราะห์ หาทางระวัง จะมาเคราะห์เพราะหมอมิจฉาทิฐิเอา ดังนั้น ผู้มารับการดูจึงควรมีสติด้วยเช่นกัน)
    อันนี้หมอส่วนใหญ่รับแล้วเพลิน รับมากทำน้อย รับน้อยไม่ทำ ..... ทำเถอะ...ทำมากทำน้อยต้องทำ กรรมของเขา ช่วยๆ กัน อย่างน้อยเขาก็ให้ปัจจัยเรามา เราก็ต้องทำบุญคืนเขาไป คืนให้ครูบาอาจารย์เทวดาทั้งหลายที่คอยชี้แนะ เนอะ

    บุญอันหมอดูชอบมองข้ามไป

    หมอดูเป็นผู้โชคดี ได้มีโอกาสเข้าใจกฎแห่งกรรมมากกว่าชาวบ้านเขา เพราะมีวิชาในการคำนวณฯ.... กฎแห่งกรรมได้ถูกกำหนดไว้ในดวงดาวต่างๆ ที่คำนวณออกมา ดังนั้น หมอดูควรจะมีการเข้าใจกฎของกรรมให้ดีกว่าชาวบ้านถึงจะถูก ไม่ใช่สักแต่ดู ให้ดูมันเป็นวิปัสสนาญาณไปเลย ให้มันถ่องแท้ไปเลย ว่า กรรมเป็นตัวกำหนด....
    พิจารณา สุข ทุกข์ ง่ายกว่าใคร เพราะมีแต่คนมาพูดเรื่องทุกข์ให้ฟัง สุขแล้วมันไม่ค่อยมาหรอก เวลาทุกข์มันมาถ่ายให้หมอ... หมอก็ควรมีสติ ระลึกรู้ว่าทุกข์ และสุขเป็นของคู่กัน ไม่ต้องพิจารณาเอง มีคนมาเล่าให้ฟังทุกวัน มันควรจะระลึกรู้มากกว่าปกติ เพราะไม่ต้องเอาตัวเองไปทดลองให้ทุกข์ นี่เห็นเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นคน เห็นความแปรปรวนของคน เป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง ดีแป๊บเดียว มันมาบ่นว่ามันทุกข์แล้ว ถูกหวยงวดที่แล้ว งวดนี้ไม่ถูกมันโวยวายแล้ว.... มันทุกข์ .......แต่สุดท้ายกรรมวาระก็ทำให้วิถีดำเนินไป พอท้ายที่สุด ชะตาก็ต้องพาให้เกิดการเจ็บป่วย พลัดพราก แม้กระทั่งชีวิตตัวเองก็ไม่ได้เป็นอมตะนิรันตร์กาลที่ไหน.....เป็นอนัตตา สุดท้ายมันก็สลายตัวไปในที่สุด นี่หมอดูได้เปรียบน่ะ จริงๆ แล้ว ได้เปรียบ และได้ตังส์ แต่ไม่ค่อยคิดพิจารณากันซะส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่คิดแต่ตังส์ น่านๆๆ แต่ที่คิดดีก็มีน่ะ เดี๋ยวจะงอนกันหมด เอาเป็นว่า หมอดูมีโอกาสได้พิจารณากรรมของสัตว์โลกเยอะน่ะ และเป็นวิปัสสาญาณ ด้วย แต่หมอดูจักต้องมีสติก่อน เพื่อจะได้ใช้ปัญญาพิจารณา

    หมอดู....พึงคิดว่า ปัจจัยที่เขาให้มา เหมือนให้ทุกข์มาด้วย ดังนั้น จึงควรใช้ปัญญาพิจารณา การจับจ่ายใช้สอยให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด ทั้งทางธรรม และทางโลก เราจะได้ไม่อายเจ้าของปัจจัยเขาเวลาเขาถามถึง ..... แถมได้บุญด้วย นี่ 2 เด้ง ป๊อก......
    รับมาเยอะก็ต้องพิจารณาให้เยอะน่ะ (มันเยอะต้องแบ่งไปทำให้เหมาะสม งานมันยากขึ้นให้ได้บุญทางโลก ทางธรรมให้มันครบๆ) รับมาน้อยก็ต้องพิจารณาให้เยอะเหมือนกัน (แต่มันมีน้อยแบ่งเป็นกองๆ ลำบาก ทำบุญเปรี้ยงเดียวหมดจบกัน ไม่ต้องพิจารณาเยอะอย่างไงหล่ะ เฮอะๆๆ)

    สุดท้ายแล้ว ขึ้นชื่อว่าหมอดู..... ต้องดูให้ตัวเองมีสติก่อน ดูให้เข้าใจ แล้วใช้ปัญญาสอนเขาแนะนำเขา อย่าอ่านแต่ตำราว่ากันปาวๆๆๆ ไม่งั้นเอาไว้คอมพิวเตอร์เก่งกว่าไม่รู้น่ะ ... ดูหมอทั้งทีให้มีกำไร ได้ปัญญา พิจารณา กรรมทั้งหลายของคนและสัตว์ไปพร้อมกัน ก็จะเข้าใจที่มาที่ไป เกิดปัญญากระจ่าง ถึงกฎของพระไตรลักษณ์ ถ้าพิจารณาให้ถ่องแท้เข้าไปและตีวงกว้างออกมาท่านจะรู้ถึงปฏิณจสมุปบาท.... ว่าแท้จริงแล้ว กรรมเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง...... อยากจะแก้กรรมต้องบอกว่ายากหนอ แต่ถ้าจะถ่วงดุลย์กรรม ก็พอไหวหนอ..... มันเป็นเรื่องของความพอใจของเจ้ากรรมนายเวร แต่บางอย่างก็มียกเว้น ทุกอย่างมีเฉลยอยู่ในดวงดาวทั้งหมดทั้งสิ้นเพียงแต่ต้องใช้ปัญญาระลึก รู้เห็น ถ้าได้สติปัฐฐานสี่ ก็พึงระลึกเห็นหนอ ... ในส่วนของความหมายของดวงดาว พิจารณาเรื่องราว สติมันก็จะรู้ไปโดยอัตโนมัติ...
    ฉะนั้นการเป็นหมอดูที่ดี เป็นยาก.....แต่ถ้าเป็นแค่หมอดูที่ดูเก่ง เป็นง่าย แต่ว่าถ้าอยากจะเป็นหมอดูที่ครูบาอาจารย์ท่านยอมรับจริงๆ ยากยิ่งกว่า...ปีนภูเขาชันๆ ซะอีก..... ครูบาอาจารย์ท่านเก่ง ท่านมองหน้าท่านก็รู้ว่าระจิต ท่านพินิจท่านก็เห็นวาระกรรม... ท่านจะทักไม่ทักก็อีกเรื่อง .... ไอ้เราขอแค่งูๆ ปลาๆ เอาดวงดาวเป็นแนวทางและไต่เส้นลวดไปทายทักก็พอแล้ว แต่วันไหนที่สติมันดีขึ้นก็ก็บ้างเล็กๆ น้อยก็พอ จะได้ฉลาดขึ้นมาบ้าง........
    ................................ การเป็นหมอดูใช้ตำราประกอบ ประสบการณ์เป็นตัวนำ ใช้จิตเป็นตัวช่วย สติเป็นตัวถาม ใช้ปัญญาเป็นตัวตอบ

    อยากให้มีหมอดูที่ดีๆ เยอะๆๆ หมอดูที่ช่วยคนมากกว่า....ช่วยตน.... แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีปัจจัยพอช่วยตนบ้าง ใช่ไหมเจ้าค่ะ.... สาธุ

    จาก แมงง๊องแง๊ง
     
  6. JanKaG8

    JanKaG8 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    รู้ทันจิต ดีจังเลยคะ
    ขอบคุณมากๆนะคะหมอพีร์
     
  7. kacher

    kacher เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +235
    ความเห็น

    หมอดูที่ช่วยแก้ปัญหาให้ได้ หรือเตือนสติเราได้ กี่บาทไม่แพง (...คนจะไปหารู้ราคาอยู่ก่อนแล้ว)

    หมอดูที่ช่วยแก้ปัญหาให้ไม่ได้ ไม่เตือนสติ กี่บาทก็แพง

    อนุโมทนาด้วยค่ะ...
    <!-- / message -->
     
  8. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  9. คุณจ๋า

    คุณจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +166
    เห็นด้วยค่ะ... ว่า "หมอดูที่ช่วยแก้ปัญหาให้ไม่ได้ ไม่เตือนสติ กี่บาทก็แพง" (smile)
     
  10. ลุงชาลี

    ลุงชาลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,958
    ค่าพลัง:
    +4,763
    ขออนุโมทนาสาธุครับ สาธุ สาธุ
    และเห็นด้วยกับทั้งหมดทั้งมวลครับ
     
  11. teeen2005

    teeen2005 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +610
    การเป็นหมอดูไม่ใช่เรื่องง่าย พร้อมที่จะเป็นหมอดูไหม ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2012
  12. ladycrying

    ladycrying เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    615
    ค่าพลัง:
    +781
    สาธุ...ธรรมค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...