เรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว แล้วยังไงต่อ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ณรา, 8 มีนาคม 2016.

  1. ณรา

    ณรา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +21
    20กว่าปีที่ผ่านมา รู้สึก อยากเรียนให้จบๆไป พอจบแล้วอยากทำงาน พอทำงานแล้ว ยังไงต่อ....รู้สึกเฉื่อยๆ รู้สึกไม่อยากได้อะไรแล้ว แต่ก็รู้สึกขาดอะไรสักอย่าง ทำให้ไม่มีความสุข เบื่อทางโลกที่ต้องดิ้นรนหาเงินไปวันๆ แต่มีเงินก็ช่วยคนช่วยสัตว์อื่นๆได้ พอคิดอยากลองบวชดู หาที่ถูกจริตหน่อยอาจจะดี แต่ก็คงเหมือนหมาขี้เรื้อน คันที่ตัว ย้ายไปไหนก็คัน หรืออาจจะเปรียบไม่ได้กับทุกคนเสมอไป? สับสนสงสัยไปหมด ปกติไม่ใช่นักภาวนาค่ะ แต่ก่อนสวดมนต์ทุกวัน นั่งสมาธิบ้าง หลังๆตอนสวดก็สักแต่ว่าสวด ไม่รู้สึกศรัทธา สนุกเหมือนเดิม
    อยากแก้ที่ใจค่ะ
    อยากทราบว่าอารมณ์นี้ต้องแกยังไงคะ?
     
  2. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    เมื่อไม่ใช่นักภาวนา

    เช่นนั้นแล้ว

    ลองมาหัดเป็น นักภาวนากัน


    ลองไปฟังก่อนครับ

    https://www.youtube.com/watch?v=xarygBcxRcA
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แก้โดยการ มีสติ อยู่กับปัจจุบัน อย่าฟุ้งซ่านไปในอดีตที่ผ่านมา หรือ อนาคตที่ยังไม่ถึง

    คนเรา บางเรื่อง ต้องมีกำลัง ทาน ศีล ภาวนา หรือก็คือ กำลังบุญ บารมี ส่งเสริม เมื่อถึง วาระ ถึง กาล มันก็จะต้องมีเรื่องให้ได้มาปฏิบัติ ภาวนา

    แนะนำว่า ทำ ทาน รักษาศีล และ ก็ภาวนา ครับ
     
  4. สังฆะ

    สังฆะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +35
    ดีๆๆๆรู้สึกเบื่อกับชีวิต. เรียนจบแล้ว. ทำงานหาเงินได้แล้ว. รู้สึกเบื่อ ถ้าทำเพื่อตนแล้วรู้สึกเบื่อ ลองทำเพื่อแผ่นดินบ้างใหมละครับ. เอาแรงกายเอาใจดวงนี้ เอาศรัทธาทำเพื่อชดใช้ให้กับแผ่นดินเกิด. ถ้าไม่รู้จะทำยังไงจะชี้ให้ แล้วจะรู้ว่าสิ่งที่ทำมันยิ่ง.ใหญ่แค่ไหน. มันยืนยันได้กับจิตตนว่าเราเกิดมาเป็นมนุษยในชาตินี้ไม่เกิดมาอาศัยแผ่นดินโดยเปล่าประโยชน์. สนุกสนานบนแผ่นดินไปวันๆแล้วก็ตายห้าไปโดยไม่เคยทดแทนคุณแผ่นดินเกิดเลย. เราเกิดมาชาตินี้เราได้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไว้ให้รุ่นต่อๆไป. ถึงมันจะเป็นเปลืิอกแต่เปลือกมันก็ห่อหุ้มเนื้อเยื่ออันหอมหวานส่งต่อให้รุ่นต่อไปแล้วท่านจะไม่เบื่อในชีวิตที่เกิดมาในชาติภพนี้5555
     
  5. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,651
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,019
    เข้าหาธรรมะครับคุณณรา ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้คุณณราลองไปเข้า course ปฏิบัติธรรมดูครับ ตอนที่เราปฏิบัติในสถานที่ปฏิบ้ติ เดี๋ยวคุณณราจะค้นพบเองครับว่า ต้องไปยังไงต่อ ถ้าคุณณรายังไม่อยากไป ผมอยากแนะนําให้คุณณราหันมารักษาศีล 5 สวดมนต์ และนั่งสมาธิทุกวัน แล้วแผ่เมตตา ตามนี้ครับ แต่ก่อนผมก็ไม่รู้ และไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า แท้จริงแล้ว ผมต้องการอะไรในชีวิตกันแน่ แต่ตั้งแต่ได้หันไปเรียนปริยัติธรรม และหันมาปฏิบัติธรรมในทุกวัน ผมก็รู้แล้วว่า ผมต้องการไปนิพพาน คือไม่อยากเกิดแล้ว ถ้าเรายังต้องกลับมาเกิดอีก ชีวิตเราก็จะวนเวียนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ครับ คือ เกิดมาก็ต้องเรียน เรียนจบก็ต้องทํางานจนแก่ แล้วก็ตายไปอีกชาติหนึ่งวนเวียนกันอย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้น การปฏิบัติธรรมเพื่อละกิเลสให้ได้ให้หมด แล้วไปสู่นิพพาน เป็นสิ่งที่เราควรทํา เพราะเราจะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้วครับ อันนี้ความเห็นของผมนะครับ แต่จริง ๆ ทุกคนก็ควรจะทําอย่างนี้จริง ๆ แต่อยู่ที่ใครจะคิดได้หรือไม่ได้มากกว่า แหะ ๆ ผมอยากให้คุณณราลอง download หนังสือชีวิตเป็นอย่างนี้จากใน link ข้างล่างนี้มาอ่านดูครับ ลองอ่านให้จบดูครับ แล้วเดี๋ยวคุณณราจะเห็นอะไรใหม่ ๆ ในชีวิตครับ ยังไงก็ลองอ่านให้จบก็แล้วกันครับ อนุโมทนาครับ

    ชีวิตเป็นอย่างนี้ โดย พญ.อมรา มลิลา

    http://palungjit.org/threads/ชีวิตเป็นอย่างนี้-โดย-พญ-อมรา-มลิลา.278104/
     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    อิฏฐารมณ์ คืออารมณ์อันน่าใคร่น่าพอใจ
    อนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์อันไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ
    อารมณ์ทั้ง ๒ ชนิดมีทั้งที่หลงและยังไม่ทันหลงตาม
    หยิบจับฉวยเอามาเป็นตนเป็นของ ๆ ตน ดูออกไหม
    คราวไหนที่หลงตาม หยิบจับฉวยเอามาเป็นตนแล้ว
    ไม่ผลักไสก็หน่วงเหนี่ยว หลงทะยานอยากได้สุขผลักทุกข์อยู่นั่นเอง คราวไหนไม่หลงตามก็เฉยๆ
    ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร
     
  7. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    อาจเป็นไปได้ว่าจขกท.ยังไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงภายในใจตน ค้นหามันดูครับ
    ขอให้เจอ. สาธุ !
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อย่าไป งง

    ธรรม ย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรม

    ธรรม ย่อมคุ้มครอง ผู้ประพฤติธรรม

    ธรรม ย่อมไม่ทิ้ง ผู้ไม่ทอดทิ้งธรรม

    สวดมนต์ อย่างเดิม อัดต่อเข้าไปเลย ...เขาเรียกว่า บริกรรม จนจิตมันจะ หยุดบริกรรม

    สวดมนต์ จนจิตมันอิ่ม การสวดมนต์ คำบริกรรมจะหายไป กำลังสัมผัสได้ถึง " ฌาณ4 "

    ทีนี้ คำว่า คำบริกรรมหาย มันไม่ได้แปลว่า หายไปไม่ต้องบริกรรมต่อ " จำไว้นะ อย่าทิ้งคำบริกรรม "(หลวงตามหาบัว ฝากไว้)

    คือ พอเราสวดๆ หรือ บริกรรม แล้ว จิตมันอิ่ม บริกรรมมันจะหาย
    หรือ ความพอใจ สุขใจในการสวดมันหาย หรือ สุข มันกำลังส่ง
    ต่อไป "อุเบกขาเอกัคตา(ฌาณ4)" มันจะเป็นแบบนี้แหละ

    สังเกต คำพูดคุณสิ จริงๆ คุณก็มี จิตไประลึกเห็นว่า "มันสนุกไม่เหมือนเดิม"

    ที่มันไม่เหมือนเดิม เพราะ มันเลื่อนชั้น เลื่อนขั้น จาก "สุข+เอกัคคตา"
    เลื่อนไป "อุเบกขา+เอกัคคตา"(ซึ่งไม่ต้องมา ระลึกตัวนี้ ให้ระลึกแค่
    สุข+เอกัคคตา มันเปลี่ยนแปลง มันไม่เที่ยง พอเพียงสำหรับ สาวก ทั่วๆไป )

    นะ

    สวดมนต์ต่อ แล้ว ยก สิ่งที่จิต ยกขึ้นรับรู้ได้ว่า "สุข ก็ไม่เที่ยง"

    แล้วอย่าหยุดสวดมนต์ อย่าหยุดบริกรรม

    มันจะ นิ่งหายไป ก็อย่าไป เอ๊อะ อะ ฉันบรรลุอะไรแล้ว ฤาหนอ

    เราไม่ได้ เอานิ่ง เอาเฉย โง่

    แต่จิตมันจะนิ่ง มันจะเฉย เรา " สวดมนต์ต่อ " ยังไงก็ไม่ทิ้ง บริกรรม
    เราไม่ทิ้ง กิจที่เป็นกุศล

    เราจะ อาศัย กิจที่เป็นกุศล นั้น เพื่อ ระลึกเห็น " สุข ก็ไม่เที่ยง "
    หากอินทรีย์ภาวนาดีกว่านี้ ก็จะยก อุเบกขา(ไม่สุขไม่ทุกข์) ก็ไม่เที่ยง

    เพื่ออะไร

    เพื่อ เข้าไปเห็น อริยสัจจ4 เนืองๆ

    แล้วยกเห็นอีกว่า ศรัทธา ก็ไม่เที่ยง ตรงนี้ ให้ยก ศรัทธาไม่เที่ยง
    เข้ามานะ ให้เห็นตามความเป็นจริงเข้ามาว่า มี "จลศรัทธา"

    พอยก จลศรัทธาเข้าเป็น ธงชัย นี่คือ ยกสังโยชน์เบื้องต่ำ เข้ารื้อถอน

    จนเราสวดมนต์ไม่ทิ้ง บริกรรมไม่ทิ้ง เพราะ ศรัทธาไม่ง่อนแง้นอีกแล้ว

    เราก็ กำหนดรู้ไปว่า ศรัทธาไม่ง่อนแง้นแล้ว ก็ พึงพยากรณ์ตนได้ว่า
    กิจแห่งการเป็นสาวก บุคคลคู่ที่1 คู่ที่2 มีหรือไม่มี
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทีนี้ กลับมาคำถาม

    ถ้าฟังข้างบน พอเข้าใจ ว่า จะต้อง สู้ ลุกขึ้นสู้ ไม่ทอดทิ้งธรรม

    ก็ทำงานไปตามปรกติ ดูแลครอบครัว เพื่อร่วมงานให้ดี วัตถุประสงค์องค์กร
    เป็นใหญ่ ( เป็นเรื่อง สัจจบารมี แม้นบางอย่าง จะดูหมองๆ ถ้ามี ปัญญาบารมี
    จะรู้วิธี พูด ที่ไม่ผิดศีลผิดธรรม )

    ทำงานไป ไม่บกพร่องในหน้าที่ นี่ก็เป็น การภาวนาอย่างหนึ่ง

    กลับมาบ้าน มีเวลา เหนือยแต่ไม่ถึงตาย ก็ ข้ามฝากตายบ่อยๆ
    ลุกขึ้นสวดมนต์ให้จบ แบบเดิม นี่ก็เป็น การภาวนาอย่างหนึ่ง

    เดี๋ยวก็เข้าใจเองว่า คุ้มสุดๆเลย ที่เกิดมาในชาตินี้ มีงานการทำ
    ตามอัตภาพ และ ยังได้เจอพระพุทธศาสนา
     
  10. ณรา

    ณรา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +21
    ทำยังไงคะ
     
  11. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ลองเอาไปฟังดู

    ** https://www.youtube.com/watch?v=gTsHxA9goOc

    ** https://www.youtube.com/watch?v=YC4WJPBORms**

    * https://www.youtube.com/watch?v=gTsHxA9goOc
    [แต่ก่อนสวดมนต์ทุกวัน นั่งสมาธิบ้าง]
    ก้ให้ทำต่อน่ะครับ อาการณ์ที่คุณเป็นอยู่ เป็นอาการของนิวรณ์*๕ ทำสมาธิให้จิตพบกับความสงบให้ได้อาการยังงี้จะหายไปเอง อย่าปล่อยให้จิตไหลไปตามอารมณ์ อาการเหล่านี้ใครๆก็เป็นกันคับ ไม่ว่ามนุษย์เงินเดือน หรือนศ.ที่กำลังอยากจะจบ แต่ถ้ามีธรรมะ มีศีล5 หรือมีภาวนาด้วย เขาก้จะข้ามอารมณ์พวกนี้ไปได้ ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป ทำในสิ่งที่สวนทางมันซะ หรือว่ายทวนน้ำซะบ้างจะเป็นไรที่ดีมาก จิตจะได้ไม่ตก ไม่เบื่อหน่อย เศร้าหมอง
    ทำอะไรก้จะประสบผลสำเร็จครับ และจิตมีความสุข มีกำลัง สติและสมาธิเป็นเพื่อน และต้องมีกัลยาณมิตรด้วยก้จะดีเยอะ
     
  12. ไม่มีเพศ

    ไม่มีเพศ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    134
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +66
    ก็หมั่นปฏิบัติธรรมสิครับ แล้วคำตอบมันจะผุดขึ้นมาเอง สวดมนจ์แล้วสนุกเพิ่งได้ยินคับ แต่เรื่องศรัทธาไม่ต้องกังวล จะเกิดตามมาเอง หลังจากปฏิบัติจนจิตเค้าเกิดปฏิเวธ ความสงบ ปิติ คือต้องให้เวลาจิตเค้าหน่อยคับ ความเห็นส่วนตัวนะคับ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ
     
  13. สังฆะ

    สังฆะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +35
    ตอบให้ในpm แล้วนะครับ
     
  14. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ต้องแยกความรู้สึกที่แท้จริงกับความคิดให้ออกครับ บางครั้งเราอาจจะคิดว่าเราไม่มีความสุข ไม่ชอบอะไรต่างๆ แต่พอเราออกจากความคิด อยู่กับปัจจุบัน ความรู้สึกจริงๆ ของเราจะไม่เป็นแบบนั้น ความท้าทายอยู่ที่บางเรื่องเราคิดปรุงแต่งซ้ำๆ ว่ามันไม่ดี ตอบสนองว่ามันไม่ดีจนเคยชิน ออกจากความคิดได้ยาก แต่เมื่อระลึกได้ลองออกจากความคิด อยู่กับปัจจุบัน เราก็จะเข้าใจว่าเราไม่ได้รูสึกอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่คิดไปเอง ถูกความคิดปรุงแต่งที่คล้ายความรู้สึกหลอก ถ้าเป็นความคิดมันจะย้อนไปหาเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกันที่ผ่านมา หรือเหตุการณ์ที่คนอื่นเคยว่าควรจะตอบสนองยังไง แล้วก็ตอบสนองไปตามนั้น เหมือนคนที่เคยถอนฟันก็จะกลัวเวลาที่ถูกถอนฟันถึงความรู้สึกจริงๆ มันจะไม่เจ็บเลย ยิ่งเป็นสิ่งที่เรามองว่าไม่ดี คนอื่นมองว่าไม่ดีเราก็จะยิ่งวางความคิดปรุงแต่งและอยู่กับปัจจุบันยากแต่ต้องลองดู
     
  15. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เป็นความคิด คือ เป็นอารมณ์ชั่วขณะๆหนึ่งๆ

    เบื้องต้น ปรับความคิดเรื่องหยาบๆดูก่อน ตย. เออหนอ เราเรียนจบแล้วทำงานแล้ว หน้าที่ต่อไปของเรา คือ เลี้ยงดูพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามาจนเติบใหญ่ ส่งเสียให้ศึกษาเล่าเรียนจนจบมีการมีงานทำ ถึงทีเราจะต้องเลี้ยงท่านตอบแทนตอบแทนบ้างแล้ว (ก็ว่าไปตามฐานะ) วันหยุดก็พาท่านไปเที่ยวที่ที่ท่านอยากไป จะไปวัดไหว้พระ ปิดทอง (อะไรก็ว่าไป)

    มองด้านลึก ถึงตัวจิตตัวความคิด ก็อย่างว่าข้างต้น มันเป็นอารมณ์ชั่วขณะหนึ่งๆ ซึ่งไม่คงที่คงทนเปลี่ยนแปลงได้ตามธรรมดาของมัน แต่ปัญหาเกิดตรงที่ เมื่ออารมณ์นั้นๆเกิดแล้ว เราไปยึดความรู้สึกนั่นๆไว้

    ตัวอย่างเทียบ สมมุติว่า เรานั่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสายหนึ่ง แลดูกระแสน้ำที่ไหลผ่านไปๆ แต่ความคิดมาสะดุดกับวัตถุอย่างหนึ่งที่ลอยมากับกระแสน้ำนั้นเข้าด้วย

    แม้กระแสน้ำจะพัดพาสิ่งนั้นไปกับมันด้วยแล้ว ผ่านสายตาเราไปแล้ว แต่ใจเรายังคิดพะวงต่อสิ่งนั้นอยู่ วางใจไม่ลง เพียรถามตนเองอยู่ว่า อะไรๆ ฉันใดฉันนั้น

    ถามวิธีแก้ ก็คือขณะนั้นๆ เป็นยังไง รู้สึกยังไง ทั้งทางกาย ทางใจ พึงกำหนดรู้ (ว่าในใจ) อารมณ์นั้นๆทุกๆขณะ ตามที่สภาวะมันเป็นของมัน ฝึกทำบ่อยๆ สักวันหนึ่งก็จะเห็นด้วยตนเองว่า ความคิดความรู้สึกที่เล่าๆมา มันเปลี่ยนแปรเป็นอื่นๆไป
     
  16. mangathai

    mangathai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2015
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +11
    ทำไมมันจักจี้หัวใจจังเลยคับ ขำเลย:mad:
     
  17. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    เมื่อก่อนผมก็เป็นนะ เอาจริงๆมันก็ข้ออ้างของความขี้เกียจ แบบเบื่อกับการต้องตื่นเช้าไปทำงาน รถติด วุ่นวาย ทำนองนี้

    จริงๆหรอครับ ที่ไม่อยากได้อะไรแล้ว ? แล้วไม่มีภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแลหรอครับ เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ?

    ทำงานไปก็ถือซะว่า ฝึกวิริยะ ฝึกขันติ ก็ได้นะ หรือฝึกมีสติรู้กับสิ่งต่างๆที่เข้ามากระทบในแต่ละวันๆๆ แล้วก็ดับไปๆๆ
    ดีกว่าไปนั่งนิ่งๆเฉยๆ เงียบๆ สงบ สบาย ไม่มีอะไรมากระทบแบบเหมือน อายตนะบอด
     

แชร์หน้านี้

Loading...