ปกติคนเราใช้อภิญญาดูช่วงเวลาที่พบคู่แท้ได้ไหมครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ponravit20, 31 มกราคม 2016.

  1. ponravit20

    ponravit20 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +30
    เคยมีคนทักเกี่ยวกับคู่แท้ผม จะมีคนเดียว ซึ่งบอกลักษณะตรงกันหลายคน (แต่ก็มีคู่เทียมเยอะ)

    ปัญหาที่ผมสงสัยคือ ช่วงเวลาที่เจอครับ บางคนก็บอกอายุ 30+ บ้างก็บอกไม่ถึง

    ผมสงสัยว่า ของแบบนี้มันดูช่วงเวลาได้ไหมครับ ว่าจะเจอกันตอนไหน
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    อยู่ที่กาล เวลา เจอแล้ว แต่ไม่จับคู่ หมดกาล ก็ทางใครทางมัน
     
  3. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    น่าจะได้นะ มาเริ่มฝึกกันดีกว่า
     
  4. ponravit20

    ponravit20 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +30
    แล้วคนธรรมดาที่มีเซ้นสามารถรู้ช่วงกาลเวลาได้ไหมครับ เพราะ ผมคิดว่ากรรมเป็นคนจัดสรรซึ่งไม่น่าจะมีใครรู้ได้ แต่ผมคิดว่าคนที่รู้ได้แน่ชัดมีท่านเดียวคือ พระพุทธเจ้า
     
  5. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ไม่ใช่ครับ คนธรรมดาก็รู้ได้ การหยั่งรู้อนาคตเป็นเรื่องที่คนธรรมดาหยั่งได้

    กรรมจัดสรร เป็นเรื่องผลสรุปรวมของวิบากกรรมทุกด้าน แต่ยังอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม คือ กรรมใหม่ที่อาจทำได้ตลอดเวลา และพร้อมจะทำให้กรรมจัดสรรเปลี่ยนแปลงได้ พุทธศาสนาไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิต พระเจ้ากำหนด ฟ้าบันดาลที่ทุกอย่างถูกกำหนดอย่างตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่อาจเปิดเผย

    กรรมเป็นเรื่องรู้ได้ตามอินทรีย์ของคนๆ นั้น และการฝึกฝนของเค้าด้วย อนาคตจึงเปลี่ยนแปลงได้เพราะการกระทำของคนในปัจจุบัน พุทธศาสนาจึงมุ่งที่การฝึกฝนจิตและกระทำกุศลตลอดเวลา ในพระไตรปิฎกจึงมีคำสอน คำกล่าวในเชิงว่า ถ้าบุคคลคนนั้น ไม่ทำกรรมอันนั้น แล้วมาฟังธรรม บุคคลคนนั้นอาจบรรลุโสดาบัน พระอริยะระดับต่างๆ หรือบรรลุพระอรหันต์ กรรมอันนั้นห้ามเฉพาะอนันตริยกรรมทีี่ห้ามทางประเสริฐ แต่ไม่ห้ามทางอื่น เช่น พระเจ้าอชาตศัตรูฆ่าบิดาแล้วต้องตกนรกอเวจี แต่เมื่อทำบุญต่อพุทธองค์และศาสนามากมายจึงตกเพียงโลหกุมภี ดังนั้น ใครก็ตามไม่ได้ทำอนันตริยกรรม หากทำกรรมกุศลที่มีแรงมากกว่าวิบากกรรมเก่า กรรมจัดสรรก็เปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่ามาก

    ดังนั้น ถ้าบุคคลใดไม่ได้ทำอนันตริยกรรมในอดีตชาติอันใกล้หรือให้ผลเบาบางแล้วและปัจจุบันไม่ได้ทำ บุคคลนั้นมีศักยภาพที่จะบำเพ็ญเพียรจนถึงแก่การมีญาณ อภิญญาได้ทั้งสิ้น จะช้าจะเร็วอยู่ที่อินทรีย์ที่สะสมมา จึงอาจหยั่งรู้ได้เหมือนพระโมคคัญลานะที่หยั่งรู้ว่าจะมีคนฆ่าเพราะบุพกรรมที่ทุบตีบิดามารดา เพียงแต่เป็นอนัตริยกรรมจึงไม่อาจหลบหนีได้ แต่หากเป็นกรรมอื่นล้วนทำกุศลที่แรงกว่าได้ (กรรมสาธารณะแม้ไม่ใช่อนันตริยกรรม ก็มีกรรมแรงมาก หากไม่ทำกุศลกรรมแรงๆ ก็ไม่รอด เช่น อดีตชาติเหล่าชาวเมืองกบิลพัส เทยาพิษในแม่น้ำ ขนาดเป็นพระโสดาบันก็ไม่รอด ประกอบกับท่านเหล่านั้นไม่ขวนขวายอภิญญาด้วย ไม่เข้าฌาณสมาบัติด้วย จึงหนีไม่ได้อย่างพระโมคคัญลานะ ที่หนีได้สองครั้ง แต่ครั้งที่สามพระโมคคัญลานะ เห็นว่ากิจตนสมบูรณืแล้ว ก็ไม่รู้จะหนีทำไม เพราะว่าพระอรหันต์ไม่อาลัยในชีวิต แต่ทำกิจเพื่อศาสนาเท่านั้น)

    ความจริงไม่สำคัญในเรื่องที่เราจะรู้ว่าจะรับวิบากกรรมใด แต่สำคัญคือ เราจะเปลี่ยนแปลงหรือบรรเทาผลวิบากกรรมยังไงต่างหาก เพราะปัญหาหลักอยู่ที่ กิเลส นิสัยของเรา ซึ่งคนโดยทั่วไปยากที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัย ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงผลกระทบที่เกิด อุปมา ตัวเราเป็นแค่ถ่านสีดำที่ไม่อาจสะท้อนแสงได้ดีเท่ากระจก เมื่อเราเกิดมาในถ้ำมืดแม้แสงจะส่องมาเราก็เป็นแค่ถ่านสีดำที่ผสมไปกับความมืด แต่ถ้าเราเป็นกระจกใสเมื่อมีแสงเข้ามา ถ้ำก็สว่างสไว

    ดังนั้น จึงอยู่ที่เราจะทำกรรมของเรายังไง ภายใต้วิบากกรรมอะไร ถ้ามีกรรมหนัก แต่เราทำแต่อาจิณกรรมเบาๆ ก้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงกรรมจัดสรรได้ พุทธศาสนาสอนว่าจิตที่บริสุทธิ์ กรรมก็บริสุทธิ์ ยกตัวอย่าง พระอินทร์หนีกองทัพอสูร ไปทางป่างิ้วดงลูกครุฑ แต่ตัดสินใจหันกลับไปทางกองทัพอสูรที่ตามล่ามา โดยทำใจยอมรับวิบากกรรมที่จะพ่ายแพ้และถูกจับ เพราะไม่ปรารถนาให้ล้อรถเทพบดขยี้ฆ่าลูกครุฑเหล่านั้นทั้งป่า (มีพระองค์กับสารถีเทพเท่านั้น) แต่กรรมก็ให้ผลใหม่ทันที กลายเป็นว่ารัศมีพระองค์โชติช่วงกว่าเดิม จนอสูรเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระอินทร์จากอีกจักรวาลมาช่วย จึงพากันหวาดกลัวและหลบหนีไป

    กรรม จึงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ รู้ได้ ด้วยกรรมดีของเรานั้นเอง โดยเลือกทำกรรมดีหนักๆ ไว้ พระท่านจึงให้หมั่นสวดมนตร์ ทำสมาธิสมถะวิปัสสนาเสมอ เพราะเป็นกรรมที่ให้ผลก่อน เป็นกรรมหนัก(ถ้าถึงฌาณและวิปัสสนา) และเป็นอาจิณด้วย(ทำสม่ำเสมอให้ผลก่อน)
     
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ใช้อภิญญาเพื่อกามคุณ ระวังเสื่อม ของตรงข้ามมันไปกันไม่ได้
     
  7. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ถ้าแค่ชาตินี้ไม่ต้องคนก็รู้ได้
    สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ก็รู้ได้
    พระพุทธเจ้าท่านดูได้เป็นล้าน ๆ กัปป์
     
  8. ponravit20

    ponravit20 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +30
    เคยมีพระสายป่าองค์นึงท่าน บอกกับผมไว้ครับ ว่า การดูดวงมันเป็นศาสตร์ บ้างก็คือการดูอดีตกรรมที่ผู้นั้นเคยทำ แล้วก็ทำนายจากผลกรรมในอดีต

    แต่ถ้าเก่งขึ้นมาหน่อยคือมี อนาคตตังสญาณ ซึ่งที่คนธรรมดาไม่ค่อยมี เพราะ พอมีแล้วชื่อเสียง ลาภ จะเข้ามาแล้วมักจะหลงไปกับจนเสื่อมครับ พอเสื่อมไป ปฏิบัติเพื่อ"อยาก"ได้กลับคืนมานิ ไม่ได้แน่นอนครับ ท่านจึงบอกว่า ยากมากที่จะมีอภิญญาแล้วเป็นปถุชนธรรมดา นอกจากนี้ ถ้ายังมีกิเลสก็ยังไม่รู้ว่าอันไหน นิมิตจริง นิมิตหลอก เพราะบางทีใจเรามันอยาก แล้วสร้างภาพขึ้นมาเองก็ได้ครับ

    ด้วยเหตุผลข้างต้นนี่ ทำให้ผมบอกว่า ไม่น่าจะมีใครรู้ได้แน่ชัด บางทีอาจ 90 % แต่ก็ยังไม่ชัด เพราะอาจเป็นนิมิตหลอกได้ (ขอใส่พระอรหันต์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้เข้าไปด้วยครับ เพราะท่านหมดกิเลสแล้ว ไม่น่ามีนิมิตหลอกๆ)
     
  9. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ กับ อนาคตตังสญาณ ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

    ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ไม่ใช่การดูกรรมเก่า ไม่ใช่ อตีตังญาณ ไม่ใช่อนาคตตังสญาณ พุทธศาสนาจึงไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยว ไม่ใช่ว่าไม่แม่นยำแต่จวบจนทุกวันนี้ เรายังไม่ทราบเลยว่า หลักการของศาสตร์เหล่านี้มาจากอะไร เพราะเป็นสิ่งปรัมปราไปแล้ว ศาสตร์เหล่านี้เมื่อเข้าไปถึงศึกษาแล้วจะพบว่ารหัสนัยต้องอาศัยการตีความของผู้ดูเป็นสำคัญ ซึ่งผู้ดูก็อาศัยการดูจากบุคคลที่มาดูหรือข้อเท็จจริงต่างๆ ในปัจจุบันประกอบ ศาสตร์นี้จัดเป็นศิลปะเพราะเจอสภาพการณ์อย่างเดียวกันก็อาจตีความได้หลายนัย ตัวอย่าง การทำนายลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ เหตุใดเจ็ดคนทำนายคติสองทาง แต่เหตุใดท่านโกณทัญยะทำนายคติทางเดียว ซึ่งมีการกล่าวว่าเพราะท่านโกณทัญยะสะสมบารมีมามากจึงมีปัญญามาก ดังนั้น จะเห็นว่า การทำนายขึ้นอยู่กับผู้ทำนาย

    ศาสตร์แห่งพยากรณ์ พุทธศาสนาไม่ให้ข้องเกี่ยวอีกประการเพราะ ศาสตร์เหล่านี้ไม่ได้บอกทางแก้ ไม่มีวิธีแก้ สังเกตว่าวิธีแก้ที่หมอดูปัจจุบันแนะนำ นั้น ประยุกต์เอาคำสอนทางพุทธศาสนาไปจับ เหมือนพราหมณ์ที่เอาคำสอนพุทธศาสนาไปประยุกต์ความเชื่อดั้งเดิมของตนจนกลายเป็นศาสนาฮินดู ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ปรากฏเป็นวิชาสืบทอดของวรรณะพราหมณ์ แต่เดิมศาสตร์เหล่านี้ ไม่เคยสอนทางออก ยิ่งกว่านั้น ไม่มีเหตุผล ไม่กล่าวถึงเหตุปัจจัยแห่งธรรมทั้งปวง ไม่กล่าวถึวกฎแห่งกรรม ไม่กล่าวถึงกระบวนการของ กิเลส กรรม วิบาก ไม่กล่าวถึงมรรคและผล ตั้งอยู่บนฐานว่า สืบทอดกันมา การทำนายไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเป็นพรหมลิขิต ดูตัวอย่าง การทำนายของพิเภกที่ทำนายว่านางสีดา จะผลาญวงศ์ยักษา จึงแนะนำให้ประหารชีวิตทารกหญิง แต่ทศกัณฑ์ไม่อาจหักใจฆ่าได้ จึงใส่ผอบลอยน้ำไป ซึ่งการแนะนำอย่างนี้ เป็นการที่ไม่อาจแก้ปัญหาได้ ภายหลังการลักสีดาก็เป็นเหตุให้มีสงครามล้างวงศ์ยักษ์ทศกัณฑ์ (การนำทารกใส่ตะกร้าหรือผอบลอยในแม่น้ำ ไม่ได้มีเจตนาฆ่า แต่เจตนาให้คนอื่นเลี้ยง ซึ่งจะเห็นว่า ชาวบ้านมาที่แม่น้ำตอนเช้าแทบทุกครัวเรือน ดังนั้น คาดหมายได้ว่า ลอยไปก็มีคนเก็บเลี้ยง) จะเห็นว่า การแนะนำให้ประหาร ไม่มีกล่าวในตำรา แต่เป็นผู้พยากรณ์ที่คิดเอาเอง ทั้งที่ ต้นเหตุตามท้องเรื่อง เป็นเรื่องกิเลสในกาม การผิดศีล (การแย่งชิงเมียชาวบ้าน) ซึ่งหากพิเภกเอ่ยให้ทศกัณฑ์ หรือบิดาของทศกัณฑ์รับศีล รับธรรมก่อนเป็นกษัตริย์ หรือรับสัจจะว่า จะไม่ผิดศีล ๕ ประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ตลอดการเป็นราชา ไม่มีทางเกิดสงครามเพราะนางสีดาได้เลย แต่เพราะพิเภกไม่ตักเตือนตรงๆ ตั้งแต่แรก จนทศกัณฑ์เป็นราชาประพฤติผิดศีล ผิดธรรมตลอด ก็ต้องรับวิบากกรรมนั้นเอง

    ดังนั้น ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ จึงไม่จำเป็นสำหรับมนุษย์เลย ถ้ามนุษย์เข้าใจสัจธรรมของพุทธองค์ ไม่ต้องเสียเวลาดูหมอดู ถ้าเราเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องกิเลส กรรม วิบาก เรื่องปัจจัยยาการ

    ที่เคยกล่าวว่า การหยั่งรู้อนาคตเป็นเรื่องที่คนธรรมดาหยั่งได้ หมายถึงการหยั่งรู้อดีตก็เป็นเรื่องที่คนหยั่งรู้ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องศาสตร์แห่งการพยากรณ์ แต่คนที่เป็นหมอดูต้องใช้ธรรมชาติแห่งการหยั่งรู้ที่มีในตน ช่วยในการทำนาย แต่นั้นไม่ใช่ ญาณรู้อดีตอนาคต

    ที่กล่าวว่า การหยั่งรู้อนาคตเป็นเรื่องที่คนธรรมดาหยั่งได้ เพราะในพระไตรปิฎกมีกล่าวตอนหนึ่ง มีพราหมณ์พบพระพุทธองค์ ก็พูดประมาณว่า พ่อหายไปไหนมา ไม่กลับบ้าน แม่ของเจ้า พี่น้องของเจ้าคิดถึงเจ้าอยู่ ซึ่งพระภิกษุที่ติดตามก็ทูลถามประมาณว่า พราหมณ์นี่ ยังไงกัน มาทักประหนึ่งว่าเป็นบิดามารดาของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าอดีตชาติที่เคยเกิดเป็นพ่อแม่ลุกกันกว่า ๑๕๐๐ ชาติ (ถ้าจำไม่ผิด) ดังนั้น จะเห็นว่า ชาวบ้าน ปุถุชนคนธรรมดา ก็มีอตีตังสญาณได้ ในทางกลับกัน ในพระไตรปิฎกเองก็มีหลายตอนที่ตอนนั้น ไม่มีพุทธศาสนาก็ยังมีคนร้องให้น้ำตานองหน้าว่า เสียดายเราพลาดทางประเสริฐ เพราะต้องตายก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็เป็นอนาคตังสญาณ

    ญาณเหล่านี้ ปุถุชน มีได้ ทำให้มีได้ รักษาไว้ได้ ตราบที่รู้จักวิธีรักษาฌาณ ซึ่งก็คือการรักษาจิตของตนให้บริสุทธิ์ในระดับหนึ่งที่ไม่ถึงต้องเป็นพระอริยะเลย
    ทั้งนี้ เมื่อรู้วิธีรักษาฌาณ แล้ว นิมิตหลอก ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องกลัวในระดับปุถุชน

    แต่ฌาณเหล่านี้ ไม่ใช่ฌาณในพุทธศาสนา เพราะทิศทางไม่ได้มุ่งวิปัสสนา และหากมุ่งวิปัสสนา แล้วนิมิตใดๆ ก็หลอกไม่ได้ เพราะการวิปัสสนา คือ การเห็นอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะ ซึ่งมีอารมณ์คลายการยึดมั่นถือมั่น ไม่ไช่ไปยึดมั่นในญาณหยั่งรู้ แต่ญาณหยั่งรู้เป็นเครื่องมือพิจารณาสัจธรรมเท่านั้น ใช้เสร็จก็ทิ้งไปได้เลย ถ้าใช้ไม่เสร็จ ก็ใช้เท่าที่ใช้เท่านั้น ไม่ใช่ก็วางไป

    ที่กล่าวว่า ไม่น่าจะมีใครรู้ได้แน่ชัด บางทีอาจ 90 % ในพระไตรปิฎกก็มีคนนอกศาสนารู้ชัดและเทียบการหยั่งรู้กับพุทธในบางกรณีถึงระดับ ๑๐๐ % แต่ยังไง ซึ่งแม้เค้าจะถือดีในความหยั่งรู้ว่าไม่ด้อย หรือไม่ผิดไปจากที่พระพุทธเจ้ารู้ แต่เค้าก็ไม่พ้นทุกข์เพราะไปยึดติดในความหยั่งรู้ การหยั่งรู้นั้นไม่มีประโยชน์อันใดนอกจากรู้ ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงหรือจรรโลงโลก หรือเป็นการโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ อย่างที่พระพุทธองค์ทรงพระกรุณาโปรดสรรพสัตว์โดยพระญาณ โดยในตอนเช้าพระองค์จะส่องญาณหยั่งรู้อนาคตว่า บุคคลใดอยู่ในข่ายตรัสรู้

    การที่เราจะรู้อะไรในอนาคต ถ้าไม่เป็นไปเพื่อความรู้แจ้ง การเกิดของวิปัสสนาญาณ หรือเพื่อโปรดสรรพสัตว์ อาจเป็นการสงเคราะห์ญาติพี่น้อง เพื่อน มิตร การหยั่งรู้นั้นก้เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ไม่ใช่การหยั่งรู้ในศาสนาพุทธนี้
     
  10. แสงอุ่น

    แสงอุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,036
    ถ้ามีก็ลองทำดูไม่เสียหลาย ถ้าไม่มีทำยังไงจึงจะมี บางท่านอาจจะมีแล้วแต่ไม่อยากทำ
     
  11. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ถ้าจะให้ช่วยพิจารณานะ
    เราว่า..เทียมก็จะเจอและก็เกิดการประลองกิเลสอย่างสนุกสนานว่า....วางไม่วางดี...อืมน่าลอง
    แบบยั่วยานกิเลสสุดๆ

    ถ้าคู่แท้ถ้าเจ๋งไม่จริงก็ไม่รอด..อันนี้หลุดยากยิ่งอฐิษฐานด้วยกันมาก็โปะเช๊..ตายไม่ตายดี
    ขำๆคะ
     
  12. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    มันมีคนบางประเภทนะ
    ของเก่าตรูตรูเก็บแบบฟาดเรียบ
    ไม่ให้ใครพอสำเร็จเสร็จสรรพก็
    ขอเลือกแบบสำเร็จรูป
    ไอ้ที่ลองไปแล้วก็เททิ้งเพราะผ่านการเป็นขยะไปแล้ว...เธอก็ไปทดสอบความเป็นคนกันเอาเอง...ตัวใครตัวมันก็มีเยอะคะ...
     
  13. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095

    ว่าแต่ไม่ลงประสบการณ์ตรงไว้เป็นวิทยาทานสักหน่อยหรือครับ...ทำนองว่าสาวผิวขาวผมสั้นหยักศกในครั้งกระนั้นผ่านบททดสอบความเป็นคนสู่ความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?
     

แชร์หน้านี้

Loading...