ไดโนเสาร์ กับ พระพุทธศาสนา

ขออนุโมทนากับโพสท์ของคุณ paetrix สำหรับผู้ที่ตัดได้ ส่วนผู้ที่ตัดไม่ได้ลองค้นประวัติของการ "เปล่งสีหนาท" ดู โดยเฉพาะคำว่า "พญาสัตว์" นั้น อาจให้คำตอบสำหรับผู้ที่ยังติดอยู่ได้ พยายามอย่าปรุง เอาเป็นแค่เสริมความรู้ก็พอ นะครับ

 

คิดเล่นๆก็มีแต่ทฤษฎี ที่คิดเอาแต่ละบุคคลก็มีคนละแบบ(เดาเอามากกว่าหลักฐาน)ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น สรุป ก็หาความแน่ชัดที่ชัดเจนไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ "นานาจิตตัง"
พระพุทธเจ้าเลยไม่ทรงตรัสในเรื่องของการกำเหนิดโลกเดี๋ยวคนก็ตั้งแง่ตั้งมุมไปต่างๆนาๆ
คือ จะยุ่งกันเขาไปใหญ่เถียงกันไปเถียงกันมาเผลอๆอาจจะมาปรามาสพระพุทธเจ้า คราวนี่จะซวยกันไปใหญ่โดยใช่เหตุที่สมควรไม่ ไม่ใช่เหตุของการบรรลุมรรคผลรั้งมีแต่จะเกิดโทษเหตุของการตกนรก พระพุทธเจ้าจึงทรงไม่ตรัส ตรัสแต่เพรียงว่าเป็น อจินไตร
สิ่งที่ไม่สมควรรู้ คิดเล่นก็คิดได้แต่ให้ระวังๆก็ดีนะ แฮ่ๆๆตัวเรา(ผม)เองก็ยังฟุ้งซ่านคิดไปทั่วเหมือนกัน แต่ก็จะคอยๆระวังในสิ่งที่พระท่านห้ามในฐานะผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ใช้สติ ปัญญาแยกแยะ พิจารณา เหตุและผล ที่สมควรตามความเป็นจริง ในหลักธรรม นั่นอาจจะเป็น
สิ่งที่พระท่านต้องการก็ได้ เมื่อพิสูจหลักเหตุผลตามธรรมะของพระพุทธองค์ท่านแล้วอะไรล่ะเป็นสิ่งที่เราปรารถนาอีกนอกจากนิพพาน
ความรู้ก็อาจพุดๆๆๆขึ้นมาเองก็เป็นได้ หรือ ใช้ อตีตังสญาณ ย้อนดูก็มี ในแบบฝึกกรรมฐานพิสูจได้เนอะ เชื่อเถอะถ้าทำได้จริงๆในสิ่งที่พระท่านต้องการสิ่งเหล่านี้มันจะจืดลงไปเองไม่คิดยากจะรู้ด้วยซ้ำไป เพราะทุกยุคทุกสมัยมันมีแค่ทุกข์เนอะ แฮ่ๆเอาสะยาวเลยตัวเราเองก็ไม่ใช่ผู้รู้อะไร ยังปึกๆดาดๆอยู่ แค่เป็นห่วงท่านๆผู้ปฏิบัติในเรื่อง อจินไตร เท่านั้นไม่มีสิ่งอื่นใดแอบแฝงเลย
ขอทุกๆท่านพิจารณาให้ถ้วนถี่เถอะนะ ขอฝากเอาไว้เผื่ออาจจะเป็นประโยชน์

 

ยุคไดโนเสาร์ก็เป็นช่วงเวลาหนึ่งของโลกใบนี้ ถ้าจะบอกว่าเป็นรอยต่อของพุทธันดรของพระกัสสปะและพระโึคดมพุทธเจ้าก็ได้ แต่รอยต่อนี้ยาวนานมากกว่าที่ท่านคิดไว้มาก ยุคของศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้าโลกมนุษย์นั้นถูกทำลายจากภัยพิบัติที่มาจากอวกาศ ส่วนยุคของพระโคดมพุทธเจ้าที่เราอยู่นี้ มวลมนุษย์จะถูกทำลายโดยภัยสงครามรบราฆ่าฟันกันไปทั้งโลกหรือที่เรียกว่ามิคสัญญี
ส่วนที่ว่าทำไมยุคไดโนเสาร์จึงมีแต่สัตว์เดรัจฉานไม่มีมนุษย์เลยหรือ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ว่าในยุคที่โลกเสื่อมไปจากศีลธรรมโดยสมบูรณ์ ร่างกายมนุษย์มันก็จะผิดปรกติไปจากที่เราเป็น อย่างในยุคนี้เมื่อผ่านไปนานนาน มนุษย์ก็จะร่างเล็กลงไปเรื่อยจนต้องสอยมะเขือกิน ความสูงของมนุษย์จะประมาณแค่ศอกเดียว รูปร่างหน้าตาก็จะพิกลไม่เหมืิอนมนุษย์ตอนนี้เลย ถ้าเราไปเห็นก็อาจไม่รู้เลยว่านั่นคือมนุษย์คงคิดว่าเป็นสัตว์อะไรสักตัว แต่สัตว์นั้นที่ยังกำหนดว่าเป็นมนุษย์เพราะว่ามีธรรมของมนุษย์อยู่ ซึ่งสัตว์เดรัจฉานอื่นไม่มี ก็ทำนองนี้

 

พูดกันมาตั้งนานผมสรุปตรงนี้เลยคือคุณรู้ได้อย่างไรว่าในยุคที่มีพวกไดโนเสาร์อยู่นั้นมันไม่มีมนุษย์ มันอาจจะมีมนุษย์เกิดร่วมอยู่ด้วยก็ได้ อย่าคิดว่าเมื่อไม่เห็นไม่มีกระดูกไม่มีฟอสซิลของมนุษย์อยู่แล้วจะไม่มีมนุษย์ ด้วยกาลเวลาอันยาวนานกระดูกและฟอสซิลของมนุษย์และข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ มันอาจจะสูญสลายเปลี่ยนแปลงสภาพไปเป็นดินเป็นหินและไม่เหลือเป็นเค้าโครงรูปร่างเดิมเอาไว้ให้ดูเลยก็เป็นได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สำคัญที่สุดคือเรื่องอจินไตยทั้งหลายที่มันคิดแล้วไม่มีประโยชน์อะไรก็อย่าไปคิดมันเลย เอาว่าตอนนี้ปัจจุบันนี้ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้เราคิดและเราทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นบ้างคิดทำอย่างนี้ดีกว่า

 

ยุคไดโนเสาร์เป็นช่วงรอยต่อนั่นแหละครับ เป็นช่วงสุญญากาศยังไม่มีพระพุทธเจ้า แต่ถ้าจะตอบว่าเป็นยุคของพระพุทธเจ้าองค์ใด ผมคิดว่าเป็นยุคของพระพุทธเจ้าโคดมองค์ปัจจุบัน โลกใบนี้จะต้องถูกทำลายเสียก่อน แล้วโลกใบใหม่ที่จะก่อเกิดพระพุทธเจ้าองค์ใหม่จึงค่อยถือกำเนิดขึ้นภายหลัง ดังนั้นยุคไดโนเสาร์จึงเป็นยุคของพระพุทธเจ้าโคดม

เหตุใดยุคไดโนเสาร์จึงมีแต่สัตว์เดรัจฉาน?
- ตอบด้วยวิทยาศาสตร์ง่ายๆเลยครับ สิ่งมีชีวิตต้องมีการวิวัฒนาการ ซึ่งมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาการมาถึงขั้นสูงสุดแล้ว จากที่โลกเริ่มถือกำเนิดขึ้นยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ แบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อต่างๆได้วิวัฒนาการตนเองเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาจนเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งตอนนั้นไดโนเสาร์คือผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ตราบใดที่ยังมีไดโนเสาร์มนุษย์จะไม่มีวันได้ถือกำเนิดและวิวัฒนาการมาได้ ผมเชื่อว่าเหตุอุกกาบาตตกนั้นมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องของกรรมของเหล่าสรรพสัตว์ที่จะต้องพบ
- นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เคยพบเจอซากฟอสซิลของมนุษย์ในยุคไดโนเสาร์เลยครับ ถ้ายุคนั้นมีมนุษย์จริง มันก็ต้องมีหลักฐานอย่างซากฟอสซิลหรือร่องรอยอารยธรรมบางอย่างให้เห็นบ้าง การจะพูดเอาง่ายๆว่ามันอาจจะมีมนุษย์ แต่เราไม่พบหลักฐานเอง อย่าพูดแบบนี้ดีกว่าครับมันไม่มีประโยชน์อะไร เป็นการพูดแบบกำปั้นทุบดินเท่านั้น

กัปนี้ คือภัทรกัป คือมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ 5 พระองค์ ไม่ได้หมายความว่าทั้ง 5 พระองค์นี้จะมาเกิดอุบัติที่โลกใบนี้ใบเดียวนะครับ เนื่องจากอายุขัยของมนุษย์ในแต่ละยุคจะมากน้อยไม่เท่ากัน มนุษย์ที่อายุยืนน่าจะตัวใหญ่กว่ามนุษย์ที่อายุสั้น ดังนั้นดวงดาวที่จะมารองรับมนุษย์ตัวใหญ่ๆได้นั้นก็ต้องมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย เรื่องนี้ต้องอิงวิทยาศาสตร์เข้าช่วยนิดนึง แต่ไม่ได้หมายความว่าพอโลกใบนี้ถูกทำลายไปแล้ว โลกใบใหม่สำหรับพระศรีอาริยเมตไตรยจะถือกำเนิดขึ้นมาแทนทันทีนะครับ จักรวาลคงจะว่างเว้นทุกอย่างไปสักพักใหญ่ๆ แล้วค่อยมีโลกใบใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาแทน มีกาแล็กซี่ใหม่ ดวงอาทิตย์ดวงใหม่ และโลกนั้นก็อาจจะมีหรือไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติก็เป็นได้ ถ้าเป็นช่วงสุญญากาศนานๆก็อาจจะเป็นโลกที่มีมนุษย์ แต่ไม่มีศาสนาพุทธ ไม่มีพระพุทธเจ้า(แต่อาจมีพระปัจเจกพุทธเจ้า) เป็นโลกที่มนุษย์จะใช้ชีวิตแบบไร้ศีลธรรม แต่โลกสำหรับพระศรีอาริยเมตไตรยจะต้องมีเกิดขึ้นมาแน่นอน

ช่วงเวลาของ 1 กัป นั้นไม่ได้นับที่การเกิดดับของดวงดาว แต่เป็นการอุปมาอุปมัยที่ทุกๆ 100 ปีจะมีเทวดา 1 ตนเอาผ้าทิพย์ผืนหนึ่งมาลูบภูเขาที่มีความสูง 16 กิโลเมตร กว้างยาว 16 กิโลเมตร หนึ่งครั้ง จนภูเขาลูกนั้นราบเรียบเตียนเสมอพื้นดิน จึงเท่ากับเวลาของ 1 กัป ก็ลองคิดดูแล้วกันตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์แรกในกัปนี้(พระกกุสันโธ)มาจนถึงช่วงปลายของกัปแล้ว มันนานแบบสุดยอดมากๆๆๆ

บางกัปก็มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ 1 องค์หรือมากกว่า 1 องค์ บางกัปก็ไม่มี(สุญญกัป) ดังนั้นช่วงเวลา 1 พุทธันดรจึงอาจยาวนานกว่า 1 กัป หรือสั้นกว่า 1 กัป ก็ได้

 

ซากของคนโบราณตัวโตๆสัตว์ตัวโตๆ กลายเป็น ดีเซล เบนซิน ก๊าชโซฮอลล์ไปเยอะแล้ว

 

มีหลวงปู่ท่านหนึ่งระลึกชาติได้ว่าเคยเกิดเป็นหมาป่า กำลังนอนแทะกระดูกไดโนเสาร์