หาคำตอบเกี่ยวกับอภิญญาที่ติดตัวมาครับ

เชื้ออภิญญาที่ติดตัวมาโดยไม่ต้องฝึกมี
มากสุดได้แค่ไหน?
เราใช้การสังเกตจากอะไรว่าบุคคลนั้นมี
อภิญญาติดตัวมาฮะ

 

ถ้าไปอ่าน ประวัติพระสุปฏิปันโนองค์สำคัญๆ
อย่างหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
หลวงพ่อสด จันทสโร
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
เราจะพบว่าในช่วงวัยเด็ก จนถึงก่อนบวชนั้น
ก็ไม่ต่างกับคนทั่วๆไป(ไม่มีอะไรที่แสดงออกเป็นพิเศษว่ามีอภิญญามาตั้งแต่เกิด)
สิ่งที่จะต่างจากคนทั่วไปคือนิสัยอยากออกบวช
และมีคุณธรรมพิเศษบางประการที่ทำให้เห็นว่ามีนิสัยแตกต่างจากเด็กทั่วๆไป

คำว่าอภิญญาติดตัวนั้น ควรจะเปลี่ยนเป็นเรียกว่า บุญฤทธิ์หรือพรสวรรค์มากกว่า
เช่นคนบางคนเกิดมา มีพลังพิเศษบางอย่าง ซึ่งอาจได้มาตามสายเลือด
สัตว์บางชนิดในตำนาน ที่เกิดมาพร้อมอิทธิฤทธิ์ เช่นช้าง หรือพญาราชสีห์ในวรรณคดี

แต่การที่จะถามว่า มีได้มากสุดแค่ไหน หรือมีวิธีสังเกตอย่างไรนี้
ผมว่า เป็นเรื่องที่ตอบยาก มันน่าจะขึ้นอยู่กับวาสนาและกรรมเก่าของแต่ละคน

ตัวอย่าง ในประวัติของพระสาวกผู้เลิศทางฤทธิ์ อย่างพระโมคคัลลาน์
สมัยก่อนบวชนั้น ไม่แตกต่างกับคนธรรมดาเลย
ใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป ไม่มีอะไรเป็นพิเศษที่แสดงให้ทราบว่าต่อไปบุคคลนี้
จะมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเกี่ยวกับทางฤทธิ์ทางเดช(หรืออาจเป็นเพราะท่านไม่ได้เล่า
หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่ได้บันทึกไว้ก็ไม่ทราบ)

คนมีฤทธิ์เป็นพิเศษ ควรถึงขั้นเคลื่อนย้ายดวงดาวได้ หรือสามารถทำโลกให้หมุน
ย้อนกลับได้ หรือมีพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ จึงสมควรเรียกว่าพิเศษเป็นหนึ่งในโลก

 

เอาอภิญญาทุกวันนี้ เลยมั้ยฺฮะ...เข้ากับยุคสมัย

เงินทองฮะ...อภิญญาตอบสนองความต้องการสะดวกสบายฮะ

ครอบครัววรรณะฮะ..เกิดในตระกูลมั่งมี

กัลยาณมิตรฮะ เพื่อน ญาติพี่น้องที่ดี...ไม่มีปัญหาฮะ

รถมอไซค์ รถยนต์ เครื่องบิน เรือ...อภิญญาฮะ

คอม แทบเล็ต โทรสัพ..อภิญญาเหมือนกัน

ส่วนยอดอภิญญาคือ....ปัญญาฮะ

อภิญญาที่ดี หรือปัญญาที่ดี มีไว้แก้ปัญหาได้ฮะ

 

ส่วนของกลาง ที่เป็นธรรมชาติ...ถูกอภิญญาของผู้มีอวิชชา ทำลายไปเกือบหมดแล้วฮะ

คนไม่ดีมีอภิญญา ก็คือคนฉลาดแกมโกงฮะ..โกงแบบมีเทคนิคฮะ....เรียกว่า พวกทำลายธรรม..มะ ชาติ ครับ

 

อภิญญาติดตัว ก็อย่างพวกนก ทีบินได้ ปลาดำน้ำได้ ไส้เดือน ดำดินได้

ความสามารถของสัตว์ดิรัจฉานธรรมดาๆ แต่ถ้ามนุษย์ทำตามได้ ก็จะกลายเป็น
ผู้วิเศษ

 

ผมว่านะ...ยุคนี้ คือยุคเสวยผลบุญซะมากกว่า ...เพราะวิทยาการ เทคโนโลย่ำยี...มันเหมือนมีเอาไว้ สนองความสะดวกสบาย...ใครมีอภิญญามากก็แย่งมาเสวยได้มาก
ใครเคยทำบุญมามาก ก็นั่งกินนอนกิน จนเหลือเฟือ

เนี่ยทรัพยากรธรรมชาติธาตุ..ถูกแปลเปลี่ยนเป็นผลบุญ...ตัวสนองความอยากที่ครั้งนึง เคยทำบุญเอาไว้ อธิฐานเอาไว้

อยากสวย ก็ สันยะกรรมเอา..ตามแต่ใจอยากเลย

เนี่ยยุค อภิญญาเฟื่องฟู...

 

ถ้ายังงี้คนที่ควรฝึกก็คือคนที่ยังไม่พออยู่พอกินสิ ฝึกสำเร็จ
แล้วจะได้ไปแชร์มากินมาใช้บ้าง

 

เครื่องทำน้ำอุ่น น้ำร้อน น้ำเย็น อุโมงค์ไต้น้ำ ไต้ดิน แอร์ น้ำแข็ง...ผลบุญ ที่เคย อธิฐาน...ชัดๆ(เคยอยากไว้ เคยอุปทานไว้ เคยฝันไว้)

ทีนี้ คำตอบคือ...โลกตอบสนองผลบุญ ตอบสนองความอยาก ตอบสนองอภิญญาได้....แต่ผลกรรมทางไม่ดี มันก็มีให้เห็นกันชัดๆด้วยคือ...โลกร้อน ธรรมชาติของกลางหายไป คนหมดศีลธรรม เห็นแก่ตัว โรคภัยไข้เจ็บ ภัยธรรมชาติ ..รวมทั้ง การเบียดเบียน เพื่อแย่งชิง...ผลบุญ กัน...อิอิ

 

เล่าประโยชน์ที่แท้จริงของอภิญญา
ปัจจุบันบ้างฮะ

 

คิดแบบนี้ โลกเลยร้อน จิตใจร้อนรน ตามความอยาก

ที่จริง โลกมันมีพอเพียงสำหรับทุกคนให้มีอยู่มีกิน ฮะ
แต่เป็นเพราะ การไม่แบ่งปัน ไม่เอื้อเฟื้อกัน ไม่ดูแลกัน ไม่มีน้ำใจต่อกัน...ความเห็นแก่ตัว ต่างหากครับ คือ..ต้นเหตุครับ

แล้วถ้า ต่างก็ฝึกการแย่งชิง ที่รุนแรงขึ้น ไม่สนใจบาปบุญ ล้วนเพื่อให้ตนเอง อยู่รอด หรือ มีเหมือนที่คนอื่นมี..โดยใช้วิธีเบียดเบียนคนอื่น..อะไรจะเกิดล่ะฮะ

 

เล่าไปก็ไม่มีประโยชน์ฮะ..เพราะพวกที่เห็นแก่ตัว มันไม่เข้าใจฮะ....อภิญญาความอยาก ฤทธิ์ทางใจในคนที่มีอวิชชา..มีแต่โทษต่อส่วนรวมฮะ

 

อภิญญาของผู้มีอวิชชา...คือ..ได้อย่างจะเสียหรือทำลายอีกอย่าง หรือทำลายไปอีกหลายอย่างเลยฮะ...มันจะอ้างว่า..มันยังไม่พอฮะ....มันไม่รู้ตัวหรอกฮะ

 

หัวหน้าครอบครัว
หัวหน้าสังคม ชุมชน
หัวหน้ารัฐบาล ผู้นำต่างๆ...ถ้าไม่สอนการ ใช้อภิญญาอยาก ให้พอดี พอเพียง กับคนส่วนรวม....ก็จะมีแต่ปัญหาตามมาอีกมากมายครับ

 

เห็นด้วยฮะ
กล้วยดิบ( ใกล้สุก) คงไม่ได้อธิษฐานขออุปกรณ์ไฮเทค
ที่สามารถตอบสนองความสะดวกสบายในการเดินทางไว้
ซักเท่าไร เช่น รถสปอร์ต เครื่องบินเจต เป็นต้น
จึงเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นความสิ้นเปลืองและก่อมลภาวะใน
ขณะกำการผลิตและขณะนำมาใช้งาน

 

ขนาด นักบวช สมณะ ทุกวันนี้...ยังเอาแต่เสวยผลบุญกันครับ

เรื่องจะนำพา เป็นแบบอย่างให้กับประชาชน ให้รู้จักพอเพียง..ยังไม่สนใจเลยครับ...สนองอภิญญาความอยากของตนเอง...กันให้รึ่ม...นะฮะ

 

ยังงี้เส้นแบ่งระหว่างตัณหากับอภิญญา
ก็หาแทบไม่เจอสิฮะ

 

ผมว่าผมอยากเห็น

-วิทยาการที่ยืดอายุของมนุษย์ให้ยาวขึ้น( ๑๕๐-๓๐๐-๕๐๐-๑๐๐๐-๑๕๐๐ ปี) โดยไม่แก่

-การสร้างร่างใหม่ ที่พร้อมใช้งาน

-ถอดวิญญาณ ความรู้ และความทรงจำทั้งหมดจากร่างเก่าไปที่ร่่างใหม่

 

เชื้ออภิญญาที่ติดตัวมาโดยไม่ต้องฝึกมี
มากสุดได้แค่ไหน?

- มีมากสุดเท่าที่คนๆนั้นเคยสั่งสมมาค่ะ

เราใช้การสังเกตจากอะไรว่าบุคคลนั้นมี
อภิญญาติดตัวมาฮะ

- ความชอบในเรื่องอภิญญา ฤทธิ์เดช ที่แสดงออกมาจ๊ะ

 

แทบไม่เจอครับ ตราบใดที่ยังมีอวิชชา...

 

ถ้าเป็นอภิญญาในลักษณะทิพจักขุญาณ จะทำให้เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าได้เร็ว เนื่องจากไปเห็นดัวยตา(ใน)ด้วยตนเอง ทำให้รู้ว่าทำดีแล้วได้ดี ทำชั่วแล้วได้ชั่วอย่างแน่นอน และรู้ด้วยว่าการทำสิ่งใดจะเป็นเหตุให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีหรือไม่ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับวาระกรรมของแต่ละคนด้วย เพราะบางคนแม้จะได้ทิพจักขุญาณ แต่วาระบุญที่จะส่งให้มีความก้าวหน้าในทางธรรมยังไม่มากพอ ก็อาจจะทำผิดทำพลาดได้เป็นปกติ

และถ้าหากว่าได้ทิพจักขุ ทิพโสต ก็จะมีโอกาสได้รับการสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ที่ไม่ใช่กายเนื้อ ซึ่งท่านเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเรามา ทำให้รู้ว่าจะต้องสอนเราอย่างไร แบบไหน ซึ่งจะทำให้เราก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้ไว และผิดพลาดได้น้อย เนื่องจากท่านคอยช่วยสงเคราะห์อยู่นั่นเอง