SSSSS สรุป พุทธทาสภิกขุ นี่ ท่าน ประพฤติผิดหรือเปล่าคะ SSSS

เจ้ายัง เลียนแบบคนอื่น มาพูดเลย แล้วจะถามทำไม...อิอิ

 

ผมว่า เป็นการแอบอ้างคนอื่น เพื่อถือโอกาสโจมตีพระพุทธศาสนามากกว่า

อยากจะเขียนโจมตีเอง แต่กลับทำไปอ้างคนนั้นคนนี้

ถ้าสมมุติว่าผมเป็นผู้ดูแลระบบ และมีใครสักคนต้องโดนลบ

ก็คงเป็น จขกท.นี้แหละ เป็นคนแรก ที่ต้องโดน

 

อ้าว ไปโทษคนอื่นอีกแล้ว....ก็คนในเวป อย่าไปตื่นเต้นตูมตาม...ตามคนอื่นดิ..ไม่โง่ตาม ก็จบ...ไม่ต้องโทษใครหรอก:boo:

 

บางครั้ง การแฉให้เห็นเจตนาร้ายของใครบางคนก็จำเป็น....

หรือว่าเป็นพวกที่แอบแฝงมาอีกคน ถึงได้ออกโรงมาปกป้องกันนัก...

 

หึย....ปกป้องที่ไหน...ก็แค่..บอกให้ วางตัวเป็นฝรั่ง...เลทอิทบีๆๆๆๆๆ...:boo:

 

ท่านกล่าวว่า ทำไมจึงให้เรียกท่านว่า "พุทธทาส" มีความหมายว่าอย่าไร และท่านเป็นพระเถรชั้นผู้ใหญ่ การที่ท่านจะกล่าวสิ่งใด ผู้ฟังต้องใช้สติปัญญา พิจารณาไปด้วย ถ้าไม่เข้าใจ ก็เหมือนกับ ลมที่พัดมา ผ่านแล้วก็ผ่านไป ก็เท่านั้น

 

เราจะไม่ทำให้พุทธศาสนาอันประเสริฐของเรานี้ให้กลายเป็นลัทธิเชื่อเรื่องวิญญาณ อย่างคนที่โง่เขลางมงายก่อนพุทธกาลอีก https://www.facebook.com/FakGhost

เขาบอกว่าท่านพุททาสบอกว่าทำแบบนี้ได้ไม่เป็นไร

 

เชื่อเรื่องวิญาณไม่ผิด ความเชื่อที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ไม่ได้ถือว่าผิดอะไร เพราะศาสนาพุทธสอนให้ไม่เบียดเบียนกัน และเปิดรับคนที่มีความเชื่ออื่นๆ ศาสนาอื่นๆ เพราะเป็นเพื่อนร่วมโลก แต่ถ้าสรุปเอาว่าคนที่เชื่อแตกต่างจากตนเป็นคนไม่ดีไม่ควรไปทั้งหมด
โลกก็คงวุ่นวายไม่สิ้นสุด ยกตัวอย่างเหมือนบางประเทศที่กำลังทำสงครามกันอยู่ตอนนี้
การกระทำใดที่ส่องเสียดให้สังคมเกิดความขัดแย้งกัน จึงไม่ควรจะเกิดขึ้น

 

ท่านที่ศึกษาธรรมของท่านพุทธทาส ลองศึกษาของท่านอื่นดูเปรียบเทียบกัน
ส่วนผมลองฟังที่ท่านเทศน์ เรื่องจิตว่าง เห็นท่านพูดออกนอกทางพระพุทธเจ้า
บางประโยค
ก็แล้วแต่

 

พระพุทธศาสนา นิกายศูนยวาท นั้นมีจริง
เป็นพระพุทธศาสนาในรูปแบบที่เชื่อว่าตายแล้วศูนย์
แต่ผมก็ไม่ทราบข้อมูล เคยได้ยินแต่ชื่อ

 

เรื่องนิกายไม่รู้หลอก รู้แต่ว่าทุกนิกายพระพุทธเจ้า
พระองค์เดียวกัน เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เชื่อพระพุทธเจ้า ละกัน จบ พระอริยะ ดูได้ที่
การปฎิบัติ เมื่อละสังขาร พระธาตุ ก็ปรากฏ แสดงว่าท่านทำถูกทาง แค่นั้นละครับ

 

คำสอนที่เยอะแย่ะมากมาย ศึกษาเพื่อเป็นทางให้เราเลือกเดิน เราจะไปทางไหนมันก็เรื่องตัวเราเอง
ครูบาอาจารย์บอกเรา แต่เราจะเอาหรือไม่ ก็อยู่ที่เรา
จะเลือกหรือไม่ก็เท่านั้น ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน โอเคนะครับ

 

ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านสอนเน้นย้ำว่าให้อย่ายึดติด ''ตัวกูของกู" ไอ้ที่กล่าวอ้างมาในกระทู้ไม่น่าใช่ครับ ถึงใช่ความหมายก็ลึกซึ้งจนเกินที่จะอธิบายครับ(อธิบายไปก็ไม่เข้าใจหรอกครับ) ตายแล้วเกิดมีจริงไหมผมก็ตอบไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ(ยังหายใจอยู่) แต่ที่มั่นใจเลยคือ มีทั้งจริงและไม่จริงครับ คนเราเกิดแต่กรรมครับ พระท่านสอน มีกรรมเป็นกำเนิดครับ ท่าน จขกท เอามะม่วงไปปลูกก็ได้ต้นมะม่วงครับ(กรรมมีจริง) ท่านอาจจะให้ความหมายของตายเกิด คือ หยุดหายใจไปแล้ว ก็ไม่มีอะไร แต่ที่พระท่านสอนลึกกว่านั้นครับ คำว่าเกิด ก็เพราะมีเหตุ ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านสอนให้ปล่อยวางไม่ยึดติด(พุทธศาสนา) เมื่อไม่ยึดติดไม่มีเหตุ ก็ไม่มีเกิดครับ ^__^
ปล.ผีที่จริงแล้วก็คือตัวเราเองครับ (คหสต) อย่าไปด่าผีเลยครับ เหมือนด่าตัวเองไงไม่รู้ ^__^

 

ทำไมชาวพุทธถึงยึดติดเรื่องพระธาตุกัน ข้าพเจ้าก็มี แต่ไม่อยากให้ตัดสินพระอริยะกันเพราะเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้เหรอว่าอริยบุคคลดูได้ตอนตายไปแล้ว ผลงานของท่านพุทธทาสข้าพเจ้าก็มีอ่านผ่านตามาบ้าง แต่ไม่ได้กำใจข้าพเจ้ามากนัก จนต้องซื้อทุกเล่ม คนเราจะเชื่อสิ่งใดก็คงต้องใช้หลักกาลามสูตรพิจารณา สำหรับข้าพเจ้าก็คิดว่าท่านก็เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคยปรากฎปาฏิหาริย์ขึ้นกับตัวเอง ทั้งๆที่ท่านไม่เน้นเรื่องนี้ ก็แปลกดี เลยเชื่อว่าท่านก็น่าจะเป็นพระอริยะ เราเป็นชาวพุทธที่ยังปฏิบัติไม่สุดทาง ไม่ควรปรามาสท่าน หากจะถามข้าพเจ้าเชื่อเรื่องชาติภพไหมข้าพเจ้าเชื่อ แต่พิสูจน์ด้วยตาเนื้อได้ไหม ก็ขอตอบว่ายังไม่ได้ ข้าพเจ้าเคยอ่านของท่านตั๊กม้อ ท่านก็บอกว่าตายแล้วสูญเหมือนกัน แต่หนังสือมันก็แปลมาเหมือนกันเลยไม่รู้ว่ามันแปลถูกไหม เหตุที่สงสัยเพราะท่านก็เป็นพระธรรมทูตยุคสมัยเดียวกับปู่ใหญ่ ท่านน่าจะมีความรู้ที่เหมือนกัน สอนเหมือนกันนะ ศาสนาพุทธเน้นปัญญา เราก็ต้องใช้ปัญญาศึกษากันต่อไป

 

เราคลิกไปตาม link เจอเพจ แต่ไม่เจอว่าท่านพุทธทาสพูดยังไง

เราเคยฟังเทปท่านพุทธทาส หลายเทป อ่านหนังสือท่าน
ขณะเดียวกัน เราก็ฟัง หลวงปู่จรัญ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา และอีกหลายๆท่าน

เราเคยฟังเทปที่พูดเรื่อง จิตภาวนาในแง่ของไสยศาสตร์ เป็นอะไรที่คล้ายๆกับที่ จขกท. บอก (ในยูทูปมี) แต่ท่านพูดถึงแต่เรื่องความเชื่อที่งมงาย เช่น พิธีกรรม ความเชื่อที่ผู้ใหญ่หลอกเด็กต่อกันมา โชคลาง จิ้งจกทัก อะไรแบบนั้น ถ้าจะพูดถึงขนาดที่ จขกท. ว่าเราไม่เคยได้ฟัง

เรายังคงนับถือท่าน

 

ที่ usa เขาบอกเกิดได้นะ

 

กรณีเกิดเป็นต้นไม้

แบบนี้ถ้า หลากหลายสรรพสิ่งเข้ามากินร่างจะไม่เกิดไปเป็นหลากหลายสรรพสิ่งหรอกหรือ ผมว่ามวลวิญญาณเป็นสสารสุดท้ายที่ถูกปลดปล่อยออกจากร่างกาย

วิญญาณที่นักวิทยาศาสตร์ชั่งน้ำหนักได้เป็นเศษเสี้ยวของกรัมนั้น ยังถือว่าไม่บริสุทธิพอ จะเดินทางหรือผ่องถ่ายไปเป็นอะไรย่อมกระทำได้ แต่ยังต้องอยู่ภายใต้กฎเกนฑ์ธรรมชาติอยู่นั่นแล (สิงสถิต)

ดวงจิตบริสุทธิ์ ล้วนเทียมเท่าเสมอกัน หมดซึ่งความสัมพันธุ์ทุกชาติภพ ไร้แรงยึดเหนี่ยวรั้งใดๆ ทุกการกระทำล้วนเป็นไปโดยจิตอันบริสุทธิ์ที่มิใช่การกระทำในมิติที่เราเป็นอยู่รู้สึกอยู่ในโลกภูมิเรา (กิเลสและขันธ์5)

หากพูดถึงเรื่อง นิพพาน หลายท่านคงศึกษาผ่านหูผ่านตากันมาแล้ว เช่น

"นิพพาน หมายถึง สภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์แล้ว ภาวะที่จิตมีความสงบสูงสุด เพราะไร้ทุกข์ ไร้สุข เป็นอิสรภาพสมบูรณ์"
นิพพาน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่งนิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ......"
บาลี มูลปริยายสูตร มู.ม. ๑๒/๑๐/๘-๙ ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่โคนต้นสาละ ในป่าสุภควันใกล้เมืองอุกกัฏฐะ จาก www.nkgen.com

"นิพพานนั้น หมายถึงความเย็นเพราะไม่มีกิเลสและไม่ต้องตาย"
โดย พุทธทาสภิกขุ จาก www.buddhadasa.com

"...นิพพานเป็นแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ เป็นที่ประชุมของผู้บริสุทธิ์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งปวง เป็นสถานที่ที่ไม่มีทุกข์เจือปนเลย เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง..."
จาก สื่อการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยธรรมกาย คาลิฟอร์เนีย

อย่างไรเสีย หากเราได้แค่ศึกษาเข้าใจแต่ไม่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติเพียงแค่เพียรภาวนา ก็มิอาจถึงพร้อมซึ่งสภาวะนิพพาน จึงควรเข้าใจให้ครบทุกหลักคำสอนก่อนจะแน่วแน่ปฏิบัติลงไป เปรียบดังการรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง การฝึกฝนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้ร่างกายพร้อม รวมถึงปัญญาถึงพร้อม (มนุษย์ได้เปรียบสรรพสัตว์ตรงนี้แล) ดังนั้น เราต้องถือศีลให้ครบ เข้าใจหลักธรรมคำสอนทุกข้อที่ตกผลึกมาแล้ว แต่ทั้งนี้ ต้องไม่ยึดติดและเชื่อในสิ่งที่ทำให้เราสัมผัสและรู้สึกไปต่างๆนาๆ ไม่ยึดติดในสิ่งที่เราจินตนาการไปต่างๆนาๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่นถือตนหรือผู้ใดเป็นสำคัญ ให้พิจารณาความเป็นไปตั้งแต่อดีตถึงใกล้ปัจจุบันล้วนดุจสายลมพัดผ่านเราไปก็เท่านั้นเอง เราไม่สามารถพิจารณาปัจจุบันและอนาคตได้โดยปราศจากสภาวะของจิตที่ประสานกับธรรมชาติทั้งหมดทั้งมวลได้ แต่ขอเพียงเราพิจารณาสภาวะใกล้เคียงปัจจุบันได้เท่านั้นพอ และย้ำว่าไม่จำเป็นต้องยึดติดกับสภาะใดๆทั้งสิ้น โดยให้รู้ทันกิเลสและขันธ์5 ที่ให้พิจารณาสภาวะใกล้ปัจจุบันเพียงเพื่อเป็นฐานในการผลักดันกระตุ้นจิตของเราให้รับรู้และเชื่อมต่อกับสภาวะต่างๆได้ และเมื่อเชื่อมติดแล้วลำดับต่อไปก็คือการสลายกิเลสและขันธ์5 โดยการเจริญวิปัสสนาต่อไป...

"กิเลส แปลว่า สิ่งเกาะติด สิ่งเปรอะเปื้อน สิ่งสกปรก"
กิเลส จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

"ขันธ์ หมายถึงร่างกายของมนุษย์ คือแยกร่างกายออกเป็นส่วนๆ ตามสภาพได้ 5 ส่วน หรือ 5 ขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ"
ขันธ์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

"วิปัสสนา แปลว่าตามศัพท์ว่า การเห็นชัดเจน หรือ การเห็นแจ้ง"
วิปัสสนา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

"วิปัสสนากรรมฐาน คือ กรรมฐานเป็นอุบายเรืองปัญญา, กรรมฐานที่ทำให้เห็นเป็นต่างๆ มีการเห็นขันธ์ โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น"
(อ้างอิง มหาสติปัฏฐานสูตรฏีกา)
วิปัสสนากรรมฐาน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อื่นๆ

วิปัสสนากรรมฐานเบื้องต้น โดย สมาคมวิปัสสนาธุระ