ทำอย่างไร ให้ปรับสมดุลระหว่าง ทางธรรมกับทางโลกได้ เพราเป็นคนสุดโต่งมาก และจะต้องไปทางใดทางนึง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แพททท2415, 4 ตุลาคม 2015.

  1. แพททท2415

    แพททท2415 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +56
    ทำอย่างไร ให้ปรับสมดุลระหว่าง ทางธรรมกับ ทางโลกได้

    เพราเป็นคนสุดโต่งมาก และจะต้องไปทางใดทางนึง

    ทั้งสองทางรวมกันไม่เป็น พยายามหาตรงกลาจะไม่ค่อยเข้าใจ


    คำว่าตรงกลาง ทำอย่างไร
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็ต้องฟังธรรมให้มากๆ ....

    ฟังมากๆแล้วได้อะไร ...จะได้ความรู้ ความศรัทธา ที่มีต่อ พระพุทธองค์ว่า ปุถุชนจะต้องมี ความง่อนแง่น เป็นปรกติ

    เป็น ปรกติที่ เราแสวงหาทางออก ....ซึ่ง ทางออกจาก ศรัทธาง่อนแง่น ไม่ใช่ เลิกศรัทธา
    แต่จะเกิด ความศรัทธาแน่นแฝ้นยิ่งขึ้น ว่า...............

    ศรัทธาว่า พระพุทธองค์ ทรงรู้หนทางสายกลางนั้น แน่นอน ไม่ได้หลอก

    พอ นมสิการได้แบบนี้ ....จะค่อยๆ เกิดความ รำงับในการดิ้นรนแสวงหาทางออกด้วย
    การทำความเข้าใจ ด้วยวิธีการเดิมๆ แบบ มนุษย์ปรกติ .....

    ซึ่ง มนุษย์ปรกติ ใช้อะไรแสวงหาธรรม ....พระพุทธองค์บอกว่า ปุถุชน นิยมใช้สิ่ง
    ที่เรียกว่า " สัญญา " ...1 " สังขาร " .... 1 เป็นตัวรับรู้ และ ตัววัดความได้ผล

    เวลาฟังธรรม พอทำความเข้าใจ รับรู้ได้ สัญญาเกิด ก็ไป สำคัญว่า เกิดความรู้ทางธรรม
    นี่คือ อาการโดน ขันธ์5 หยอดยาพิษ อย่างหนึ่ง ....ทำให้ หาทางสายกลางไม่เจอ

    เวลาฟังธรรม อยากให้คนอื่นรับรู้ว่าเราเข้าใจ รับรู้ได้ เราก็พูด เอากายกรรม วจีกรรม
    มโนกรรมออกมาแสดงออกไป เพื่อหลอกกันและกันว่า มีความรู้ทางธรรม นี่คือ
    อาการโดน ขันธ์5 หยอดยาพิษ อีกอย่างหนึ่ง ....ทำให้ พากันหาทางสายกลางไม่เจอ

    นอกจาก สัญญา สังขาร ก็ยังมี วิญญาณ(การกระทบรู้ ที่บรรยายเป็นภาษาพูดไม่ได้)
    เวทนา(ความพอใจ ไม่พอใจ เฉยๆ)

    ส่วน "รูปขันธ์" อันนี้หากไปเผลอใช้ จะกลายเป็น คนละศาสนาไปเลย รุปขันธ์จะเป็น
    ตัวแบ่งแยกในเชิง วัฒนธรรม เขต แดน เรียกว่า " มีความพอใจในปฐวีธาตุ "

    ดังนั้น

    ต้องฟังธรรมให้ดีๆ ให้มากๆ จนกว่า จะยอมรับ เรื่อง " ขันธ์5 " แล้วพอยอมรับ
    หลักการว่าด้วย " ขันธ์5 " แล้ว หากศรัทธาไม่ง่อนแง่น จะเกิดการ ก้าวไปสู่
    การอาศัยขันธ์5 เปรียบเหมือนการ " กอบโกยเอากิ่งไม้ ใบไม้ " มามันทำ "แพ"
    เพื่อพาข้ามฝั่งไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่ "แพ" หรือ ขันธ์5 มันจะนำ ทุกข์มาให้

    การที่ อาศัยแพ เพื่ออาศัยระลึกถึง ความเสื่อม สลาย แตก ดับ ของ แพ เนืองๆ

    นั่นแหละ หนทาง ที่พระพุทธองค์ทรงย้ำแล้วย้ำเล่า เทศนาเพียงเรื่องเดิม เรื่องเดียว
    คือ สุญญตา ว่าด้วย โลกุตระ ข้ามไปฝั่งโน้น ไม่ใช่เรื่องเทศนาเพื่อให้ เนิ่นชา อย่าง
    คนประมาท หลงรสชาติ ลีลา โวหาร อ้างอารมณ์ว่าคือตน เพื่อให้ตนอยู่เหนือโลก ให้
    คนทั้งโลกมาคอยพินอบพิเทา แม้นการ แสร้งว่า ไม่เข็มแข็ง อ่อนแอ ป่วยไข้

    เพราะ "ขันธ์5" หากปรากฏแล้ว แม้นไม่ต้อง พิกล พิการ อ่อนแอ มีไข้ มีโรค ขันธ์5
    มัน สลายของมันอยู่แล้ว การไปเอา โรค ภัย ไข้ วุฒิภาวะ พยาธิภาวะ มาอ้าง จึงเป็นการ
    หลงมายา เอามายาไปหลอกผู้อื่น ทำให้ คลาดจากการ ตั้งใจ ฟังธรรม ให้ดีๆ น้อมไปปฏิบัติ
    ให้ดีๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2015
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อย่างไร ก็ดี เจ้าของกระทู้ ต้อง เฝ้นธรรม ในตน ขึ้นมาให้ได้

    ธรรมในตน อันเป็นภายใน ซึ่ง เพียรปรารภหาทางออกจากทุกข์ เจ้าของกระทู้ มีต้นทุนนี้อยู่

    ต้องมั่นใจว่า ตนมี เพราะ คนทั้งโลก อีกแสนล้าน ไม่เคย ตั้งคำถาม แบบที่คุณตั้ง

    ไม่เคยเข้าเว็บธรรมะ เพื่อคอย " กอบโกยเอาเรื่องราวของขันธ์ "
    มาทำเป็น "แพแห่งคำถาม" เพื่อหาทางไป ฝั่งโน้น

    เพียงแต่ว่า ...ปัญหาของการ พบทางสายกลาง มันเป็น ปัญหาแบบ "หญ้าปากคอก"

    ทันทีที่เรา ขยับด้วยการ " ดำริ " เพียงนิดเดียว โอกาส เพลี้ยงพล้ำ กลศึก
    ก็มีแทบจะ 100%

    แต่......

    แต่ จิตใจของคุณ ก็ รู้ว่า พระพุทธองค์ พระผู้มีพระภาค ปรากฏแล้วบนโลก ไม่ใช่ไม่ปรากฏ

    อนุเคราะห์คำสอนไว้หมดแล้ว ไม่ใช่ไม่ได้อนุเคราะห์

    เพียงแต่ อย่าฟังเอาจาก ผู้อื่น ต้องให้ จิตที่เลื่อมใสต่อพระพุทธองค์นั้น ได้ทำหน้าที่
    เอา ปัญหาหญ้าปากคอก มาตีแผ่ เหมือน หงายของที่คว่ำ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เป็น
    ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2015
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ลองมองใน มุมของ คนเราทุกคน มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นทายาท ตาม
    คำสอนของพระพุทธองค์บ้าง

    พ่อแม่ ทำไมถึงมี ลูกที่อยู่ดีๆ ก็ ป่วยไข้ ...... มองให้ข้าม ช๊อทไป อย่าไปมอง
    แค่ โลกธรรมที่มันเกิด ....ถ้ามองโลกไม่เป็น จะเห็นแต่ พ่อแม่มีกรรม

    แตถ้า ฉลาดในธรรม มองเสียใหม่ว่า " พ่อแม่เขามีธรรม " จะอีกเรื่องหนึ่ง

    พ่อแม่ที่มีธรรม มีสัจจ มีจิตใจสูง ท่านจะ ไม่จมความทุกข์ แต่ท่าน จะเอา
    ความทุกข์มาเป็น กำลังในการสร้าง กำลังจิต กำลังใจ ในการ รักษาสัจจ
    ในการตั้งจิต สร้าง บารมีทางธรรม

    พ่อแม่ที่มี สัจจบารมี ท่านจะ ทำทุกอย่างได้ เพื่อรักษาลูก
    พ่อแม่ที่มี อธิษฐานมี ท่านจะ ทำทุกอย่างได้ เพื่อรักษาลูก
    พ่อแม่ที่มี ทานบารมี ท่านจะ ได้สิ่งที่แสวงหา เพื่อรักษาลูก
    พ่อแม่ที่มี ขันติบารมี ท่านจะ ได้สิ่งที่นิ่งเป็นหลักใจ เพื่อรักษาลูก
    พ่อแม่ที่มี โสรัจบารมี ท่านจะ ได้สิ่งที่ยิ้มเป็นหลักใจ เพื่อรักษาลูก

    ดังนั้น

    ลูกที่ฉลาด และ เป็นลูกที่ดี จริงๆ ไม่ยาก ก็แค่ ทำในสิ่งที่ พ่อแม่ทำได้ นั่นแหละ

    เช่น ยิ้มสิยิ้ม .....นิ่งสินิ่ง....ข่มใจได้แม้นเวทนาจะกล้า ก็ไม่ละทิ้งหน้าที
    การเป็นลูกเด็ดขาด !! พ่อแม่พาไปเห็นกุศลของทาน เราก็สมาทาน

    พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง พาไปเห็นกุศลของอภัยทาน เราก็สมาทานตาม

    แค่นี้ก็ทำให้ เข้าใจวิธี การอาศัย ขันธ์5 มาประกอบให้เป็น แพ เพื่อพาข้าม
    ไปเห็น "ธรรมะ" ได้ไม่ได้ยากเลย

    ที่ไปสำคัญว่ายาก ล้วนแต่ ไปหยิบ ไปคว้า เอาอาการ มายา บางประการ
    ขึ้นมาวาดภาพว่า นี่คือตน ประกาศความเป็นตน อ้างว่าเป็นของตน มีตนใน
    อาการมายาเหล่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2015
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    คำถามนิดเดียว
    ส่วนคำตอบนั้นยึดยาว รวมเอาชีวิตทั้งชีวิตคือรวมพุทธธรรมทั้งหมดทีเดียว

    ตอบนำก่อนนะครับ

    ทางโลกกับทางธรรมต้องคู่กันไป เหมือนกับร่างกายกับจิตใจต้องอาศัยกันและกันไป


    ไม่แปลก อาจเรียกความคิดสุดโต่งว่าเป็นธรรมดาสามัญของมนุษย์ปุถุชนก็ได้

    เพื่อให้เห็นภาพ ขอย้อนครั้งก่อนพุทธกาล มนุษย์ก็คิดสุดโต่ง 2 ทาง ทางหนึ่ง หมกมุ่นมัวเมาในกามสุข (กามสุขัลลิกานุโยค) อีกทางหนึ่ง ทรมานตนให้ลำบาก (อัตตกิลมถานุโยค)

    แต่หลังจากพระบรมศาสดา ตรัสรู้แล้ว จึงตรัสว่า

    "เอเต เต ภิกฺขเว อุโภ อนฺเต อนุปคมฺม มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา....อยเมว อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค ... เสยฺยถีทํ สมฺมาทิฏฺฐิ ฯลฯ สมฺมาสมาธิ"

    "ิภิกฺษุทั้งหลาย ตถาคตไม่เอียงเข้าหาที่สุด ๒ อย่างนั้น ได้ตรัสรู้ข้อปฏิบัติอันมีในท่ามกลาง...กล่าวคือ มรรคามีองค์ ๘ ประการ อันประเสริฐนี้ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ"
    (สํ.ม. 19/1664/528)





     
  6. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม คุณก็ต้องมีสติ
    ดังนั้นคุณก็มาฝึกสตินี่แหละ มีสติรู้กายรู้ใจตนเอง
    จะผิดจะพลาดอะไรให้สติมันคอยเตือนตัวเองได้
    ไม่หลงจมลงไปกับความคิดก่อทุกข์ให้กับตนเองมากเกินไป
     
  7. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ในโลกทุกวันนี้ มักไม่ค่อยมีคนสนใจธรรมะเท่าไรนัก เนื่องจากคนส่วนใหญ่จะสนใจเรื่องทางโลกมากต่อมาก. ดังนั้นการถามเรื่องการรักษาสมดุลระหว่างทางโลกทางธรรมเช่นนี้ จะหมายถึงผู้ถามมีความศรัทธาและพอใจทางธรรมอยู่ แต่ติดขัดภาระทางโลก จึงได้ถามมาถูกหรือไม่? ว่าอยากจะเลือกทางโลก หรือ ทางธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง?

    อันที่จริงผู้ถามมีความต้องการจะทำบางอย่าง แต่ติดขัด ซึ่งอันที่จริง
    น่าจะคล้ายกับ .. การสอบของนักเรียน ที่เด็กไม่อยากอ่านหนังสือสอบ อยากออกไปเที่ยวกับเพื่อนมากกว่า ดังนี้ เด็กจะต้องสมดุล เรื่องการเที่ยวกับการอ่านหนังสือ เช่นกัน

    อันที่จริง ไม่ใช่การห้ามไม่ให้เที่ยวเลย และก็ไม่ใช่การที่จะต้องอ่านหนังสือตลอดเวลา จึงต้องสมดุลระหว่างสองด้านนี้


    สำหรับคนที่อายุน้อย โดยมากจะยังไม่ค่อยเข้าใจภาระทางโลกนัก เพราะตลอดเวลาพ่อแม่ครอบครัวเป็นคนสนับสนุนอุปถัมให้ชีวิตอยู่ได้ จึงเมื่อมีความสนใจในเรื่องอะไร ก็อยากที่จะทำสิ่งนั้นไปเลย และไม่ค่อยคิดหรือคาดการณ์ผลลัพธ์อื่นที่จะเกิดขึ้น .. คนถึงมักพูดว่า "เด็กระวังจะโดนผู้ใหญ่หลอก" คำว่าหลอกกันในที่นี้ไม่ได้เป็นเรื่องการโกหกหลอกลวงกันง่ายๆ เท่านั้น ยังหมายถึง การลวง เพราะรู้ว่าเด็กมักไม่คิดถึงผลลัพธ์ หรือทำเพราะความอยากเป็นหลัก จึงมักเสียหาย จากการทำในสิ่งที่ตนต้องการ


    การที่คนเราจะต้อง สมดุลทางโลกและทางธรรม ก็เพราะ คนเรามีหน้าที่ทางโลกโดยฐานะทุกคน คนเป็นลูกก็ต้องมีหน้าที่ไม่สร้างความทุกข์ใจ เสียหาย กับพ่อแม่ ส่วนพ่อแม่ก็ต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูลูก ต่อมาเมื่อเด็กโตขึ้น พ่อแม่แก่ลง คนเป็นลูกก็ควรที่จะเลี้ยงดูพ่อแม่ตอบแทนคุณ

    คำตอบ: สำหรับคำถามนั้น ไม่ใช่การเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นการพิจารณาถึงผลลัพธ์ เพื่อให้เกิดผลดีทั้งสองด้าน .. ซึ่งแต่ละคนมีสถานการณ์ไม่เหมือนกัน บางคนพร้อมด้านธรรมะมาก ก็พุ่งไปเลย ก็อาจจะเหมือนเด็กที่เป็นนักกีฬาโรงเรียน หากมีพรสรรค์ ก็หยุดเรียนไปเป็นนักกีฬาอาชีพระดับนานาชาติได้ ไม่ต้องมาเข้าเรียนอ่านหนังสือสอบ

    แต่สำหรับคนธรรมดาทั่วไป ถ้าเราไม่ได้มีพรสรรค์ระดับนั้น จึงต้องถามว่า ถ้าเราเลือกไปด้านที่เราชอบไปเลย .. ลองถามตัวเองดูว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน หรือ สู้เราทำทั้งสองด้านพร้อมกัน กับไม่ต่างกัน แถมยังรักษาประโยชน์ได้ถึงสองด้าน

    ยังมีคำพระท่านกล่าวว่า.. นักบวชที่มาบวชนี้ ต่างทิ้งบ้านทิ้งเรือน ทิ้งครอบครัว ถ้ามาบวชแล้วไม่ตั้งใจ หรือทำๆสักพักเบื่อ จะให้กลับไปมันไม่ง่ายแล้ว ดังนั้นเหมือนทุบหม้อข้าว ก็ต้องสู้ตายเท่านั้น เพราะถ้าการมาบวชล้มเหลว ก็จะนับว่าชีวิตล้มเหลวทั้งทางโลกและทางธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2015
  8. ซามารากาเต

    ซามารากาเต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +1
    บางคนก็บวช บางคนก็ไม่บวช อะไรที่ว่าสุดโต่ง
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    การที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ละ จิต ใจ ตัวเราเอง
     
  10. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    สุดโต่งไม่ดียังไง
    ธรรมไม่ดียังไง
    ทางโลกไม่ดียังไง
    ทุกข์
    สมุทัย
    นิโรธ
    มรรค
     
  11. wild win

    wild win เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +436
    ขอแสดงความเห็น นะคะ
    ติดใจคำว่า สุดโต่ง คือโดยปกติแล้ว เมื่อใดที่สุดโต่ง เมื่อนั้นก็ไม่ใช่ธรรมแล้ว

    ที่สุดแล้ว ธรรมอยู่กับโลกได้ แต่โลกอยู่ในนิพพานไม่ได้
     
  12. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570
    ขออนุญาติแนะนำนะครับ เนื่องจากเคยประสพปัญหาทำนองนี้ แต่เป็นอีกระดับนึงนะ

    ต้องถามตัวคุณเองก่อนว่า ทางโลกของคุณ คือ อะไร ครับ

    ถ้าหมายถึงการใช้ชีวิตแบบมนุษย์ปกติธรรมดาๆคนนึง

    ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็มีธรรมมากมายที่ให้นำมาใช้ทางโลกครับ

    เพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ความเจริญ และพัฒนาต่อไปสู่ทางธรรมที่สูงขึ้นไปอีกได้


    แต่ถ้าทางโลกของคุณ หมายถึง การใช้ชีวิตแบบคนที่ไม่ปกติทั่วไป ที่มี กิเลส ตัณหา อุปทาน เป็นตัวชี้นำล่ะก็

    คุณกำลังติดภาพทางโลกจากสิ่งแวดล้อม หรือจากคนที่ไม่ปกติที่พบเจอได้ทั่วไปมากมายในชีวิตประจำวัน

    ถ้าเป็นอย่างนี้ คุณควรพิจารณาคำว่าทางโลกใหม่นะครับว่าหมายถึงอะไร

    เพราะ มนุษย์ปกติจริงๆที่อยู่ทางโลก ไม่ได้มีปัญหา หรือไม่ได้มีขั้วที่อยู่ตรงข้ามกับทางธรรม อย่างที่คุณเข้าใจนะครับ

    ถ้าคุณเข้าใจว่าทางโลก กับ ทางธรรม เป็นขั้วตรงข้ามกัน คุณก็เป็นคนนึงที่ไม่ปกติเหมือนคนส่วนมากในสังคม ที่มี กิเลส ตัณหา อุปทาน มาก

    คุณควรพิจารณาข้อนี้ดูใหม่นะครับ จริงๆแล้ว ทางโลกกับทางธรรมไปด้วยกันได้ครับ ไม่ได้อยู่ขั้วตรงข้ามกัน

    แต่ถ้าหมายถึงทางธรรมที่สูงขึ้นไป ในระดับที่พระแท้ๆควรมีกัน ก็จะต้องข้ามเรื่องทางโลกไปครับ ไม่ได้อยู่ตรงข้ามกันนะครับ แต่ต้องมีธรรมที่สูงขึ้น

    ถ้าจะไปทางนั้นก็ต้องพิจารณาดูครับว่าทิ้งทางโลกได้หรือไม่ ติดภาระอะไรอยู่หรือเปล่า

    ถ้ายังไม่พร้อมก็ใช้ชีวิตทางโลกไป โดยมีธรรมเบื้องต้นเป็นเครื่องชี้นำครับ อย่าเอากิเลสมาเป็นตัวชี้นำ

    หาเวลาปฏิบัติธรรมบ้างเพื่อเตรียมตัว เตรียมจิตและใจไว้ สบโอกาสที่จะก้าวข้ามทางโลกได้เมื่อไหร่ จะได้ไปได้เร็วครับ

    ขอสังเกตุก็คือ การที่คุณถามแบบนี้ ลึกๆแล้วคุณมีใจฝักใฝ่มาทางธรรมนะครับ แต่ด้วยสิ่งแวดล้อม ด้วยกิเลสที่ติดมา ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในครับ

    ศึกษาธรรมเบื้องต้นก่อน ทาน ศีล สมาธิ อิทธิบาทสี่ พรมวิหารสี่ มรรคมีองค์แปด

    และนำมาปฏิบัติ นำมาเป็นเครื่องชี้นำในการดำเนินชีวิตทางโลก

    เพื่อปรับปรุงจิตและใจให้ ลด ละ เลิก กิเลส ตัณหา อุปทาน ให้ได้มากที่สุด

    และรอเวลาเข้าสู่ทางธรรมขั้นสูงอย่างแท้จริงครับ

    ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
     
  13. แพททท2415

    แพททท2415 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +56
    หมายถึง เป็นคนหาสมดุลไม่ได้ หากไปทางอบายมุขแสงสีก็จะลืมไปด้านศาสนา แต่พอมาด้านศาสนาก็อยากจะให้ไปให้สุดในด้านนี้

    จึงอยากอยู่แบบสมดุล ให้เป็น แบบที่ผู้เจริญเค้าปรับใช้ให้สมดุลกับชีวิตเค้าคะ


    ขอบคุณคะคุณwild win
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2015
  14. แพททท2415

    แพททท2415 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +56
    คุณsilver11wing ขอบพระคุณคะ
     
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ชีวิตทางธรรม ไม่ใช่ บทบาทการแสดง ที่จะต้อง สมาทานด้วยการสวมบทบาทให้สุดลิ่มทิ่มประตู

    ชีวิตทางธรรม หากเป็นคนป่วย ก็ป่วยไปอย่างมี สติ รู้เท่าทัน สรรพสังขาร

    สังขารมี3 คือ วจีสังขาร มโนสังขาร กายสังขาร

    กายสังขารป่วย ก็ไม่ใช่ว่า วจีสังขาร ต้องป่วย การแสดงออกทาง วัจนะภาษา อวัจนะภาษา
    สามารถแสดงออกได้อย่างคนมี สติ สัมปชัญญะ ปราศจากโรค ไม่มีอาการกระปิดกระปอย ทำ
    วาจาออดๆ แอดๆ

    วจีสังขารป่วย เช่น พูดจาพลั้งเผลอ ผิดพลาด ก็ใช่ว่า มโนสังขาร จะต้องป่วยไปด้วย จะต้อง
    รู้เท่าทัน มนัส(หรือ ใจ) ที่ไปลำลึกถึงอดีต รำพึงถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ด้วยเอา ยินดี ยินร้าย
    เข้ากลุ้มรุมจิต รู้ไม่เท่าทัน ความพอใจ ความไม่พอใจ การรู้สึกเฉยๆ


    ชีวิตในทางธรรม กายนั้นป่วยเสมอทุกลมหายใจ ลมหายใจที่เอาไออุ่นออก นั้นคือ การสูญสลาย
    ของธาตุ ของขันธ์ เหมือน รถยนต์ที่สันดาบ ย่อมปล่อยกากของเสียออกเป็นนิจ โดยร่างกาย
    มนุษย์ จะมี ท่อไอเสียทั้งหมด 7 รู มีของโสโครกไหลออกตลอดเวลา จากการเผาผลาญพลังงาน

    แต่ในมุมของ "ใจ" หรือ มนัส หรือ ความยินดียินร้ายในกาลก่อนๆ บัณฑิตในทางธรรมจะเอา
    สิ่งนี้ออกจาก จิต ไม่ให้เข้ามาเป็น "นาย" เหนือวิถีชีวิต ทำให้ใจ สงบ สงัด จากความบีบคั้น
    หัวจิตหัวใจ(อุปปายาส) ที่เป็นเหตุให้เรา พลั้งเผลอ ก่อกรรมใหม่เผารนตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2015
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การแสวงหาธรรม ก็ไม่ใช่ ให้เอา ความพอใจ ไม่พอใจ มาใช้

    การแสวงหาธรรม จะใช้ความ สงบ รำงับ จาก สภาพบีบคั้น แล้วโน้มจิตไปใน ความสงบ เนืองๆ

    พอจิตใจโน้มเข้าไปในความสงบ จะทำถูกวิธีก็ดี(สัมมาปฏิบัติ) ผิดวิธีก็ดี(มิจฉาปฏิบัติ) ทั้งสอง
    อย่างนั้นจะก่อให้เกิดความ "พอใจ" ห้อมล้อมจิตทั้งคู่ แล้วอาศัยสำรอก รู้เท่าทันความ พอใจ
    นั้น เพื่อสำรอกออก

    จะสัมมาปฏิบัติ หรือ มิจฉาปฏิบัติ ล้วนแต่เป็น อุบาย ส่งผ่านไปให้จิตได้รับการ ยก ความพอใจ
    ไม่พอใจ ที่เกิดขึ้น เพื่ออบรมจิตให้รู้เท่าทัน มนัส(หรือ ใจ) ตน

    จะสัมมาปฏิติ หรืิอ มิจฉาปฏิบัติ หากปฏิบัติเพื่อ เอาความพอใจ โลกจะแบ่งเป็นสอง ความไม่พอใจ
    มันก็เกิดขึ้น เป็นเงาตามตัว

    จะสัมมาปฏิติ หรือ มิจฉาปฏิบัติ หากปฏิบัติเพื่อกำหนดรู้ ตามเห็น "ความพอใจ" โลกจะแบ่งเป็นหนึ่ง
    พ้นจาก "เงา" ที่เป็นกรอบที่บีบเค้น จิตใจ ที่มองไม่เห็น แล้วโน้มจิตไปอีกฝาก จึงจะ
    พบว่า นี่แหละคือ ทางสายกลาง


    ชีวิตทางธรรม จึง ปฏิบัติไปโดยปรกติชีวิต ไม่จำเป็นต้อง สวมเสื้อผ้า เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนทรงผม

    สามารถใช้ชีวิตของ ฆราวาส ปฏิบัติได้.......เพียงแต่เป็นหนทาง ที่ถูกบีบเค้นแบบ ข้าศึกรบติด
    กำแพงเมือง ถ้าเผลอเปิดประตู "มนัส" คือใจ "ใช้ความพอใจ ไม่พอใจ ความเฉยๆ" เข้าหาหนทางรบ
    ก็เพลี้ยงพล้ำข้าศึก(ตัณหา)ทันที แต่เป็น ทันทีที่ ยกตามเห็นความพอใจ ไม่พอใจ ความเฉยๆ แบบ
    "รบประชิดตัว"

    " การชนะใจตน เล็กๆน้อยๆ ระหว่าง รบ " สิ่งนั้นจะทำให้เกิด การเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ นั้นมีอยู่แน่
    พระพุทธองค์ทรงชี้ และ กล่าวถึง สิ่งนี้ .......เมื่อทำการเห็นแสงปลายอุโมงค์ มีอยู่จริง บ่อยๆ เนืองๆ จิต
    จะค่อยๆ เกิดศรัทธาที่ไม่ง่อนแง่น เมื่อศรัทธาไม่ง่อนแง่น จะเกิดสภาพธรรมที่เรียกว่า "ธรรมพิสมัย" โดย
    ที่ไม่ได้จงใจเจตนาให้เกิด เพราะ ธรรมจักรนั้น ผู้หมุนคือ "ตถาคต"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2015
  17. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ทางโลกก็ต้องการความสุข ต้องตั้งใจเรียน เรียนเป็นเรียนเล่นเป็นเล่น รู้จักอ่านหนังสือทบทวนบทเรียน ตั้งใจศึกษาหาความรู้ คบเพื่อน ชักจูงกันไปในทางที่ดี และเป็นคนดีของคุณพ่อคุณแม่
    ทางธรรมคือปริยัติ( การอ่าน การศึกษาเล่าเรียน การปุจฉา-วิสัชณาธรรม ) ปฏิบัติ( การทำสมาธิ การเดินจงกรม การภาวนาหรือการทำกรรมฐานที่ประกอบด้วยสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน หรือการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ) ปฏิเวช( ผลที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม ได้แก่ผู้บรรลุธรรมขั้นต่างๆ เช่น พระโสดาบัน พระสกทาคามี เป็นต้น ) ควรสมาทานศีลและรักษาศีล 5 นะ
     
  18. Jsus Christ

    Jsus Christ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +82
    ต้องรู้จัก ตัวเอง เสียก่อน ทำไมจึง ชอบที่จะสุดโต่ง
    ส่วนใหญ่มักจะมาจาก ฉันต้องเหนือใคร คนอื่นต่ำต้อยกว่าฉันหมด ฉันต้องเป็นที่เชิดชูสรรเสริญ คนอื่นจะเกินกว่าฉันไม่ได้ อะไรทำนองนี้
    หาต้นตอ ตรงนี้ ในตัวเองและภายในตัวเองให้เจอ ซะก่อน (ส่วนใหญ่ ไม่กล้าที่จะมองเข้าไป เอาแต่หนีตัวเอง {..หนีความจริง.. ว่างั้นเถอด} )

    ถ้ายังหาไม่เจอ ก็ยากที่จะ พบทางสายกลา ได้ อิอิ

    คำว่า สายกลางเนี่ย หรือ มัชฌิมาปฏิปทา เอาแบบบ้านๆ คือ พอดีพอดี พอเหมาะพอควร พอสมควร หรืออีกนัยถ้าจะมาประยุกต์ใช้ คือ รู้กาละเทศะ รู้ว่าเวลาไหนเป็นเวลาไหน เวลาไหนควรไม่ควร
    เช่น ตอนนี้แปรงฟันอยู่ แต่กำลังคิดถึงจะล้างก้นท่าไหน ... ควรหรือไม่
    ตอนนี้กำลังถวายสังฆทาน แต่กำลังคิดถึง วางยาเบื่อหนู ไว้ที่บ้าน มันมากินหรือยังหนอ... ควรหรือไม่

    ความสุดโต่ง เป็นความเขลา เป็นความกระหาย เป็นความอยาก

    <font style="background:yellow">คำว่าตรงกลางทำอย่างไร ... คือ มีสติ รู้ว่า กำลังทำอะไรอยู่ หรือ รู้ปัจจุบัน กำลังคิดเรื่องใด ความคิดใดผุดขึ้น แล้วไถลไปตามความคิดนั้นออกนอกลู่นอกทางหรือไม่</font>

    เช่น กำลังขับรถ แต่ดันเข้าฌาน สัญญาเวทยิท กลางโค้งเหวลึก โดยไม่รุ้ตัว... ??? ผลจะเป็นยังงาย ... นี่เรียกว่า ขาดสติ หรือ จะเรียกว่า โง่ ดี?
    หรือ สามีมีเมียน้อย สามคนบ้าง 17คนบ้าง
    ตัวเองไปถือศีลสวดมนต์ที่วัด ปากก็สวด แต่ใจแช่งชักหักกระดูก คนที่บ้าน ... ถูกกาละเทศะ หรือไม่?

    หรือ ตัวเองมีเมียอยู่แล้วแต่จน แต่มีจักษุทิพย์เห็นผู้หญิงอีกคนรวยกว่า เป็นเมียในอดีตชาติ ขอหย่ากับเมียเก่า ไปคบหากับคนใหม่(ซึ่งระลึกชาติได้เหมือนกัน ตรงกันเปะ) ... ควรหรือไม่?

    หรือ สามีที่บ้านเพิ่งออกจาก รพ หลังผ่าตัดหัวใจและพักฟื้นที่ รพ มาเป็นแรมเดือน ... กลับมาบ้าน ขี้เยี่ยวแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ... แต่ภรรยาเอาแต่ ภาวนา สวดมนต์ ชำระแต่จิตใจตัวเอง ไม่ไปล้างก้นเช็ดก้น ให้สามี สักที สามีก็เรียกแล้วเรียกอีก แต่ภรรยาจิตแยกกายกระเด็นไปไหนแล้วก็ไม่รู้... ถูกกาละเทศะหรือไม่?

    <font style="background:lime">ตราบใดที่ยังไม่ถึงปลายทางแห่งทุกข์ ทางสายกลาง ยังคงต้องดำเนินไปตาม สติแบบโลกๆ นี่แหละ

    ปุถุชน กับ ผู้ที่ยังต้องเรียนรู้อยู่ ทำได้แค่นี้แหละ ... ถ้าไปหวังมาก เดว จะเป็น ความกระหาย อีก นะ
    </font>


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2015
  19. Shinozuke

    Shinozuke Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +60
    มีความ "อยากอยู่แบบสมดุล" เกิดขึ้นแล้ว
    แสดงว่าก็ต้องพิจาณาข้อเสียของความสุดโต่งเกิดขึ้นแล้ว
    เห็นข้อเสียของความสุดโต่ง จนอยากอยู่แบบสมดุลไปแล้ว
    ถ้ามีสติเห็นความสุดโต่งได้ ก็ไม่มีสุดโต่งแล้ว
    "ที่เหลือ" ก็แค่เห็นความ "อยากอยู่แบบสมดุล" ที่มันปรากฎขึ้นก็พอ
    ที่มันเกิดขึ้น ที่มันกำลังดำรงอยู่ ที่มันดับไป
    ที่มันเดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ
    เห็นธรรมชาติของสรรพสิ่งของมันไป
    ที่ว่า "ที่เหลือ" นั้น มันก็ไม่มีเหลืออะไรให้ต้องห่วงต้องพะวงอีก จบหมด
     
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กล่าวออกมาแบบ ตรรกศาสตร์ หรือเปล่า !?

    ถ้า กล่าวออกมาแบบ ตรรกศาสตร์ ใช้ สมองตีความรับธรรมะ มันจะคนละเรื่อง

    " อยากอยู่แบบสมดุล อยากนิพพาน " มันเป็น กุศลธรรม

    กุศลธรรม เวลาเจริญ "สติ" เข้าไปเห็นความเกิด ความดับ กุศลธรรมไม่ดับ
    นะครับท่าน มันจะต้องเกิดการ "เสพ" กุศล หรือ "ธรรมขาว" ให้มากๆ

    หากตีความแบบ ตรรกศาสตร์ เห็นอยากนิพพาน เกิด แล้ว ดับ ทำหน้าเบื่อน
    หนี วางจิต ละสัญญา ทำลายสัญญา ไม่ซ่องเสพให้มากๆ ละก้อ เรือหาย กลายเป็น
    เดรัจฉานเอาดื้อๆ


    แต่ถ้า ลงมือปฏิบัติ " อยากนิพพาน " แล้ว อนุโลมตาม ธรรมขาว แล้ว ซ่องเสพ ธรรมขาว
    ให้มากๆ มันจะเกิด " สภาวะธรรมบางประการ " ให้เห็นได้ เหมือนตาเห็นรูป

    คนที่ ลงมือปฏิบัติ เขาจะ เอา สภาวะธรรมบางประการเหล่านั้น มายกกำหนดรู้
    ความเกิด ความดับ อีกทอดหนึ่ง ......เพื่อไปรู้ทั่วถึง อรรถ และ พยัญญชะ อีกทอดหนึ่ง
    แล้วจึง คว่ำทั้งหมดลงเป็นเพียง "......." อีกทอดหนึ่ง แล้วจึงยก ดูเกิดดับ จนกว่า
    จิตจะยอมเห็น ตามความเป็นจริง ได้สักครั้ง แค่ช้างกระดิกหู งูแล็บลิ้น ถึงจะพอกล่าวได้ว่า
    "อ้าว กูภาวนาเป็น ที่ว่า สาวกต้อง แล๊บลิ้น2แสนอสงไขยเป็นอย่างต่ำ เริ่มต้นนับหนึ่ง "


    ดังนั้น หากเรียนแบบ ตรรกศาสตร์ ตีความ ความซับซ้อนที่เห็นได้ยาก บัณฑิต(ผู้ลงมือปฏิบัติ)เท่านั้น รู้ได้

    ดังนั้น หากเรียนแบบ ตรรกศาสตร์ ตีความ ความซับซ้อนที่เห็นได้ยาก ไม่มีการยกเห็น ไม่มีการลงมือกระทำ
    พยักหน้าหงึกๆ เห็นเกิดดับของ อยากสมดุล มะอึง เป็นเดรัจฉานแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...