ไม่รุ้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวคืออะไร?และควรทำยังไง?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Iceiize, 23 สิงหาคม 2015.

  1. Iceiize

    Iceiize สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    ตอนนี้ดิฉันกำลังประสบปัญหาหนัก ในเรื่องของการนอนหลับค่ะ ดิฉันไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร? หรือดิฉันกำลังเป็นโรคอะไร? เมื่อเวลาที่ฉันใกล้จะหลับดิฉันจะต้องรู้สึกแปลกๆ พออยากลุกขึ้นมากลับขยับตัวไม่ได้ ลืมตาไม่ได้ ได้แต่รู้สึกว่าตัวเองส่ายหัวไปมาเพราะมันทรมานมาก เหมือนฝืนสิ่งที่เป็นอยุ่ แต่ดิฉันรุ้สึกแปลกใจมากว่า ทั้งที่ดิฉันลืมตาไม่ได้ แต่ดิฉันกลับมองเห็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวในภาพสีดำๆที่หลับตาอยู่ ส่วนหูกลับได้ยินในเสียงที่เบามากๆกลับกลายเป็นดังมากๆ แต่ต้องบอกว่าในขณะนั้นมันทรมานมากค่ะเหมือนจะตายให้ได้เลย รวมทั้งยังกลัวที่จะเห็นบางอย่างที่ไม่ควรเห็นอีกด้วย จึงพยายามจะให้ตัวเองลุกให้ได้ แต่ไม่เป็นผล ดิฉันเลยตัดสินใจตั้งสติ รวบรวมกำลังลุกขึ้น แต่กลับกลายเปนรุ้สึกว่าสิ่งที่จะลุกมันไม่ใช่ร่างกายมัน...อธิบายยาก แล้วดิฉันก็ไม่กล้ารวบรวมกำลังลุกอีกต่อไปเนื่องจากความกลัวเพราะวูบนึงขณะที่ดิฉันรุ้สึกว่าดิฉันเหมือนจะลุก ดิฉันไม่หายใจ แต่มันเป็นการไม่หายใจที่มีความสุข ไม่มีความทรมานเลย ดิฉันเลยไม่รุ้จะทำยังไงเลยปล่อยมันไปแบบนั้นคิดว่าจะตายก้อตาย และซักพักร่างกายถึงลุกขึ้นมาได้.ดิฉันเป็นบ่อยมากค่ะแต่ไม่ทุกคืน คืนที่เปนก้อจะเปนทั้งคืน ดิฉันไม่ทราบว่ามันคืออะไรเลย และดิฉันควรทำอย่างไร อยากถามผู้รู้ค่ะ....
     
  2. PShinex

    PShinex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +382
    ผมก็เคยเป็นดูเหมือนเราจะหลับสนิทแล้วนอนไปอยู่ในท่าที่ทำให้ร่างกายขยับยาก มันเหมือนฝัน
    เห็นชัดมากแต่ทำตามไม่ได้ เช่นเราต้องการหันมองดูบางสิ่งที่เรารู้ว่าอยู่ตรงนั้นแต่หันเท่าไร
    ก็หันไม่ได้ต้องใช้ความพยายามเต็มที่ แล้วก็ตื่น

    หลังจากผมเริ่มสวดมนต์ อาราธนาศีลห้า กดชีพจรหลังตื่นนอนก่อนลุกจากที่นอน เป็นต้นมาผมก็ไม่เป็นอีกเลย

    พยายามฝึกหายใจลึก ๆ ให้ได้สักวันละ 20 ครั้งอาจจะช่วยได้ด้วย
     
  3. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    อาการผีอำมีอยู่ ๒ สาเหตุด้วยกัน อย่างแรกเกิดจากเลือดลมในร่างกายของเราไม่ปลอดโปร่ง อาจจะเป็นเพราะว่าตอนช่วงนั้นกินอาหารผิดสำแดงเข้าไปก็ดี หรือว่านอนทับอวัยวะบางส่วนของตัวเองไว้ก็ดี ในเมื่อเลือดลมเดินไม่ดี โบราณเขาบอกว่า ลมตีขึ้น ก็จะมีอาการเหมือนกับมีเงาใหญ่ ๆ ดำ ๆ ทับอยู่ ทำให้อึดอัด ต้องดิ้นรนขยับให้พ้นจากท่านั้นถึงจะหลุด

    ส่วนอีกอย่างหนึ่งเป็นผีจริง ๆ แต่ว่าส่วนใหญ่ผีที่มา ไม่ค่อยจะใช่ผีจริงหรอก มันผีปลอมก็คือเทวดา ถ้าหากว่าเป็นนักปฏิบัติ พรรคพวกของเราที่เป็นพรหมเทวดามีอยู่ เขาจะลองกำลังใจเราดูว่า กำลังใจของเราช่วงนี้ใช้ได้หรือยัง ? ถ้ายังกลัวตายอยู่แปลว่าใช้ไม่ได้จ้ะ ถ้าหากว่าผีอำ จะมีลักษณะเหมือนกับเงา ๆ ดำ ๆ แต่ถ้าผีจริงที่ว่านี่มาเป็นตัว ๆ เลย อย่างของอาตมานี่ไล่ชกกันอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ มาเป็นตัวแล้วไม่ได้มาตัวเดียวด้วย บางที ๗ ตัว ๘ ตัว ช่วยกันรุมยำอาตมาจนเละ จริง ๆ แล้วที่เรียกว่าผีของอาตมานี่คือเทวดา เป็นเพื่อนเก่า เขาอยากรู้ว่า ตอนนี้กำลังใจเป็นอย่างไร มีความเข้มแข็งพอไหม เขาก็มาทดสอบ

    แต่ว่าเรื่องของการทดสอบนี้ถ้าเรากลัวมาก คำว่ากลัวมาก คืออาจจะกลัวจนเสียสติ เขาจะไม่มา แล้วถ้าหากว่าไม่กลัวเลย เขาก็ไม่มา พวกกำลังใจครึ่งกล้าครึ่งกลัว คิดว่าตัวเองแน่ อย่างนี้โดนทุกราย ของอาตมาโดนอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ทุกวันเลย เช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า ใครบอกว่าผีหลอกกลางคืน อย่าไปเชื่อ เที่ยง ๆ ก็เอา มาทุกเวลาเลย มาทีหนึ่งก็หลาย ๆ ตัว ๗ ตัว ๘ ตัว ตีกันประจำ เสียงดังตึงตังอยู่ทุกวัน

    คราวนี้กุฏิหลังแรกของอาตมาอยู่หลังร้านอาหารป้ากิมกีในวัดท่าซุง อยู่ตรงมุมกำแพงพอดี ป้าเขาก็ว่าหลวงพี่ขนย้ายอะไรกันทั้งวัน เสียงตึงตังอยู่อย่างนั้น ความจริงอาตมากับผีอยู่ คือเขามาแกล้ง ไม่ยอมให้อยู่สุขอยู่สบายเลย เขาอยากลองกำลังใจดู ถ้าหากว่านึกถึงความดีได้ อย่างเช่นว่าเกาะพระได้ เกาะพระนิพพานได้ ยอมว่าตายแล้วเราไปอยู่กับพระ ตายแล้วเราไปพระนิพพาน เขาก็จะเลิก แต่ถ้าหากว่าเกาะไม่ได้ เขาก็ว่าไปเรื่อย อาตมานี่ทหารเก่า ไม่ค่อยจะคิดเรื่องอื่นหรอก คิดอยู่อย่างเดียวว่า "เอ็งมาแกล้งข้าก็สู้" ก็เลยตีกันนานหน่อย พระอื่นบางทีก็โดน พระวัดท่าซุงไปถามดูเถอะ พอกำลังใจเริ่มดีโดนทุกรูปเลย อย่างท่านโกวิทที่สึกไปแล้ว โดนบีบคอจนหายใจไม่ออก จะตายแหล่มิตายแหล่ เออ...ตายก็ตายวะ กูไปนิพพานตอนนี้ก็ได้ ผีก็ปล่อย แล้วบอกว่า “หน้าอย่างนี้นะหรือจะไปนิพพาน ?” แหม..ดูถูกกันจริง ๆ ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ๑๘ ปีเต็ม ๆ แล้ว ยังไม่เคยเจอผีที่ไหนดุเท่ากับผีที่วัดท่าซุงเลย



    จากกระโถนข้างธรรมมาสน์ฉบับที่ ๕๙
    __________________

    หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน
     
  4. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ฌาน ๔ ผีอำ

    มักเข้าใจผิด ๆ เรื่องผีอำเพราะขาดความเข้าใจ ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นนั้นว่ากันตามความจริง ช่วงที่ที่จิตเกิดอาการที่มักจะเรียกกันว่าผีอำนั้น นั้นเป็นฌาน ๔ ซึ่งจะเกิดตอนที่นอนหลับ ในขณะนั้นจิตถึงฌาน ๔ มันจะคล้ายว่าตนตื่นอยู่ จริง ๆ ก็ตื่นนะแต่เป็นจิตที่ตื่น แต่กายเนื้อมันหลับอยู่ ตัวจิตที่ตื่นนี่เองที่มันมองเห็นจิตด้วยกัน { ผี } ส่วนไอ้ที่ขยับไม่ได้อันนั้นฌาน ๓ นะ จะว่าฌาน ๔ อ่อน ๆ ก็คงไม่ผิดนักเพราะโผล่มาหน่อยเดียวเอง นักปฏิบัติเขาถอดตัวในหรือกายจิตก็ฌาน ๔ นี่แหละ จิตที่มีกำลังเขาจะออกไกลเจ้ากายเนื้อนะ ส่วนที่เรียกกันว่าผีอำนี่จิตเขาไม่มีกำลัง แม้จะขยับตัวก็ขยับไม่ได้ได้แต่ลืมตามองอย่างเดียวเท่านั้น ไอ้ที่ไม่มีกำลังทำให้ขยับตัวไม่ได้ทำให้เข้าใจว่าผีอำ จริง ๆ ไม่ใช่เลย และจิตที่เรียกว่าฌาน ๔ นี่แหละเป็นช่วงเดียวที่จิตจะสื่อกับจิต { ผี } ด้วยกันได้ ใครที่จิตเกิดฌาน ๔ ได้ง่าย เพราะเขามีของเก่าอยู่ พวกพรหมจิตนี้ทรงโลกีย์ฌานคือมาเป็นพัก ๆ { ฌานหัวเต่าผุดเข้าผุดออก } จิตประเภทนี้ถ้าปฏิบัติกรรมฐานจะก้าวหน้าได้เร็ว ถ้าฝึกจนจิตมีกำลังนะสามารถจะไปเที่ยวนรกได้สวรรค์ได้หรือพรหมได้ ถอดจิตหรือฝันไป เวลาเราไปสถานที่ต่าง ๆ ก็เหมือนที่เราเรียกว่าผีอำนั้นแหละสติตื่นเต็มที่ หากแต่เปลี่ยนเป็นสถานที่อื่นมันไม่เหมือนกับฝันนะ อารมณ์มันต่างเพราะสติตื่นจนนึกไปว่าตนนั้นยังตื่นอยู่ไม่ได้หลับเลยทีเดียว แม้ว่าจะสามารถท่องเที่ยว นรก-สวรรค์ แบบไปทั้งตัวหรือเต็มตัวก็เป็นไปเพื่อฝึกตนเท่านั้น เพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด กล่าวเช่นมีตรงไหนที่ผิดบ้างไหมครับ

    โดยคุณ ธวัชชัยย์ สมาชิเว็ปพลังจิต
     
  5. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ดิฉันก็เป็นบ่อย ๆ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2015
  6. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    เห็นด้วยตามโพสนี้ค่ะ จขกท.
     
  7. Iceiize

    Iceiize สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    ดิฉันต้องบอกก่อนเลยนะค่ะ ว่าพึ่งเคยเข้าเว็บนี้ครั้งแรกเมื่อคืนนี้ที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นเพราะไม่รุ้จะถามคัย ระบายกะคัย เพราะไม่มีคัยเข้าใจเลย แม้แต่แฟนดิฉัน เลยลองหาในกูลเกิลจึงตัดสินใจมาโพสถามผู้รู้ค่ะ แล้วด้วยความที่ดิฉันไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยนั้งสมาธิ ไม่เคยศึกษาด้านนี้มาก่อนจึงไม่รุ้ว่าควรจัดการอย่างไร เนื่องจากเป็นบ่อย แล้วทำให้ฉันนอนไม่เต็มอิ่ม จนกลัวการนอนหลับ มีปัญหามากๆเลย. พอเริ่มจะหลับก้อเปนอีกๆๆๆๆ ต่อเนื่อง. ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบนะค่ะ จะลองทำตามดูค่ะ.
     
  8. กีรติศักดิ์

    กีรติศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2008
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +848
    อานิสงส์จากการสวดมนต์ (สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี)
    อาตมา (สมเด็จโต) ได้เห็นอานิสงส์ของการสวดมนตร์ด้วยตัวอาตมาเอง ในสมัยที่อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ในป่าเป็นเวลา 15 ปี โดยอาศัยอยู่ในเขตดงพญาไฟ ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศเขมร ในสมัยนั้นเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ และภูตผีวิญญาณ ตลอดจนชาวบ้านที่มีเวทมนต์คาถา และเล่นคุณไสยกันอยู่อย่างมากมายในอาณาบริเวณชายแดนแห่งประเทศสยามในตอนนั้น
    อาตมาได้เดินธุดงค์แต่เพียงลำพัง ในช่วงนั้นอาตมามิได้ศึกษาในพระเวทมนตร์คาถาอาคมใดเลย
    นอกจากคำว่า
    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
    ซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
    พระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
    อาตมาไปที่แห่งหนตำบลใดก็จะกล่าวเพียงคำนี้ ตลอดเวลาของจิตใจอันเป็นที่พึ่งของอาตมา อาตมาเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชายแดนแห่งประเทศสยาม ในดงพญาไฟขณะนั้น ในหมู่บ้านมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียงเล็กน้อย อาตมาจึงได้ปักกลดอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน มีชาวบ้านนำอาหารมาถวายตามกำลังที่เขาจะพอทำได้ เมื่อเห็นมีพระภิกษุมาปักกลดในที่แห่งนั้น อาตมาอาศัยอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหลายปี และ ณ ที่แห่งนั้น อาตมาจึงได้พบคุณวิเศษแห่งการสวดมนต์

    มีชาวบ้านผู้หนึ่งได้เข้ามาสนทนากับอาตมาหลังจากได้ถวายอาหารแล้ว ชาวบ้านผู้นั้นอาตมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นายผล นายผลได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เขาเป็นผู้ฝึกเวทมนตร์คาถาอาคม
    เล่าเรียนจนมีญาณแก่กล้า และมักจะทดสอบเวทมนตร์คาถาอาคมแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาปักกลด ณ บริเวณนี้เป็นประจำ เขาเล่าให้อาตมาฟังว่าเขาได้ส่งอำนาจคุณไสยเข้ามาทำร้ายอาตมาทุกคืน แต่ไม่ได้หวังทำร้ายเป็นบาปเป็นกรรมถึงตาย เพียงแต่ต้องการทดสอบดูว่าภิกษุรูปนั้น จะมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถที่จะต่อสู้กับคุณไสยเขาได้หรือไม่ นายผลก็ได้ทำคุณไสยใส่อาตมาถึง 7 วัน เต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยควายธนู หรือปล่อยหนังควาย ปล่อยตะขาบ

    ตลอดจนภูติพรายเข้ามาทำร้ายอาตมา แต่ปรากฏสิ่งที่ปล่อยมา ก็ไม่สามารถเข้ามาทำร้ายอาตมาได้เลย

    วันนี้จึงได้มากราบเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กับอาตมา อาตมาจึงได้บอกว่าตัวอาตมาเองไม่ได้ศึกษาพระเวทมนตร์คาถา หรือคุณไสยใด นายผลก็ไม่ยอมเชื่อหาว่าอาตมาโกหก
    ถ้าหากไม่มีของดีแล้วไซร้ไฉนอำนาจคุณไสยดำที่เขาส่งมาจึงกลับมายังเขา ซึ่งเป็นผู้กระทำ
    ไม่สามารถทำร้ายอาตมาได้อาตมาก็พยายามชี้แจงให้เขารู้ว่า อาตมาไม่มีวิชาเหล่านี้จริง ๆ ทำให้นายผลสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดอาตมา จึงไม่ได้รับภัยอันตรายจากอำนาจเวทมนตร์คุณไสยดำที่เขาส่งมาทำร้ายได้ อาตมาได้บอกกล่าวแก่เขาว่า
    เมื่ออาตมาจะนอน อาตมาก็จะสวดแต่คำว่า
    พุทธังสะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมังสะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
    จนจิตมีความสงบนิ่งแล้ว จึงได้แผ่ส่วนกุศลไปให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลยอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และอาตมาก็จำวัดนอนเป็นปกติ

    นายผล เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงได้บอกแก่อาตมาว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านในวันนี้ ก่อนที่ท่านจะจำวัดจงหยุดการสวดมนต์สัก 1 คืนได้หรือไม่ ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่าการสวดมนตร์ของท่านเช่นนี้ จะเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่านหรือเป็นเพราะอำนาจเวทมนตร์คาถาในภูตผีปิศาจ ของข้าพเจ้าเสื่อมกันแน่ ข้าพเจ้าขอรับรองว่า จะไม่ทำอันตรายแก่ท่านอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแต่ต้องการที่จะทดสอบให้ความรู้แจ้งเห็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

    อาตมาก็ตกลงรับปากแก่นายผลว่า คืนนี้จะไม่ทำการสวดมนต์ นายผลจึงได้ลากลับไป
    ครั้นถึงเวลาพลบค่ำอาตมาก็นอนโดยมิได้ทำการสวดมนตร์ตามที่ได้ปฎิบัติเป็นปกติ เมื่ออาตมานอนหลับไป อาตมารู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าอาตมาได้ยินเสียง กุกกัก กุกกัก ดังขึ้นมา
    จึงได้จุดเที่ยนและพบตะขาบใหญ่ยาวเท่าขาของอาตมากำลังเลื้อยเข้ามาอยู่ใกล้ตัว ของอาตมามาก อาตมารู้สึกตกใจถึงหน้าถอดสี และด้วยสัญชาติญาณจึ่งกล่าวคำสวดมนต์

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
    ด้วยจิตยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งเป็นเวลานานเท่าใดไม่ทราบได้ เสียงกุกกักและตะขาบที่อยู่ข้างหน้าก็อันตรธานหายไป จากนั้นอาตมาจึงได้จำวัดนอนเป็นปกติ ในวันรุ่งขึ้น นายผลก็มาหาอาตมาและได้กล่าวว่า เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าได้ปล่อยตะขาบเข้าไปในกลดที่ท่านพักพำนักอยู่
    อาตมาบอกว่าอาตมาได้ตื่นมาและตกใจ จึงได้สวดมนต์ภาวนา ตะขาบตัวนั้น ก็อันตรธานหายไป

    นายผลจึงได้ยกมือพนมขึ้น แล้วกล่าวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า อำนาจเวทมนตร์คาถา และคุณไสยใดๆ ของข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายท่านได้ ก็เพราะอำนาจแก่การสวดมนตร์ภาวนาของท่านเป็นเกราะคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ได้

    ที่อาตมา (สมเด็จโต) ได้เล่าให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ได้ฟังกัน เพื่อให้เป็นอานิสงส์ของการสวดมนตร์ว่า เหล่าพรหมเทพได้มาฟังการสวดมนตร์จริงดังที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เพราะถ้าไม่ใช่เหล่าพวกพรหมเทพแล้วไซร้ ก็คงไม่สามารถที่จะขับไล่สิ่งที่เกิดจากอำนาจคุณไสย ที่นายผลส่งมาเล่นงานอาตมาได้อย่างแน่นอน ท่านเจ้าพระยา และ อุบาสก อุบาสิกา ในที่นั้น
    เมื่อได้ฟังคำเทศนาแล้วต่างก็ยกมือขึ้นสาธุว่า อานิสงส์ของการสวดมนตร์มีคุณค่าสูงส่งยิ่งนัก
    .....................................


    เทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน
    ครั้นพลบค่ำ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆังมายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา
    เจ้าประคุณสมเด็จโต ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์ “ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ”

    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่ายังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

    ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ
    • เมื่อฟังธรรม
    • เมื่อแสดงธรรม
    • เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์
    • เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
    • เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ

    การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น 2 เวลา นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ

    • กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม
    • ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย
    • วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมา ในการผิดพลาด

    หากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียว
    อาตมาภาพ ขอรับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน

    การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดับพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และประโยชน์แก่จิตอื่น

    *ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้น ๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวด

    *ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่น คือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอย ได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียง เหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์ มีอยู่จำนวนมาก ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมาย เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดา ทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตราย ได้อย่างดีเยี่ยม

    ดูก่อน.. ท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นี้ การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใด ๆ ก็ดีจะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล.

    จากหนังสือ อมตะธรรม สมเด็จโต พรหมรังษี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2015
  9. ACZ01

    ACZ01 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +2
  10. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ทำบุญแผ่เมตราบ่อยๆ
     
  11. ACZ01

    ACZ01 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +2
    เมื่อเช้านี้ ใส่บาตรไป หวังว่าคืนนี้ จะนอนหลับสนิทนะคะเนี่ย
     
  12. ACZ01

    ACZ01 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +2
    งั้นเดี๋ยวเราจะลองฝึกสมาธิดูนะคะ น่าจะช่วยได้บ้างอ่ะค่ะ
     
  13. ponz2

    ponz2 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    เราก็เคยมีอาการแบบนี้นะ แต่พอฝึกสมาธิก็นอนหลับสบาย ไม่มีอาการแบบนี้มารบกวนเลยค่ะ
     
  14. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,578
    ขอบคุณ จขกท.ที่นำเรื่องนี้มาแบ่งปันครับ
     
  15. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    ข้อแรก แก้ไขง่ายๆด้วยการเปลี่ยนทิศเตียง เปลี่ยนผ้าปูเตียง เปลี่ยนฟูก หรืออะไรก็แล้วแต่ก่อน แล้วดูว่าดีขึ้นไหมครับ ถ้าไม่หาย แกงขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยให้หลับสบาย อาจจะช่วยได้ ถ้าทำทั้งหมดแล้ว ไม่หาย การออกกำลังกายให้เหนื่อยก็ช่วยให้หลับดีขึ้นได้ ถ้าทำทั้งหมดแล้วไม่หายค่อยคิดว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติหรืออะไรก็ยังไม่สาย
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สิ่งที่คุณอธิบายมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของ "การถอดกาย" ซึ่งผมเรียกมันว่า "การถอดกายเวทนา" ซึ่งเป็น "กระบวนการทางธรรมชาติ" ของผู้ที่ได้ "สัมปชัญญะเต็มตัว" แล้ว "กายแห่งสัมปชัญญะ" นี้ จะถอดตนเองออกจากกายเนื้อ ทั้งหมดนี้ผมขอเน้นว่า "เป็นกระบวนการทางธรรมชาติของจิต"

    +++ โดยเฉพาะที่คุณกล่าวว่า

    1. "ทั้งที่ดิฉันลืมตาไม่ได้ แต่ดิฉันกลับมองเห็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวในภาพสีดำๆที่หลับตาอยู่ ส่วนหูกลับได้ยินในเสียงที่เบามากๆกลับกลายเป็นดังมากๆ"
    2. "จึงพยายามจะให้ตัวเองลุกให้ได้ แต่ไม่เป็นผล ดิฉันเลยตัดสินใจตั้งสติ รวบรวมกำลังลุกขึ้น แต่กลับกลายเปนรุ้สึกว่าสิ่งที่จะลุกมันไม่ใช่ร่างกาย" (ตรงนี้คือ ความเป็น "ตน" ที่ไม่ใช่กายเนื้อ)
    3. "ดิฉันไม่หายใจ แต่มันเป็นการไม่หายใจที่มีความสุข ไม่มีความทรมานเลย" (ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "อยู่อย่างนี้ ก็อยู่ได้" ในเรื่้องของ สัมปชัญญะ 4 ประการ)

    +++ ในกระทู้ "ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย" นักเรียนในกระทู้จะฝึกผ่าน "ปรากฏการณ์ที่คุณเป็นอยู่นี้" เกือบทุกคน และถือว่า "เป็นมาตรฐาน" ในการฝึกเบื้องต้น ที่ทุกคนควรผ่าน

    +++ หากปรารถนาที่จะ ฝึกฝนและทำความเข้าใจให้ถ่องแท้แล้ว ก็สามารถหาอ่านและเทียบเคียงได้จาก กระทู้นี้ นะครับ
     
  17. Srisumlit

    Srisumlit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +450
    เมื่อก่อนผมเคยเป็นแบบนี้บ่อยครับ ตอนหลังๆผมแก้ด้วยการท่องคาถามงกุฏพระพุทธเจ้าคือเราต้องท่องให้ขึ้ใจด้วยครับ เราจะท่องตอนสวดมนต์บูชาพระเป็นประจำทุกๆวัน และเวลาที่เกิดอาการแบบนี้ขึ้นมา คือเราจะไม่พยายมต่อต้านดิ้นรนใดๆ แต่จะรวบรวมสมาธิแล้วสวดคา๔ามงกุฏพระพุทธเจ้า แล้วสิ่งต่างที่กำลังเกิดอยู่จะหายไปทันทีเลยครับจากประสพการ์ของผมครับ
     
  18. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    อาการแบบที่คุณเป็น ขอเรียกว่า ร่างกายหลับ แต่สมองตื่น
    ทำให้สมองไม่สามารถบังคับร่างกายให้ขยับได้(ทำได้แค่คิด) สาเหตุเป็นเพราะ
    ร่างกายอยู่ในสภาวะหลับ

    แต่ถ้าตรงกันข้าม คือเกิดขึ้นขณะตื่นนอนแล้วรู้สึกคล้ายผีอำ ร่างกายขยับไม่ได้
    แต่คล้ายกับมองทะลุเปลือกตาได้(ทั้งๆที่ตาหลับ)

    อาการแบบนี้คือสมองตื่น แต่ร่างกายยังไม่ตื่นเต็มที่ ทำให้สมองไม่สามารถ
    สั่งการให้ร่างกายเคลื่นไหวได้(แต่สามารถคิดได้)
     

แชร์หน้านี้

Loading...