ติดตามสถานะการณ์

Jeerachart Jongsomchai

... ประวัติศาสตร์พม่าที่ยาวนานมีชนชาติใหญ่ๆอยู่สามเชื้อชาติคือ มอญ พม่า และไตหรือไทใหญ่ อย่าว่าแต่คนแขกหรือโรฮีนญาเลย หลายส่วนรัฐบาลพม่ายังไม่ได้ลงทะเบียนคนไตเป็นพลเมือง หลายคนยังเป็นคนเถื่อนในดินแดนตัวเองอยู่เลย

Mao LanghKur



ประกาศอีกครั้งนะครับ ตามข้อตกลงสันติภาพที่เจ้ายอดศึกไปเจรจากับรัฐบาลพม่าไว้ และทางมุกจุมจ้าวเครือไตได้เคยเก็บทะเบียนประวัติสำหรับคนที่ยังไม่มีบัตรประจำตัว (หม่าตปองติ่น) ทั้งนี้ทางรัฐบาลพม่ายอมที่จะเดินทางเพื่อมาจัดทำทะเบียนประวัติสำหรับคนไตที่ไร้บัตร ยังไม่มีเอกสารประจำตัวที่ อ.หัวเมือง จังหวัดลางเคอ ชายแดน ติดกับประเทศไทยด้าน แม่ฮ่องสอน ระหว่างวันที่18/05/ 15ถึง18/06 /15ที่จะถึงนี้นั้น สำหรับคนที่ไตที่ต้องต้องการจะเดินทางไปทำเอกสารข้างต้น ให้ติดต่อสอบถามตามเบอร์ในรูปได้เลยครับ สำหรับใครที่อยู่ที่กทม.ค่าใช้จ่ายมีคนนำพา ตกหัวละ 4500บาท สำหรับที่เชียงใหม่ตกหัวละ 3500บาทกรุณาสอบถามรายละเอียดให้แน่นอนอีกทีตามเบอร์ข้างต้นครับ ต้องริบกันหน่อยนะครับ ได้ข่าวมาว่าถ้าเขาจัดทำเอกสารเสร็จไวโดยที่คนยังเดินทางไปทำน้อย หรือบางวันไม่มีเลย เขาจะเดินทางกลับก่อนกำหนดนะครับ เมื่อวานมีกลุ่มพี่ๆน้องๆไตได้เดินทางออกจากกทม.ไปแล้วรอบหนึง และดูเเหมือนจะมีรอบที่สองครับ ถ้าท่านพลาดครั้งนี้จะเป็นคนไร้รัฐ หรือพูดง่ายๆเป็นคนเถื่อนไปเลยครับ ถ้ายังไม่มีเอกสารใดๆ..ในรูปน้องหมวยฟูคนใส่ชุดไตรอให้คำปรึกษาและช่วยเหลือท่านอยู่ที่หัวเมืองนะครับ รูปอื่นๆคือคนที่ได้เอกสารแล้วครับ ทำจริงได้จริงครัง ตามข้อตกลง...ที่เขาให้ไว้กับ ดอยไตแลง*

 

Jeerachart Jongsomchai



... "ผลจากสงครามในอิรักและซีเรียของยิวและอเมริกา = ทำให้มีผู้อพยพแล้ว 15 ล้านคนม"
... หลายคนที่อาศัยอยู่ยุโรปนานหรือคบค้ากับคนยุโรปอาจจะมีแนวคิดโน้มเอียงไปด้านที่คิดว่าชาวอพยพจากเอเชียหรือแม้แต่ในอาฟริกาหนีไปยุโรปนั้นมาจาก "การแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในเมืองที่เจริญ" เพียงอย่างเดียว โดยอ้างว่าไปเบียดเบียนแย่งทรัพยากรทำให้เป็นภาระกับภาษีชาวบ้านชาวเมืองคนเจ้าของประเทศ ... คือคำตอบเดียวในใจที่ปิดล๊อคด้วยกุญแจหนาเท่าช้าง
... ( คือต้องดูเป็นกรณีไปอย่างโรฮีนจานั้นเป็นกรณีนี้ที่หวังหาชีวิตที่ดีกว่า เพราะพวกเขามีการอพยพหลายรุ่นมานานสืบต่อกันมา ไปทั่วโลก )
... แต่นั้นก็ไม่ใช่ผิดทั้งหมด เพียงแต่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกเกิน 5 - 10 % เพราะจากตัวเลขล่าสุดของ UN นายAntonio Guterres ที่ทำงานเกี่ยวกับการอพยพบอกว่า จากวิกฤติสงครามในอิรักและซีเรีย ที่อิสราเอลและอเมริกาสร้างขึ้นโดยมีชาติยุโรปหนุนหลังอย่างฝรั่งเศศ เยอรมันนั้นมีผู้อพยพแล้วกว่า 15 ล้านคน
... โดยศูนย์ใหญ่ที่สหประชาชาติจัดไว้ว่าจะให้เป็น "ศูนย์พักพิงชั่วคราว" แก่ชาวอพยพนั้นข่าวว่ากำลังจะกลายเป็นศูนย์อพยพถาวรแล้ว อย่างเช่นศูนย์ที่ Zaatari ในจอร์แดนที่เปิดเมื่อ 28 กรกฎาคม 2012 นั้น จนถึงตอนนี้นักวิเคราะห์ต่างชาติบอกว่าโอกาศจะเป็น ศูนย์อพยพถาวร สูงมาก
... จอร์แดนนั้นจำต้องรับไว้เพราะอเมริกาเอาเงินชั่วเหลือแบบให้เปล่าและเงินให้กู้ยืมมาล่อ ( จอร์แดนเป็นประเทศในอาหรับไม่กี่ประเทศที่ไม่ค่อยมีน้ำมัน ) คือประชาชนจอร์แดนนั้นก็ไม่ชอบอเมริกาและอิสราเอลเท่าไหร่ แต่อเมริกาก็ฉลาดจับแต่ระดับหัวๆใหญ่ๆก็พอ ประชาชนจอร์แดนเคยประท้วงอเมริกาแต่นั้นก็โดนรัฐบาลปราบเกลี้ยง
... นับจากวันนั้นถึงวันที่ 26 มีนาคม ปี 2015 นี้, ศูนย์อพยพรับคนไว้แล้วทั้งหมด 83,000 คน แล้วที่เหลืออีก 14 ล้านคนกว่าๆจะไปไหน ก็ต้องไปหาที่สงบกว่า หันไปไหนก็มีแต่สงคราม ก็ต้องหันไปหายุโรป ล่าสุดอียูก็บอกเองว่าจะใช้มาตรการแข็งในการจัดการปัญหานี้โดยการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการยึดและเผาทำลายเรือผู้อพยพเข้าเมือง โดยเฉพาะผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
... โดยในศูนย์เองก็ลำบาก Abu Eissa ผู้อพยพรายหนึ่งบอกว่า "ที่นี่มีปัญหาทั้งเรื่องไฟฟ้า น้ำ โดยไม่มีไฟฟ้ามานานห้าหกเดือนแล้ว นอกจากนั้นยังมีพายุทราย ที่ทำให้ผู้อพยพมีปัญหาเกี่ยวกัยปอด" นอกจากนั้นอาหารที่มีก็ไม่เพียงพอ สภาพเต้นท์ที่อยู่ก็ไม่ดีเท่าไหร่ต่อคนเหล่านั้น ซึ่งมีวัยเด็กอยู่มาก
... ยังไม่นับสงครามจาก "ลิเบีย" ที่อเมริกาไปปล้นบ้านปล้นเมืองปล้นน้ำมันเขา ทำให้ไม่สงบเกิดสงครามกลางเมือง ผู้คนต้องอพยพหนีไปหาความสงบ
... การแก้ไขปัญหาโดยการพยายามจะสร้างศูนย์อพยพอีกแห่งใหม่ก็ไม่ใช่ทางออกทางแก้ไขที่ถาวร ตราบใดที่ฝ่ายอิสราเอลและอเมริกาพยายามหนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลและกลุ่ม ISIL ตระกูลอัง อัสสาด ที่มีรัสเซีย อิหร่านหนุนหลังอยู่ สงครามไม่จบผู้อพยพก็ไม่มีทางลดลง (
( ... เหมือน "ศูนย์อพยพชาวกะเหรี่ยงในไทย" ที่กลายเป็นศูนย์ถาวรไปเรียบร้อยแล้ว
... ในปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ลี้ภัยที่ลงทะเบียนแล้วกว่า 82,000 คนและ ผู้ขอลี้ภัยอีก 13,000 คน (ข้อมูล ณ เดือน มิ.ย 2556) ซึ่งได้หนีภัยความขัดแย้งภายในประเทศพม่าข้ามชายแดนตะวันออกของประเทศที่บริเวณชายแดนไทย-พม่ามายังฝั่งไทยต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 30 ปี ซึ่งส่วนมากเป็นชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยงและกะเหรี่ยงแดง (กะยาห์)
... ผู้ลี้ภัยเหล่านี้อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย หรือพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่งใน 4 จังหวัดตามแนวชายแดนในประเทศไทย "ค่ายเหล่านี้ได้รับการดูแลจากรัฐบาลไทย" ผู้ลี้ภัยได้รับความช่วยเหลือขั้นพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ที่พักอาศัย ยารักษาโรค และการให้การศึกษาซึ่งดำเนินการโดยองค์กรพัฒนาเอกชน )
... ดังนั้นคนไทยที่อยู่ในยุโรปหรือคบค้ากับคนยุโรปโปรดเข้าใจถึงรากเหง้าของปัญหาด้วยตามหลัก อิทัปปัจจยตา ด้วยว่าทุกอย่างมีเหตุมีผลที่ต่างกัน ต้องมองอย่างละเอียด ต้องเอาปัญหามาหมุนไปมาบอดดูทุกมุมแล้วจะเข้าใจว่า ผู้อพยพบางครั้งก็หนีเพราะสงครามที่เกิดในบ้านเมืองเขา
... และที่สำคัญคนกลุ่มนี้กลับไม่มองตอนที่ชาวยุโรปผิวขาวล่าอาณานิคมไปทั่วโลกปล้นฆ่าไปทุกดินแดนเพื่อจะดึงดูดเอาทรัพยากรไปบำเรอชนชั้นสูงทั้งเจ้านาย ขุนนาง กระฎุมพีมานานเป็นร้อยปี จนหลายประเทศไปตั้งรกรากแทนคนพื้นเมืองเดิม อย่างเช่น อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เพราะนั้นคือการอพยพเพื่อ "การแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในเมืองใหม่" โดยการไป "ปล้นฆ่าเบียดเบียนชาวพื้นเมืองที่โหดร้ายเลวทรามที่สุด" ในประวัติศาสตร์โลก ที่คนบางคนไม่เคยเข้าใจ และไม่อยากจะเข้าใจ
.http://www.euronews.com/…/un-refugee-chief-15-million-disp…/
Zaatari refugee camp - Wikipedia, the free encyclopedia
https://www.unhcr.or.th/th/refugee/thailand

 

Jeerachart Jongsomchai

... "พม่ามีปัญหากับคนโรฮีนจา ... ไทยก็เริ่มมีปัญหากับเมียนม่าร์ทาวน์ครอบครองสมุทรสาคร"

ยงยุทธ เสมอมิตร



๐ “ที่นี่ ไม่ใช่บ้านของเราอีกแล้ว”...!!!

เสียงซุบซิบของคนไทยกลุ่มหนึ่งดังอื้ออึงภายในรถตู้ ขณะกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัดที่ผู้อาศัยกว่าครึ่งของจำนวนประชากรทั้งหมดเป็นชาวพม่าผู้อพยพมาจากอีกฟากฝั่งของชายแดนตะวันตก จนใครหลายคนเรียกขานดินแดนแห่งนี้ว่า ‘เมียนมาร์ ทาวน์’

นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้าสู่ตัวเมืองมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร กลิ่นเหม็นคาวปลาและอาหารทะเลสดคล้ายเป็นอัตลักษณ์ประจำถิ่นคอยต้อนรับผู้มาเยือนไปแล้ว แต่นั่นกลับกลายเป็นเพียงข้อกังขาเล็กๆ เมื่อเทียบกับความรู้สึกที่ว่า.. ระยะทางห่างจากเมืองหลวงเพียง 36 กิโลเมตร จะมีเมืองทั้งเมือง ที่ทำให้เรารู้สึกราวกับว่า กลายเป็นคนแปลกหน้าในบ้านของตัวเองได้เชียวเหรอ ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหน ทุกทิศทางล้วนเต็มไปด้วยผู้คนปะแป้งหน้าขาว พูดภาษาไม่คุ้นหู แถมตามมุมตึก อาคารบ้านเรือนยังมีแผ่นป้ายโฆษณาภาษาที่ไม่รู้จักอีกด้วย ทีมข่าวฯ ขอบุกสู่ใจกลาง ‘เมียนมาร์ ทาวน์’ ตีแผ่เรื่องราวคำถามที่ยังคงไร้คำตอบ การย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวพม่าจำนวนมาก กำลังเป็นปัญหาคุกคามสังคมไทยหรือไม่?

ร้านไทยทยอยเจ๊ง!! ต่างด้าวเปิดแข่ง!!

“เมื่อก่อนยังขายดีค่ะ แต่เดี๋ยวนี้ขายไม่ค่อยได้เลย พม่าแย่งลูกค้าไปหมดแล้ว”

ลึกเข้าไปในชุมชนตลาดกลางกุ้ง อำเภอมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร คำวิงวอนของป้าสุจินต์ มากรักษา เจ้าของร้านค้าชำ ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่กิจการของเธอ เริ่มซบเซาลงเมื่อช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภายหลังแรงงานพม่าผู้เคยเป็นลูกค้า เริ่มผันสถานะเป็นคู่แข่งขัน “ที่นี่ร้านป้าเปิดเป็นร้านแรกๆ เมื่อก่อนขายดีมากค่ะเพราะมีแรงงานเยอะ แถวนี้ก็มีไม่กี่ร้าน แต่เดี๋ยวนี้พอพม่าเริ่มเปิดร้านขายกันเอง เลยแย่งลูกค้าไปหมดเลย เขาซื้อกันเอง ไม่ซื้อเรา เพราะพูดภาษาเดียวกันได้ เป็นคนบ้านเดียวกัน”

ถัดมาอีกไม่ไกล เจ้าของร้านอาหารตามสั่งชาวไทย วัย 42 ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน “ก็พออยู่ได้นะ แต่ไม่ได้ขายดีเหมือนเดิม พอต่างด้าวเริ่มเข้ามาอยู่กันเยอะเข้า คนไทยก็เริ่มทยอยหนีออกไปหมด พอคนไทยออกไป เราก็ไม่ค่อยมีลูกค้า เพราะพวกแรงงานต่างด้าวเขาไม่ค่อยซื้อสำเร็จกินกัน เขาชอบทำกินกันเองมากกว่า หรือไม่ส่วนใหญ่ก็ซื้อแต่ของพวกเดียวกันเอง เมื่อก่อนน้องสาวก็เคยเปิดร้านขายขนมอยู่ใกล้ๆ นี้ ก็ขายไม่ได้ต้องออกไปทำอย่างอื่น"

ตามหลักข้อกฎหมาย พระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ ฉบับ พ.ศ. 2522 คือห้ามไม่ให้คนต่างด้าวขายของหน้าร้าน งานเร่ขายสินค้า อีกทั้งใน พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 ยังได้ระบุไว้ว่า ห้ามคนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากงาน 2 ประเภท คือ
1.งานกรรมกร
2.งานบริการ"
ทว่า ตอนนี้จากสภาพที่พบเห็น คนต่างด้าวในจังหวัดสมุทรสาคร กลับเปิดกิจการขนาดย่อมของตัวเอง ตั้งแต่รถเข็น ตั้งแผง ฯลฯ ราว 5,000 ร้าน เข้าข่ายผิดกฎเกณฑ์ จึงเกิดเป็นคำถามขึ้นว่า “พวกเขาขายได้อย่างไร?”

“ขายได้ ขายดี ขายเป็นปีแล้ว” นายแดง (นามสมมติ) หนึ่งในชาวพม่าผู้ตั้งโต๊ะขายหมากภายในชุมชนตลาดกุ้ง ให้คำการันตีกับเรา ในขณะมือทั้งคู่หยิบสินค้าใส่ถุงยื่นให้ลูกค้าที่ยืนคอย เมื่อถามต่อไปว่า “ไม่กลัวถูกจับเหรอ? เขาห้ามขายนะ” เจ้าตัวจึงยิ้มโชว์ฟันดำ ก่อนเผยว่า “ไม่กลัว ให้ตังค์แล้ว”

แม้จะพูดภาษาไทยได้ไม่คล่อง แถมบางประโยคก็ต้องชูไม้ชูมือขึ้นประกอบ แต่เขาก็พยายามเล่าให้ฟังว่า ทุกๆ เดือน จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจแวะเวียนเข้ามาเก็บเงินกับผู้ค้าชาวพม่าในชุมชนที่เปิดร้านตั้งแผงขายสินค้าทุกชนิด ไม่ว่าจะของกินหรือของใช้ โดยเฉลี่ยต่อเจ้าต้องจ่ายค่าหัวรายละประมาณ 5,000 บาทต่อเดือน ซึ่งลิสต์ราคาจะปรับเพิ่ม-ลดตามขนาดของกิจการ ส่วนร้านใดขัดขืนจะถูกปรับ-ถูกจับไปเข้าคุกรอดำเนินคดีตามกฎหมาย และถูกส่งตัวกลับบ้านเกิดในท้ายที่สุด

เมื่อเรื่องนี้มีส่วนโยงใยไปถึงผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไทย การติดต่อไปยังสถานีตำรวจในพื้นที่ จนได้ความจาก ดาบตำรวจวิเชียร ชมบ้านแพ้ว ผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาครว่า

“การกระทำแบบนี้มันผิดกฎหมาย เข้าข่ายจงใจลักลอบกระทำผิดต่อข้อตกลง แต่เพราะพวกเขาเริ่มไม่มีทางเลือกจากงานที่ทำๆ กันอยู่ เลยอยากประกอบอาชีพอิสระมากขึ้น อยากได้ค่าครองชีพสูงขึ้น จึงสมยอมให้เงินกับหน่วยงานที่เข้าไปตรวจสอบดูแลตรงนั้น เพื่อผ่อนปรนโทษหรือไม่ให้ถูกจับ อีกอย่างยังมีเรื่องของมนุษยธรรมรวมอยู่ด้วย เขาต้องหาเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน หาเงินเลี้ยงครอบครัว จะให้เราไปจับเลยอย่างเดียว แล้วลูกเมียเขาจะอยู่ยังไง ลองคิดดูสิว่า ถ้าเขาเป็นเรา เราจะอยากทำหรือเปล่า ไอ้งานแกะหัวกุ้ง ทำงานแพปลา หรือกรรมกรในเรือประมง ทำเหนื่อย แต่ยังได้เงินไม่ถึงค่าแรงขั้นต่ำ

แล้วที่มีข่าวว่าตำรวจไปเก็บส่วย หาช่องทางทำมาหากินกับคนพวกนี้ ก็ไม่ได้บอกว่าทุกวันนี้มันจะไม่ผิด ไม่ได้บอกว่ามันไม่มี ถ้ารู้ตัวคนทำก็จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย แล้วจริงๆ เท่าที่ผมพอทราบมา ก็มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมการปกครอง หรือพวกหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ ทำด้วย แต่คนต่างด้าวเขาไม่รู้ คิดว่าเป็นตำรวจอย่างเดียวที่ทำ ตรงนี้มันพูดยาก มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์”

และแน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ลดหย่อนผ่อนปรนจนแรงงานต่างด้าวผุดขึ้นราวดอกเห็ด จึงนำไปสู่ความเดือดร้อนของผู้ประกอบการชาวไทยในพื้นที่ ทว่าในมุมมองของ สมพงค์ สระแก้ว ผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติ หรือ LPN สำนักงานสมุทรสาคร กลับมองว่า
“ที่ร้านค้าถูกแรงงานพม่าแย่งลูกค้า เป็นเพราะคนไทยขายของไม่ตรงตามความต้องการของตลาดเอง เวลา เราไปต่างประเทศ คนไทยก็จะพกปลาร้าอะไรพวกนี้ไปด้วย เพราะหาซื้อยาก แล้วพอไปถึงถ้าเจอของของบ้านเรา ก็อยากจะซื้อไว้กินซื้อไว้ใช้เป็นเรื่องธรรมดา เหมือนกัน ถ้าคนไทยอยากให้เขาซื้อของเรา เราก็ต้องขายของที่เขาต้องการ ไม่ใช่เราต้องการ ส่วนประเด็นที่แรงงานพูดว่าผม ไม่กลัว ผมให้ตังค์แล้ว นั่งหมายถึงอะไร เราจะให้สังคมไทยเป็นอยู่อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องแก้กฎหมายที่มันไม่เอื้อต่อการทำมาหากินอย่างสุจริตของคนในแถบอาเซียนนี้ให้ได้ มิฉะนั้น ผลประโยชน์ใต้ดินดินตกอยู่กับคนบางกลุ่มที่อาศัยช่องว่าง หรือการที่ไม่มีกฎหมายมารองรับ คนไทยบ้านเรายังพยายามหาโอกาสไปเปิดธุรกิจในพม่าและประเทศเพื่อนบ้าน"

"อย่าเอาภาวะจำยอมของแรงงานมาเป็นเครื่องต่อรองเรียกรับเงิน เพราะจริงๆ เขาไม่มีทางเลือกในการประกอบอาชีพมาก” นายสมพงค์ สระแก้ว กล่าวเสริม

อนาคตเด็กไทยดับมอด พม่าช่วยสอนหนังสือ

แม้จะได้ยินคำพร่ำบ่นของผู้ประกอบการชาวไทยจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเกี่ยวกับผลกระทบด้านการค้า แต่เรื่องนั้นกลับน่าหวาดวิตกน้อยกว่าด้านการศึกษาซึ่งกำลังเข้าสู่ “จุดวิกฤต” เพราะทุกวันนี้เด็กไทยในพื้นที่ต้องให้เด็กพม่าอบรมสั่งสอนเสียแล้ว!! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่มีหลายคนยืนยันว่า “เด็กต่างด้าวฉลาดกว่ามาก ถ้าเทียบกับเด็กไทย”
ภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ กับโรงเรียนหลวงแพทย์โกศลอุปถัมภ์ 1 ใน 4 โรงเรียนภายในจังหวัดสมุทรสาครที่เปิดให้เด็กข้ามชาติเข้าเรียนร่วมกับเด็กไทยได้ ทุกๆ วัน หน้าที่นำสวดมนต์ ร้องเพลงชาติ กล่าวคำขวัญ-คำปฏิญาณตน ไปจนถึงดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของนักเรียนหน้าเสาธง กลายเป็นกิจวัตรประจำของเด็กสาวชาวพม่า อย่างเด็กหญิง เกเวีย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เมื่อรู้เช่นนี้ หลายคนคงตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงยอมปล่อยให้เด็กพม่าขึ้นมาอยู่เหนือเยาวชนไทย คุณครูคมชนะ อินทรีย์ อาจารย์ประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียนหลวงแพทย์ มีคำอธิบาย
“ต้องมาลองดูครับตอนเช้าๆ เด็กไทยแทบจะไม่เคยมาเข้าแถวกันทันเลย ส่วนใหญ่จะมากัน 9 โมง 10 โมง ไม่เหมือนกับเด็กพม่าที่มากันตั้งแต่ 6 โมง 6 โมงครึ่ง ขยันอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียน มีระเบียบวินัย แถมยังมาช่วยกันกวาดขยะในโรงเรียน ช่วยงานอาจารย์ด้วย พูดว่าหาได้ยากจริงๆ ในเด็กไทยโรงเรียนเรา”
อาจฟังแล้วน่าใจหายที่คำบอกเล่าของผู้เป็นครู เหมือนกำลังเอนเอียงไปทางด้านเยาวชนข้ามชาติมากกว่าเยาวชนไทย แต่กรณีนี้ มีเหตุผลน่าสนใจอยู่ไม่น้อย

“พูดกันตามตรงนะครับ ในความเป็นครู วิชาชีพนี้ก็มีจรรยาบรรณคล้ายๆ แพทย์ คือไม่เลือกรักษาคนไข้ ไม่ว่าจะคนดีหรือคนไม่ดีต้องช่วยชีวิตหมด ก็เหมือนกัน เราเป็นครูเราก็เลือกสอนนักเรียนไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือข้ามชาติ แต่เท่าที่ผมเห็น คือในส่วนของเด็กไทยกำลังน่าเป็นห่วงมาก เพราะพวกเขาจะชอบโดดเรียน ชอบมาเรียนสาย ไม่สนใจอ่านหนังสือ หรือทำการบ้าน ผิดกับเด็กพม่าเลย พวกเขาตั้งใจเรียน น่าจะเป็นเพราะเด็กข้ามชาติเขาระลึกตัวเองอยู่เสมอว่าเขาด้อยกว่าเด็กไทยเลยต้องขยัน ถ้ามองจากภาพรวม ตอนนี้ก็เฉลี่ยได้เลยว่าเด็กข้ามชาติในโรงเรียนจะมีผลการเรียนเฉลี่ยในระดับดีถึงดีมาก ส่วนเด็กไทยจะอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง อาจจะมีดีบ้างแต่น้อยมาก”

“ส่วนเรื่องของปัญหาเวลาเรียน ก็ใช่ว่าเด็กข้ามชาติจะไม่มีนะครับ ยังมีเรื่องของการใช้คำพูด เรื่องของการตั้งคำถาม และการตอบคำถาม ที่ยังใช้กันผิดบ่อยๆ อยู่ อย่างเด็กข้ามชาติจะชอบสลับคำจากหลังไปไว้หน้าประโยค อย่างคำว่า เจ็บๆ เขาจะออกเสียงไม่ชัดเป็น เจะๆ จึงทำให้มีอุปสรรคต่อการเรียนวิชาภาษาไทย แต่ถ้าเป็นวิชาภาษาอังกฤษ หรือวิชาที่ต้องคิดต้องคำนวณ เด็กข้ามชาติจะทำได้ดีกว่าเด็กไทยมาก”

“Can you Speak English ?” สำเนียงฝรั่งชัดถ้อยชัดคำ บวกกับใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กหญิงเกเวีย นักเรียนชาวพม่าผู้ได้รับตำแหน่งประธานโรงเรียน ช่วยยืนยันสิ่งที่พ่อพิมพ์ของชาติพูดเอาไว้ได้เป็นอย่างดี เธอทักทายด้วยท่าทีละมุนละไมต่อแขกผู้มาเยือน ก่อนจะยกมือไหว้ตามมารยาทแบบไทยๆ แล้วเลือกใช้ภาษาไทยในการสนทนาแทน ด้วยรู้ว่าผู้ถามไม่ค่อยสันทัดภาษาอังกฤษ
“เพื่อนๆ คนไทยก็ดีค่ะ แต่ไม่ชอบอ่านหนังสือ ชอบหนีเรียน เวลาเรียนในห้องก็ไม่ค่อยตั้งใจ เขาจะมาขอลอกการบ้านคนอื่นถ้าทำไม่ได้ แต่จะไม่ยอมถามคุณครู”

เรื่องนี้ นักเรียนหัวโจกชั้นป.4 พร้อมสภาพเสื้อผ้าหลุดออกนอกกางเกง น่าจะการันตีได้ เพราะเห็นกับตาว่าทั้งคู่กำลังรอลอกการบ้านของเพื่อนร่วมห้องอยู่
“พวกผมได้เกรด 2 ครับ พวกเขาได้เกรด 3 เกรด 4 กัน” เมื่อถามต่อไปว่าเพราะอะไรถึงเป็นอย่างนั้น ทั้งสองได้แต่อมยิ้ม เกาหัวแกรกๆ แล้วตอบว่า “เพราะไม่ตั้งใจเรียนครับ”

สร้างเรื่อง หรือ สร้างเมือง?

“ถ้าไม่มีพวกเขา เราแย่แน่” รณฐกฤษ สืบชมภู หนึ่งในเจ้าหน้าที่ประจำมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติหรือ LPN ยอมรับความจำเป็นของชาวพม่าในพื้นที่แถบนี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะทุกวันนี้หลายๆ ธุรกิจในจังหวัดสมุทรสาคร โดยเฉพาะการประมง และอาหารทะเลสด ที่เป็นตัวสร้างเม็ดเงินอันมหาศาลให้กับประเทศ ล้วนต้องพึ่งแรงงานพม่าในการขับเคลื่อน เนื่องจากอาชีพนี้ คนในพื้นที่พากันเมินหน้าหนี

“คนไทยเขาไม่ทำกันหรอกอาชีพแบบนี้ เงินน้อย งานหนัก วันๆ หนึ่งต้องอยู่ในห้องเย็น อุณหภูมิติดลบทีละหลายๆ ชั่วโมง หรือต้องนั่งแกะหัวกุ้ง คัดหอยคัดปลา อยู่กับกลิ่นเหม็นคาวทั้งวัน พูดก็พูดเถอะ เป็นผม ผมก็ไม่ทำ”

เหตุผลจากฝั่งเจ้าหน้าที่สอดคล้องกับ คนงานรับเหมาก่อสร้างชาวไทยผู้มาจากภาคอีสานคนหนึ่ง ที่กล่าวว่า “จริงๆ เมื่อก่อนคนไทยก็พอมีนะ แต่พอเถ้าแก่เริ่มรับพม่ามาทำ คนไทยก็ทยอยออกกันไป เพราะมีปัญหาเรื่องภาษา คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วเถ้าแก่ชอบพม่ามากกว่าด้วย เพราะพวกนี้สู้งาน อีกเรื่องคือลึกๆ แล้วคนไทยไม่ค่อยชอบพม่าตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว มองว่าพวกนี้ต่ำบ้าง อันตรายบ้าง เชื่อถือไม่ได้บ้าง เขาก็เลยย้ายไปหางานอื่นทำ”

ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ชาวไทยพื้นถิ่นจะรู้สึกหวาดระแวงแรงงานต่างด้าว....ในประเทศนี้ที่ทหารแสนจะเข้มแข็ง.. ใครรับผิดชอบครับ...

 

ทหารปฏิรูปประเทศไทย
วันที่ 26 พ.ค.58 กองทัพไทย ไล่ตะเพิดฝูงบินลาดตระเวนสอดแนมอเมริกาออกไปจากแผ่นดิน



เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา กองทัพเรือไทย และกองทัพเรือสหรัฐ ได้จัดการฝึกปราบเรือดำน้ำขึ้น เพื่อเพิ่มพูนทักษะและประสบการณ์ในการปฏิบัติการของเรือดำน้ำ และการปราบเรือดำน้ำของทั้งสองประเทศ
การฝึกผสมชื่อคือ Guardian Sea 2015 เวลา 5 วัน บริเวณทะเลอันดามัน โดยมีกองเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ เป็นหน่วยรับผิดชอบการฝึก กำลังของฝ่ายไทยประกอบด้วย เรือหลวงอ่างทอง, เรือหลวงสุโขทัย, เรือหลวงทยานชล และ เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ S-70B
กำลังฝ่ายสหรัฐฯ ประกอบด้วยเรือดำน้ำ USS Key West เรือพี่เลี้ยงเรือดำน้ำ USS Emory S. Land และเครื่องบิน P-3C Orion จำนวน 1 เครื่อง เครื่องบินชนิดนี้เป็นอากาศยานปราบเรือดำน้้ำ โดยมีกำลังพลของกองทัพเรือไทย ลงไปร่วมฝึกในเรือดำน้ำสหรัฐด้วย
ครบ 5 วันแล้ว สหรัฐฯ มีอาการอิดออด ต้องการจะคงเครื่องบินของตนไว้ ขอใช้พื้นที่กองทัพไทยที่เกาะภูเก็ต โดยใช้เครื่องบินสอดแนม อ้างบ้าๆ บอๆ ว่าต้องการใช้เกาะภูเก็ต เป็นฐานปฏิบัติการเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพชาวโรฮินจา..น้าน !!
ช่วงที่ผ่านมา อเมริกา และ UN จึงแถลงอ้าง โน่น นี่ นั่น กดดันไทยเรื่องโรฮินจา หวังจะให้ยอมให้ใช้พื้นที่จอดเครื่องบินสอดแนม แต่ไทยรู้ทันแผนการร้าย คือ อเมริกาจะส่งเครื่องบินสอดแนมของตนเอง แส่เข้าไปในทะเลจีนไต้
พร้อมกับเรือรบของตนที่ไปป่วนจีนอยู่แถวนั้นก่อนแล้ว และจะอวดอิทธิพลของตนในย่านนี้ หวังจะยุแยงให้ตั่วเฮียจีนให้ไม่พอใจไทย จากนั้นวางแผนยาว จะมาตั้งฐานทัพแบบในญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ แล้วจะยึดเกาะภูเก็ต เป็นฐานทัพของตนเอง
มีควันกรุ่นๆ ออกหูจากกองทัพไทย เพราะอเมริกาไม่ใช่พ่อ จึงไม่อนุญาตตามที่อเมริการ้องขอ และไล่ตะเพิดสั่งให้เครื่องบินลาดตระเวนสอดแนมของสหรัฐฯ ออกไปให้พ้นจากภูเก็ตทันที เพราะเรือบรรทุกเครื่องบินของเขาเองก็มี ทางจีนมีข้อพิพาทอยู่กับประเทศต่างๆ ในอาเซียน
เมื่อสหรัฐส่งเครื่องบิน พร้อมนักข่าวเข้ามาสอดแนมในพื้นที่ จีนเอง ก็ประกาศไล่ตะเพิดกองเรือสหรัฐ ไปพ้นทะเลจีนใต้ เผลอไม่ได้ เป็นตอด..อเมริกามันเป็นสิ่งมีชีวิตพันธุ์ไหนนี่ ดื้อด้าน และชอบยุคนโน้น แหย่คนนี้ ให้ผิดใจกันไปหมด
@ เสธ น้ำเงิน4 : กดปุ่ม “ติดตาม” ด้านบนเพจ เพื่อรับข่าวครั้งต่อไป
http://www.facebook.com/thailandcoup

 

ทหารปฏิรูปประเทศไทย



วันที่ 25 พ.ค.58 คงไม่เวอร์เกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าอีกไม่นานจะเกิดเหตุใหญ่ในซาอุฯ และวินาศกรรมในอิหร่าน
จากกรณีมือระเบิดพลีชีพ ของกลุ่ม IS ฮอลีว๊ด ฆ่าทหารซาอุดิฯ ตาย จากนั้นสวมใส่ชุดปากีสถาน เข้ามาโจมตีในมัสยิดของซาอุฯ ตายไปเพียบเกือบ 100 ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก ทางการซาอุดิฯ เพิ่งได้จับกุมกลุ่ม IS มาแล้ว 26 คน ทั้งหมดเป็นชาวซาอุดิฯ เอง
ในขณะที่ชาวซาอุดิ นับร้อยคนออกมาเดินประท้วงตามท้องถนนเมืองกาดีฟ รัฐโกฏียฟ์ พร้อมกับประณามเหตุระเบิดพลีชีพ สังหารชาวชีอะห์ ผู้เดินประท้วงได้ตำหนิรัฐบาลซาอุ และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ โดยนำธงของกลุ่ม IS มาสวมใส่
ตอนนี้กองกำลังรัฐบาลฮูทีของเยเมน ได้สอยเครื่องบินรบ F-16 ราคาแพงระยับของซาอุฯ และบรรดาพันธมิตร ร่วงหัวปักเป็นวาเล่น แถมโจมตีพื้นที่ชายแดนของซาอุดิ ตายและบาดเจ็บเพียบ รวมทั้งใช้จรวด และปืนใหญ่โจมตีฐานทัพทหาร
รถถัง 2 คันของซาอุดิ ถูกยิงถล่มพังเสียหายยับ ทหาร ซาอุดิ ถอยร่นหนีกระเจิงไม่เป็นกระบวน จนทหารเยเมนได้รุกคืบยึดฐานบัญชาการกองกำลังรักษาชายแดน ติดกับเชิงเขายุทธศาสตร์ ญาห์ฟอน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของซาอุดิแล้ว
ทหารซาอุฯ ประมาณ 85 นาย ได้ยอมมอบตัวกับกองทัพเยเมนและทหารเยเมนสามารถควบคุมเขตพื้นที่ใกล้เคียงได้ทั้งหมด ด้านเจ้าชาย มุฮัมมัด บินซัลมาน รมต. กลาโหมซาอุดี หลังจากกลับจากการเยือนอเมริกา ได้ไปฮันนีมูนยาว ที่ปารีส ฝรั่งเศสกับภรรยาคนที่สอง
บรรดานายพล และทหาร แสดงความไม่พอใจอย่างมากต่อพฤติกรรมของเขา แต่ทว่าทุกคนไม่มีใครที่กล้าท้วงติงและตักเตือนเขา ตอนนี้กษัตริย์องค์ใหม่ขอซาอุฯ ป่วยด้านสมองและความจำ ดังนั้นการตัดสินใจใดๆ ในประเทศ ต้องได้รับการอนุมัติจากเขาก่อน
--------------------------------->
ประมวลสถานการณ์ในซาอุฯ แล้วเจอปัญหาใหญ่หลายประการคือ กษัตริย์ผู้ปกครองมีอาการป่วย การบริหารประเทศแท้จริงกลายเป็นเจ้าชายที่เป็นลูกที่กดรีโมทบริหารทางไกล และตอนนี้สถานการณ์ชายแดนซาอุฯ ล่อแหลมมาก
ทหารก็ขาดขวัญกำลังใจ จนเกิดระส่ำระสาย การรบก็ทำแบบขอไปที พอถูกกองทัพเยเมนโจมตีฐานทัพชายแดนหนักๆ แม้อาวุธดีกว่าจมกระเบื้อง ก็ยอมแพ้ประชดเป็นเชลยเอาซะดื้อๆ แถมทหารซาอุฯ แตกทัพหนีไปแล้วราว 10,000 นาย แม้เครื่องบินรบ F-16 ที่ซาอุฯ ซื้อมาจากอเมริกา ก็ตกเอาๆ เหมือนว่าวจุฬา
ในประเทศซาอุฯ เองก็เน่าใน กลุ่ม IS ฮอลีวู๊ด ก็ก่อเหตุระเบิดพลีชีพ ตายเป็นใบไม้ร่วง แถมประกาศจะก่อเหตุอีกเรื่อยๆ โดยมีกลุ่ม IS เป็นชาวซาอุฯ เอง จะป้องกันก็ยากมาก ส่วนประชาชนซาอุฯ ก็แตกเป็นฝักเป็นฝ่าย ก่อม็อบประท้วงวุ่นวายอีก
อเมริกา ชอบสภาพแบบนี้มาก เขาจะรอจนซาอุฯ น่วมและอ่อนแอไปหมดถึงขีดสุด ถึงตอนนั้นเขาจึงจะลงมือซ้ำๆๆ ทันที ยังไม่รู้ว่าซาอุฯ กับ อิหร่าน ใครจะโดนอเมริกาโค่นก่อนกัน
แต่ฟันธงว่าระเบิดลูกต่อไป จะเกิดขึ้นในจุดที่มีคนเยอะๆ เมืองใหญ่ของอิหร่าน เช่น ห้างใหญ่ๆ ใครมีญาติระวังด้วย เพราะมือที่มองไม่เห็น ต้องทำให้รุนแรงสลับกันไปมาระหว่างมุสลิมชีอะห์(อิหร่าน) กับมุสลิมสุนนี (ซาอุ) เพื่อให้แต่ละฝ่ายเข้าใจผิดกัน
แล้วให้สองฝ่ายซัดกันเองให้น่วม..แล้วตนเองจะเข้ามาเก็บทรัพย์จากซากของทั้งคู่ ไม่เชื่อคอยดูฝีมือ ตอร์ปิโดดำได้เลย
@ เสธ น้ำเงิน2 : กดปุ่ม “ติดตาม” ด้านบนเพจ เพื่อรับข่าวครั้งต่อไป
http://www.facebook.com/thailandcoup

 

ไอซิส รับ 2 ล้านดอลลาร์ ค่าจ้างระเบิดมัสยิดชีอะห์ในซาอุ
ตะวันออกกลางby เอบีนิวส์ทูเดย์ - พ.ค. 25, 2015



กลุ่มก่อการร้ายไอซิส ได้รับเงินค่าตอบแทนจำนวน 2 ล้านดอลลาร์ จากแผนปฏิบัติการก่อเหตุระเบิดมัสยิดชีอะห์ใน เมือง อัลกอตีฮ ซาอุดิอาระเบีย โดยรับเงินจากหน่วยงานความมั่นคงของชาติตะวันตก

สำนักข่าวอิรนาของทางการอิหร่าน รายงานอ้าง หนังสือพิมพ์ อัลรัยอ์ คูเวต ที่ระบุว่า มีนายพลระดับสูงสามคน ซึ่งอยู่ในหน่วยงานด้านความมั่นคง ได้พบปะเจรจากับแกนนำกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ห้าคน โดยหนึ่งในนั้น มี อบูบักร์ บักดาดีร่วมอยู่ด้วย ซึ่งมีการพบปะ ณ เมืองหนึ่งทางภาคเหนือของอิรัก โดยยื่นข้อเสนอจะมอบเงิน 2 ล้านดอลลาร์ ในการก่อเหตุระเบิดมัสยิดชีอะห์ในซาอุดิอาระเบีย

นายพลดังกล่าว ย้ำอีกว่า นอกจากจะมอบเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว ยังจะให้อาวุธที่ทันสมัยกับกลุ่มก่อการร้ายไอซิสอีกด้วย

แม้นว่า ไม่มีการระบุหน่วยงานด้านความมั่นคงดังกล่าวว่ามาจากชาติใด แต่จากพยานหลักฐานเป็นที่ชัดเจนว่า หน่วยงานมอสสาด มีความสัมพันธ์ที่ชิดใกล้และแน่นแฟ้นกับกลุ่มก่อการร้ายไอซิส เพื่อก่อเหตุและสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างประชาชาติอิสลาม

เหตุระเบิดพลีชีพสังหารชาวชีอะห์ในมัสยิดอิมามอาลี ซาอุดิอาระเบีย เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 21 คน และบาดเจ็บอีกนับสิบคน



ایرنا - روزنامه الرای: درآمد 2 میلیون دلاری گروه تروریستی داعش از انفجار مسجد شیعیان عربستان

ไอซิส รับ 2 ล้านดอลลาร์ ค่าจ้างระเบิดมัสยิดชีอะห์ในซาอุ | abnewstoday

 

ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ชี้ ทุกกล่องเสียงที่เปล่งออกมาเพื่อสร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิม คือลำโพงของศัตรู ตะวันออกกลางby เอบีนิวส์ทูเดย์ - พ.ค. 25, 2015



presstv – อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลามอิหร่าน กล่าวว่า ศัตรูอิสลามกำลังสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาติอิสลาม

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (23) อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลามอิหร่าน กล่าว ในการเข้าพบของคณะผู้เข้าร่วมแข่งขันทดสอบกุรอานนานาชาติครั้งที่ 32 ที่จัดขึ้น ณ กรุงเตหะราน ว่า “การสร้างความแตกแยกและการแบ่งให้ประชาชาติอิสลามออกเป็นสองฝ่ายนั้น ถือเป็นแผนการหลักของศัตรูอิสลามในวันนี้ ด้วยเหตุนี้ทุกคนต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ อย่าได้ส่งเสียงในการสร้างความแตกแยกและเป็นเครื่องขยายเสียงของศัตรูอิสลามและกุรอานเป็นอันขาด”

ผู้นำสูงสุดอิหร่านย้ำว่า “ทุกกล่องเสียงที่สร้างความแตกแยก คือ ลำโพงของศัตรู”

อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวถึงแผนการและการดำเนินการของศัตรูอิสลามว่า ศัตรูต้องการสร้างความแตกแยกระหว่างชีอะห์ ซุนนี อาหรับกับชนชาติที่ไม่ใช่อาหรับ ชาติพันธุ์กับเชื้อชาติ และชาตินิยม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำสั่งของเหล่าผู้ประสงค์ร้ายต่อประชาชาติอิสลามทั้งสิ้น ซึ่งควรมี “บาศีรัต” (รู้แจ้ง) และ “ความมุ่งมั่น” ในการเผชิญหน้าต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้

อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงใบสั่งในการเยียวยาปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกอิสลามในวันนี้ ว่า “ในวันนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่โลกอิสลามกำลังตกอยู่ในสถานะภาพที่ลำบากเนื่องจากความอ่อนแอ ความขัดสน ความแตกแยก และสงครามภายในที่เกิดจากการกดดันของระบอบอานารยะ ซึ่งมีแนวทางเดียวเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากับการกดดันที่ถูกบีบบังคับ คือ การยอมจำนนต่อหลักคำสอนของอัลกุรอาน และความมุ่งมั่นอย่างจริงจังเพื่อขับเคลื่อนและก้าวไปสู่เป้าหมายที่สูงส่ง”

ผู้นำสูงสุดอิหร่าน กล่าวเสริมว่า “วันนี้เป็นความโชคดีที่การเคลื่อนไหวไปสู่อิสลามและอัลกุรอานในหมู่ประชาคมมุสลิมก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยที่การตื่นตัวของอิสลามคือหนึ่งในผลที่ดีงามของมัน”

ผู้นำการปฏิวัติอิสลามย้ำว่า “การตื่นตัวของอิสลามคือข้อเท็จจริงหนึ่งที่ไม่อาจถูกทำลายลงได้และผลต่างๆ ของมันก็จะขยายตัวออกไปในแต่ละวัน”

ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า หากเราก้าวเดินสู่เป้าหมายอันสูงส่งของกุรอานหนึ่งก้าว พระองค์ก็จะทรงประทานพละกำลังที่เข้มแข็งหลายเท่าตัวแก่เรา ซึ่งเรื่องนี้ชนชาติอิหร่านมีประสบการณ์มาแล้ว เมื่อเผชิญหน้าต่อสู้กับผู้อหังการ ก็สามารถก้าวถึงยังความสามารถ ศักยภาพและความหวังที่เพิ่มสูงขึ้นเสมอ

ผู้นำสูงสุดแสดงความคาดหวังว่า ประชาชาติอิสลามแทนที่จะมีการพูดคุยเรื่องราวกุรอานเพียงอย่างเดียวแล้ว ก็ควรจะนำเอาหลักคำสอนของอัลกุรอานมาปฏิบัติใช้และเป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริงด้วย

ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ชี้ ทุกกล่องเสียงที่เปล่งออกมาเพื่อสร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิม คือ

 

อิสราเอลทิ้งระเบิดนิวตรอนลงในเยเมน
Category: News & Event Published on Monday, 25 May 2015 16:37 Written by Islamicstudiesth Team.



ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกันเปิดเผยว่า ไซออนิสต์ได้ส่งเครื่องบินรบของตนหลายลำซึ่งถูกทำสีด้วยสีของเครื่องบินรบซาอุดิอาระเบียเข้าร่วมทิ้งระเบิดในเยเมน
<iframe width="720" height="400" src="https://www.youtube.com/embed/x7UHl3CxP-A" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
https://youtu.be/x7UHl3CxP-A



อัลอาลัมรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากสำนักข่าว "Sabanet" ว่า "กอร์ดอน ดัฟฟ์" (Gordon Duff) ได้เปิดเผยถึงการเข้าร่วมของอิสราเอลในการโจมตีเยเมน โดยกล่าวว่า : การโจมตียังเขตพื้นที่ "ญะบัล นิก็อม" ในสัปดาห์ที่แล้ว เกิดขึ้นโดยเครื่องบินรบลำหนึ่งของอิสราเอลโดยใช้ระเบิดนิวตรอน

“ดัฟฟ์” ได้ตีพิมพ์รายงานลงในหนังสือพิมพ์ "Veterans Today" พร้อมกับนำเสนอหลักฐานทางด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระเบิดที่ถูกยิงลงในเขตพื้นที่ "ญะบัล นิก็อม" โดยกล่าวว่า : ระเบิดนิวตรอนนี้เครื่องบินรบลำหนึ่งของอิสราเอลซึ่งถูกทำสีด้วยสีของเครื่องบินรบซาอุดิอาระเบียได้ทิ้งลงในเขตพื้นที่ญะบัล นิก็อม

เขาย้ำว่า : ระเบิดที่เครื่องบินรบ (ของอิสราเอล) ได้ทิ้งลงในพื้นที่ญะบัลนิก็อมนั้น มันไม่ใช่ขนาด 2k lb แบบทั่วไป แต่มันมีขนาดใหญ่กว่านั้นมากนัก

“ดัฟฟ์” กล่าวว่า : เมื่อผมได้ดูวิดีโอการระเบิดด้วยกล้องพิเศษต่างๆ ทำให้ผมรับรู้ว่าในระเบิดที่ถูกทิ้งลงนั้นมีการใช้นิวตรอน

เว็บไซต์ "Veterans Today" ได้เผยแพร่วิดีโอเกี่ยวกับช่วงเวลาในขณะที่ระเบิดนิวตรอนถูกทิ้งลงในเขตพื้นที่ญะบัลนิก็อมโดยเครื่องบินรบของอิสราเอล พร้อมกับย้ำว่า : วิดีโอนี้ถูกบันทึกไว้เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมปีนี้


“กอร์ดอน ดัฟฟ์” เป็นหนึ่งในทหารผ่านศึกของกองทัพเรือสหรัฐที่เข้าร่วมในสงครามเวียดนาม ปัจจุบันเขาเป็นนักการทูตระดับสูงและเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศคนสำคัญในด้านของอาวุธนิวเคลียร์ ปัจจุบันเขามีสถาบันด้านข่าวกรองส่วนตัว และร่วมงานกับบางประเทศเกี่ยวกับปัญหาความมั่นคง

ที่มา : fa.alalam

คลิปวิดีโอจาก : veteranstoday


อิสราเอลทิ้งระเบิดนิวตรอนลงในเยเมน

 

กลุ่มดาอิช (ISIS) เข้าสู่การปฏิบัติการแบ่งแยกซาอุดิอาระเบียออกเป็น 5 ส่วน
Category: News & Event Published on Monday, 25 May 2015 18:26 Written by Islamicstudiesth Team.



การแสดงปฏิกิริยานี้ของรัฐบาลซาอุฯ ได้เกิดขึ้นหลังจากที่กระแสความวิตกกังวลได้ครอบงำบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลของซาอุดีอาระเบีย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายดาอิช (ISIS) ในมัสยิดแห่งหนึ่งทางตะวันออกของประเทศนี้

ญอมนิวส์รายงาน โดยอ้างแหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์ "อัลมุสตักบัล" ว่า : "นายพลจัตวาบัซซาม อะฏียะฮ์" โฆษกกระทรวงต่างประเทศซาอุฯ ประกาศในวันนี้ในการแถลงข่าวว่า กองกำลังของกลุ่มดาอิช (ISIS) กำลังพยายามที่จะสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนของซาอุดิอาระเบีย และแบ่งประเทศนี้ออกเป็น 5 ส่วน"

การแสดงปฏิกิริยานี้ของรัฐบาลซาอุฯ ได้เกิดขึ้นหลังจากที่กระแสความวิตกกังวลได้ครอบงำบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลของซาอุดีอาระเบีย อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายดาอิช (ISIS) ในมัสยิดแห่งหนึ่งทางตะวันออกของประเทศนี้

ที่มา : jamnews

กลุ่มดาอิช (ISIS) เข้าสู่การปฏิบัติการแบ่งแยกซาอุดิอาระเบียออกเป็น 5 ส่วน

 

พิธีศพบรรดาชะฮีดจากเหตุระเบิดในเมืองกอฏีฟ,ซาอุดีอารเบีย + ภาพถ่ายและวิดีโอ Category: News & Event Published on Monday, 25 May 2015 23:02 Written by Islamicstudiesth Team.



<iframe width="720" height="400" src="https://www.youtube.com/embed/CVJELaNNy-w" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
https://youtu.be/CVJELaNNy-w

พิธีศพของ 21 ชะฮีดที่ถูกระเบิดจากการก่อการร้ายเมื่อวันศุกร์ในมัสยิดอิมามอะลี (อ.) ในเมืองกอฏีฟของซาอุดีอาระเบียได้ถูกจัดขึ้นโดยการเข้าร่วมของชาวชีอะฮ์ซาอุฯ จำนวนหลายหมื่นคน
อัลอาลัมรายงานว่า : ชาวชีอะฮ์ในภาคตะวันออกของซาอุดีอาระเบียและบาห์เรนหลายหมื่นคนได้เข้าร่วมพิธีศพ 21 ชะฮีด (ผู้เสียชีวิต) จากเหตุระเบิดการก่อการร้ายเมื่อวันศุกร์ในมัสยิดอิมามอะลี (อ.) ในเมืองกอฏีฟของซาอุดีอาระเบีย

ก่อนหน้านี้คณะกรรมการจัดพิธีศพได้ประกาศว่า พิธีแห่ศพ (ตัชเญี๊ยะอ์) จะเริ่มต้นจาก "ตลาดนัดวันเสาร์" (ซูกุซซับติ์) ในเมืองกอฏีฟในเวลา 15 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่นของซาอุดิอาระเบีย และญะนาซะฮ์ (ศพ) ของบรรดาชะฮีดเหล่านี้จะถูกนำไปยังสุสานในหมู่บ้านอัลกอเฎี๊ยะห์

ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจของซาอุฯ ได้ปิดล้อมจังหวัดอัลอะห์ซาอ์ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของชาวชีอะฮ์เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนในภูมิภาคนี้ไม่ให้เข้าร่วมในพิธีศพดังกล่าว

นอกจากนี้ตามรายงานของแหล่งข่าว อินเทอร์เน็ตในท้องถิ่นในเขตพื้นที่ของเมืองกอฏีฟได้ถูกตัดโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของซาอุฯ เพื่อสกัดกั้นการเผยแพร่ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอต่างๆ ที่เกี่ยวกับพิธีนี้





พิธีศพบรรดาชะฮีดจากเหตุระเบิดในเมืองกอฏีฟ,ซาอุดีอารเบีย + ภาพถ่ายและวิดีโอ

 

เครื่องบินรบซาอุฯ ตกใกล้กรุงซานา
Category: News & Event Published on Sunday, 24 May 2015 17:41 Written by Islamicstudiesth Team.



หนังสือพิมพ์เยเมนรายงานว่า เครื่องบินรบของซาอุฯ ตกในพื้นที่ใกล้กรุงซานาของเยเมน





อัลอาลัมรายงาน : เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ "เยเมนโพสต์" รายงานว่า นักบินของเครื่องบินขับไล่ F-16 ของซาอุฯ ยังคงสูญหายและกองกำลังของกลุ่มอันซอรุลลอฮ์ได้พบสถานที่ตกของเครื่องบินแล้ว

หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้ตีพิมพ์ภาพต่างๆ ของซากเครื่องบินขับไล่ของซาอุฯ ที่กำลังลุกไหม้ บนชิ้นส่วนหนึ่งของเครื่องบินนี้ได้เขียนว่า "Royal Saudi Air Force"

การรุกรานเยเมนของพันธมิตรซาอุดิอาระเบียเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมและยังคงดำเนินมาจนถึงขณะนี้ ในการโจมตีเหล่านี้เขตพื้นที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานของเมืองต่างๆ ตกเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีของพันธมิตรซาอุดีอาระเบียตลอดเวลา

ที่มา : fa.alalam

เครื่องบินรบซาอุฯ ตกใกล้กรุงซานา

 

นายกฯ สั่งตั้งฐานปฏิบัติการเรือลอยน้ำช่วย 'โรฮิงจา' | เดลินิวส์
„นายกฯ สั่งตั้งฐานปฏิบัติการเรือลอยน้ำช่วย 'โรฮิงจา' 'บิ๊กตู่' สั่ง กต.-กลาโหม ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ ช่วยเหลือชาว 'โรฮีนจา' ลอยลำกลางทะเล ชี้อาจต้องรับขึ้นฝั่งช่วงมรสุม-คนป่วย ด้าน 'บิ๊กป้อม'ยินดีให้สหรัฐฯ บินผ่านน่านน้ำไทยสำรวจ 'โรฮีนจา' วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2558 เวลา 19:05 น.



เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) นัดพิเศษ ถึงการแก้ปัญหาผู้อพยพชาวโรฮิงจา ว่า ได้สั่งให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหม ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แก่ชาวโรฮิงจา โดยเฉพาะที่ยังลอยลำอยู่ในทะเล ด้วยการจัดตั้งฐานปฎิบัติการเรือลอยน้ำ โดยใช้เรือขนาดใหญ่ที่มีบุคลากร และอุปกรณ์พร้อมให้การช่วยเหลือ และตรวจสอบพิสูจน์สัญชาติได้ทันที โดยจะมีกำลังทางอากาศบินลาดตระเวน เพื่อชี้เป้า และกำหนดเป้าหมายให้การช่วยเหลือ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวให้มีผลทันทีในวันนี้ อีกทั้งได้ย้ำว่าแนวทางการดำเนินงานของไทยที่ให้ความช่วยเหลือโดยยึดความสมัครใจ และประสานกับประเทศปลายทางที่รับให้ความช่วยเหลือ คือ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ส่วนชาวโรฮีนจาที่ป่วยหนัก อาจให้ความช่วยเหลือกลับเข้ามาฝั่งไทย รวมถึงช่วงมรสุมที่อาจจำเป็นต้องนำขึ้นฝั่ง อย่างไรก็ตามไทยก็จะต้องปฎิบัติตามกฏหมายหลบหนีเข้าเมือง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า แต่ยืนยันว่าเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้นในระยะสั้นเท่านั้น ก่อนประสานประเทศปลายทางให้ดำเนินการต่อไป ขณะที่มาตรการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของไทย หากมีสหรัฐฯ หรือประเทศไหน จะเข้าร่วมปฎิบัติการก็จะต้องยอมรับในการบัญชาการของไทย เพราะถือว่าอยู่ในพื้นที่ และความดูแลของประเทศไทย ส่วนการประชุมในวันที่ 29 พ.ค.นี้ มีประเทศที่ตอบรับเข้าร่วมประชุมแล้ว 17 ประเทศ ซึ่งทั้งหมดจะมาหารือกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปและแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันในระยะยาว ทางด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีสหรัฐฯ ขอบินผ่านน่านน้ำไทยเพื่อสำรวจปัญหาชาวโรฮีนจา ว่า ประเทศไทยได้มีการสำรวจอยู่แล้ว โดยใช้เครื่องบินจากกองทัพอากาศ และเรือจากกองทัพเรือ ขณะเดียวกันมีความยินดีหากทางสหรัฐฯ จะเข้ามาสำรวจ และพร้อมให้ความร่วมมือทุกด้าน แต่ยังไม่ได้มีการประสานงานเป็นลายลักษณ์อักษร มีแค่การประสานในเบื้องต้นเท่านั้น โดยทางสหรัฐฯ สามารถประสานผ่านกระทรวงการต่างประเทศได้ ไม่ต้องผ่านกระทรวงกลาโหมโดยตรง.“

อ่านต่อที่ : นายกฯ สั่งตั้งฐานปฏิบัติการเรือลอยน้ำช่วย 'โรฮิงจา' | เดลินิวส์

 

ยันวัดบ้านไร่ไร้หนี้95ล้าน "ชี้วัด-วิหาร" แยกกันดูแล | เดลินิวส์



„ยันวัดบ้านไร่ไร้หนี้95ล้าน "ชี้วัด-วิหาร" แยกกันดูแล รองประธานกรรมการวัด เผยวัดบ้านไร่ไม่ได้เป็นหนี้ 95 ล้าน ระบุวัดและวิหารเทพฯ แยกบริหารกันอย่างสิ้นเชิง รพ.ศรีนครินทร์จัดสถานที่ให้กราบไหว้หลวงพ่อคูณได้ทุกวัน ส่วนยอดบริจาคเกือบ 50 ล้าน วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2558 เวลา 7:03 น.

เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศหลังจากมีการเคลื่อนสรีระสังขารพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ไปที่อาคาร 7 ชั้นของรพ.ศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นที่ตั้งของภาควิชากายภาคศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ มข. แล้วนั้น รศ.นพ.อภิชาติ จิระวุฒิพงค์ ผอ.รพ.ศรีนครินทร์ พร้อมคณะผู้บริหารโรงพยาบาลได้จัดสถานที่ให้เป็นที่สักการะกราบไหว้หลวงพ่อคูณ เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมาได้มีประชาชนผู้ศรัทธาหลวงพ่อคูณจำนวนมากมาออแน่นเต็มพื้นที่ด้านล่างของอาคาร 7 ชั้น คณะแพทยศาสตร์ เพราะเจ้าหน้าที่ห้ามเข้าไปภายในหรือขึ้นไปที่ชั้น 7 ซึ่งเป็นพื้นที่ดองสรีระสังขารของหลวงพ่อคูณอย่างเด็ดขาด รศ.นพ.อภิชาติ กล่าวว่า การที่ รพ.ศรีนครินทร์ จัดสถานที่ให้ประชาชนผู้เคารพศรัทธาหลวงพ่อคูณได้มาสักการะและกราบไหว้เพราะทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าสรีระสังขารของท่านอยู่ในอ่างดองสรีระสังขารชั้น 7 ของอาคารดังกล่าว และไม่สามารถขึ้นไปกราบไหว้ได้เมื่อผู้ศรัทธาหลวงพ่อคูณมีจำนวนมากยังมากราบไหว้อยู่ที่นี่ จึงต้องจัดสถานที่ให้มาเคารพกราบไหว้นอกจากนี้ยังมีกล้องวงจรปิดที่ถ่ายสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ มายังทีวีวงจรปิดตรงสถานที่จัดให้สักการะหลวงพ่อคูณโดยให้เห็นภาพตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนเกิดความสบายใจ และอุ่นใจขึ้น ที่คณะแพทยศาสตร์ นำสรีระสังขารมาทำตามวัตถุประสงค์ของท่านที่ระบุไว้ในพินัยกรรมพร้อมกับมีการตั้งโต๊ะบริจาคเงินในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ให้มีใครมายกไปได้และการเปิดแต่ละครั้งจะต้องมีคณะกรรมการมาเปิดต่อหน้าสักขีพยานที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อคูณด้วย

ส่วนที่ศูนย์ประชุมเอนกประสงค์กาญจนาภิเษก มข. สถานที่บำเพ็ญกุศลศพหลวงพ่อคูณ นั้นวันนี้ทหาร มทบ.23 ค่ายศรีพัชรินทร์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ นักศึกษา และรปภ.มข. ได้ช่วยกันทำความสะอาดบริเวณศูนย์ประชุมเอนกประสงค์ฯ จนสภาพเข้าสู่ปกติแล้ว นอกจากนี้ยังมีรายงานยอดเงินบริจาคในงานบำเพ็ญกุศลศพหลวงพ่อคูณตลอด7 วันที่ผ่านมา มียอดเงิน 49.7 ล้านบาท โดยเงินทั้งหมดนำเข้ามูลนิธิหลวงพ่อคูณ คณะแพทยศาสตร์มข. โดยแบ่งเป็น 2 บัญชี คือ บัญชีฝากประจำ และบัญชีออมทรัพย์ เพื่อนำมาใช้จ่ายในการจัดงานดังกล่าวพร้อมกับถอนมาใช้รักษาพระสงฆ์อาพาธที่เข้ามารักษาใน รพ.ศรีนครินทร์ ส่วนความเคลื่อนไหวที่วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา พระราชสีมาภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ พร้อมพระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ เจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด นายศักดิ์สิทธิ์ สกุลลิขเรศสีมา นายอำเภอด่านขุนทด นายสมพงษ์ วิริยะจารุ วัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา นายบัญชายุทธ นาคมุจลินท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.นครราชสีมา นายธวัชชัย แสนประสิทธิ์ กำนันตำบลกุดพิมาน รวมทั้งคณะกรรมการวัดบ้านไร่ ได้ประชุมหารือกำหนดขั้นตอนและกรอบระยะเวลาการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินทั้งหมด พระราชสีมาภรณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการให้ข่าวจากหลายกลุ่ม หลายคน หลายฝั่ง ทำให้เกิดความสับสน และอาจจะก่อให้เกิดความไม่เข้าใจกันได้ หรืออาจทำให้เกิดการขัดแย้งเสื่อมเสียไปถึงหลวงพ่อคูณ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจน นับจากนี้ไปของให้ผู้ที่ให้ข่าวเกี่ยวกับทรัพย์สินของวัดนี้ คือนายบัญชายุทธ เป็นผู้ให้ข่าวแต่เพียงผู้เดียว เพื่อให้การนำเสนอข่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และไม่ให้เกิดความสับสน ทางด้าน นายบัญชายุทธ เปิดเผยว่า ภายหลังการประชุมได้ข้อสรุป 2 ประเด็นหลัก คือการตรวจสอบทรัพย์สินควรแยกออกเป็นหมวดต่างๆ ประกอบด้วย หมวดอาคารสถานที่ หมวดที่เกี่ยวข้องกับที่ดินของวัด หมวดที่เกี่ยวข้องกับบัญชีของวัด เป็นต้น โดยให้คณะกรรมการไปพูดคุยแบ่งหน้าที่กันตรวจสอบ หรืออาจจะมีการต้องอนุกรรมการขึ้นมา เพื่อตรวจสอบในแต่ละส่วน สำหรับประเด็นที่ 2 คือกำหนดกรอบระยะเวลาการตรวจสอบทรัพย์สิน โดยเริ่มจากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกลับไปคุยกันว่า มีใครรับผิดชอบในเรื่องใดบ้าง และไปดูว่าทรัพย์สินที่มีอยู่ มีกี่รายการเพื่อนำมาแสดงต่อสาธารณชนให้ได้ โดยกำหนดเวลา 30 วัน เพื่อตรวจสอบรวบรวมรายละเอียดที่เป็นทรัพย์สินของวัดทั้งหมด คือต้องตรวจสอบรวมรวบให้เสร็จภายในวันที่ 24 มิ.ย.นี้

ขณะที่ นายเกรียงไกร จารุทวี อดีตรองประธานกรรมการวัดบ้านไร่ ซึ่งเป็นผู้บริหารวิหารเทพวิทยาคม เปิดเผยว่าตนขอยืนยันว่าตามที่มีข่าวว่าวัดบ้านไร่ เป็นหนี้จากการสร้างวิหารเทพวิทยาคม 95 ล้านบาท นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะวัดและวิหารเทพฯ แยกการบริหารกันอย่างสิ้นเชิง ส่วนเงิน 95 ล้านบาท เป็นเพียงเงินที่ตนสำรองจ่ายในการก่อสร้างวิหารเทพ ซึ่งเป็นค่าวัสดุและค่าแรงต่างๆ รวมเป็นเงิน 95 ล้านบาท ในการก่อสร้างวิหารมูลค่ากว่า 355 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีหนี้ที่มีจากการสร้างวิหารเทพวิทยาคม อีก 4 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้กับร้านค้าต่างๆ ตนมีฝ่ายบัญชีเข้ามาดูแลอย่างชัดเจนตรวจสอบได้ สำหรับเงินที่สำรองจ่ายไปนั้น เป็นเงินที่ตนไปหยิบยืมมาจากเพื่อนสนิท โดยการสำรองจ่ายไม่ได้มีการทำสัญญาผูกมัดแต่อย่างใด เป็นเพียงมติที่ประชุมกับคณะกรรมการวัดบ้านไร่ และเจ้าของเงิน 95 ล้านบาทก็ไม่ได้เร่งรัด เมื่อวิหารสร้างเสร็จและมีราย ได้เข้ามา จะทยอยใช้หนี้ร้านค้าต่างๆ โดยหนี้ในส่วนของตนที่สำรองจ่ายไม่ได้มีกรอบระยะเวลาต่อย่างใด เพียงแต่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งที่ได้สร้างวิหารเทพถวายหลวงพ่อคูณ ก็ถือเป็นบุญ เป็นกุศลแล้ว นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ที่ตนได้เข้ามาบริหารจัดการในการสร้างวิหารในครั้งนี้ เนื่องจากได้รับการแนะนำจากนายไพโรจน์ สุวรรณฉวี อดีตรองประธานกรรมการวัดบ้านไร่ ผู้ล่วงลับ โดยได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อคูณ แต่ยืนยันว่ามีการบริหารจัดการด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้ มีการสรุปรายรับรายจ่ายให้คณะกรรมการเป็นประจำทุกเดือน จากนี้ไปคณะกรรมการชุดใหม่จะดำเนินการอย่างไรหรือให้ใครมาบริหาร ตนไม่ขอแสดงความคิดเห็นและไม่ขอพูดว่าจะต้องให้ใช้เงิน ในส่วนที่ตนสำรองจ่ายไปหรือไม่ เนื่องจากอยู่ที่วิจารณญาณของคณะกรรมการชุดใหม่ หากมีมติออกมาอย่างไร ตนคงไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะไม่ได้ทำสัญญาว่าจ้าง และไม่ได้ทำข้อตกลงอะไรกันไว้. “

อ่านต่อที่ : ยันวัดบ้านไร่ไร้หนี้95ล้าน "ชี้วัด-วิหาร" แยกกันดูแล | เดลินิวส์

 

ชี้บี้'เห็บ'เพิ่มทวีคูณไม่จริง! ยันภาพลูกเต็มท้องคือ'ด้วง' | เดลินิวส์



„ชี้บี้'เห็บ'เพิ่มทวีคูณไม่จริง! ยันภาพลูกเต็มท้องคือ'ด้วง' 'อ.เจษฎา' จากจุฬา ยืนยัน ภาพ 'เห็บ' มีหนอนเต็มท้องแท้จริงคือ 'ด้วง' พร้อมระบุบี้เห็บแล้วลูกเห็บในท้องจะแพร่กระจายมหาศาล ไม่จริง! ชี้เห็บออกลูกเป็นไข่ไม่ใช่เป็นตัว วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2558 เวลา 18:18 น.

กรณีโลกออนไลน์มีการเผยแพร่ภาพการทดลองบี้เห็บของสุนัขใส่ถุงพลาสติก โดยทิ้งไว้ 45 วัน พร้อมอ้างว่าหากบี้เห็บจะทำให้ตัวอ่อนของเห็บที่อยู่ในท้องแพร่กระจายเป็นตัวออกมาจำนวนมหาศาล นอกจากนี้ยังมีภาพของเห็บตัวเต็มวัยที่มองผ่านกล้องวิทยาศาสตร์และมีตัวอ่อนอยู่เต็มท้อง พร้อมระบุว่า “มันคือเห็บที่กัดอยู่ในตัวหมา แต่ที่เห็นเป็นตัวใสๆแบบนี้เพราะใช้กล้องสำหรับงานวิทยาศาสตร์ ส่วนหนอนที่อยู่ในตัวคือลูกของมัน ห้ามบี้ให้ท้องแตกเด็ดขาด เพราะลูกในท้องจะสามารถมีชีวิตต่อและแพร่พันธุ์ได้ได้อีก 80 เท่า” ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมายืนยันผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ชื่อว่า “Jessada Denduangboripant” พร้อมระบุ “รูปที่แชร์กันนี้ไม่ใช่เห็บ แต่เป็นด้วงกินใบธัญพืช ที่มีชื่อว่า “cereal leaf beetle" ใครไม่รู้เอารูปตัวอ่อนของด้วงมาอ้างว่าเป็นเห็บที่ถ่ายด้วยกล้องพิเศษจนเห็นด้านในเป็นหนอนยึกยือ (แต่เห็บออกลูกเป็นไข่นะ ไม่ใช่เป็นตัว) จริงๆ เป็นตัวอ่อนด้วงที่ถูกพวกแตนเบียนมาเจาะวางไข่ไว้ พอหนอนของแตนเบียนฟักออกจากไข่ มันจะโตขึ้นด้วยการดูดกินสารอาหารจากของตัวอ่อนด้วง ส่วนที่บอกว่าอย่าบี้เห็บที่เก็บจากหมาเพราะจะมีลูกเห็บเกิดขึ้นตามมาเต็มไปหมดก็ไม่จริง อย่างที่เห็นในรูปเห็บตัวเมียจะมีไข่ในตัวมากถึง 3-4 พัน ฟอง แต่มันจะต้องกินเลือดหมาจนตัวเป่งเต็มที่เสียก่อน แล้วออกจากตัวของหมาไปหลบหาที่วางไข่นานหลายวันขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม โดยจะมีการสร้างสารสำหรับกันน้ำระเหย แล้วเคลือบต่อด้วยสารที่มีคุณสมบัติป้องกันการเกิดปฏิกริยากับออกซิเจนทับอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นถึงบี้เห็บที่เก็บจากหมาและมีไข่เต็มท้อง แต่ไข่พวกนี้จะยังไม่ถูกเคลือบสารและจะฝ่อแห้งไปเอง ฟักเป็นตัวอ่อนไม่ได้ แต่ถ้าเก็บเห็บแล้ว ไม่อยากบี้ให้พื้นเปื้อนเลือด ก็อาจจะทิ้งในขวดใส่แอลกอฮอล์หรือน้ำมันก๊าดก็ได้ เห็บจะตายไปเองครับ” ทั้งนี้ข้อมูลจากคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า การบี้เห็บไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ส่วนการเผาเห็บก็อาจทำให้เสี่ยงเกิดเพลิงไหม้ ดังนั้นวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดคือการลวกด้วยน้ำต้มเดือด หรืออาจเก็บไว้ในขวดแอลกอฮอล์หรือน้ำมันก๊าดเพื่อให้เห็บตาย เมื่อเก็บเสร็จในแต่ละครั้งควรปิดฝาให้สนิทก่อนนำไปทิ้ง หรือเก็บไว้ใส่เห็บในครั้งต่อไป.. ขอบคุณภาพประกอบจาก www.agannex.com “

อ่านต่อที่ : ชี้บี้'เห็บ'เพิ่มทวีคูณไม่จริง! ยันภาพลูกเต็มท้องคือ'ด้วง' | เดลินิวส์

 

พบพยาธิแส้ม้าในตั๊กแตน! ชี้ต้องทำให้สุกก่อนบริโภค | เดลินิวส์



„พบพยาธิแส้ม้าในตั๊กแตน! ชี้ต้องทำให้สุกก่อนบริโภค เผยคลิปพบพยาธิแส้ม้าในตัวตั๊กแตน สร้างกระแสหวาดกลัวให้กับนักเปิบแมลงจนขนลุก ล่าสุดนักกีฏวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรฯระบุว่า พยาธิแส้ม้าพบได้ในแมลงทุกชนิด ก่อนรับประทานควรทำให้สุก วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2558 เวลา 16:14 น.

<iframe width="750" height="500" src="https://www.youtube.com/embed/FFdeOlfHX5M" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
https://youtu.be/FFdeOlfHX5M

จากกรณีมีการเผยแพร่คลิป “พยาธิในตั๊กแตน” ความยาว 4.13 นาที เป็นภาพเหตุการณ์ การนำพยาธิแส้ม้าออกมาจากตัวตั๊กแตนขณะที่ยังมีชีวิต พร้อมระบุว่า “แมลงกินแต่ใบไม้ ใบหญ้าจริงเหรอ แล้วตัวพวกนี้มาอยู่ในท้องแมลงได้อย่างไร น่ากลัวจริงๆ” ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบเมนูตั๊กแตนทอดเกิดความหวาดกลัวนั้น ล่าสุด ดร.เอกวัต วิถีประดิษฐ์ หัวหน้าภาควิชากีฎวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยกับทีมข่าวเดลินิวส์ออนไลน์ว่า “พยาธิแส้ม้า พยาธิขนม้า หรือพยาธิหางม้า ที่ชาวบ้านเรียกกัน สามารถพบได้ในตัวแมลงทั่วไป อาทิ ตั๊กแตน จิ้งหรีด ซึ่งส่วนใหญ่คนไทยจะรับประทานแมลงจำพวกนี้ในลักษณะทอดกรอบหรือคั่วจนกรอบ ทำให้ฆ่าพยาธิเหล่านี้ได้ดี ที่สำคัญการรับเชื้อจะต้องได้รับเชื้อพยาธิในช่วงที่เป็นไข่เท่านั้น” ทั้งนี้ พยาธิแส้ม้า มีรูปร่างคล้ายแส้ตีม้า ลำตัวตอนต้นหรือส่วนหัวเรียวเล็กเป็นเส้น ส่วนตอนหลังใหญ่หรือกว้างคล้ายด้ามแส้ตีม้า เมื่อผสมพันธุ์ตัวเมียจะออกไข่มากับอุจจาระ ประมาณ5,000-7,000 ฟองต่อวัน ใช้เวลาฟักตัวบนพื้นดิน 2-3 อาทิตย์ ซึ่งเป็นระยะติดต่อไปสู่คน โดยผ่านทางอาหาร เช่น การรับประทานผักสด หรือดื่มน้ำที่มีไข่ในระยะติดต่อเข้าไป จากนั้นตัวอ่อนจะออกจากไข่แล้วเกาะติดผนังลำไส้ เจริญเติบโตเป็นตัวแก่ ผสมพันธุ์และออกไข่ปะปนออกมากับอุจจาระเป็นวัฎจักร ตัวพยาธิอาจมีชีวิตอยู่ในร่างกายคนได้ประมาณ 5 ปี ก่อนจะตายลง พยาธิแส้ม้าสามารถพบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่มีอากาศอบอุ่นและมีความชื้นผู้ป่วยจะมีอาการผิดปกติของทางเดินอาหารท้องเดิน น้ำหนักลด และโลหิตจาง.“

อ่านต่อที่ : พบพยาธิแส้ม้าในตั๊กแตน! ชี้ต้องทำให้สุกก่อนบริโภค | เดลินิวส์

 

ชาวกำแพงเพชรแตกตื่น! ลือพบ"พระพุทธรูปทองคำ" | เดลินิวส์



„ชาวกำแพงเพชรแตกตื่น! ลือพบ"พระพุทธรูปทองคำ" ชาวบ้านเมืองกำแพงเพชรต่างร่ำลือ พบพระพุทธรูปเนื้อทองคำน้ำหนักกว่า 2 ตันในวัดดัง หลังนำออกมาบูรณะซ่อมแซมฐาน จนช่างเห็นเนื้อสีทองด้านในสุกใส ขณะที่ร้านทองบุกพิสูจน์พบมีทองคำแท้ผสมอยู่บางส่วน ไม่ได้เป็นทองคำทั้งองค์อย่างที่ผู้คนเข้าใจ วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2558 เวลา 16:11 น. เมื่อวันที่ 25 พ.ค.

















ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่วัดบาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร หลังมีกระแสข่าวว่าพระพุทธรูปน้ำหนักกว่า 2 ตัน ภายในอุโบสถที่กำลังบูรณะปรับปรุงอยู่เป็น "พระทองคำ" โดย พระครูวิเชียรคุณโชติ เจ้าอาวาสวัดบาง เปิดเผยว่า กระแสข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากทางวัดได้มีการเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปปางสมาธิ หล่อด้วยโลหะแบบโบราณ หน้าตักกว้าง 56 นิ้ว สูง 91 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 2 ตัน อายุเก่าแก่ราว 120 ปี ออกมาจากอุโบสถ เพื่อทำการซ่อมแซมฐานพระที่เกิดการชำรุด ซึ่งช่างได้สังเกตเห็นว่าเนื้อองค์พระที่อยู่ด้านใน มีสีทองสุกใสคล้ายกับทองคำ จนทำให้เกิดเสียงร่ำลือออกไป พระครูวิเชียรคุณโชติ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ทางวัดได้ตามผู้เชี่ยวชาญจากร้านทองมาช่วยตรวจสอบ ก็พบว่า องค์พระมีทองคำแท้อยู่เป็นบางส่วน ผสมกับโลหะอื่นๆ มิได้เป็นทองคำทั้งองค์อย่างที่มีร่ำลือกัน ซึ่งทางวัดได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัย ระวังไม่ให้คนนอกไปลอกผิวองค์พระจนเกิดความเสียหายขึ้น ทั้งนี้หากซ่อมแซมเสร็จสิ้นแล้วก็จะอัญเชิญองค์พระกลับไปประดิษฐานในอุโบสถเช่นเดิมต่อไป. .“

อ่านต่อที่ : ชาวกำแพงเพชรแตกตื่น! ลือพบ"พระพุทธรูปทองคำ" | เดลินิวส์

 

ชนเผ่าเยเมน สามารถยึด “ฐานบัญชาการกองกำลังรักษาชายแดนซาอุดิอาระเบีย” ได้แล้ว ตะวันออกกลางby เอบีนิวส์ทูเดย์ - พ.ค. 24, 2015



แหล่งข่าวความมั่นคงของเยเมนเผยว่า ทหารและชนเผ่าเยเมนสามารถยึดฐานบัญชาการกองกำลังรักษาชายแดน “อัลมะอ์ซาบ” ทางตะวันตกเฉียงใต้ของซาอุดิอาระเบีย

presstv – แหล่งข่าวระบุว่า กองกำลังทหารซาอุฯ ได้เผ่นหนีออกจากฐานบัญชาการหลังเกิดเหตุระเบิดและถูโจมตีจากชนเผ่าเยเมน

หลังจากที่ชนเผ่าเยเมนสามารถยึดฐานบัญชาการดังกล่าวแล้ว ยังสามารถควบคุมเขตพื้นที่ใกล้เคียงกับฐานบัญชาการด้วย เช่น เขตพื้นที่ ญะลาห์ และ อัลมะซีฮาห์

ฐานบัญชาการกองกำลังรักษาชายแดน “อัลมะอ์ซาบ” อยู่ติดกับเชิงเขายุทธศาสตร์ ญาห์ฟอน

“อัลมะยาดีน” รายงานว่า กองกำลังของกองทัพเยเมนได้ยิงจรวดและปืนใหญ่ถล่มฐานบัญชาการกองกำลังพิทักษ์ชายแดนซาอุดีอาระเบียในเขตพื้นที่ “เซาะฮ์ราน”

แหล่งข่าวต่างๆ ได้รายงานว่า การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างกองกำลังเยเมนและกองกำลังซาอุฯ ในพื้นที่ภูเขาต่างๆ ในดินแดนของซาอุดิอาระเบียยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง ในการปะทะกันครั้งนี้ ทหารซาอุฯ ประมาณ 85 นายได้ยอมมอบตัวกับชนเผ่าต่างๆ ของเยเมน

โทรทัศน์ “อัลมะซีเราะฮ์” รายงานว่า นายพลชะร็อฟ ลุกมาน โฆษกของกองทัพเยเมนในการให้สัมภาษณ์กับโทรทัศน์ “อัลมะซีเราะฮ์” ของเยเมน ได้กล่าวว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้ในชายแดนต่างๆ ของซาอุดิอาระเบียนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากการตอบโต้การโจมตีของซาอุฯ และพวกเขาจำเป็นต้องรอคอยการตอบโต้ที่มากไปกว่านี้

ขณะเดียวกันแหล่งข่าวของเยเมนได้รายงานว่า : รถถังสองคันและหอสังเกตการณ์ของกองทัพซาอุดิอาระเบียได้ถูกทำลายในการโจมตีของกองทัพและคณะกรรมการประชาชนของเยเมนยังด่าน “อัลมะอ์ซาบ”



PressTV-تصرف پایگاه نظامی عربستان توسط ارتش یمن
ชนเผ่าเยเมน สามารถยึด “ฐานบัญชาการกองกำลังรักษาชายแดนซาอุดิอาระเบีย” ได้แล้ว | abnewstoday

 

ภูเขาไฟบนหมู่เกาะกาลาปาโกสปะทุครั้งแรกในรอบ 33 ปี | เดลินิวส์







„ภูเขาไฟบนหมู่เกาะกาลาปาโกสปะทุครั้งแรกในรอบ 33 ปี ภูเขาไฟ "วูลฟ์" บนหมู่เกาะกาลาปาโกส นอกชายฝั่งของเอกวาดอร์ เกิดการปะทุอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกในรอบ 33 ปี วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2558 เวลา 7:35 น.

<iframe width="750" height="500" src="https://www.youtube.com/embed/8xv8WjkQBbg" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกีโต ประเทศเอกวาดอร์ เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ว่าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะกาลาปาโกสออกประกาศเตือนภัยเรื่องการปะทุอย่างรุนแรงของภูเขาไฟวูลฟ์ ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีความสูงที่สุดในหมู่เกาะ คือ 1,707 เมตร ตั้งอยู่บนเกาะอิซาเบลา ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เชื่อว่ากลุ่มควันและเถ้าถ่านไม่น่าส่งผลกระทบต่อมนุษย์ เนื่องจากเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ เปอร์โต วิลญามิล ตั้งอยู่ห่างจากภูเขาไฟไปทางตอนใต้อีกราว 115 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของบรรดาสัตว์ป่าในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกัวนาสีชมพู ซึ่งพบได้ที่หมู่เกาะกาลาปาโกสเพียงแห่งเดียว เนื่องจากการปะทุของภูเขาไฟลูกนี้ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2525 อาจกินเวลานานอีกหลายวันกว่าสถานการณ์จะสงบ และการปะทุอย่างต่อเนื่องเช่นนี้อาจส่งผลให้มีลาวาไหลออกจากปล่องภูเขาไฟด้วย ซึ่งทางอุทยานแห่งชาติส่งเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินสำรวจพื้นที่แล้ว“
อ่านต่อที่ : ภูเขาไฟบนหมู่เกาะกาลาปาโกสปะทุครั้งแรกในรอบ 33 ปี | เดลินิวส์

 

ทัพฟ้ารัสเซียซ้อมรบครั้งใหญ่ | เดลินิวส์

<iframe width="750" height="500" src="https://www.youtube.com/embed/dlTICmNC98Y" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>



„ทัพฟ้ารัสเซียซ้อมรบครั้งใหญ่ กองทัพอากาศรัสเซียปฏิบัติการซ้อมรบครั้งยิ่งใหญ่เป็นเวลา 4 วัน เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่สหรัฐนำพันธมิตรทางทหารในยุโรป 8 ประเทศ ซ้อมรบร่วมกันในแถบอาร์กติก วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2558 เวลา 8:00 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ว่ากระทรวงกลาโหมรัสเซียออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ เรื่องการเริ่มปฏิบัติการซ้อมรบทางอากาศครั้งยิ่งใหญ่เป็นเวลา 4 วัน โดยมีทหารเข้าร่วมการฝึกฝน 12,000 นาย และเครื่องบินหลากหลายรุ่นอีก 250 ลำ โดยเผยวัตถุประสงค์ของภารกิจครั้งนี้เพียงว่า เพื่อเตรียมความพร้อมของกองทัพ ความเคลื่อนไหวทางทหารครั้งล่าสุดของกองทัพรัสเซียเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่กองทัพสหรัฐปฏิบัติการซ้อมรบร่วมกับพันธมิตรทางทหารอีก 8 ประเทศในยุโรป ได้แก่ อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์ ปฏิบัติการซ้อมรบทางอากาศร่วมกันในปฏิบัติการ "อาร์กติก แชลเลนจ์ เอ็กเซอร์ไซส์" ( เอส ) จนถึงวันที่ 4 มิ.ย. นี้ ซึ่งมีทหารเข้าร่วม 3,600 นาย พร้อมอากาศยานอีก 115 ลำ โดยอาศัยฐานทัพในสวีเดน นอร์เวย์ และฟินแลนด์ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นในวันที่ 5 มิ.ย. จะมีการซ้อมรบพิเศษอีก 1 วัน ร่วมกับทหาร 4,500 นายจากอีก 17 ประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ ( นาโต ) ซึ่งยืนยันภารกิจครั้งนี้ได้รับการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองในยูเครน ที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างนาโตกับรัสเซียเข้าขั้นตึงเครียดอย่างหนัก“

อ่านต่อที่ : ทัพฟ้ารัสเซียซ้อมรบครั้งใหญ่ | เดลินิวส์

 

ไอเอสปะทะเดือดตาลีบันในอัฟกาฯ | เดลินิวส์



ไอเอสปะทะเดือดตาลีบันในอัฟกาฯ กองกำลังกลุ่มไอเอสและตาลีบัน เผชิญหน้ากันในภาคตะวันตกของอัฟกานิสถานเมื่อวันอาทิตย์ ส่งผลให้มีสมาชิกทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตอย่างน้อย 27 ราย และบาดเจ็บ 20 ราย วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2558 เวลา 2:42 น.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ว่า พล.อ.อซาดุลลาห์ โคฮิสตานี ผู้บัญชาการกองทัพอัฟกานิสถานประจำจังหวัดฟาราห์ ทางตะวันตกของประเทศ แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า เมื่อช่วงบ่ายวันอาทิตย์ เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มก่อการร้ายไอเอส และกลุ่มก่อการร้ายตาลีบัน ในเขตคากี ซาฟิด ของจังหวัดฟาราห์ ส่งผลให้สมาชิกกลุ่มตาลีบันเสียชีวิตอย่างน้อย 12 ราย และบาดเจ็บ 7 ราย ขณะที่สมาชิกกลุ่มไอเอสเสียชีวิตอย่างน้อย 15 ราย บาดเจ็บ 13 ราย และถูกตาลีบันจับเป็นตัวประกัน 12 ราย พร้อมกับหญิงชาวอุซเบกิสถานอีก 4 คน พล.อ.โคฮิสตานี กล่าวว่า กองทัพอิรักไม่ได้ส่งกำลังเข้ายุติการสู้รบระหว่าง 2 ฝ่าย เนื่องจากในจุดดังกล่าวอยู่ห่างไกลและเป็นพื้นที่ภูเขาทำให้ยากลำบากต่อการเข้าถึง ขณะที่นายโมฮัมหมัด ฮานิฟ เรซาอี โฆษกกองทัพอัฟกานิสถาน กล่าวว่า กองทัพจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เว้นแต่ว่าจะมีพลเรือนได้รับผลกระทบ รายงานระบุว่า ชนวนเหตุของความขัดแย้งมาจากการที่กลุ่มไอเอส ซึ่งประกาศการรุกรานอัฟกานิสถานตั้งแต่ปีที่แล้ว พยายามจะเข้ารวบรวมระดมพลชายหนุ่มในพื้นที่ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของตาลีบัน โดยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การปะทะกันของ 2 กลุ่มในพื้นที่จังหวัดนันการ์ฮาร์ ทางตะวันออกของประเทศ มีผู้ก่อการร้ายจากทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตไปอย่างน้อย 19 คน ในจำนวนนั้นรวมถึงสมาชิกระดับสูงของตาลีบันด้วย ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือน นายโมฮัมหมัด ฮานิฟ อัตมาร์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติอัฟกานิสถาน กล่าวต่อสมาชิกรัฐสภาว่า กลุ่มไอเอสพยายามจะเข้ายึดครองตลาดค้าฝิ่นมูลค่ามหาศาลที่อยู่ในการควบคุมของตาลีบัน.“

อ่านต่อที่ : ไอเอสปะทะเดือดตาลีบันในอัฟกาฯ | เดลินิวส์