ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ออสเตรเลียโต้ข่าวปฏิเสธผู้อพยพชาวโรฮีนจา | เดลินิวส์

    [​IMG]

    ทางการออสเตรเลียชี้แจงถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี ซึ่งกล่าวว่าไม่ต้องการช่วยเหลือชาวโรฮีนจานั้นไม่เป็นความจริง แต่สปัจจุบันรัฐบาลแคนเบอร์ราช่วยเหลือผู้อพยพจแล้วปีละเกือบ 14,000 คน ทำให้ไม่สามารถรับเพิ่มได้อีก วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2558 เวลา 13:18 น.

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ว่านายปีเตอร์ ดัตตัน รมว.กระทรวงคนเข้าเมืองออสเตรเลีย แถลงเกี่ยวกับนโยบายจัดการผู้อพยพทางเรือของประเทศ ที่รวมถึงการปฏิเสธให้ตั้งถิ่นฐานชั่วคราว และการผลักดันเรืออกจากน่านน้ำ ว่าสามารถลดความเสี่ยงของการเกิด "โศกนาฏกรรมทางทะล" ได้เป็นอย่างมาก แม้ทำเช่นนั้น แต่รัฐบาลแคนเบอร์รายังคงมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในทางอื่นจนถึงปัจจุบัน ผ่านการบริจาคให้กับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอชซีอาร์ ) และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน ( ไอโอเอ็ม ) ประจำกรุงจาการ์ตา ดัตตันเผยด้วยว่า ในแต่ละปีรัฐบาลแคนเบอร์รารับอนุเคราะห์ผู้อพยพเข้าโครงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของประเทศ มากถึงปีละ 13,750 คน ขณะที่สถานการณ์ผู้อพยพทางเรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นสิ่งที่รัฐบาลออสเตรเลียให้ความสำคัญและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่การรองรับผู้อพยพเพิ่มอีกอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้อยแถลงของดัตตันถือเป็นการบรรเทาความไม่พอใจ และเสียงวิจารณ์จากหลายฝ่ายทั้งในและต่างประเทศ ที่มีต่อท่าทีของนายกรัฐมนตรีโทนี แอบบออตต์ ผู้นำออสเตรเลีย ซึ่งกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า รัฐบาลไม่ประสงค์มอบความช่วยเหลือให้แก่ผู้อพยพชาวโรฮีนจา เนื่องจากจะเป็นการสร้าง "ปัญหา" ให้แก่ประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียตำหนิว่า ละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ ( ยูเอ็น )“

    อ่านต่อที่ : ออสเตรเลียโต้ข่าวปฏิเสธผู้อพยพชาวโรฮีนจา | เดลินิวส์
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ที่อยู่สุดท้ายของชาวโรฮีนจา คือที่ แกมเบีย แต่พวกเขาเหล่านั้นจะยอมไปหรือ แต่ถ้ายอมก็จะเป็นผลดีกับพวกเขา ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็จะได้อาจสัญชาติด้วย ซึ่งพวกเขาก็ไม่ต้องไปการทำการกบฏอะไร เหมือนกับที่เป็นกบฏโรฮีนจาในพม่าตะวันตก

    [​IMG]

    กบฏโรฮีนจาในพม่าตะวันตก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    [​IMG]

    ผู้นำมุญาฮิดีนที่ถูกอองจีจับกุมได้เมื่อ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2504

    [​IMG]

    กองทัพโรฮีนจา

    การกบฏโรฮีนจาในพม่าตะวันตก เป็นความขัดแย้งกันด้วยอาวุธระหว่างรัฐพม่ากับชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮีนจานับแต่ปี พ.ศ. 2490 ความมุ่งหมายทีแรกของพวกเขาในสมัยขบวนการมุญาฮีดีน (2467–2504) คือ การแยกภูมิภาคชายแดนมายู (Mayu) ในรัฐยะไข่ซึ่งมีประชากรโรฮีนจาอาศัยอยู่ออกจากพม่าตะวันตก แล้วผนวกเข้ากับปากีสถานตะวันออกซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เพิ่งตั้งใหม่ (ปัจจุบันคือประเทศบังกลาเทศ)[4] ในคริสต์ทศวรรษ 1970 การก่อการกำเริบของชาวโรฮีนจาปรากฏอีกในช่วงสงครามปลดปล่อยบังกลาเทศในปี พ.ศ. 2514 และเมื่อไม่นานมานี้ระหว่างเหตุจลาจลในรัฐยะไข่ ความปรารถนาของกลุ่มติดอาวุธโรฮีนจาตามที่สื่อต่าง ๆ รายงานคือ การจัดตั้งส่วนเหนือของรัฐยะไข่เป็นรัฐเอกราชหรือรัฐปกครองตนเอง[5][6]

    ชาวโรฮีนจามุสลิมอาศัยอยู่ในประเทศพม่าประมาณ 800,000 คน และประมาณ 80% ของจำนวนดังกล่าวอาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ทางภาคตะวันตกของประเทศ ส่วนใหญ่ถูกรัฐบาลพม่าปฏิเสธความเป็นพลเมือง[7][8] สหประชาชาติถือว่าโรฮีนจาเป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกข่มเหงที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก[8]

    มุญาฮิดีนในยะไข่ (พ.ศ. 2490–2504)[แก้]
    การสู้รบของมุญาฮิดีนในยะไข่[แก้]
    การต่อสู้เริ่มจากการจัดตั้งพรรคการเมืองญามีอะตุล อูลามาเอ-อิสลาม นำโดยออมราเมียะห์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากอุลนาร์ โมฮัมหมัด มูซาฮิดข่าน และโมลนาร์ อิบราฮิม ความพยายามของกลุ่มมุญาฮิดีนเพื่อที่จะรวมเขตชายแดนมายู ซึ่งเป็นตำบลหนึ่งในรัฐยะไข่เข้ากับปากีสถานตะวันออก ก่อนการประกาศเอกราชของพม่า มีผู้นำชาวมุสลิมในยะไข่ไปพบมูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ ผู้ก่อตั้งปากีสถานเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489 เพื่อขอความช่วยเหลือในการผนวกมายูเข้ากับปากีสถาน สองเดือนต่อมา มีการจัดตั้งสันนิบาตมุสลิมยะไข่เหนือในอักยับ (ปัจจุบันคือซิตตเว เมืองหลวงของรัฐยะไข่) เพื่อแสดงความต้องการที่จะรวมเข้ากับปากีสถาน แต่จินนาห์ปฏิเสธข้อเสนอนี้ในที่สุด

    ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลกลางพม่าปฏิเสธที่จะแยกรัฐมุสลิมในเขตมายูซึ่งมีเมืองบูตีดองและเมืองหม่องด่อ ในที่สุด กลุ่มมุสลิมมุญาฮิดีนในยะไข่เหนือได้ประกาศญิฮาดต่อพม่า กองทัพมุญาฮิดีนได้เริ่มสู้รบในเมืองบูตีดองและหม่องด่อที่อยู่ตามแนวชายแดนระหว่างพม่ากับปากีสถานตะวันออก อับดุล กาเซมเป็นผู้นำกองทัพมุญาฮิดีน ภายในเวลาไม่กี่ปี กลุ่มกบฏมีความก้าวหน้าไปมาก ยึดครองหมู่บ้านในยะไข่ได้หลายหมู่บ้าน ชาวยะไข่ในเมืองทั้งสองถูกบังคับให้ออกจากบ้าน ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2492 การควบคุมของรัฐบาลในเมืองอักยับได้ลดลง ในขณะที่กลุ่มมุญาฮิดีนเข้ามายึดครองยะไข่เหนือ รัฐบาลพม่าได้จับกุมกลุ่มมุญาฮิดีนที่พยายามจะอพยพชาวเบงกอลเข้ามาในรัฐยะไข่อย่างผิดกฎหมาย เนื่องจากประชากรล้นเกินในปากีสถานตะวันออก

    การต่อต้านมุญาฮิดีนโดยกองทัพพม่า[แก้]
    มีการประกาศกฎอัยการศึกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2491 เมื่อการกบฏลุกลามขึ้น และกลุ่มกบฏเข้าล้อมเมืองในเขตมายู กองทัพพม่าที่ 5 และกองทัพฉิ่นที่ 2 ถูกส่งเข้าไปในพื้นที่ กองทัพพม่าได้เริ่มยุทธการเพื่อต่อต้านมุญาฮิดีนในยะไข่เหนือ ระหว่าง พ.ศ. 2493–2497 ยุทธการแรกเริ่มใช้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2493 ยุทธการที่สองเรียกว่ายุทธการมายูเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2495ในช่วงครึ่งหลังของ พ.ศ. 2497 กลุ่มมุญาฮิดีนได้ฟื้นตัวขึ้นและเข้าโจมตีเมืองบูตีดอง เมืองหม่องด่อ และเมืองยะเตดอง

    ผู้นำมุญาฮิดีนที่ถูกอองจีจับกุมได้เมื่อ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2504
    พระภิกษุชาวยะไข่ได้ออกมาประท้วงในย่างกุ้งเพื่อต่อต้านกลุ่มมุญาฮิดีน ผลของการกดดันทำให้รัฐบาลพม่าออก "ปฏิบัติการมรสุม" ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2497 กลุ่มมูญาอิดีนจำนวนมากถูกจับกุมและหัวหน้ากลุ่มถูกฆ่า ทำให้กิจกรรมของกลุ่มลดลงไปกลายเป็นกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มที่ก่อการร้ายในภาคเหนือของรัฐยะไข่ ใน พ.ศ. 2500 กลุ่มมุญาฮิดีน 150 คนนำโดยชอร์ มาลุกและซูระห์ ทาน ถูกจับกุม ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 กลุ่มมุญาฮิดีน 214 คน ในกลุ่มของราชิดถูกจับกุม ในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 กลุ่มมุญาฮิดีน 290 คนทางใต้ของหม่องด่อยอมจำนนต่อกองทัพพม่านำโดยอองจี ในช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการเจรจาระหว่างพม่ากับปากีสถานเกี่ยวกับกบฏตามแนวชายแดน ทำให้ความหวังของกบฏลดลง ในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2504 กลุ่มกบฏมุญาฮิดีนกลุ่มสุดท้ายในบูตีดองถูกกองทัพพม่านำโดยอองจีจับกุมได้

    ความตกต่ำของมุญาฮิดีน (พ.ศ. 2505–2513)[แก้]
    หลังจากรัฐประหารของนายพลเน วินใน พ.ศ. 2505 กิจกรรมของกลุ่มมุญาฮิดีนลดลงและเกือบจะหายไป ซัฟฟาร์เป็นผู้นำมุญาฮิดีนที่เหลือ และมีการต่อต้านแยกกันเป็นแห่ง ๆ ตามแนวชายแดนพม่า-ปากีสถาน

    ขบวนการอิงศาสนาอิสลามโรฮีนจา[แก้]
    ขบวนการทางทหารที่ใช้ความรุนแรง (พ.ศ. 2514–2531)[แก้]

    กองทัพโรฮีนจา
    ระหว่างสงครามปลดปล่อยบังกลาเทศในพ.ศ. 2514 โรฮีนจาที่อยู่ใกล้แนวชายแดนได้สะสมอาวุธจากสงคราม ในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 หัวหน้ากลุ่มกบฏมูญาฮิดีนที่เหลืออยู่คือซัฟฟาร์ได้จัดตั้งพรรคปลดปล่อยโรฮีนจา (RLP) โดยซัฟฟาร์เป็นประธานพรรค ศูนย์กลางการต่อสู้อยู่ที่บูตีดอง เมื่อกองทัพพม่าเริ่มปราบปราม ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2517 ซัฟฟาร์ได้หนีไปบังกลาเทศและบทบาทของเขาได้หายไป หลังจากการล้มเหลวของ RLP มูฮัมหมัด จาฟาร์ ฮาบิบ อดีตเลาธิการของ RLP ได้จัดตั้งแนวร่วมโรฮีนจารักชาติ (RPF) ใน พ.ศ. 2517 ต่อมา ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2521 รัฐบาลทหารของเนวินได้จัดยุทธการราชามังกรในยะไข่เพื่อตรวจสอบผู้อพยพที่ผิดกฎหมายที่อาศัยอยู่ในพม่า ทำให้มีชาวโรฮีนจาถูกผลักดันไปยังแนวชายแดนบังกลาเทศ ทำให้มีการลุกฮือของชาวโรฮีนจาตามแนวชายแดน RPF ใช้โอกาสนี้เข้ามาปลุกระดม [9][10][11] ต่อมาในราว พ.ศ. 2523 กลุ่มหัวรุนแรงได้แยกออกจาก RPF และจัดตั้งองค์การความเป็นปึกแผ่นโรฮีนจา (RSO) นำโดยมูฮัมหมัด ยูนุส ซึ่งเคยเป็นผู้นำของ RPF มาก่อน ต่อมาได้เป็นองค์กรหลักของโรฮีนจาตามแนวชายแดนพม่า-บังกลาเทศ RSO ประกาศตนเป็นองค์กรทางศาสนาจึงได้รับการสนับสนุนจากโลกมุสลิมรวมทั้ง JeI ในบังกลาเทศและปากีสถาน ฆุลบุดดิน เฮกมัตยัร ฮิซบ์เออิสลามี (HeI) ในอัฟกานิสถาน ฮิซบ์อุลมูญาฮิดีนในรัฐชัมมูและกัศมีร์ (HM) อังกาตัน เบเลีย อิสลาม ซามาเลเซีย (ABIM) และองค์กรยุวชนอิสลามแห่งมาเลเซีย องค์กรทางด้านศาสนาอีกองค์กรหนึ่งของโรฮีนจาคือแนวร่วมอิสลามโรฮีนจาอาระกัน (ARIF) ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2529 โดยนูรุล อิสลาม อดีตรองประธาน RPF

    การขยายตัวทางการทหารและการเชื่อมโยงกับฏอลิบานและอัลกออิดะฮ์ (พ.ศ. 2531–2554)[แก้]
    ค่ายทหารของ RSO ตั้งอยู่ที่เมืองคอกส์บาซาร์ทางใต้ของบังกลาเทศ มีการส่งอาวุธจากฏอลิบานมาให้ตามแนวชายแดนพม่า-บังกลาเทศ บางส่วนได้ส่งทหารไปฝึกในอัฟกานิสถาน[12] การขยายตัวของ RSO ในช่วง พ.ศ. 2533 ทำให้รัฐบาลพม่าเข้ามากวาดล้างตามแนวชายแดนพม่า-บังกลาเทศ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2534 ทหารพม่าได้ข้ามพรมแดนไปโจมตีกองทหารในบังกลาเทศซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดกับบังกลาเทศ และในเดือนเมษายน พ.ศ. 2535 ชาวโรฮีนจามากกว่า 250,000 คนถูกผลักดันให้ออกจากยะไข่ซึ่งเหตุการณ์นี้ถูกประณามจากซาอุดีอาระเบีย[9][13]ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2537 มีสมาชิก RSO 120 คนเข้าสู่หม่องด่อโดยข้ามแม่น้ำนาฟที่เป็นแนวพรมแดนระหว่างพม่ากับบังกลาเทศ ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2537 มีระเบิดเกิดขึ้นในเมืองหม่องด่อ 12 แห่ง[14] ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2541 สมาชิก RSO และแนวร่วมอิสลามโรฮีนจาอาระกัน (ARIF) ได้รวมเข้าด้วยกันและจัดตั้งสภาแห่งชาติโรฮีนจา (RNC) และกองทัพแห่งชาติโรฮีนจา (RNA) นอกจากนั้นได้จัดตั้งองค์กรแห่งชาติโรฮีนจาอาระกัน (ARNO) เพื่อจัดการกับกลุ่มโรฮีนจาที่มีความแตกต่างกันเข้ามาเป็นกลุ่มเดียว ซึ่งมีรายงานว่ากลุ่ม ARNO นี้มีความเกี่ยวพันกับอัลกออิดะฮ์[15]

    ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 มีชายชาวโรฮิงญาประมาณ 80-100 คน ในเมืองหม่องด่อตามแนวชายแดนถูกจับกุมโดยกองทัพพม่าที่ประจำตามแนวชายแดนและถูกเชื่อมโยงกับฏอลิบาน[16][17] กองทหารฏอลิบานที่ชื่อว่ามูลีวี ฮารุนได้ตั้งค่ายฝึกและจัดทำระเบิดทางเหนือของหม่องด่อติดกับชายแดนบังกลาเทศในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 บุคคลต้องสงสัยที่ถูกจับกุม มี 19 คนถูกนำมาศาลก่อนในเดือนมีนาคมและเมษายนปีเดียวกัน.[18] มี 12 คนที่มีความเกี่ยวข้องกับฏอลิบานหรือกองกำลังติดอาวุธอิสลามถูกตัดสินจำคุกเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2554[19]

    ความเห็นเกี่ยวกับเหตุรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับโรฮีนจา[แก้]
    มอเช เยการ์ นักประวัติศาสตร์ชาวอิสราเอลได้กล่าวว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนมุญาฮิดีนในยะไข่เกิดขึ้นเพราะนโยบายของรัฐบาลที่กดดันต่อชาวมุสลิมโรฮีนจา โดยสาเหตุของปัญหาได้แก่ หลังจากที่พม่าประกาศเอกราช มุสลิมไม่ได้รับการยอมรับในราชการทหาร รัฐบาลพม่าได้รับชาวยะไข่ซึ่งต่อต้านชุมชนมุสลิมเข้ามาเป็นตำรวจและเจ้าหน้าที่แทนชาวมุสลิม มุสลิมถูกทหารและตำรวจจับตามอำเภอใจ การประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติได้ก่อให้เกิดปัญหาแก่มุสลิมโรฮีนจา ชาวกะเหรี่ยง กะฉิ่น และฉิ่นที่นับถือศาสนาคริสต์ ทำให้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้[20] เยการ์ยังได้กล่าวว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนมุสลิมในยะไข่เกิดขึ้นก่อนพม่าได้รับเอกราช โดยเกิดขึ้นพร้อมกับการขอแยกดินแดนมายูในรัฐยะไข่ และต้องการเป็นรัฐเอกราชของมุสลิม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489 มุสลิมในยะไข่ได้เรียกร้องต่อโมฮัมหมัด อาลี จินนาห์เพื่อขอให้ผนวกดินแดนของตนเข้าไปในปากีสถานที่จะตั้งขึ้นใหม่

    อย่างไรก็ตาม กบฏมุญาฮิดีนเกิดขึ้นภายใต้การปกครองของอูนุซึ่งเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย และชาวมุสลิมยังได้รับการยอมรับจากรัฐบาล การต่อต้านและการกดดันต่อมุสลิมเกิดขึ้นในสมัยนายพลเน วิน นอกจากนั้น ช่วงเวลาในการประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติยังไม่สอดคล้องกันเพราะพม่าประกาศให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเมื่อ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ในขณะที่กบฏมุญาฮิดีนเริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2490.[21]

    เอ ชาน นักประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยคันดะได้เสนอว่า ขบวนการมุญาฮิดีนในยะไข่เกิดจากความรุนแรงระดับหมู่บ้านระหว่างชาวโรฮีนจากับชาวยะไข่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2485[22] โดยในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2485 มุสลิมโรฮีนจาจากภาคเหนือของยะไข่ได้ฆ่าชาวพุทธยะไข่ราว 20,000 คน ในเมืองบูตีดองและหม่องด่อ ในช่วงเวลาเดียวกัน มุสลิมโรฮีนจา 5,000 คนในเมืองมีน-บยาและมเยาะอู ถูกชาวยะไข่ฆ่า[23] ความรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะอังกฤษติดอาวุธให้ชาวมุสลิมทางภาคเหนือของยะไข่เพื่อสร้างเขตกันชนป้องกันการรุกรานของญี่ปุ่น[24] โดยได้สัญญาว่าหากชาวมุสลิมสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร พวกเขาจะได้รับ "พื้นที่แห่งชาติ"[25] อย่างไรก็ตาม กองกำลังของโรฮีนจากลับพยายามที่จะทำลายหมู่บ้านของชาวยะไข่แทนที่จะต่อต้านญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว ความขัดแย้งระหว่างยะไข่กับโรฮีนจาจึงเกิดขึ้น[22] เมื่อรัฐเอกราชใหม่ของมุสลิมคือปากีสถานกำลังจะได้รับการจัดตั้ง ชาวโรฮีนจาซึ่งขณะนั้นมีกองกำลังติดอาวุธอยู่แล้วจึงต้องการ "พื้นที่แห่งชาติ" ตามที่อังกฤษเคยสัญญาไว้ โดยขอแยกดินแดนมายูออกจากพม่าตะวันตกไปรวมกับปากีสถานตะวันออก มุญาฮิดีนได้ลุกฮือขึ้นในยะไข่ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และเกิดขึ้นต่อเนื่องมา

    อ้างอิง[แก้]
    กระโดดขึ้น ↑ "Arakan Rohingya National Organization Contacts With Al Qaeda And With Burmese Insurgent Groups On The Thai Border".
    กระโดดขึ้น ↑ "Pak Taliban jihadi force of Rohingya Muslims, Bangladeshi, Indonesian nationals training in Burma".
    ↑ กระโดดขึ้นไป: 3.0 3.1 3.2 Yegar, Moshe (2002). "Between integration and secession: The Muslim communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma/Myanmar". Lanham (Lexington Books). p. 37,38,44. ISBN 0739103563. สืบค้นเมื่อ 2012-10-21.
    กระโดดขึ้น ↑ Yegar, Moshe (1972). Muslims of Burma. Wiesbaden: Verlag Otto Harrassowitz. p. 96.
    กระโดดขึ้น ↑ "টার্গেট আরাকান ও বাংলাদেশের কয়েকটি জেলা স্বাধীন রাষ্ট্রের স্বপ্ন জঙ্গিদের (Some Arakan and Bangladeshi militants target of Independent State)". Dainik Purbokone Bangladesh. สืบค้นเมื่อ 22 October 2012.
    กระโดดขึ้น ↑ "নতুন রাষ্ট্র গঠনে মিয়ানমারের ১১ টি বিচ্ছিন্নতাবাদী গ্রুপ সংগঠিত হচ্ছে (11 secessionist group is organizing to create a new state in Burma)". The Editor, Bangladesh. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    กระโดดขึ้น ↑ "Myanmar, Bangladesh leaders 'to discuss Rohingya'". Agence France-Presse. 29 June 2012.
    ↑ กระโดดขึ้นไป: 8.0 8.1 "The Rohingya: A humanitarian crisis". Al Jazeera. สืบค้นเมื่อ 23 January 2014.
    ↑ กระโดดขึ้นไป: 9.0 9.1 "Bangladesh Extremist Islamist Consolidation". by Bertil Lintner. สืบค้นเมื่อ 2012-10-21.
    กระโดดขึ้น ↑ Lintner, Bertil (1999). Burma in Revolt: Opium and Insurgency Since 1948,. Chiang Mai: Silkworm Books. pp. 317–8.
    กระโดดขึ้น ↑ "Bangladesh: Breeding ground for Muslim terror". by Bertil Lintner. สืบค้นเมื่อ 2012-10-21.
    กระโดดขึ้น ↑ "Rohingyas trained in different Al-Qaeda and Taliban camps in Afghanistan". By William Gomes. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    กระโดดขึ้น ↑ Selth, Andrew (Nov–Dec 2003). Burma and International Terrorism,. Australian Quarterly, vol. 75, no. 6,. pp. 23–28.
    กระโดดขึ้น ↑ "Rohingya Terrorists Plant Bombs, Burn Houses in Maungdaw". สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    กระโดดขึ้น ↑ "Wikileaks Cables: ARAKAN ROHINGYA NATIONAL ORGANIZATION CONTACTS WITH AL QAEDA AND WITH BURMESE INSURGENT GROUPS ON THE THAI BORDER". Revealed by Wikileaks. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    กระโดดขึ้น ↑ "Nearly 80 Suspected Taliban Members Arrested in Burma". Narinjara News. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    กระโดดขึ้น ↑ "Muslims Arrested in Arakan State Accused of Taliban Ties". Irrawaddy News. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    กระโดดขึ้น ↑ "19 Alleged Members of Taliban Group Brought to Trial". Narinjara News. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    กระโดดขึ้น ↑ "Twelve Suspected Taliban Sentenced to Jail". Narinjara News. สืบค้นเมื่อ 2012-10-22.
    กระโดดขึ้น ↑ Lall, Marie (23 November 2009). Ethnic Conflict and the 2010 Elections in Burma. Chatham House.
    กระโดดขึ้น ↑ Burmese Encyclopedia. Yangon: Burma Translation Society. 1963. p. 167.
    ↑ กระโดดขึ้นไป: 22.0 22.1 Aye Chan (2005). "The Development of a Muslim Enclave in Arakan (Rakhine) State of Burma (Myanmar)". SOAS. สืบค้นเมื่อ November 1, 2011.
    กระโดดขึ้น ↑ Kyaw Zan Tha, MA (July 2008). Background of Rohingya Problem. p. 1.
    กระโดดขึ้น ↑ Field-Marshal Viscount William Slim (2009). Defeat Into Victory: Battling Japan in Burma and India, 1942-1945. London: Pan. ISBN 0330509977.
    กระโดดขึ้น ↑ Howard Adelman (2008). Protracted displacement in Asia: no place to call home. Ashgate Publishing, Ltd. p. 86. ISBN 0754672387. สืบค้นเมื่อ 12 April 2011.

    การกบฏโรฮีนจาในพม่าตะวันตก - วิกิพีเดีย
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผมเคยอ่านข่าวเจอว่า ISIS จะมาปักธงที่เอเซียก็สงสัยว่าจะทำได้อย่างไร แต่พออ่านบทความกบฏโรฮีนจาก็พอเข้าใจ มาดูคำจำกัดความของ ISIS ก่อน ซึ่งถ้าผมอ่านข่าวไม่ผิด อุสมาบินลาเดน ผู้นำอัลกออิดะห์ ได้ห้ามนักรบจิฮัดก่อตั้งรัฐอิสลามขึ้ส ซึ่งพวกนี้คือ ISIS และโรฮีนจาถ้าจากประวัติจะบอกว่าเป็นนีกรวจิฮัดก็ได้ และพวกเขาก็ได้ติดต่อกับขบวนการก่อการร้ายมาตลอด การที่ ISiS จะมาชวนพวกเขาไปเข้าร่วมด้วยก็ไม่ยากเย็นเลย เขาถึงว่าต้องย้อนดูอดีตก่อนจึงเข้าใจปัจจุบันน่ะครับ
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรุงเทพธุรกิจ
    ส่อวุ่น! อดีตเหรัญญิก ยัน'พ่อคูณ'ไม่เคยเป็นหนี้

    [​IMG]

    แฉ! อดีตเหรัญญิกวัดบ้านไร่ เผย "หลวงพ่อคูณ" ไม่เคยเป็นหนี้ 95 ล้าน ระบุเงินสร้างวิหารเทพวิทยาคม ท่านไม่เคยรู้เรื่อง
    จากกรณีที่มีกระแสข่าวเปิดเผยถึงบันทึกการประชุมของคณะกรรมการวัดบ้านไร่ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา ซึ่ง พล.ต.ต.มหัคฆพันธ์ สุรคุปต์ ประธานกรรมการวัดบ้านไร่ขณะนั้น ได้มอบหมายให้นายเกรียงไกร จารุทวี รองประธานกรรมการวัดฯ ชี้แจงบัญชีรายรับ-รายจ่าย ลานสุคโต การก่อสร้างวิหารเทพวิทยาคม ซึ่งพบว่ามีการค้างจ่ายค่าก่อสร้างเป็นจำนวนเงินทั้งหมดกว่า 95 ล้านบาท โดยนายเกรียงไกร ได้สำรองจ่ายไปก่อนแล้ว จนกลายเป็นประเด็นว่าขณะนี้วัดบ้านไร่ต้องเป็นหนี้นายเกรียงไกรอยู่กว่า 95 ล้านบาท
    ล่าสุด วันนี้ (22 พฤษภาคม 2558) นายธวัช เรืองหร่าย อดีตไวยาวัจกรณ์ และอดีตเหรัญญิกวัดบ้านไร่ เปิดเผยว่า เรื่องนี้ตนยืนยันว่าหลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ไม่ได้เป็นหนี้ใคร เพราะที่ผ่านมาการก่อสร้างวิหารเทพวิทยาคม เวลาก่อสร้าง คณะกรรมการที่เกี่ยวกับการก่อสร้างก็บอกว่าไม่ได้ใช้เงินของวัดบ้านไร่ทำ แต่เป็นเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา และเงินค่าเช่าวัตถุมงคล ซึ่งหลวงพ่อคูณไม่เคยรู้เรื่องการใช้จ่ายเงินใดๆ ทั้งสิ้น แต่เวลาประชุมกันกลับโยนภาระให้หลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่ทั้งหมด ซึ่งมันไม่ถูกต้อง และตนก็ไม่เข้าใจว่าผู้เกี่ยวข้องทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรนั้นก็ขอให้ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นำข้อมูลไปชี้แจงกับคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินวัดบ้านไร่เอาเอง ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 นี้ เพราะตนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
    ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า หากเรื่องนี้ทำให้หลวงพ่อคูณและวัดบ้านไร่เป็นหนี้ 95 ล้านจริง จะมีการสร้างวัตถุมงคลรุ่นปลดหนี้ เพื่อหาเงินมาใช้หนี้หรือไม่ นายธวัช กล่าวว่า คงยังไม่ถึงขั้นนั้นแน่ ซึ่งก็ต้องรอให้ทุกอย่างมีความชัดเจน หลังจากที่คณะกรรมการลงพื้นที่ตรวจสอบทรัพย์สินวัดเสร็จก่อน ทั้งนี้ตนคาดว่าการสร้างพระรุ่นปลดหนี้ อาจจะเป็นการพูดคุยกันเล่นๆ ในหมู่ลูกศิษย์เท่านั้น.
    ส่อวุ่น! อดีตเหรัญญิก ยัน'พ่อคูณ'ไม่เคยเป็นหนี้ - กรุงเทพธุรกิจ Mobile
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ISIS จะมาถึงเอเชียตะวันออกหรือไม่ วันศุกร์ ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

    [​IMG]

    เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำก่อนการประชุมระหว่างประเทศในวันต่อมา ว่าด้วยเรื่องบทเรียนของตะวันออกต่อทวีปเอเชีย อันได้แก่ ความรุนแรงและสุดโต่งของพวกอ้างศาสนา เพื่อการเอาลัทธิความเชื่อถือของตนเองเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว ซึ่งผมเป็นหนึ่งที่ได้รับเกียรติให้กล่าวให้ความคิดเห็นสั้นๆเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องนี้
    ผมเท้าความว่า ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออก ต่างมีที่ไปที่มาไม่เหมือนกันถึงแม้ทั้ง 2 ภูมิภาคจะถูกฝ่ายเจ้าอาณานิคมตะวันตกรุกราน ครอบครอง และครอบงำร่วม 400 ปี ก็ตาม
    ข้อต่างที่สำคัญคือ ที่ตะวันออกกลางมีศาสนาอิสลามเป็นหลัก และมีชนหลักแค่ 3 ชนชาติคือ พวกอาหรับ พวกเติร์ก และพวกอิหร่านเปอร์เซีย ซึ่งทั้ง 3 อยู่ภายใต้ความเชื่อถือ อารยธรรมและศาสนาอิสลาม ขณะที่เอเชียตะวันออกมีความหลากหลายทั้งชาติพันธุ์ ภาษาและการนับถือศาสนา
    ชาวตะวันออกกลางทั้งอาหรับ เติร์ก เปอร์เซีย มีความยิ่งใหญ่ ทั้งผลัดเปลี่ยนและต่อเนื่องกับการเป็นเจ้าโลกทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ปรัชญาความคิด และศิลปวัฒนธรรม เป็นผู้นำโลกช่วงยุคสมัยก่อนที่ฝ่ายตะวันตกจะแผ่ขยายอิทธิพล ตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 16 เมื่อความยิ่งใหญ่สูญเสียไปด้วยน้ำมือพวกตะวันตก อีกทั้งมีการสู้รบกันด้านศาสนา เป็นสงครามแห่งศาสนาคือ สงครามครูเสด เพื่อครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีเมืองเยรูซาเลมเป็นศูนย์กลางเป็นเรื่องต่อกรกันมาเป็นร้อยปี ทั้งอำนาจรัฐและอำนาจศาสนา โดยมีกรุงคอนสแตนติโนเปิล(อิสตันบูล) สัญลักษณ์ความยิ่งใหญ่ของพวกคอนสแตนติโนเปิล เป็นหอกข้างแคร่และความท้าทายต่อพวกมุสลิม จนพวกเติร์กออตโตมานตีแตกในปลายศตวรรษที่ 16
    ในขณะเดียวกัน ทางสุดตะวันตกของทวีปยุโรป พวกอาหรับก็เข้าครอบครองสเปนและโปรตุเกสและส่วนหนึ่งของฝรั่งเศสหลายร้อยปี จนถูกพวกคริสเตียนยุโรปตีแตกขับไล่ออกไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 เช่นกัน
    นอกจากนั้นพวกคริสเตียนออร์โธดอกซ์รัสเซียก็ขยายอิทธิพลครอบครองมุสลิมเอเชียกลางไปจนถึงเขตแดนจีน จนสหภาพโซเวียตรัสเซียล่มสลายเมื่อไม่นานมานี้
    ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ Iจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ II เจ้าอาณานิคมตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นผู้สถาปนา ก่อตั้งและขีดเส้นแดนประเทศมุสลิมทั้งหมด ทั้งในทวีปแอฟริกาตอนเหนือติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และในตะวันออกกลางไปจนถึงชมพูทวีปอินเดีย และฝ่ายยุโรปคริสเตียนตะวันตกยังเป็นตัวหลักก่อตั้งประเทศยิวอิสราเอล ท่ามกลางชาวมุสลิมอาหรับเชื้อสายปาเลสไตน์ ซึ่งประหัตประหารกันมาจนทุกวันนี้ และฝ่ายตะวันตกยังค้ำจุนบรรดาผู้นำเผด็จการของประเทศมุสลิมอาหรับ เพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และเพื่อรักษาผลประโยชน์ธุรกิจน้ำมันธรรมชาติด้วย
    แล้วฝ่ายตะวันตกกับฝ่ายตะวันออกกลางยังคิดต่างในเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองการปกครอง กล่าวคือ ฝ่ายตะวันตกคริสเตียนได้แบ่งแยกเรื่องศาสนาออกจากการเมืองมานมนานหลายร้อยปี แต่แนวคิดความเชื่อถือของพวกมุสลิม ยังยึดหลักในเรื่องศาสนานำหน้าการเมือง หรือหลักศาสนาเป็นวิถีทางของชีวิตทั้งการบ้านและการเมือง
    หันมาที่ทวีปเอเชีย จัดได้ว่า ไม่มีการสู้รบระหว่างฝ่ายตะวันตกกับชาวเอเชียในเรื่องศาสนา ไม่มีการแข่งขันว่า ใครจะเป็นใหญ่ไม่มีความรู้สึกว่า เป็นฝ่ายแพ้และสูญเสียความยิ่งใหญ่ และจะต้องกอบกู้ความยิ่งใหญ่ให้เหนือฝ่ายตะวันตกให้ได้ ถึงแม้ฝ่ายเอเชียจะตกเป็นอาณานิคมหรือตกอยู่ในเขตอิทธิพลฝ่ายตะวันตกก็ตาม ซึ่งอาจมีแต่จีนเท่านั้นที่ยังรู้สึกว่า ได้สูญเสียความยิ่งใหญ่ไป เพราะคิดและเชื่อว่าเป็นใหญ่ เป็นศูนย์กลางโลก(The Middle Kingdom) มายาวนานกว่าจะถูกฝรั่งและญี่ปุ่นรังแก รุกรานและแถมยังเคยเป็นน้ำใต้ศอกโซเวียตรัสเซียอยู่พักหนึ่งด้วย เลยมุ่งมั่นที่จะถีบตัวขึ้นมาให้ยิ่งใหญ่ทัดเทียม แต่ไม่ใช่ด้วยความคับแค้น อาฆาตมาดร้าย และใช้ความรุนแรง แต่จะเก่งให้เท่าในทุกๆ ด้าน
    ส่วนอินเดียก็รับอิทธิพลต่างชาติมาตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานแล้ว ก็สามารถนำมาปรับผสมผสาน กลมกลืนเข้าไป ใครรุกเข้ามาก็หายจางไปหรือถูกรับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย อินเดียจึงไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
    ขณะเดียวกัน เมื่อได้รับเอกราชปลดแอกจากฝ่ายตะวันตกกันแล้ว ผู้นำเอเชียทั้งหลายจะในรูปแบบเผด็จการหรือในรูปแบบเสรีนิยม ต่างมุ่งเรื่องปากท้อง การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลัก แม้จะมีการผูกขาดธุรกิจในบางเรื่อง หรือเล่นพรรคเล่นพวก แต่ก็จัดได้ว่า ไม่ได้ขูดรีดและผูกขาดไปทั้งหมด มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการส่งเสริมธุรกิจเอกชน และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้นเป็นลำดับ
    บ่อเกิดหรือวัตถุดิบหรือเมล็ดพืชผลแห่งความโกรธแค้น ขุ่นแค้น อาฆาตแค้นและเอาชนะด้วยอุดมการณ์ทางศาสนา และความสุดโต่งทางศาสนา เพื่อนำพา เพื่อได้อำนาจทางการเมืองและใช้อำนาจทางการเมืองแผ่ขยายความคิดอ่านเชื่อถือของตนเองเป็นเด็ดขาดเท่านั้น ของพวกมุสลิมตะวันออกกลางจึงไม่มีในสังคมเอเชียโดยทั่วไป
    สงครามศาสนาบวกการเมืองบวกความเสียดายความยิ่งใหญ่แต่อดีต จึงไม่มีฐานให้ก่อตัวในเอเชียเสมือนในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ เอเชียยังมุ่งหน้าในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต และการขยายการมีส่วนร่วมต่อไปด้วยตนเองและด้วยแรงบีบ ด้วยสมัยนิยมจากข้างนอก
    ฉะนั้น เป้าหมายในการวางตัวและมีบทบาทของเอเชีย และของตะวันออกกลางจึงต่างกัน ประเด็นปัญหาก็ต่างกัน
    จัดได้ว่าความรุนแรงโดยอ้างศาสนาอิสลามเพื่อครอบงำและเป็นวิถีทางเดียวของชีวิตไม่มีฐานเริ่มต้นในเอเชียเพราะความหลากหลาย และความสำเร็จในการลดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นเป็นสำคัญ
    แต่เอเชียก็มิใช่จะไร้ปัญหา เรื่องหนึ่งที่สำคัญและเพื่อต้องเร่งรีบแก้ไขมิให้เป็นบ่อเกิดแห่งความรุนแรงสุดโต่งก็คือ ปัญหาการปฏิบัติต่อบรรดาชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ซึ่งในหลายๆ ประเทศ อิสลามเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีจำนวนหรือสัดส่วนต่อประชากรมากที่สุด ซึ่งกลุ่มนี้ก็ติดตามความเป็นไปในตะวันออกกลาง และบางคนอยากมีส่วนร่วมเพราะเห็นว่าศาสนาและผู้ร่วมศาสนาของตนถูกกระทำมาโดยตลอด และอยากให้โลกอิสลามกลับมายิ่งใหญ่อีก จึงได้เห็นคนวัยหนุ่มสาวมุสลิมเอเชียได้แอบเดินทางไปเข้าร่วมการสู้รบที่ซีเรียและอิรัก 2-3 พันคนแล้ว ซึ่งกระทำการแบบนี้ที่บ้านตนไม่ได้เพราะเงื่อนไขไม่มีให้ หรือไม่มีเพียงพอ
    ที่อินเดียภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็มีปัญหาชนกลุ่มน้อยที่มิใช่ชาวฮินดู และมิใช่ชาวมุสลิม ชาวเขาทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตอนใต้ของจีนก็ยังไม่ได้รับการปฏิบัติที่ทัดเทียม จีนเองก็มีทั้งปัญหาชาวเขา ชาวทิเบต ชาวมองโกเลีย และชาวมุสลิมกุยอูร์ อินโดนีเซียและมาเลเซียก็มีปัญหาคนเชื้อสายจีนและอินเดีย และชนกลุ่มน้อยคริสเตียนและพุทธ ไทย ฟิลิปปินส์ลาว กัมพูชา เวียดนาม ก็มีปัญหาชนกลุ่มน้อยมุสลิม เป็นเรื่องที่ต้องเร่งลดความเหลื่อมล้ำที่อยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้จริงจัง
    โดยเฉพาะไม่มีประเทศใดที่ใช้ศาสนาอื่นไปครอบงำชนกลุ่มน้อยมุสลิม จึงเป็นเรื่องของการบริหารราชการให้ดีขึ้นเร่งลดความเหลื่อมล้ำ ขณะเดียวกันบรรดาผู้นำมุสลิมทั้งหมดก็ต้องออกมาช่วยพูด ชี้แจง สั่งสอนคำสั่งสอนที่ถูกต้อง ที่มุ่งการอยู่ร่วมกัน รับซึ่งกันและกัน และปฏิเสธความโหดร้ายรุนแรง
    กษิต ภิรมย์
    kasitfb@gmail.com
    แนวหน้า - ISIS จะมาถึงเอเชียตะวันออกหรือไม่
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "จีฮัด" สัญญาณแห่งสงครามศาสนา
    ร่วมส่งเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ คลิกที่นี่ บทความของท่านมีประโยชน์กับผู้ไม่รู้อีกมากมาย
    “จีฮัด” สัญญาณแห่งสงครามศาสนา คือ
    แปลตรงตัวว่า “การต่อสู้สุดขีด” หมายรวมทั้งต่อสู้ภายนอก และต่อสู้ภายใน แม้กระทั่งการต่อสู้กับตัวเองเพื่อที่จะพ้นจากตัวร้ายต่าง ๆ อารมณ์ฝ่ายต่ำต่าง ๆ
    และไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะประกาศว่าสงครามหรือการต่อสู้ที่ใดครั้งไหนเป็นจีฮัด ไม่ว่าซัดดัม ฮุสเซน หรือใคร หากแต่จะต้องเป็นมติของผู้ทรงคุณวุฒิในศาสนาอิสลาม เป็นหลักการเป็นคำสั่งในศาสนาเลยว่าผู้ไม่รู้ให้ถามผู้รู้ เมื่อผู้รู้พูดแล้วจะต้องเชื่อถือ
    ผู้รู้ก็คือผู้ที่รัฐแต่งตั้งให้อยู่ในฐานะที่จะวินิจฉัยเรื่องของศาสนาได้
    เรียกว่ามุสตี !
    กรณีสงครามบุกยึดบ่อน้ำมันอิรักจะเป็นจีฮัดหรือไม่ นาทีนี้ผมตอบไม่ได้หรอกครับ
    แต่มีประเด็นน่าจับตาตรงที่ผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์ ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ อันเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับความเชื่อในโลกมุสลิมตั้งมาเป็นเวลากว่า 1,000 ปี วินิจฉัยแล้วว่าเป็นจีฮัดแล้ว
    เพียงแต่ขั้นตอนของการวินิจฉัยยังไม่สมบูรณ์ !
    เพราะมหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ถ้าคณะผู้ทรงคุณวุฒิให้คำวินิจฉัยอะไรออกมา รัฐจะต้องรับรองว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าชาวมุสลิมในอียิปต์จะต้องเชื่อก่อน จากนั้นชาวมุสลิมที่อยู่ในประเทศอื่นก็แล้วแต่กรณี
    ความหมายของคำวินิจฉัยที่บอกว่าเป็นจีฮัด ก็คือเป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมทุกคนที่จะต้องต่อสู้กับสหรัฐอเมริกา
    คำว่าสหรัฐอเมริกาหมายถึงผู้ถืออาวุธนะครับ ไม่ใช่หมายถึงประชาชน หมายถึงผู้ถืออาวุธที่มาทำสงครามรุกราน
    จีฮัดเป็นคำที่สูงส่งในศาสนาอิสลาม
    ถือเป็นหน้าที่สูงสุด เปรียบเทียบได้กับทหารที่ป้องกันประเทศนะ แต่จีฮัดคือการป้องกันศาสนา, ป้องกันความดีงาม และป้องกันถิ่นที่อยู่ของตัวเอง
    จีฮัดต้องประกาศจากเงื่อนไขที่กำหนดไว้ 2 ประการ
    หนึ่ง - ผู้รุกรานมีความมุ่งมั่นที่จะทำลายศาสนา
    สอง – ผู้รุกรานมุ่งมั่นที่จะทำลายโลกอิสลาม หรือทำลายชาวมุสลิมที่อยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยการขับเขาออกจากนอกประเทศ
    มหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์มีอิทธิพลมาก เพราะมีคนไปศึกษามหาวิทยาลัยนี้จากทั่วโลก ในประเทศไทยก็มีเยอะที่จบการศึกษาจากที่นี่ เพราะว่าถ้าจบจากที่นี่แล้วชาวมุสลิมทั่วโลกถือว่าเป็นคนที่มีความรู้ในระดับสูงคนหนึ่ง เพราะเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ เป็นศูนย์รวมผู้ทรงคุณวุฒิและตำราในทางศาสนามากมายมหาศาล
    รัฐอียิปต์จะต้องหาทางออกในประเด็นนี้ให้ดี ๆ เพราะอัลอัซฮาร์เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ และก็คณะผู้ทรงคุณวุฒิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวประธาน คือเชคตอลตอวีเอง รัฐเป็นผู้แต่งตั้ง รัฐจะต้องฟัง
    แนวโน้มที่รัฐอียิปต์จะรับรองคำวินิจฉัยของคณะผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์มีสูง
    ขั้นตอนจากนั้นก็จะเป็นเรื่องใหญ่ของโลกอิสลาม
    และเป็นเรื่องของภาคประชาชน ไม่ใช่ภาครัฐ
    เพราะจีฮัดไม่ใช่สงครามของรัฐ เป็นสงครามของประชาชน ประชาชนสามารถที่จะดำเนินการโดยเอกเทศโดยไม่ต้องฟังรัฐ
    ส่วนรัฐแต่ละรัฐจะปฏิบัติอย่างไร และมีท่าทีอย่างไรต่อคำวินิจฉัย เป็นประเด็นทางการเมืองที่มีข้อจำกัดได้
    ความหมายโดย.................พายัพ วนาสุวรรณ
    "
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สาเหตุที่ว่าทำไมพม่าถึงไม่เอาโรฮีนจาคงไม่ใช่แค่ เป็นพวกที่ถูกอังกฤษเกณฑ์มารบกับพม่าแน่นอน เพราะดูจากผลงานการฆ่าก่อน พวกเขาก็เคยสังหารชาวพุทธยะไข่ราว 20,000 คน ในเมืองบูตีดองและหม่องด่อ และพวกมุสลิมโรฮีนจา 5,000 คนในเมืองมีน-บยาและมเยาะอู ก็ถูกชาวยะไข่ฆ่า[23] ซึ่งจากบทความข้างล่างเราลองวิเคราะห์กันดูครับว่าคล้ายกับพันธะสัญญาที่อิสราเอลได้รับจากพระเจ้าไหม แต่พระเจ้าของโรฮีนจา กลายเป็นชาวอังกฤษไป เพราะอังกฤษได้สัญญากับพวกเขาไว้ว่าจะให้ "พื้นที่แห่งชาติ" ซึ่งอังกฤษสัญญาไว้ พวกเขาจึงดำเนินการแยกดินแดนมายูออกจากพม่าตะวันตกไปรวมกับปากีสถานตะวันออก ซึ่งก็โดนพม่าปราบไปเรียบร้อย โรงเรียนพม่า ถ้า UN บอกว่าพวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อยที่น่าสงสารที่สุดในพม่า ก็น่าจะมาจากที่พม่าทำเขาไว้ แต่ลองคิดในแง่ของรัฐบาลทหารพม่าดูครับ ไม่ต้องเอาว่านับถือพุทธ หรืออิสลามมาคิดน่ะครับ มีชนกลุ่มน้อยกลุ่มใดบ้างในประเทศพม่าที่คิดแยกดินแดนไปรวมตัวกับประเทศอื่นบ้าง และยังมีสายสัมพันธ์กับกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มต่างภายนอกประเทศจำนวนมาก และยังมีองค์กรที่มีความเกี่ยวพันกับตัวเองอีก ได้แก่องค์การความเป็นปึกแผ่นโรฮีนจา (RSO) นำโดยมูฮัมหมัด ยูนุส ซึ่งเคยเป็นผู้นำของ RPF มาก่อน ซึ่งต่อมาได้เป็นองค์กรหลักของโรฮีนจาตามแนวชายแดนพม่า-บังกลาเทศ และRSO ประกาศตนเป็นองค์กรทางศาสนาจึงได้รับการสนับสนุนจากโลกมุสลิมรวมทั้ง JeI ในบังกลาเทศและปากีสถาน ฆุลบุดดิน เฮกมัตยัร ฮิซบ์เออิสลามี (HeI) ในอัฟกานิสถาน ฮิซบ์อุลมูญาฮิดีนในรัฐชัมมูและกัศมีร์ (HM) อังกาตัน เบเลีย อิสลาม ซามาเลเซีย (ABIM) และองค์กรยุวชนอิสลามแห่งมาเลเซีย องค์กรทางด้านศาสนาอีกองค์กรหนึ่งของโรฮีนจาคือแนวร่วมอิสลามโรฮีนจาอาระกัน (ARIF) ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2529 โดยนูรุล อิสลาม อดีตรองประธาน RPF คิดดูสิครับว่าโรฮีนจามีความสัมพันธ์กับองค์การก่อการร้ายมากมายก่ายกองขนาดนี้ รัฐบาลทหารพม่ามีความจำเป็นไหมที่ต้องกดหัวของชาวโรฮีนจาไว้ ซึ่งผมเข้าใจว่าคงทำกับเขาเหมือนนักโทษ เพราะรัฐบาลพม่าก็คงรู้ชัดเจนว่าคนกลุ่มนี้น่ากลัวขนาดไหน
    อ้างอิง
    เอ ชาน นักประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยคันดะได้เสนอว่า ขบวนการมุญาฮิดีนในยะไข่เกิดจากความรุนแรงระดับหมู่บ้านระหว่างชาวโรฮีนจากับชาวยะไข่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2485[22] โดยในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2485 มุสลิมโรฮีนจาจากภาคเหนือของยะไข่ได้ฆ่าชาวพุทธยะไข่ราว 20,000 คน ในเมืองบูตีดองและหม่องด่อ ในช่วงเวลาเดียวกัน มุสลิมโรฮีนจา 5,000 คนในเมืองมีน-บยาและมเยาะอู ถูกชาวยะไข่ฆ่า[23] ความรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะอังกฤษติดอาวุธให้ชาวมุสลิมทางภาคเหนือของยะไข่เพื่อสร้างเขตกันชนป้องกันการรุกรานของญี่ปุ่น[24] โดยได้สัญญาว่าหากชาวมุสลิมสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร พวกเขาจะได้รับ "พื้นที่แห่งชาติ"[25] อย่างไรก็ตาม กองกำลังของโรฮีนจากลับพยายามที่จะทำลายหมู่บ้านของชาวยะไข่แทนที่จะต่อต้านญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว ความขัดแย้งระหว่างยะไข่กับโรฮีนจาจึงเกิดขึ้น[22] เมื่อรัฐเอกราชใหม่ของมุสลิมคือปากีสถานกำลังจะได้รับการจัดตั้ง ชาวโรฮีนจาซึ่งขณะนั้นมีกองกำลังติดอาวุธอยู่แล้วจึงต้องการ "พื้นที่แห่งชาติ" ตามที่อังกฤษเคยสัญญาไว้ โดยขอแยกดินแดนมายูออกจากพม่าตะวันตกไปรวมกับปากีสถานตะวันออก มุญาฮิดีนได้ลุกฮือขึ้นในยะไข่ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และเกิดขึ้นต่อเนื่องมา
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Focus : “โรฮีนจา” สุดอึ้ง “แกมเบีย” ประกาศอ้าแขนรับ-ถามงงๆ “แกมเบียแปลว่าอะไร?” โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤษภาคม 2558 15:11 น.

    [​IMG]

    เอเอฟพี – ผู้อพยพชาวโรฮีนจาและบังกลาเทศต่างแสดงความดีอกดีใจเมื่อทราบว่ารัฐบาลอินโดนีเซียและมาเลเซียจะให้ที่พักพิงชั่วคราว แต่ยังอ้ำอึ้งกับข้อเสนอของ “แกมเบีย” ที่ประกาศจะรับพวกเขาเข้าประเทศ โดยบางคนที่ไม่เคยได้ยินชื่อประเทศเล็กๆ แห่งนี้มาก่อนถึงกับถามว่า “แกมเบียแปลว่าอะไร?”

    [​IMG]

    ในช่วง 10 กว่าวันที่ผ่านมามีผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาและบังกลาเทศเกือบ 3,000 คนว่ายน้ำมาขึ้นฝั่ง หรือได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพของทั้ง 3 ประเทศ หลังจากที่ไทยมีมาตรการกวาดล้างเครือข่ายค้ามนุษย์อย่างจริงจัง ซึ่งทำให้นายหน้าบางรายตัดสินใจทิ้งผู้อพยพเอาไว้กลางทะเล
    นักสิทธิมนุษยชนและองค์กรระหว่างประเทศต่างตำหนิติเตียน ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่ใช้นโยบายผลักดันเรือผู้อพยพออกจากน่านน้ำ ทว่าล่าสุดรัฐบาลจาการ์ตาและกัวลาลัมเปอร์ได้ประกาศเมื่อวันพุธ(20 พ.ย.) ว่าจะจัดหาที่พักพิงชั่วคราวให้แก่คนเหล่านี้
    ในส่วนของไทยยังไม่รับปากว่าจะยึดแนวทางเดียวกับเพื่อนบ้านทั้งสองหรือไม่ โดยระบุแต่เพียงว่า จะไม่ผลักดันเรือผู้อพยพออกจากน่านน้ำของไทยอีก
    ที่จังหวัดอาเจะห์ของอินโดนีเซีย ผู้อพยพชาวบังกลาเทศและชาวโรฮีนจาราว 1,800 คนต่างแสดงความยินดีเมื่อทราบข่าวนี้
    “ผมดีใจที่อินโดนีเซียและมาเลเซียจะรับชาวโรฮีนจาไว้” มูฮัมมาดุล ฮัสซัน เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ซึ่งได้รับการช่วยเหลือพร้อมผู้อพยพอีกหลายร้อยคนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กล่าว
    “หลังจากนี้ทุกอย่างคงดีขึ้น พวกเราในอารากันถูกข่มเหงทรมานอย่างต่อเนื่อง และคงจะหลั่งไหลมากันอีก” เขากล่าว โดยหมายถึงชาวโรฮีนจาที่บ้านเกิดของเขาในรัฐยะไข่ของเมียนมาร์
    อย่างไรก็ดี ผู้อพยพบางส่วนยังไม่แน่ใจกับท่าทีของแกมเบียซึ่งประกาศความพร้อมในการรองรับชาวโรฮีนจา เพราะถือเป็น “หน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์” ในการบรรเทาความทุกข์ยากแก่พี่น้องมุสลิม
    เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เขาคิดอย่างไรกับข้อเสนอของรัฐบาลแกมเบีย ฮัสซัน ก็ถามกลับมาว่า “แกมเบียแปลว่าอะไร”
    ด้าน มูฮัมหมัด จาเบอร์ ชาวโรฮีนจาวัย 27 ปี เป็นอีกคนที่ยังสับสนเมื่อคิดว่าจะต้องเดินทางไปอาศัยอยู่ในประเทศที่ห่างไกลออกไปหลายพันไมล์ และเป็นบ้านเมืองที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
    Focus : “โรฮีนจา” สุดอึ้ง “แกมเบีย” ประกาศอ้าแขนรับ-ถามงงๆ “แกมเบียแปลว่าอะไร?”
    ถึงกระนั้น เขาก็สรุปคำตอบออกมาง่ายๆ ว่า “ถ้าที่นั่นเป็นประเทศมุสลิม และพวกเขายินดีรับเราเป็นพลเมือง ทำไมจะไม่ไปล่ะ?”
    ข้อเสนอของแกมเบียดูเหมือนจะขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับจุดยืนของประธานาธิบดี ยะห์ยา จัมเมห์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า เขาชิงชังชาวแอฟริกาที่พยายามอพยพข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปแสวงหาชีวิตใหม่ในยุโรป ซึ่งคนเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็เป็นพลเมืองแกมเบีย
    ชาวโรฮีนจาเป็นบุคคลไร้รัฐที่เผชิญการล่วงละเมิดจากชาวพุทธในเมียนมาร์เสมอมา ขณะที่รัฐบาลเมียนมาร์ก็มองมุสลิมโรฮีนจาว่าเป็นพวกหลบหนีเข้าเมืองจากบังกลาเทศ และปฏิเสธที่จะรับผิดชอบชีวิตของคนเหล่านี้
    จาเบอร์ บอกว่า เขาไม่รู้สึกโกรธรัฐบาลอินโดนีเซียและมาเลเซียที่เคยใช้นโยบายขับไล่ไสส่งชาวโรฮีนจา
    “พวกเรายินดีจะไปอยู่ประเทศไหนก็ได้ที่ยอมรับเราเป็นพลเมือง แต่จะไม่กลับไปเมียนมาร์” เขากล่าว
    เวลานี้ทั้ง 2 ชาติตกลงที่จะรับผู้อพยพทางเรือขึ้นฝั่ง และให้ที่พักพิงชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี จนกว่าพวกเขาจะได้ที่อยู่ใหม่หรือถูกส่งกลับไปยังเมียนมาร์โดยความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ
    อินโดนีเซียไม่มีพันธกรณีที่จะต้องรองรับผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจา เนื่องจากไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย (UN Refugee Convention)
    ผู้อพยพต่างเล่าถึงการเดินทางที่แสนลำบาก ต้องลอยเรืออยู่กลางทะเลอย่างไร้ความหวังเมื่อถูกทางการไทยและมาเลเซียผลักดันออกจากน่านน้ำ ทุกคนบอกตรงกันว่า หากส่งพวกเขากลับไปเมียนมาร์ก็เท่ากับหยิบยื่น “ความตาย” ให้
    “ถ้ารัฐบาลอินโดนีเซียส่งเรากลับไปเมียนมาร์ ก็ไม่ต่างกับฆ่าเรา” โซฮิดุลเลาะห์ วัย 45 ปี กล่าว
    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000058324
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สภายูเครนมีมติ “ยกเลิก” ข้อตกลงความมั่นคงกับ "รัสเซีย"
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤษภาคม 2558 10:38 น.

    [​IMG]
    @ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และ ประธานาธิบดี เปโตร โปโรเชนโก แห่งยูเครน

    เอเอฟพี – รัฐสภายูเครนมีมติวานนี้ (21 พ.ค.) ให้ข้อตกลงด้านความมั่นคง 5 ฉบับซึ่งอนุญาตให้กองทัพรัสเซียใช้เส้นทางผ่านยูเครนไปยังมอลโดวา โดยแลกกับการที่รัสเซียจะต้องสั่งซื้ออาวุธที่ผลิตในยูเครน กลายเป็น “โมฆะ”

    ข้อตกลงชุดนี้ถูกระงับไว้ตั้งแต่เริ่มเกิดวิกฤตการณ์ในยูเครนตะวันออก ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างกองทัพยูเครนกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในแคว้นโดเนตสก์และลูกานสก์ที่ตะวันตกเชื่อว่ามีรัสเซียคอยหนุนหลังอยู่

    สงครามซึ่งยืดเยื้อเข้าสู่เดือนที่ 13 ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 6,200 คน และบั่นทอนเศรษฐกิจของอดีตรัฐโซเวียตแห่งนี้อย่างหนัก

    ทั้งนี้ ความร่วมมือในด้านกลาโหมกับรัสเซียจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็ต่อเมื่อสงครามแบ่งแยกดินแดนสิ้นสุด และยังต้องได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองยูเครนชาตินิยมและพรรคที่เอียงข้างยุโรปด้วย

    ท่าทีของยูเครนยังแสดงให้เห็นว่า ข้อตกลงหยุดยิงกรุงมินสก์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ไม่ได้ก่อให้เกิดความไว้วางใจระหว่างเคียฟและมอสโกเลยแม้แต่น้อย

    “ผมไม่เคยเห็นประเทศไหนยังยอมคบค้าสมาคมกับเพื่อนบ้านที่เข่นฆ่าพลเมืองของเขา” มุสตาฟา นัยเยม ส.ส.ยูเครนซึ่งมีจุดยืนผูกมิตรกับยุโรป เขียนไว้บนเฟซบุ๊ก

    “และผมเพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานนี้เองว่า เรายังมีข้อตกลงระหว่างประเทศกับรัสเซียในส่วนของความร่วมมือทางทหารและเทคโนโลยีด้วย”

    กฎหมายความมั่นคง 5 ฉบับนี้ยังรวมถึงข้อตกลงทางยุทธศาสตร์ซึ่งอนุญาตให้กองกำลังรักษาสันติภาพรัสเซียใช้ยูเครนเป็นเส้นทางผ่านไปยังภูมิภาคทรานส์นีสเตรีย (Transdniester ) ของสาธารณรัฐมอลโดวา ซึ่งเคยเป็นดินแดนของสหภาพโซเวียตและพลเมืองส่วนใหญ่ยังพูดภาษารัสเซีย

    เจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงของยูเครนให้สัมภาษณ์ว่า การปิดเส้นทางเดินทัพผ่านยูเครนส่งผลให้มอสโกทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ แต่สุดท้ายก็หาเส้นทางอื่นที่จะส่งทหารเข้าไปยังภูมิภาคดังกล่าวได้

    อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัสเซียกลับมีท่าทีกังวลต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้น

    “ไม่มีเส้นทางอื่นที่เราจะไปถึงทรานส์นีสเตรียได้นอกจากต้องผ่านยูเครน” เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอินเทอร์แฟกซ์

    ข้อตกลงฉบับที่ 2 กำหนดให้รัสเซียและยูเครนปกป้องความลับซึ่งกันและกัน โดยทำขึ้นเมื่อประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ไปเยือนกรุงเคียฟในปี 2000

    ฉบับที่ 3 ว่าด้วยการอนุญาตให้รัสเซียสามารถลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ทั่วๆ ไปผ่านดินแดนของยูเครน ส่วนฉบับที่ 4 เป็นข้อตกลงซื้อขายอาวุธระหว่างกัน ทั้งนี้ เนื่องจากยูเครนเป็นที่ตั้งโรงงานผลิตอาวุธหลายแห่งที่เปิดดำเนินงานมาตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียต และถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงกองทัพแดนหมีขาว

    ข้อตกลงฉบับสุดท้ายว่าด้วยการแบ่งปันข่าวกรองระหว่างยูเครนกับรัสเซีย

    มึยคายโล พาชคอฟ นักวิเคราะห์ด้านการทหารอิสระ ชี้ว่า “โอกาสที่ยูเครนกับรัสเซียจะกลับมาร่วมมือกันในด้านความมั่นคงและเทคโนโลยีอย่างที่เคยเป็นมาเมื่อช่วง 2-3 ปีก่อน คงจะยากเต็มทีในระยะเวลาอันใกล้นี้”

    “นโยบายต่างประเทศของรัสเซียไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่ ปูติน ยังเป็นประธานาธิบดีอยู่”

    ประธานาธิบดี เปโตร โปโรเชนโก แห่งยูเครน ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการปฏิรูปทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อนำยูเครนเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปภายในปี 2020

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “จีน-อินเดีย” มีแววเป็นสองผู้ถือหุ้นใหญ่สุดในธนาคาร AIIB
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤษภาคม 2558 14:18 น.

    [​IMG]
    @นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แห่งอินเดีย (ซ้าย) และนายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อ เฉียง ของจีน

    รอยเตอร์ – จีนมีแนวโน้มจะถือหุ้น 25-30 เปอร์เซ็นต์ในธนาคารเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) และอินเดียมีโอกาสจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ผู้แทนที่เข้าร่วมการประชุมของสมาชิกร่วมก่อตั้งสถาบันการเงินแห่งนี้ เผยในวันนี้ (22)

    หุ้นของจีนในธนาคารที่มีทุนก่อตั้ง 1แสนดอลลาร์แห่งนี้จะน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ผู้แทนชาวเอเชียที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวในสิงคโปร์บอกกับรอยเตอร์

    ผู้แทนคนที่สอง ระบุว่า หุ้นของแดนภารตะจะอยู่ที่ราว 10-15 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ผู้แทนทั้งสองให้ความเห็นโดยขอให้ไม่เผยชื่อ

    กลุ่มประเทศเอเชียจะถือหุ้นในธนาคารแห่งนี้รวมกันราว 72-75 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ชาติยุโรปและชาติอื่นๆ จะถือหุ้นในส่วนที่เหลือ

    การประชุมเป็นเวลา 3 วันของ AIIB ที่มีจีนหนุนหลังครั้งนี้มีเป้าประสงค์เพื่อสรุปร่างของข้อความรายละเอียดในข้อตกลงที่จะตัดสินเรื่องหุ้นส่วนของชาติสมาชิกและทุนตั้งต้นของธนาคารแห่งนี้

    ผู้แทนคนที่สาม ระบุว่า การประชุมครั้งนี้ปิดฉากลงแล้วและตอนนี้ผู้แทนของแต่ละประเทศจะนำข้อเสนอกลับไปหารัฐบาลของพวกเขาเพื่อการตัดสินใจครั้งสุดท้าย

    ในตอนนี้ยังไม่มีความคิดเห็นใดๆ จากเจ้าหน้าที่ AIIB หรือเจ้าหน้าที่จีนเกี่ยวกับการหารือดังกล่าวในสิงคโปร์

    ประเทศทั้งสิ้น 57 ประเทศได้เข้าร่วม AIIB ในฐานะสมาชิกร่วมก่อตั้งตามแผนของธนาคารแห่งนี้แล้ว โดยมีประเทศต่างๆ รวมอยู่ด้วยกันอย่างหลากหลายเช่น อิหร่าน , อิสราเอล , อังกฤษ และลาว

    สหรัฐฯและญี่ปุ่นยังไม่ได้เข้าร่วมสถาบันที่นำโดยพญามังกรแห่งนี้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งของธนาคารโลกที่ครอบงำโดยสหรัฐฯและธนาคารพัฒนาเอเชียที่นำโดยญี่ปุ่น โดยอ้างเรื่องความกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสและธรรมาภิบาล

    การเริ่มดำเนินการของ AIIB ที่คาดว่าจะเป็นในปีหน้านั้นจะมีขึ้นในช่วงที่พื้นที่สำหรับการให้กู้ด้านโครงสร้างพื้นฐานแทบไม่เหลือที่ว่างแล้ว เนื่องจากปรากฏขึ้นของบรรดาสถาบันให้เงินกู้พหุภาคีและความเคลื่อนไหวล่าสุดของแดนอาทิตย์อุทัยที่จะทุ่มเงิน 1.1 แสนล้านดอลลาร์ไปกับโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในเอเชีย โดยจำนวนของเงินทุนญี่ปุ่นที่จะถูกนำไปลงทุนตลอด 5 ปีนั้นมากกว่าเงินทุนตั้งต้น 1 แสนล้านของ AIIB

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000058282
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผ่านแล้ว! ภาษีมรดก ทายาทรับเกิน 100 ล้านต้องจ่าย "สมหมาย" กลืนน้ำลายตัวเอง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤษภาคม 2558 19:04 น. (แก้ไขล่าสุด 22 พฤษภาคม 2558 19:11 น.)

    [​IMG]

    ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติ 145 เสียง เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก ก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมาย สาระสำคัญให้จัดเก็บภาษีมรดกตั้งแต่ 100 ล้านบาท ทั้งอสังหาริมทรัพย์ หลักทรัพย์ เงินฝาก ยานพาหนะ และทรัพย์ทางการเงินตามพระราชกฤษฎีกา ชี้ก่อนหน้านี้รัฐบาล 50 ล้าน แต่เปลี่ยนเพราะหวั่นกระทบคนที่สร้างเนื้อสร้างตัว และธุรกิจกำลังโต แต่ถ้าเกินร้อยล้านเข้าขั้นเศรษฐีแน่นอน

    วันนี้ (22 พ.ค.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. .... ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยมีนายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เป็นประธานในวาระ 2 และ 3 ทั้งนี้ กมธ. วิสามัญฯ ได้มีการปรับแก้สาระสำคัญจากร่างเดิมของรัฐบาลในมาตรา 12 และมาตรา 16 ให้ผู้รับมรดกมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท โดยในส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท ให้เสียภาษีร้อยละ 10 แต่ถ้าผู้ได้รับมรดกเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 จากร่างเดิมของรัฐบาลที่ให้ผู้รับมรดกเสียภาษีในส่วนที่เกิน 50 ล้านบาทให้จัดเก็บร้อยละ 10

    สำหรับมรดกที่ต้องเสียภาษีเอาไว้ 5 ประเภท ได้แก่ 1. อสังหาริมทรัพย์ 2. หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 3. เงินฝาก หรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะอย่างเดียวกันที่เจ้ามรดกมีสิทธิเรียกถอนคืนหรือสิทธิเรียกร้องจากสถาบันการเงินหรือบุคคลที่ได้รับเงินนั้นไว้ 4. ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน และ 5. ทรัพย์ทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้น โดยพระราชกฤษฎีกา โดยมีผลบังคับใช้ 180 วันภายหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา

    ทั้งนี้ ผู้ใดไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท และผู้ใดทำลาย ย้ายไปเสีย ซ้อนเร้นทรัพย์สินมรดกไปให้ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 4 แสนบาท ผู้ใดจงใจยื่นข้อความเท็จ หรือใช้กลอุบายพยายาม ฉ้อโกง หลีกเลี่ยงการเสียภาษี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือ ปรับไม่เกิน 2 แสนล้านบาท เป็นตน

    สำหรับในมาตรา 12 เดิมมี กมธ. เสียงข้างน้อย จำนวน 7 คนที่ไม่เห็นด้วย ประกอบด้วย พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ พล.ท.ชาตอุดม ติตถะสิริ นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล นายประสงค์ พูนธเนศ น.ส.จารุวรรณ เฮงตระกูล และนายชุมพร เสนไสย และยืนยันจะสงวนคำแปรญัตติ แต่พอได้ฟัง นายสมหมาย ได้ชี้แจงว่า ครม. ได้ยอมให้มีการเรียกเก็บมรดกจากทรัพย์สินที่เกิน 100ล้านบาทแล้ว ทำให้ กมธ.วิสามัญฯ เสียงข้างน้อย ได้ขอถอนคำสงวนแปรญัตติ รวมทั้งก็ไม่มี สนช. คนได้ติดใจหรือคัดค้านและพิจารณาผ่านมาตราดังกล่าวไปอย่างรวดเร็ว โดยมีมติเห็นด้วยกับ กมธ. เสียงข้างมาก ที่เปลี่ยนแปลงให้จัดเก็บภาษีมรดกตั้งแต่ 100 ล้านบาท ด้วยคะแนน 148 เสียง ต่อ 6 เสียง และงดออกเสียง 6 เสียง

    นอกจากนี้ สนช. ยังมีการเสนอทรัพย์สินบางประเภท ไม่ต้องจับเก็บภาษีมรดก โดยมีผู้สงวนคำแปรญัตติมากมาย อาทิ ไม่ให้จัดเก็บมรดกจากอาคาร เคหสถานหรือบ้านที่มีความงาม มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมหรือประวัติศาสตร์ พื้นที่การเกษตรไม่เกิน 25 ไร่ รวมทั้งที่ดินเกษตรกรรมทีได้รับตกทอดจากบุพการี ที่อยู่อาศัยที่ใช้พักอาศัยไม่เกิน 200 ตารางวา ที่ได้รับจากบิดามารดา แต่ กมธ.วิสามัญฯ ไม่เห็นด้วย และ ยืนยันว่าทรัพย์สินที่ไม่ควรจัดเก็บมรดก ต้องเกี่ยวข้องกับการศาสนา การศึกษา และสาธารณะประโยชน์

    พล.อ.อ.ชนะ อยู่สถาพร กมธ. เสียงข้างมาก ชี้แจงว่าสาเหตุที่เปลี่ยนจากการเก็บทรัพย์สินมรดกจาก 50 ล้านบาทขึ้นไปเป็น 100 ล้านบาท จะกระทบแก่ผู้กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวของประชาชน และธุรกิจที่กำลังจะเติบโต หากส่งมอบให้ลูกหลานจะขาดช่วงได้ จึงเห็นว่าการเก็บภาษีตั้งแต่ 100 ล้านบาท ไม่กระทบคนยากไร้แน่นอน ส่วนข้อกังวลเรื่องที่ดินการเกษตร หรือที่พักอาศัย ที่ไม่ควรจัดเก็บนั้น ยืนยันหากบุคคลใดมีทรัพย์สินเกิน 100 ล้านบาท ก็เป็นคนรวยแน่นอนหรือนายทุน ไม่ใช่เกษตรกร อีกทั้งยังไม่มีใครไปทำนาในพื้นที่ 25 ไร่ในพื้นที่ราชประสงค์แน่นอน ที่จะทำให้ราคาเกิน 100 ล้านบาท อีกทั้งยังแก้ปัญหาพวกนักค้าเก็งกำไรที่ดินได้อีกด้วย จากนั้นที่ประชุม สนช. ได้พิจารณาเรียงลำดับรายมาตราจนจบร่างทั้งหมดจำนวน 38 มาตรา และที่ประชุมเห็นชอบในวาระ 3 ด้วยคะแนน 145 ต่อ 5 เสียง งดออกเสียง 10 เสียง

    - "สมหมาย" หมดท่ากลืนน้ำลายตัวเอง หลังโว ปชช. ให้จับตาพิสูจน์ความรักชาติ

    รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ นายสมหมายให้สัมภาษณ์ ยืนยันว่ารัฐบาลต้องการให้เริ่มเก็บภาษีมรดกในส่วนที่เกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป เสียงส่วนใหญ่จะเอา 100 ล้านบาท แต่รัฐบาลเสนอไป 50 ล้านบาท ก็เพียงพอแล้ว มาดูกันว่า ใครจะรักชาติกันเท่าไหร่ เรื่องนี้ไม่ได้มีผลในด้านการ จัดเก็บรายได้มากนัก แต่มีผลในเรื่องการแสดงออกถึงความรักชาติ การที่คนรวยจะช่วยคนจน คนมีเงินควรช่วยประเทศมากขึ้น เพื่อให้ประเทศมีเงินในการใช้จ่ายช่วยคนจนมากขึ้น

    http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000058441
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สนช.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.เชื้อโรคและพิษจากสัตว์
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤษภาคม 2558 12:07 น. (แก้ไขล่าสุด 22 พฤษภาคม 2558 13:44 น.)

    [​IMG]

    มติสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 165 เสียง เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.เชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ให้ตั้ง กก.มีปลัด สธ.เป็นประธานให้คำแนะนำ รมว.สาธารณสุข ทำนโยบายคุ้มครองความปลอดภัยและป้องกันอันตราย ส่วนคณะกรรมการมีอำนาจประกาศรายชื่อเชื้อโรค วิธีรักษา กำหนดระดับความเสี่ยง โดยแบ่งเชื้อเป็น 4 กลุ่ม

    วันนี้ (22 พ.ค.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเสียงข้างมาก 165 คะแนนเห็นชอบกับการให้ร่าง พ.ร.บ.เชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ได้รับการประกาศใช้เป็นกฎหมาย สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ กำหนดให้มีคณะกรรมการเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ โดยให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานคณะกรรมการโดยตำแหน่ง มีอำนาจหน้าที่ให้คำแนะนำหรือความเห็นแก่ รมว.สาธารณสุข ในการจัดทำนโยบายและมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยและป้องกันอันตรายต่อสาธารณชนที่เกิดจากเชื้อโรคและพิษจากสัตว์

    ขณะเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการควบคุมเชื้อโรค ให้ รมว.สาธารณสุขโดยคำแนะนำของคณะกรรมการฯ มีอำนาจประกาศกำหนดรายการของเชื้อโรค โดยคำนึงถึงวิธีป้องกัน วิธีรักษา การแพร่กระจาย และจำนวนหรือปริมาณของเชื้อโรค รวมทั้งต้องกำหนดให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหรืออันตรายที่อาจเกิดในคน ชุมชน ปศุสัตว์ สัตว์พาหนะ หรือสัตว์อื่น โดยแบ่งเชื้อโรคเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 1. กลุ่มที่ 1 ได้แก่ เชื้อโรคที่มีความเสี่ยงน้อยหรืออันตรายน้อย 2. กลุ่มที่ 2 ได้แก่ เชื้อโรคที่มีความเสี่ยงปานกลางหรืออันตรายปานกลาง 3. กลุ่มที่ 3 ได้แก่ เชื้อโรคที่มีความเสี่ยงสูงหรืออันตรายสูง และ 4. กลุ่มที่ 4 ได้แก่ เชื้อโรคที่มีความเสี่ยงสูงมากหรืออันตรายสูงมาก


    ʹ
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Vda Nong ได้แชร์รูปภาพของ สัญญาณมหากลียุค Signs of the end in Current Events

    [​IMG]

    ม้าสีดำและผู้ขี่มันกำลังมาในกันยายน 2015

    พระคัมภีร์เผยให้เห็นโลกจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดจากความยากลำบากในตอนท้ายเวลา
    ผู้ขับขี่เหล่านี้ ไม่ได้ถูกส่งมาจากพระเจ้า พวกเขาเป็นวิญญาณจากมารซาตาน พวกเขาจะมาทำลาย...

    เมื่อพระ‍องค์ทรงแกะตราดวงที่สาม ข้าพ‌เจ้าก็ได้‍ยินสิ่ง‍มี‍ชีวิตที่สามร้องว่า “มาเถอะ” แล้วข้าพ‌เจ้าเห็น และนี่‍แน่ะ ม้าสีดำตัว‍หนึ่งเข้า‍มา และผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้ถือตรา‍ชู
    แล้วข้าพ‌เจ้าก็ได้‍ยินเหมือนอย่างเสียงพูดดังออกมาจากท่าม‍กลางสิ่ง‍มี‍ชีวิตทั้งสี่นั้นว่า “ข้าวสาลีราคาลิตรละหนึ่งเด‌นา‌ริ‌อัน ข้าวบาร์‌เลย์สามลิตรต่อหนึ่งเด‌นา‌ริ‌อัน แต่เจ้าอย่าทำอัน‌ตรายน้ำ‍มันและเหล้า‍องุ่น” : วิวรณ์ 6:5-6

    ผู้ขี่ม้า ถือตราชู เพื่อให้เราพิจารณาให้ดีถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น

    หนึ่งทะนานเท่ากับหนึ่งลิตร โดยปกติหนึ่งเดนาริอันเป็นจำนวนเงินที่จ้างคนงานให้ทำงานวันหนึ่งและจะสามารถซื้อข้าวสาลีได้มากถึง 8 ทะนาน
    พระคัมภีร์ได้บอกแก่เราว่า ต่อไป ข้าวสาลีจะราคาแพงมาก และขาดแคลน แต่ว่าน้ำมันและน้ำองุ่นจะไม่ขาดแคลนเท่าข้าวสาลี แม้ในการคาดการณ์ของมนุษย์จะพบว่าน้ำมันน่าจะขาดแคลน แต่พระคัมภีร์ได้บอกแก่เราอย่างชัดเจนว่า แม้ว่าน้ำมันจะแพง แต่จะไม่หมดลง http://followhissteps.com/web_christians…/…/revelation6.html

    การปรากฏตัวของม้าและผู้ที่ขี่ม้าเป็นที่รู้จักกันในทางที่สำคัญในเดือนกันยายนปี 2015 ไรเดอร์นี้ได้รับมอบหมายงานของเขาคือการนำปัญหาทางเศรษฐกิจที่นำไปสู่ไฮเปอร์เงินเฟ้อ ขาดแคลนอาหารและในที่สุดความอดอยาก

    หลักฐานการแสดงตนของผู้ขับขี่นี้จะเห็นในเศรษฐกิจโลก หลายประเทศมีภาระของหนี้ที่มากเป็นประวัติการณ์ที่ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหยุดกึก ในขณะที่สถาบันการเงินที่สำคัญพบกับความเสี่ยงเป็นประวัติการณ์ในรูปแบบของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

    ไรเดอร์นี้จะทำให้ขาดแคลนอาหาร โดยไม่เพียงแต่การโจมตีทางเศรษฐกิจ แต่ยังหมายถึงแหล่งอาหาร กลยุทธ์ทั้งสองนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เหมือนกันซึ่งเป็นความอดอยาก (ในประเทศไทยจะเห็นการผูกขาดเรื่องอาหารมากขึ้นๆ)
    ในรัฐแคลิฟอร์เนียที่ภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในปี 1200 ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อเมริกาขึ้นอยู่กับเกษตรกรแคลิฟอร์เนียทั้งผักและผลไม้

    ม้าสีดำและผู้ขี่มันกำลังมาในกันยายน 2015 หลักฐานอื่น ๆ เพิ่มเติม
    การวางกำลังทหารทั่วสหรัฐที่กำลังง่วนสุดๆ คาดการณ์กันว่าจะเสร็จสิ้นในไม่กี่อาทิตย์ รองรับเหตุการณ์ไม่สงบสำหรับวันล่มของเศรษฐกิิจ
    Military trucks in Cleveland Ohio for riots or zombies
    https://www.youtube.com/watch?v=A9H00q2TUwA

    JADE HELM ? OVER LONG ISLAND HEADING NORTH 10:56AM 5-20-15
    https://www.youtube.com/watch?v=8Bsv_pBRAw8

    แสดงให้เห็นว่ามันคือทั้งหมดที่จะมา..
    SEPTEMBER 2015 END TIME WARNING ALL COMING TOGETHER
    https://www.youtube.com/watch?t=108&v=nj8jjIKnim4
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สัญญาณมหากลียุค Signs of the end in Current Events ได้แชร์รูปภาพของตน

    [​IMG]

    พวกฟาริสีและสะดูสีมาหาพระเยซูและทดสอบพระองค์โดยขอให้ทรงแสดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์
    พระเยซูทรงตอบว่า..
    “ตอนเย็นท่านพูดว่า ‘อากาศจะปลอดโปร่งเพราะฟ้าแดง’
    และตอนเช้าท่านพูดว่า ‘วันนี้จะเกิดพายุเพราะฟ้าแดงและครึ้มฝน’
    ท่านยังพยากรณ์อากาศได้จากลักษณะของท้องฟ้า แต่หมายสำคัญของวาระต่างๆ ท่านกลับตีความไม่ออก
    ..คนในยุคที่ชั่วร้ายและทรยศต่อพระเจ้ามองหาหมายสำคัญ แต่จะไม่ได้รับหมายสำคัญใดๆ ยกเว้นหมายสำคัญของโยนาห์ มัทธิว 16
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Elzindu Constantine

    [​IMG]

    [​IMG]

    วันนี้ 22 พ.ค
    ครบรอบ 55 ปี แผ่นดินไหวใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกกันมาคือขนาด 9.5 Mw ความลึก 33 กม. ที่ประเทศชิลี
    แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงทีสุดในโลกเกิดที่ เมืองวาลดิเวีย(Valdivia) ทางตอนใต้ของประเทศชิลี ...
    (อยู่ตรงชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ ติดกับประเทศอาร์เจนติน่า) ห่างจากเมืองหลวงคือซานติอาโกประมาณ 700 กม.
    วัดขนาดได้ถึง 9.5 ตามมาตราโมเมนต์ ไหวอยู่นานถึง 5 นาทีกว่า เมืองใหญ่ๆ ถล่มทลายไปสามเมือง ไม่นับเมืองเล็กเมืองน้อยและหมู่บ้านตามแนวชายฝั่ง พวกที่รอดจากแผ่นดินไหวมาได้ต้องเจอกับคลื่นสึนามิสูงถึง 24 เมตร (ประมาณตึก 7 ชั้น) คลื่นนี้แผ่ออกไปถึงชายฝั่งอีกด้านหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิคอย่างญี่ปุ่นหรือเกาะฮาวายที่อยู่ระห่างทางเสียหายไปด้วย (ตาย 61 รายในฮาวาบ 122 รายในญี่ปุ่น)
    รวมยอดผู้เสียชีวิตทั้งจากแรงไหว คลื่นยักษ์ หินร่วงและแผ่นดินถล่มได้กว่า 5,700 ราย เกือบครึ่งอยู่ในชิลี ค่าเสียหายเฉพาะในชิลี ประเมินตามค่าเงินในปีที่เกิดเหตุ คือประมาณ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
    จุดเหนือศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้ (epicenter) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ตรงรอยต่อของแผ่นสมุทรนาซก้า กับ แผ่นทวีปอเมริกาใต้ เรื่องของเรื่องคือแผ่นนาซก้านั้นพยายามจะดันตัวเองไปทางตะวันออก แต่เจอแผ่นอเมริกาใต้สกัดเอาไว้จนเกิดอาการล็อคกันขึ้น เมื่อแผ่นนาซก้ายังคงดึงดันกลับไปให้ได้ ก็เกิดแรงกดดันสะสมขึ้นตรงรอยต่อมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเวลาบ่ายสองสิบเอ็ดนาทีของวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ.1960 แผ่นอเมริกาใต้ก็ทนไม่ไหวเขยิบถอยไปหน่อย แผ่นนาซก้ากำลังดันอยู่เพลินๆ ไม่ทันได้ยั้งเลยไถลพรวดไปข้างหน้า ส่วนหนึ่ง (ประมาณ 20 เมตร) มุดเข้าไปใต้แผ่นอเมริกาใต้ ทำให้เกิดรอยแยกในทะเลเป็นแนวเหนือ-ใต้ ขนานไปกับชายฝั่งประเทศชิลี ยาวถึง 1,094 กม.
    แรงดันที่ถูกสะสมมาทั้งหมดถูกปลดปล่อยออกมาในคราวเดียว ทำให้แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง และเนื่องจากแผ่นดินแถวชายฝั่งอุ้มน้ำไว้มาก คลื่นความสั่นสะเทือนจึงถูกขยายให้แรงขึ้น บางส่วนยุบตัวลงดึงเอาตึกรามบ้านช่องลงไปด้วย ส่วนที่ยุบลงไปต่ำหน่อยถูกน้ำทะเลไหลท่วม ทำให้ภูมิประเทศชายฝั่งของชิลีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ที่ร้ายคือแผ่นดินไหวดังกล่าวทำให้ภูเขาไฟปูเยเว่ซึ่งอยู่ใกล้ๆระเบิดตูมหลังจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เพียง 19 วัน
    ชิลีเป็นประเทศที่คุ้นชินกับแผ่นดินไหว เพราะแผ่นนาซก้ากับแผ่นอเมริกาใต้มีพฤติกรรมเช่นนี้มานานนมสมกัลป์ และจะยังคงมีอยู่ต่อไปอีกนานจนนับไม่ได้
    ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ ชิลีเจอแผ่นดินไหวหนักๆมาหลายครั้ง ขนาดวันนั้นยังไหวตั้งหลายหนมาแต่เช้า จนผู้คนชักจะหวาดๆ ส่วนใหญ่เลยออกมายืนคุยกันอยู่ตามถนนหรือนอกอาคารซึ่งนับว่าคิดถูก เพราะไม่งั้นคงตายมากกว่านี้
    ข้อมูลบางส่วนจาก USGS และคุณ “เสื้อเบอร์สี่”
    Source: https://mrvop.wordpress.com/2011/05/31/valdiviaquake/
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พม่าแฉผู้อพยพปลอมตัวเป็น'โรฮีนจา'ล่องเรือหวังUNช่วย-มะกันกดดันมอบสิทธิพลเมือง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    22 พฤษภาคม 2558 22:25 น.

    [​IMG]

    การ์เดียน/เอเอฟพี - ผู้บัญชาการทหารพม่าระบุผู้อพยพบนเรือที่ได้รับความช่วยเหลือขึ้นฝั่งมาเลเซียและอินโดนีเซีย แอบอ้างตัวว่าเป็นชาวมุสลิมโรฮีนจาเพื่อจะได้รับความช่วยเหลือจากยูเอ็นและจำนวนมากหลบหนีมาจากบังกลาเทศ ขณะที่สหรัฐฯเรียกร้องรัฐบาลหม่อง สหรัฐเรียกร้องพม่าให้สิทธิพลเมืองชาวโรฮีนจา เพื่อลดการหลั่งไหลของผู้อพยพ
    ความเห็นดังกล่าวของมินอ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดพม่า แน่นอนว่าคงกระพือความกังวลเพิ่มเติม หลังจากสหรัฐฯเพิ่งตำหนิพม่าเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ต่อความล้มเหลวในการจัดการกับต้นตอของวิกฤต ซึ่งเหล่านักสังเกตการณ์ชี้ว่ามีมูลเหตุจากที่ประเทศแห่งนี้ปฏิเสธรับรองสิทธิพลเมืองแก่ชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติโรฮีนจา ที่พักอาศัยอยู่ทางตะวันตกของพม่า
    ผู้อพยพหลายพันคน ในนั้นรวมถึงชาวโรฮีนจาจากพม่าและบังกลาเทศ ที่หลบหนีการประหัตประหารและความขัดสนในถิ่นฐาน ถูกผลักดันกลับสู่ทะเลโดยไทย มาเลเซียและอินโดนีเซียในเดือนนี้ โดยจำนวนมากมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยและบางส่วนก็ขาดอาหาร
    อย่างไรก็ตามพลเอกมินอ่อง เปรยระหว่างหารือกับนายแอนโทนี บลินเคน รมช.ต่างประเทศสหรัฐฯ สันนิษฐานว่าเหยื่อเกือบทั้งหมดแอบอ้างตัวว่าเป็นชาวโรฮีนจาจากพม่า ในความหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจาก UNHCR พร้อมอ้างรายงานต่างๆระบุว่าผู้คนบนเรือเหล่านั้นมาจากบังกลาเทศ "เขาย้ำว่าจำเป็นต้องมีการสืบสวนสัญชาติของคนเหล่านั้น แทนที่จะมากล่าวหาประเทศใดประเทศหนึ่ง" หนังสือพิมพ์โกบอลนิวไลท์ออฟเมียนมาร์รายงาน
    ชาวโรฮีนจาส่วนใหญ่คว่ำครวญมาช้านานต่อการถูกเลือกปฏิบัติโดยรัฐในพม่าและปฏิเสธสิทธิความเป็นพลเมือง อย่างไรก็ตามพม่าไม่ยอมรับคำกล่าวหาดังกล่าวและบอกว่ามันไม่ใช่ต้นตอของปัญหา
    เมื่อวันพฤหัสบดี(21พ.ค.) นายราจิบ ราซัค รัฐมนตรีมาเลเซีย ให้คำมั่นมอบความช่วยเหลือและสั่งการให้กองทัพเรือช่วยเหลือผู้อพยพหลายพันคนที่ล่องลอยอยู่กลางทะเล และเจ้าหน้าที่ไทยรายหนึ่งเผยว่าพม่าตอบตกลงเข้าร่วมประชุมฉุกเฉินวิกฤตผู้อพยพในสัปดาห์หน้า
    มาเลเซียและอินโนีเซียเผยว่าจะปล่อยผู้อพยพขึ้นฝั่งชั่วคราว 7,000 คน แต่ไม่มากไปกว่านี้ โดยทั้งสองประเทศบอกว่าจะมีการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวแก่พวกเขา ทว่าไทยซึ่งเป็นเส้นทางผ่านของผู้ที่พยายามลักลอบไปยังมาเลเซียเพื่อหางานทำ บอกว่าจะไม่ดำเนินการแบบเดียวกัน
    ส่วนนายบลินเคน กล่าวระหว่างหารือกับพลเอกมินอ่อง เรียกร้องพม่าให้สิทธิพลเมืองชาวโรฮีนจาอันเป็นวิธีที่จัดการวิกฤตผู้อพยพที่กำลังเล่นงานเอเชียจะวันออกเฉียงใต้อยู่ในตอนนี้ "พวกเขาควรได้รับมอบสิทธิพลเมือง" เขากล่าวอ้างถึงชาวโรฮีนจา 1.3 ล้านคนที่พักอาศัยในพม่าซึ่งถูกทางการปฏิเสธ ด้วยชี้ว่าพวกเขาคือผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ "ความไม่แน่นอนที่เกิดจากการไม่ได้รับสถานะใดๆ คือหนึ่งในหลายๆปัจจัยที่ผลักดันผู้คนเหล่านี้ให้หลบหนีออกมา"
    รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯบอกต่อว่า "ข้อเท็จจริงที่ว่าชาวโรฮีนจายอมเสี่ยงชีวิตตนเองข้ามน้ำข้ามทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย สะท้อนถึงสภาวะในรัฐยะไข่ ที่ทำให้ผู้คนต้องเลือกทำแบบนี้ เราต้องการจัดการกับวิกฤตนี้ในทันที และเราต้องเผชิญหน้ากับรากเหง้าของปัญหาเพื่อบรรลุถึงแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน"
    พม่า ซึ่งกำลังถูกนานาชาติกดดอันหนักหน่วงยิ่งขึ้น เผยในวันศุกร์(15พ.ค.) กองทัพเรือของพวกเขาได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือเรือลำหนึ่งที่บรรทุกผู้อพยพราว 200 คนในอ่าวเบงกอล ส่งสัญญาณประนีประนอมมากขึ้น หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อกรณีไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆต่อวิกฤตดังกล่าว อย่างไรก็ตามรัฐบาลพม่าย้ำว่าจะไม่รับรองสิทธิพลเมืองแก่ชาวโรฮีนจาอย่างแน่นอน
    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx…
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ใกล้หรือยัง? สหรัฐฯอนุมัติขายอาวุธล็อตใหญ่ให้อิสราเอล อิหร่านบอกว่าถ้าอิสราเอลโจมตีอิหร่าน เมือง Tel-Aviv และเมือง Haifa ของอิสราเอลก็จะแหลกเป็นผุยผงแน่!

    [​IMG]

    --------------
    เอาข่าวแรกก่อนนะครับ เมื่อวันที่ 21 พ.ค.58 ที่ผ่านมาสำนักข่าว sputnik news ของรัสเซียรายงานว่ากลาโหมประเทศของสหรัฐฯอนุมัติการขายอาวุธมูลค่า $1.87 billion (ประมาณ 6.2 หมื่นล้านบาท) และอุปกรณ์นำวิถีให้กับอิสราเอลเพื่อเพิ่มศักยภาพระบบอาวุธทางกองทัพของอิสราเอล และเพื่อให้ง่ายต่อการทำงานร่วมกันระหว่างสหรัฐฯกับอิสราเอลด้วย
    โดยอิสราเอลจะได้รับการสนับสนุนด้วยระบบนำวิถีที่มีความแม่นยำซึ่งประกอบด้วยระเบิด bunker-buster จำนวน 750 ลูก ขีปนาวุธ Hellfire จำนวน 3,000 ลูก ขีปนาวุธจากอากาศสู่อากาศพิศัยกลางจำนวน 250 ลูก และระเบิด glide อีก 4,100 ลูก นอกจากนี้ยังรวมถึงระบบนำทางมิสไซล์ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า "tail kits" สำหรับอาวุธร่วมจู่โจมโดยตรง ซึ่งใช้สำหรับแปลงระเบิดที่ไม่มีระบบนำวิถีให้เป็นขีปนาวุธติดตั้งระบบนำวิถีด้วย GPS จำนวน 14,500 ชุด
    นั่นคือการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดระหว่างสหรัฐฯกับอิสราเอล พวกเขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับอะไรบางอย่าง หลังจากที่อิสราเอลถล่มกาซ่าจนไม่เหลือชิ้นดีมาแล้ว
    ข่าวที่สอง : คราวนี้หันมาดูความเคลื่อนไหวจากฝั่งอิหร่านบ้าง ในวันเดียวกันนี้สำนักข่าว Islamic Republic News Agency (IRNA) ของอิหร่านรายงานว่า หากอิสราเอลพยายามที่จะโจมตีอิหร่าน งั้นกรุงเตหะรานก็จะถล่มเมือง Tel-Aviv ให้กองลงกับพื้นเลย (Tehran will raze Tel-Aviv to the ground)
    พลตรี Yahya Rahim Safavi เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของอิหร่านกล่าวว่า "หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯและอิสราเอลจะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสาเหตุความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง พวกไซออนิสต์ (Zionists) ในสหรัฐฯและในอิสราเอลได้กระตุ้นขบวนการแบ่งแยกดินแดน (separatism) ขึ้นในภูมิภาคโดยได้ให้ความช่วยเหลือกับกลุ่มหัวรุนแรงต่างๆ หากระบอบไซออนิสต์ (Zionist regime) ยังคงดำเนินนโยบายที่ก้าวร้วยให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ครอบงำโดยอิสราเอลอยู่อย่างนี้ กลุ่มฮิชบัลเลาะห์ (Hezbollah) ซึ่งมีขีปนาวุธจำนวน 80,000 ลูกก็จะสามารถใช้ต่อต้านอิสราเอลได้เช่นกัน"
    นายพล Safavi กล่าวกับรายการโทรทัศน์ในคืนวันพุธที่ผ่านมาอ้างโดยสำนักข่าว IRNA ว่า "หากอิหร่านถูกโจมตี พวกเราก็จะถล่มเมือง Tel-Aviv และเมือง Haifa ให้เป็นผุยผงลงกับพื้น อิหร่านและฮิชบัลเลาะห์มีศักยภาพที่จะตอบโต้การรุกรานจากพวกไซอนิสต์" นายพล Safavi ยังกล่าวอีกว่าทางอิหร่านได้เรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคทำงานร่วมกันในเรื่องความมั่นคงในตะวันออกกลาง
    เพื่อนบ้านที่ว่านั้นคือใครรึ? อ้าวก็อิรัคที่กำลังเจรจาขอความร่วมมือทุกด้านจากรัสเซียอยู่ในตอนนี้ไง แล้วก็ยังมีเยเมนคู่กัดของซาอุดิฯอีกแรงหนึ่งด้วย อ้อ…ยังมีเลบานอนบ้านของฮิชบัลเลาะห์อีกแรงหนึ่งเช่นกัน ส่วนรัสเซียกับจีนก็จะกันไม่ให้สหรัฐฯกับพันธมิตรเข้ามายุ่มย่ามกับมวยคู่นี้ได้
    The Eyes
    23/05/2558
    ----------
    US Approves Huge Arms Sales to Israel, Including Bunker Buster Bombs / Sputnik International
    Iran Could Raze Tel-Aviv to Ground if Israel Attacks – Top General / Sputnik International
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ญี่ปุ่นเกทับจีน ประกาศจะเพิ่มทุนในธนาคารโครงสร้างพื้นฐานในเอเซียของตนอีก $110 bilions แข่งกับ AIIB

    [​IMG]

    --------------
    หลังจากที่จีนได้ชักชวนให้ญี่ปุ่นเข้ามาร่วมหุ้นในธนาคารเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเอเซีย (AIIB) ร่วมกับจีนและอีก 57 ประเทศ ซึ่งหมดเขตยื่นใบสมัครตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยทางญี่ปุ่นนั้นเชื่อฟังคำพูดสหรัฐฯทุกอย่างที่คัดค้านไม่ให้ประเทศต่างๆเข้าร่วมในโครงการธนาคาร AIIB ด้วย ดังนั้นญี่ปุ่นจึงไม่ได้เข้าร่วมกับ AIIB ที่นำโดยจีนซึ่งแตกต่างจากชาติพันธมิตรอื่นๆของสหรัฐฯในยุโรปที่ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปจึงไม่สนใจคำคัดค้านของสหรัฐฯเลย
    หลังจากที่ทำยึกยักอยู่สักพัก ล่าสุดญี่ปุ่นก็ออกมาประกาศว่าจะสนับสนุนการเงินให้กับธนาคาร Japan Bank for International Cooperation (JBIC) และ Asian Development Bank (ADB) ของตนถึงหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งนับว่าสูงกว่าของ AIIB อยู่ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯเท่านั้นเอง
    ปัจจุบันญี่ปุ่นถือหุ้นอยู่ในธนาคาร ADB 15.67% สหรัฐฯถือหุ้น 15.56% จีนถือหุ้น 6.47% อินเดียถือหุ้น 6.36% ออสเตรเลียถือหุ้น 5.81% และที่เหลือก็มีประเทศอื่นๆรวมทั้งที่ถือหุ้นในธนาคาร ADB ที่นำโดยญี่ปุ่นและสหรัฐฯจำนวน 20 ประเทศ ซึ่งก็มีไทยรวมอยู่ด้วยโดยถือหุ้นเป็นอันดับที่ 17 จำนวน 1.367%
    วันนี้ (22 พ.ค.58) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่านาย Shinzo Abe นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นได้กล่าวในงานประชุม "อนาคตของเอเซีย : ต้องเป็นนวัตกรรม" (The Future of Asia: Be Innovative) ที่กรุงโตเกียวสำหรับความร่วมมือกันระหว่างธนาคารญี่ปุ่นเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (JBIC) และธนาคารเพื่อการพัฒนาในเอเซีย (ADB) ว่า "เราจะเปิดตัวกลไกใหม่ที่สนับสนุนด้านเงินทุนให้กับโครงการต่างๆที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงสูงโดยผ่านธนาคาร JBIC โดย JBIC จะดูแลความเสี่ยงในระยะสั้น จากนั้นก็จะปฏิรูปการปฏิบัติโดยร้องขอให้รัฐบาลท้องถิ่นเป็นผู้ค้ำประกันให้" (ตายหละหว่า! ทำไมฟังดูแล้วมีความรู้สึกว่ายุทธวิธีแบบนี้ออกไปทาง IMF ซะอย่างนั้นหละนี่? ปล่อยกู้แล้วเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูปนี่นะ สุดท้ายก็คงจะหนีไม่พ้นมาตรการรัดเข็มขัดอย่างที่ไทยเคยโดนมาแล้วและกรีซกำลังโดนอยู่ในตอนนี้แน่ๆ)
    นายชินโซะ อาเบะ กล่าวว่า "รัฐบาลญี่ปุ่นในความร่วมมือกับธนาคาร AIIB จะจัดหาเงินทุนในโครงสร้างพื้นฐานเชิงนวัตกรรมให้กับเอเซีย ที่ 110 billion dollars หรือเท่ากับ 13 trillion yen ภายใน 5 ปี" (ภาษาการเมืองการทูตนี่ต้องระวังให้ดี แบบนี้เขาเรียกว่า "ปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ" เลยหละ ญี่ปุ่นบอกว่าจะร่วมมือกับ AIIB แต่จะทุ่มเงินเข้าแบงค์ ADB ของตนเองถึง $110 bilions นี่นะ เหมือนต่อปากเขาแล้วบอกว่าเรามาปรองดองกันนะ นะสิ)
    The Eyes
    22/05/2558
    ----------
    Japan Announces $110 Bln for New Challenger to China's AIIB / Sputnik International
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2015
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ระเบิดพลีชีพในมัสยิดนิกายชีอะห์เมือง al-Qadeeh จังหวัด Qatif ซาอุดิฯมีผู้เสียชีวิต 5 รายบาดเจ็บร่วม 20-30 คน

    [​IMG]

    --------------
    เอาแล้วขบวนการสร้างความขัดแย้งทางศาสนาเกิดขึ้นในซาอุดิอาระเบียอีกแล้ว วันนี้ (22 พ.ค.58) สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานว่าเกิดเหตุระเบิดพลีชีพ (suicide bomber) ในมอสค์ของผู้นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ (Shia/Shiite) ในเมือง al-Qadeeh จังหวัด Qatif ประเทศซาอุดิอาระเบียระหว่างที่มีผู้เข้าร่วมประกอบพิธีทางศาสนาจำนวน 150 คน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 รายและบาดเจ็บราว 20-30 คน
    เมื่อดูจากแผนที่แล้วปรากฎว่าสถานที่เกิดเหตุอยู่ใกล้กับบาห์เรนและกาต้าร์ คุ้นๆว่าใกล้กับสถานที่ที่เคยเกิดเหตุเมื่อตอนที่มีการยิงถล่มกันระหว่างฝ่ายชีอะห์กับตำรวจซาอุดิฯครั้งล่าสุดเมื่อเร็วๆนี้เลย
    ซาอุดิฯ ส่วนมากเป็นชาวซุนนี ชาวฮูติในเยเมนที่กำลังถูกกองกำลังผสมอาหรับนำโดยซาอุดิฯโจมตีอยู่ตอนนี้เป็นชีอะห์ อิหร่านและฮิชบัลเลาะห์เป็นชีอะห์ อิรัคมีทั้งชีอะห์และซุนนีแต่กองทัพอิหร่านและฮิชบัลเลาะห์ช่วยเหลือกองทัพอิรัคต่อสู้กับพวกไอซิส
    เมื่อวานนี้ (21 พ.ค.58) โอบาม่าออกมาพูดถึงกรณีไอซิสยึดเมือง Ramadi ในอิรัคได้ และในตอนท้ายเบี่ยงประเด็นไปที่เรื่องของนิกายระหว่างซุนนีและชีอะห์ในอิรัคแทน โดยบอกว่าทหารอิรัค 90% เป็นชาวชีอะห์ จากข้อมูลเบื้องต้นในวิกิบอกว่าประชาชนชาวอิรัคราว 65-67% เป็นชาวชีอะห์ โอบาม่าเรียกร้องให้ชาวชุนนีออกมาต่อสู้ขับไล่พวกไอซิส และเรียกร้องให้กองทัพอิรัครับชุนนีเข้าเป็นทหารประจำการมากขึ้น ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ในการมุ่งประเด็นมาที่เรื่องนิกายระหว่างซุนนีกับชีอะห์ในอิรัคจากสหรัฐฯไม่ใช่เพียงครั้งแรกเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็พูดในลักษณะนี้ซึ่งเคยนำเสนอข่าวให้อ่านแล้ว
    เป็นที่น่าสังเกตว่าหลังจากที่โอบาม่าออกมาพูดเรื่องซุนนี-ชีอะห์ได้ไม่นานก็เกิดเหตุระเบิดพลีชีพถล่มชีอะห์ขึ้นมาในซาอุดิฯทันที สหรัฐฯกำลังเล่นเกมอะไรกันแน่ ต้องการจะให้ซาอุดิฯถล่มชีอะห์ฮูติเพิ่มมากขึ้นใช่ไหม? การมองว่านั่นเป็นการแก้แค้นจากพวกซุนนีเพื่อเอาคือพวกชีอะห์ในซาอุดิฯนั้นเป็นการมองที่ตื้นเกินไป เราะจุดประสงค์ของสื่อฯตะวันตกและของสหรัฐฯต้องการให้ชาวโลกเข้าใจอย่างนั้น มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน
    The Eyes
    22/05/2558
    ----------
    21 dead after suicide bomber strikes Shiite mosque in S. Arabia, ISIS claims responsibility — RT News
    Bomb Explodes in Saudi Shi'a Mosque During Prayer, Casualties Reported / Sputnik International
    Obama Denies US Losing War Against ISIL Despite Failure in Ramadi / Sputnik International
    Shia Islam - Wikipedia, the free encyclopedia
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,251
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    อินเดียต้องการความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อผลิตเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์

    [​IMG]

    --------------
    เรื่องความร่วมมือทางกองทัพ ทางเทคโนโลยีทางการทหารและการป้องกันประเทศ รวมทั้่งด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างรัสเซียกับอินเดียนี่เล่าให้ฟังหลายครั้งหลายตอนแล้วนะ ล่าสุดผู้นำอินเดียก็ได้เดินทางเข้าร่วมงานวัน V-Day ที่กรุงมอสโคว์ร่วมกับผู้นำชาติอื่นๆอีกเกือบ 30 ประเทศเมื่อวันที่ 9 พ.ค.58 ที่ผ่านมานี้ด้วย อินเดียกับรัสเซียนั้นนอกจากจะร่วมมือกันพัฒนา เชื้อเพลิงรุ่นใหม่สำหรับอากาศยาน ร่วมกันสร้างเครื่องบินรบสเตลธ์เจเนอเรชั่นที่ 5 รุ่น (Sukhoi PAK FA T-50) แล้วเรือดำน้ำของอินเดียส่วนมากก็สั่งซื้อมาจากรัสเซียด้วยกันทั้งนั้น ที่ผลิตเองก็มีโดยพัฒนาต่อยอดจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีของรัสเซีย ซึ่งมีการตกลงกันอย่างเป็นทางการ เรื่องเหล่านี้เคยเล่าให้ฟังมาแล้วทั้งนั้น
    คราวนี้มาดูความเคลื่อนไหวล่าสุดจากฝั่งอินเดียบ้างนะครับ วันนี้ (22 พ.ค.58) สำนักข่าว sputnik news ของรัสเซียอ้างหนังสือพิมพ์ Economic Times รายงานว่า บริษัทสัญชาติอินเดียกำลังมองหาความร่วมมือกับรัสเซียในการสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์และเรือรบล่องหน (stealth warships) ภายในอินเดียเอง
    ตามรายงานข่าวเบื้องต้นแจ้งว่าผู้บริหารระดับสูงบริษัท Reliance Infrastructure ของอินเดียได้เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงในก.กลาโหมของรัสเซีย และแสดงความประสงค์ที่จะขอเข้าพบกับ Sergei Shoigu รมว.กลาโหมของรัสเซียซึ่งทางอินเดียขนานนามให้ว่าเป็น "หุ้นส่วนชาวรัสเซียที่พึงปรารถนา" (a desirable Russian partner) (ว้าว! อีต้องกินโรตีใส่น้ำตาลและนมกระป๋องเยอะๆก่อนจะมาให้สัมภาษณ์กับสื่อฯแน่ๆ แต่ยังไม่เคยได้ยินอินเดียพูดอย่างนี้กับทางสหรัฐฯเลยนะ คริๆ)
    รายงานข่าวบอกว่าทางผู้บริหารของบริษัท Reliance Infrastructure จากอินเดียและรมว.กลาโหมของรัสเซียกำลังต่อรองกันเกี่ยวกับเรื่องที่อินเดียต้องการจะสร้างเรือดำน้ำรุ่นเก่าแต่ปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น (modern conventional submarines) จำนวน 6 ลำที่อู่ต่อเรือ Pipavav Defense ซึ่งเป็นอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดีย โดยเทคโนโลยีที่ได้รับการถ่ายทอดจากรัสเซีย
    Sergei Karmalito ที่ปรึกษาเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำอินเดียแจ้งว่าทางรัฐบาลของรัสเซียได้เปิดกว้างในการเจรจากับหุ้นส่วนชาวอินเดียในหลายโครงการด้วยกัน ความเริ่มต้นนั้นมาจากโครงการ "ผลิตในอินเดีย" (Make In India project) ซึ่งได้เริ่มตั้งแต่ปี 2014 ในโครงการนี้ทางอินเดียทุ่มเงินสนันสนุนให้กับภาคส่วนทางเศรษฐกิจถึง 25 ภาคส่วนด้วยกัน ซึ่งมุ่งตรงไปที่เงินลงทุนจากต่างประเทศ 100% ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเกือบทั้งหมด โดยเมื่อเดือนมกรคมที่ผ่านมา ทางนาย Manohar Parrikar รมว.กลาโหมของอินเดียได้เชิญบริษัทผู้ประกอบการด้านความมั่นคงของรัสเซียให้เข้าร่วมกับโครงการนี้ด้วย
    อ้าว! แล้วอเมริกาอยู่ตรงไหนหละนี่? จำตอนที่ลงข่าวว่าทางสหรัฐฯจะส่งเจ้าหน้าที่จากเพนตาก้อนไปทาบทามขายเครื่องบินของสหรัฐฯให้อินเดียได้ป๊ะ? ตอนนั้นนักวิเคราะห์จากสหรัฐฯเองนั่นแหละมองว่านั่นเป็นแผนที่จะทำให้รัสเซียแตกคอกับอินเดียจากทางสหรัฐฯ แต่เขาก็วิเคราะห์ต่อไปว่าแผนตื้นๆแบบนี้ไม่ได้กินรัสเซีย อินเดีย และจีนหรอก ขนาดสหรัฐฯกดดันไม่ให้ชาติต่างๆเข้าร่วมงาน V-Day ที่กรุงมอสโคว์ ก็ทำได้เฉพาะกับอียูเท่านั้น แต่อินเดียกับจีนกลัวอิทธิพลของสหรัฐฯซะที่ไหนหละ จะไปซะอย่าง แล้วก็ไปจริงๆด้วย ต่อมาหลังงานหนึ่งวันนายกฯหญิงของเยอรมันก็บินไปที่กรุงมอสโคว์ด้วยเช่นกัน แม้จะไปช้าหนึ่งวันก็ไม่เป็นไร สุดท้ายสหรัฐฯก็ส่งจอห์น แคร์รี่เข้าไปวางพวกมาลาที่อนุสรณ์สถานทหารนรินามจากการเสียชีวิตในการสู้รบกับกองทัพนาซีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่เมือง Sochi ด้วย ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่นายกฯของเยอรมันไปนั่นแหละ
    The Eyes
    22/05/2558
    ----------
    Indian Company Wants Cooperation With Russia to Manufacture Nuclear Subs / Sputnik International
     

แชร์หน้านี้

Loading...