เรียนถามท่านผู้มีประสบการณ์ เกี่ยวกับการปฏิบัติ และศีลข้อ 3

"กาม" ตามนัยพระพุทธศาสนา มีความหมายกว้าง มิใช่เฉพาะเรื่องเพศอย่างที่เข้าใจกันทั่วๆไปเท่านั้น

กาม คือ อะไร ? กาม แปลว่า ความอยาก ความรัก ความใคร่ ความปรารถนา หรือสิ่งที่อยาก ที่รัก ที่ใคร่ ที่ปรารถนา พูดง่ายๆว่า สิ่งเสพ วัตถุบำรุงบำเรอความสุข เครื่องอำนวยความสะดวกสบาย คน สัตว์ ทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของสารพัด ที่อยากได้อยากมี ที่จะครอบครองเอาไว้ให้ได้ความสุข รวมแล้วก็จัดแยกได้เป็น "กามคุณ ๕" คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งต้องกาย ที่ใคร่ที่ใฝ่ปรารถนา ที่จะให้ "กามสุข" คือ สุขทางประสาททั้ง ๕ สุขทางวัตถุ หรือสุขทางเนื้อหนัง บางทีเรียก สามิสสุข คือสุขอาศัยอามิส หรือสุขจากสิ่งเสพ (อามิสสุข ก็เรียก)

ถึงตอนนี้ มีปัญหาว่า กามสุขนั้น มีมากมาย หลายอย่าง หลายระดับ ที่ล้ำเลิศก็มี ที่เป็นทิพย์ก็มี และท่านก็ยอมรับว่าเป็นความสุข แต่กามสุขทั้งหมดนั้นมีข้อบกพร่องอย่างไร และความสุขที่ว่าประณีตยิ่งขึ้นไปอีกนั้นดีอย่างไร ทำไมท่านผู้ได้ประสบรู้จักสุขประณีตนั้นแล้ว จึงว่าดีเยี่ยมกว่ากามสุข ถึงกับละเลิกกามสุขไปเสียทีเดียว

“ภิกษุทั้งหลาย กามคุณมี ๕ อย่างดังนี้ รูปทั้งหลายที่รู้ได้ด้วยตา...เสียงทั้งหลายที่รู้ได้ด้วยหู....กลิ่นทั้งหลายที่รู้ได้ด้วยจมูก....รสทั้งหลายที่รู้ได้ด้วยลิ้น...โผฏฐัพพะทั้งหลายที่รู้ได้ด้วยกาย ซึ่งน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้อยาก เย้ายวนชวนติดใจ เหล่านี้แล คือ กามคุณ ๕ อาศัยกามคุณ ๕ ประการเหล่านี้ มีความสุข ความโสมนัส ใดเกิดขึ้น นี่คือส่วนดี (อัสสาทะ ความหวานชื่น) ของกามทั้งหลาย นี่เรียกว่ากามสุข”

 

ในพระพุทธศาสนา มีการกล่าวถึงความสุขชื่อต่างๆ หลากหลายมากมาย และจัด แบ่งไว้ ทั้งโดยขั้น และโดย ประเภท เป็น ๒ อย่าง ๓ อย่าง ๓ ขั้น ๕ ขั้น ฯลฯ ๑๐ ขั้น สูง ขึ้นๆไป จนถึงความสุขอย่างสูงสุด

ลองดูชื่อความสุข ใน คัมภีร์ทั้งหลาย จะเห็นว่ามากมายเหลือเกิน ที่สำคัญก็มี ไม่สำคัญก็ มี เช่นว่า บริโภคสุข อุปโภคสุข โภคสุข กายสุข จิตสุข กายิก สุข เจตสิกสุข กามสุข สามิสสุข หรืออามิสสุข นิรามิสสุข อุตุสุข เกียรติสุข ปุถุชนสุข มนุษยสุข ทิพยสุข มหาชนสุข สรรพโลก สุข มธุรสุข กุศลสุข ธรรมิกสุข ภาวนาสุข นิยตสุข สังสารสุข โยคสุข โลกิยสุข โลกตุรสุข วัฏฏสุข วิวัฏฏสุข โอฬาริก สุข สุขุมสุข สมาธิสุข ฌานสุข วิปัสสนาสุข อริยสุข อนริยสุข วิเวกสุข สันติสุข วิโมกขสุข วิมุตติสุข สัมโพธิสุข บรมสุข ดังนี้ เป็นต้น

ทั้งนี้ เมื่อพูดในแง่การ ปฏิบัติ ท่านกล่าวถึงความสุขต่างๆ พร้อมทั้งบอกด้วยว่า อย่าง ไหน ขั้นไหน ดีอย่างไร ยังมีข้อเสียอย่างไร ความสุขอีกอย่าง หนึ่ง หรืออีกขั้นหนึ่ง ดีกว่าอย่างไร

การบอกให้รู้ว่า ความสุขมีมากมาย แล้วก็มีความสุขที่ดีกว่ากัน สูงกว่ากันขึ้นไป ก็ เป็นการบอกให้รู้ว่าเราจะต้องมีการก้าวหน้า หรือพัฒนาขึ้นไปในความสุข หรือให้ถึงความสุขที่สูงขึ้นไปๆ เหล่านั้นด้วย

เป็นอันว่า ความสุขมีมากมาย มีหลายขั้น หลายระดับ หลายประเภท และความสุขนั้นพัฒนาได้ และทุกคนก็ควรจะพัฒนาขึ้นไป จนกว่าจะถึงความสุขที่ดี เลิศยอดเยี่ยมที่สุด

 

ผมแย้งคุณ ซาเบอร์ ตรงประเด็นที่ว่า ถ้ายังเสพกามอยู่ (แบบไม่ได้ผิดศีลข้อสาม) ก็คือ เสพนอนกับสามีภรรยาของตนเอง ไม่ได้ไปเสพนอนกับลูกเมียคนอื่ น...ทำไมจะฝึกสมาธิ แล้วสมาธิจะเกิดไม่ได้ ทำไมฌาณจะเกิดไม่ได้....

บางคน ผิดศีลข้อสาม สมาธิยังเกิดได้ ฌาณยังเกิดได้ แต่ตรงนี้..ผมก็อธิบายถึงผล ของมันไปแล้วว่า ผลที่ได้ มันก็ไม่ไช่ญาณปัญญาเพื่อชำระกิเลส ถ้ามันเป็น สมาธิจากเสพกาม ฌาณจากเสพกาม....ผมแค่แย้งว่า....ถ้ายังเสพกาม สมาธิ ฌาณ ก็เกิดได้....แต่มันไม่ดี ไม่ไช่เพื่อชำระกิเลส อวิชชา....ผมก็ตอบไปแบบนี้.....แล้วทำไม อ่านแล้ว ไม่เข้าใจ

สงสัย ผมจะโง่เอง ครับ...อิอิ

 

พร่องในศีล ไม่มีหวังที่จะทรงสมาธิเพื่อฌานสมาบัติได้เลย ไม่ได้สำเร็จผลใดๆ แม้แต่ฌานโลกีย์ก็ไม่ได้

 

ศีลข้อสาม แปลว่า เสพกามผิด ประพฤติผิดในกาม....ไม่ได้หมายความว่า ไม่ไห้เสพกาม ครับ......ถ้าจะแปล คือ อย่าเสพกามผิด แล้ว ตนเองเดือดร้อน คนอื่นเดือดร้อน นั่นเอง.....ทำไมพากัน แปลภาษา ความหมาย ...ผิด กัน ล่ะครับ

นอนกับสามีภรรยาตนเอง คือเสพกามอยู่ ผิดตรงไหน อาหารที่กินเงินที่ใช้ หามาอย่างสุจริต....ผิดตรงไหน.....มันจะผิดก็เมื่อ....เสพผิด ไม่ถูกต้อง ไม่สมควร สิครับ....เช่น ก้าวล่วง ลูกสาว ภรรยา สามีคนอื่น ที่เขายังไม่อนุญาติ ขโมยเงิน อาหาร ปล้น โกง คนอื่นมาเสพ...สิครับ คือ....ประพฤติผิด ในกาม

 

ยังไม่เข้าใจสินะ เรื่องของศีล ก็เรื่องของศีล จะเอามาปนอะไรกับการปฏิบัติทรงฌาน ไม่เข้าใจจริงๆหรอ

จะเสพกับเมียตัวเอง หรือ จะเสพกับตัวเอง

ขึ้นว่าเสพเมถุนกามอยู่ ฟุ้งซ่าน นิวรณ์5 กำเริบอยู่ ก็อย่าหวังว่าจะ ทรงสมาธิฌาน ได้

เรื่องแค่นี่ไม่เข้าใจก็ปล่อยไปตามกรรม ^^

 

นี่ซาเบอร์...ถ้าไม่ไช่รู้เอง เข้าใจเอง อย่ายกเอา คำที่พระอื่นพูด ยกมาแสดง เพราะนั่นมันไม่ไช่ความรู้ของคุณ มันเป็นของคนอื่นพูด คนอื่นรู้....อยากแสดง อยากพูด ให้ พูดให้แสดง ในสิ่งที่ตนเอง ก็ เข้าถึงได้ เข้าใจด้วยมาครับ...มันถึงจะเป็นการถกคุย ที่ถูกต้อง...ว่า

เฮ้ ซาเบอร์ ตอนนี้ผมกำลังคุยกับคุณ หรือคุยกับหลววพ่อฤษี กันล่ะ...

 

ซงเซียน ไซอ้ง ไซแอ้นส์ อะไรนี่ ยังไม่โดนแบนอีกหรอครับ

อย่างกะ ตันตระ

 

ลองไปสืบค้นข้อมูลดูก็ได้คับ

 

ถ้ามีปัญญายกของหลวงพ่อฤาษีมา....ทำไมไม่ยกของพระพุทธเจ้ามา จะไม่ดีกว่าหรือ

ยกของหลวงพ่อมา....ผมไม่ศรัทธาหรอกครับ...ผมไม่เถียงศาสดา ....เพราะท่านเป็นศาสดา

ผมไม่ยอมรับ...นอกเหนือศาสดา...น่ะ

 

ตาอินเทวดา

พระอาจารย์ เล่าเรื่องอภิญญาให้ฟังว่า "ตาอินเทวดา ไปยืมเงินคนนั้นคนนี้มากินเหล้า ยืมแล้วก็ไม่ใช้คืนสักที เจ้าหนี้เจอหน้าก็เข้ามากระชากแขนตาอิน ปรากฏว่าแขนตาอินหลุดติดมือ เจ้าหนี้ก็ตกใจวิ่งหนี ทิ้งแขนตาอินไว้ คนอื่นเห็นตาอินเดินไปเก็บแขน ซึ่งกลายเป็นผ้าขาวม้าพาดบ่า เดินหัวเราะหึๆ ไป

เรื่องตาอินเทวดามีวีรกรรมเยอะ เห็นชัดๆ เลยว่าเป็น อภิญญาโลกีย์ เพราะว่าแกกินเหล้าเป็นปกติ แบบเดียว อาจารย์ศุข ถึงเวลาก็ไปซื้อเหล้ากิน สั่งเจ๊กซื้อเหล้าชามหนึ่ง นั่งกินกับเพื่อนอยู่ครึ่งค่อนคืน กินจนเมาหัวทิ่มบ่อแล้วก็กลับ เจ๊กก็สงสัยว่าตาอินกินได้อย่างไร เหล้าชามเดียวกินได้ครึ่งค่อนคืน พอไปดูที่ไหนได้ เหล้าในร้านหมดไปเป็นไหเลย..!"

ถาม : แล้วเขาใช้อภิญญาได้อย่างไรในเมื่อศีลไม่ครบ ?

ตอบ : ตอนแกใช้อภิญญาศีลครบ ตอนที่แกกินเหล้าแกไม่ได้ใช้ วันดีคืนดีก็บอกชาวบ้านว่า “อยากเห็นเทวดาไหม ?” ชาวบ้านก็บอกอยากเห็น แกก็ให้เอาผ้ามาคนละผืน "เดี๋ยวข้าต่อผ้าแล้วจะขึ้นไปเรียกเทวดามาให้ดู" ชาวบ้านก็เอาผ้ามาคนละผืน ผ้าขาวม้าบ้าง ผ้าดิบบ้าง มัดต่อๆ กัน

ตาอินแกมัดแล้วตัวแกลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดผ้า แกก็ตะโกนเรียก “เทวดาโว้ย..!” ก็มีเสียงตอบมาว่า "โว้ย..!" ตาอินพูดต่อ “ชาวบ้านเขาอยากเห็น..โผล่มาให้เขาดูหน่อย” โอ้โห..โผล่มาตามกลีบเมฆเต็มเลย ชาวบ้านกำลังดูเพลินๆ ตาอินกระตุกผ้าผลุบ เหมือนกับว่าวหลุดลอยหายไปเลย ชาวบ้านก็ตายละหว่า..ตาอินไปไหน ? แต่ไม่กลัวหรอกว่าตาอินจะเป็นอะไร เพราะว่าแกเก่ง น่าจะขึ้นไปคุยกับเทวดาข้างบนกระมัง ? แต่ที่ไหนได้..เถ้าแก่โรงจำนำเห็นตาอินหอบผ้ามาจำนำเยอะแยะเลย แล้วตาอินก็เอาเงินไปซื้อเหล้ากินต่อ

ถาม : เป็นเรื่องสมัยไหนครับ ?

ตอบ : สมัยรัชกาลที่ ๓

ถาม : สมัยนี้ยังมีอย่างนี้ไหมครับ?

ตอบ : มี..แต่โผล่มาไม่ค่อยได้หรอก โผล่มาทีไรก็โดนรุมตอมหึ่ง สรุปแล้วผ้าคนละผืนเป็นค่าดู ให้ตาอินจำนำเอาเงินไปกินเหล้า

ถาม : ตอนใช้อภิญญา อยู่ที่กำลังใจอย่างเดียวเลยหรือครับ?

ตอบ : อยู่ที่ความมั่นใจของเราและความคล่องตัวของสมาธิ ถ้าหากว่ามีความคล่องตัว มีความมั่นใจ จะใช้อภิญญาเมื่อไรก็ได้

ถาม : อย่างนี้ก็อยู่ที่ตัวมั่นใจแต่ละคนสิครับ?

ตอบ : ใช่..ซักซ้อมให้คล่องตัว ไม่อย่างนั้นต้องตั้งหลักกันนาน ถ้าตั้งหลักนานไม่ใช่อภิญญาหรอก อภิญญาไม่ต้องตั้งหลัก แค่คิดก็เป็นแล้ว

ถาม : (ไม่ได้ยิน)

ตอบ : ถ้าหากว่าผิดศีลก็เสื่อม หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมกำลังใจได้ใหม่ เพราะผิดจนชิน พวกนี้จะหน้าด้าน พอผิดจนชินถึงเวลาก็รู้นี่ ถ้าหากว่าศีลบริสุทธิ์ก็ทำได้ เขาก็ตั้งใจว่าตอนนี้ศีลของเราบริสุทธิ์ ก็ทำได้เดี๋ยวนั้นเลย

ถาม : (ไม่ได้ยิน)

ตอบ : อย่างน้อยๆ ช่วงที่เขาทำได้ กำลังใจเขาก็สะอาด แล้วอีกอย่างพวกนี้พอตอนช่วงหลังๆ ก็มาอยู่ในศีลกินในธรรมกันหมด แรกๆ ก็ประเภทร้อนวิชา เฮี้ยนไปอย่างนั้นเอง พอถึงเวลา "ท่าน" ที่ควบคุมอยู่เล่นเอาหนักๆ ก็ต้องเลิกไปเอง

ถาม : คนสมัยก่อนกับคนสมัยนี้ใครมีอภิญญามากกว่ากัน ?

ตอบ : สมัยก่อนสภาพจิตของเขาสงบง่ายกว่า สังเกตดูรุ่นปู่ย่าตาทวดของเราสิ อยู่ในศีลกินในธรรม สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญเข้าวัดเข้าวาเป็นประจำ ในเมื่อจิตเย็น สงบ สมาธิก็เกิดได้ง่าย วิสัยเดิมถ้ามีมาในด้านอภิญญาก็จะโผล่มาเอง

สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕
ที่มา ตาอินเทวดา

 

ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

แล้วใครที่ไหนบอก ฝึกดาบ สำเร็จ ฌาน

บางคนเอาการเสพกามมาทำเป็นฌาณเป็นสมาธิก็มี

ก๊ากๆๆๆๆ

ช่วยไปหามาให้ดูหน่อยนะครับ ว่า ศาสดา ที่ไหนสอนมา

.

ไหนว่า ผมไม่ยอมรับ...นอกเหนือศาสดา

 

งั้นถามอีกข้อนะ(ก็รู้อยู่ว่าถามไป มันก็ไม่มีปัญญาจะตอบได้หรอก แต่ก็จะถาม)

ถามว่า คนที่เสพกามอยู่ เขาทำสมาธิพร้อมๆกับเสพกาม เหรอ
หรือว่า เวลาเสพกามก็เสพไป เวลาทำสมาธิก็ทำสมาธิ

เจ้าของกระทู้ ถามว่า ถ้าเสพกามอยู่คือ มีสามีภรรยาอยู่ แต่ไม่ไช่หมายความว่า นอนด้วยกันอยู่แล้วทำสมาธิไปด้วย เสียเมื่อไหร่

ตกลงฉลาดมาก จนแยก อะไรออก ไม่เป็นเลยหรือไง.....ตกลง สมาธิที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น ท่านให้ทำหลัง เสร็จกิจ อื่นๆหมดแล้ว ค่อย นั่งคู้บัลลังค์ นะครับ

ตกลง....แกคิด อะไรอยู่วะ หรือฉลาดเกิน จน คิดไม่ได้

 

ก็มันโง่ไง...เลย อ่านแล้วไม่เข้าใจ..ไอ้ลิงกังเอกวีร์6 เอ้ย...ไอ้โง่

 

เจี๊ยก เจี๊ยก เจี๊ยก น้องเคยเห็นลิงหลอกเจ้าหรือเปล่า....ลิงมันสมองกลวงไม่เบา
มีหางยาวๆ ไว้เกี่ยวกิ่งไม้....มีนิสัย วอกๆ เหมือนเอกวีร์...ดูให้ดีดี...มัน..เป็นลิง...อิอิ

 

ไม่รู้จิงๆหรอ อ่านทำเทศน์สอนครูบาอาจารย์บ้างนะ

 

งั้นแก ก็ อธิบาย ที่จริงๆ ที่แกรู้ มาให้ดูหน่อย....มีมั้ย อยากดู....อย่ายกของคนอื่นมา....จะอ่าน...แต่ถ้า มีปัญญาแค่ยก ของคนอื่นมา อาจานเล็กอาจานน้อย หลวงพ่อรือสีดำ สีแดง .....ไม่เอา

จะอ่าน หลวงพ่อลิงกัง6เอกวีร์....มีป๊ะ

 

น่า ซาเบ่อ...เซ่อบ้า..ลังกัง5เอกวีร์

ที่แกยกมา คือ อภิญญาเสื่อม ญาณเสื่อม เพราะผิดศีลในตอนนั้น(แปลว่าเสื่อมทันทีเพราะสติไม่เป็นสมาธิไม่เป็นฌาณ ในขณะที่ทำสมาธิทำฌานอยู่......ไง

แต่ที่เจ้าของกระทู้ถามคือ ถ้าเสพกามอยู่ มีสามีภรรยาอยู่....จะทำสมาธิ ทำฌาณ ได้มั้ย...

มันเกี่ยวอะไร กับที่แก ยกมา วะ เรื่อง ฤาษีตกดิน น่ะ

 

ก็คงไม่เข้าใจสินะ น่าจะพิจารณาตัวเอง


มีสมาธิ ฌาน เสื่อมเพราะเหตุใด เหตุให้เสื่อมเพราะอะไร

แล้ว บุคคลธรรมดา ยังไม่ได้มี สมาธิ ฌาน จะทำสมาธิ ฌาน ได้อย่างไรเมื่อเสพกาม เสพเมถุนเป็นอาจินอยู่ จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน นิวรณ์5 กำเริบอยู่


พิจารณาคำถามตัวเองก่อนดีมั้ย แค่นี้ เรื่องพื้นๆยังคิดไม่ได้


.

.

 

กินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ อยู่ทุกวันนี่....เขาก็เรียกว่า เสพกาม เป็นอาจิณ อยู่

แล้ว มีชีวิต แบบไหน ล่ะ ที่ไม่เสพกาม เป็นอาจิณ....ที่ไม่เสพกาม ก็เห็นแต่คนตาย น่ะนะ

ที่ไม่เสพกามเป็นอาจิณ....ใครเหรอ แกเหรอ