ตามครรลองธุลีดิน(ความตายบนเส้นทางโจรสลัด..ของอดีตนักเลงบ้านนอก)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 8 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ไม่ได้ผ่านมาเวปซะนานเลยค่า^^
    อ่านเรื่องคุณภิศรณ์แล้วก็อยากแนะนำให้ลองสมุนไพร ต้นหนานเฉาเหว่ย

    คือ..เรื่องร่างกาย ระบบการไหลเวียน ยาหรืออาหารจะช่วยได้ส่วนนึง
    อีกส่วน เราต้องมีการบริหารกระตุ้นด้วยนะคะ^^
    เรื่องกายภาพแนะนำได้ ส่วนวิญญาณภาพต้องปรึกษาท่านเจ้าบ้าน

    อย่าว่ากันเลยนะคะ หากอยากจะบอกว่า
    เว้นระยะงานนิดนึง ในแต่ละช่วง พักบ้าง 5นาที10นาทีก็ยังดี
    ไม่รู้ว่า งานแต่ละคน จะยุ่งติดพันกันขนาดไหน
    แต่..เราก็ทำๆกันแบบนี้ มาจนอายุมากกันแล้ว เพื่อ...??
    ทำงาน ได้เงิน กิน นอน รักษาตัวเอง วนๆไป
    ตายแล้วก็ลืม วนกลับมาทำอีก

    ไม่ได้หมายถึงเราต้องละเลยหน้าที่ปัจจุบันนะคะ แต่ก็ควร
    หาเวลาชาร์ตพลังให้ร่างกายและจิตใจบ้าง

    ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแนวทางแต่ละคน
    น้องแตนเป็นผู้น้อยยังด้อยปฏิบัติ มิอาจจะแนะนำอะไรได้มาก

    เพียงแต่ พบเจอคนที่ป่วยเพราะมุ่งการงานหลายๆคน
    พอป่วย คนที่เดือดร้อนก็ตัวเองทั้งนั้น บริษัทห้างร้านเขาไม่ได้เดือดร้อนด้วย
    ไม่มีเรางานเขาก็เดินต่อไป มีแต่คนป่วยที่ทุกข์ทรมาน

    ดูสรรคุณของหนานเฉาเหว่ย แล้วทดลองกินดูนะคะ
    พี่Raming นำมาเผยแพร่ให้ทราบค่ะ
    คนแถวบ้านแตนกินแล้วก็ลดปวด จากลุกไม่ไหวก็ดีขึ้น
    หากไม่มี inbox ที่อยู่มาค่ะ แตนส่งกิ่งให้ไปชำปลูกได้ค่ะ

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    วิธีหาเงินแบบขรัวอีโต้

    หลวงพ่อปานกับขรัวอีโต้


    ตอนนี้เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด ขอเล่าถึงเรื่องของหลวงพ่อปานกับอีกคนหนึ่ง คนนี้เป็นฆราวาส ชาวบ้านเรียกกันว่าขรัวอีโต้ ที่เรียกว่าขรัวอีโต้ก็เรียกตามหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานท่านเรียกตาคนนี้ว่าขรัวอีโต้ คือเป็นคนแก่ คนอายุไล่เลี่ยกับหลวงพ่อปาน มีอีโต้เป็นอาวุธประจำตัว จะไปไหนก็ตามแกจะต้องมีอีโต้ของแกติดตัวไว้เสมอ วันหนึ่งเวลาบ่ายประมาณ 5 โมงเย็น อันนี้ฉันใช้ศัพท์วัด 17 นาฬิกาอะไรนี่ ตามปกติเวลานี้ฉันไม่ค่อยได้เรียกกัน ก็ยังเรียกโมงๆ กันอยู่อย่างนั้นแหละ โมงก็โมงกัน ทุ่มก็ทุ่มกัน เอาแบบภาษาชาวบ้านมันเข้าใจดี ฉันน่ะเข้าใจละ แต่เด็กๆ เข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ ลูกหลานสมัยใหม่บางทีจะไม่เข้าใจ เพราะอาจจะไม่ค่อยได้ยิน เขาจะนับ 10 นาฬิกา 11 นาฬิกา 20 นาฬิกา 30 เอ๊ะไม่มี มีถึง 24 นาฬิกา ก็ตามใจ ถ้าไม่เคยได้ยินก็ได้ยินไว้บ้าง เพราะฉันเป็นคนแก่แล้ว จะได้รู้ภาษาคนแก่ไว้บ้างว่าคนแก่น่ะเขาพูดกันยังไง เขาเรียกทุ่มยามกันนี่นะ ว่าเป็นกี่โมงหรือกี่นาฬิกา สมัยนั้นไม่นับนาฬิกา นับโมงนับทุ่ม เรื่องโมงนี้ก็ได้ทราบกันมาว่าสมัยก่อนเวลากลางวันเขาใช้ตีฆ้องแทนบอกเวลา นาฬิกาเคลื่อนไปว่ากี่โมงมันเสียงโหม่งๆ กลางวันจึงได้เรียกว่าโมง เวลากลางคืนเขาตีกลองแทน มันดังตุ้มๆ จึงได้เรียกว่าทุ่มๆ นี่เป็นยังงั้นนะ โมงหรือทุ่มน่ะเขาบอกว่ามันมายังงี้

    นี้ก็มาเล่ากันถึงเรื่องขรัว ขรัวอีโต้นี้ที่อยู่จริงจังฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยู่ที่ไหน มีพวกมอญจังหวัดปทุม เคยไปรักษาตัวที่วัดบางนมโค บอกว่าเคยพบขรัวอีโต้อยู่ที่ภูเขาสาริกา ในเขตจังหวัดนครสวรรค์ เขาว่าอย่างนั้น เขาว่าเคยพบอยู่ที่นั่นเวลาเขาไม่สบาย เขามาขายของแถวจังหวัดนครสวรรค์ เขาก็ไปหาขรัวอีโต้ที่เขาสาริกา เขาว่ายังงั้นนะ แต่ฉันเองน่ะไม่รู้แน่นอนว่าแกอยู่ไหน ขรัวอีโต้นี่ปฏิปทาแปลก ประเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง คือว่าตอน 5 โมงเย็นวันหนึ่ง หลวงพ่อปานท่านเคยขึ้นที่ของท่านประมาณ 5 โมงเย็น ท่านก็เรียกฉัน ถ้าฉันไม่อยู่ท่านก็เรียกพระให้มารับท่าน ขนของขึ้นไปบนกุฏิ แล้วท่านก็เลยไปนอนที่ป่าช้า เวลาประมาณเกือบๆ จะ 2 ทุ่ม ท่านก็กลับ

    ตอนกลับนี้ ท่านก็เอานมบ้าง น้ำร้อนบ้าง น้ำตาลบ้าง มาเลี้ยงพระ ตอนเลี้ยงพระก็ถือโอกาสสั่งสอนพระไปในตัวเสร็จ แล้วก็คุยเรื่องการเจริญพระกรรมฐาน เข้าฌานสมาบัติของท่านว่าท่านไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ไปพบอะไรบ้าง ใครทำความดี ใครทำความชั่วอะไรที่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระที่นั่งอยู่นั่นแหละ ท่านก็ชี้เอาในขั้นปัจจุบัน ว่าในวันนี้ทำดียังไง ทำชั่วยังไง มันมีผลเป็นประการใด สำนักพญายมเขาจดว่ายังไง สำนักของทางสวรรค์เขาจดว่าไง ใครทำความดีมีวิมานที่ไหน มีวิมานสวยสดงดงามเป็นประการใด วิมานบอกลักษณะของจิตใจว่ามีอารมณ์เป็นบุญ หรือมีอารมณ์เป็นบาปเป็นประการใด นี่ท่านนำคุยตอนนั้น ทำให้พวกพระมีจิตฟูสำหรับพวกที่มีความดี แต่คนที่มีความชั่วก็มีอารมณ์หดหู่ลงไปมาก ก็แสดงว่าเป็นการป้องกันพระของท่านลงนรกได้ดี เพราะการที่ท่านพูดอย่างนี้แหละ พวกฉันถึงมีอารมณ์ฟู ก็คิดกันอย่างเดียวว่าจะทำกรรมฐานกันให้เต็มอัตราศึก

    แต่ว่าวันนั้น วันที่ขรัวอีโต้มาท่านไม่ยักขึ้น 5 โมงเย็นเศษแล้วท่านก็นั่งเฉย พวกฉันก็คอยดูว่าเมื่อไหร่หลวงพ่อจะเรียก ก็นั่งกันอยู่ไม่ไกล คอยท่าน นี่มันได้เวลานานแล้ว จะให้ท่านเรียกตะโกนโวยๆ ก็รู้สึกว่าท่าไม่ค่อยดี เมื่อถึงเวลาประมาณ 5 โมงเย็นเศษๆ ก็เห็นเรือลำหนึ่งเป็นเรือสำปั้นพายมีประทุนครอบ ผ่านมาทางหน้าวัด พอจะเลยเขตวัดก็ปรากฏว่าเรือลำนั้นประทุนไฟไหม้ลุกขึ้น ไฟลุก เจ้าของพายมาคนเดียวโดดน้ำ ว่ายน้ำขึ้นมาบนวัด เรือแพของแกไม่สนใจ แกปล่อยลอยไปตามยถากรรม ในที่สุดชาวบ้านแถวนั้นก็เก็บเอามาไว้ที่หน้าวัด ช่วยกันดับไฟในเรือ แล้วก็เอาเรือมาจอด แต่ว่าสำหรับเจ้าของน่ะไม่สนใจกับเรือ ฉันเห็นเรือไฟลุก ไฟไหม้ ฉันก็วิ่งลงไปดู แปลกใจว่าใครหนอ เรืออะไรอยู่ดีๆ ก็ไฟไหม้หลังคา ก็พอดีพบขรัวอีโต้ว่ายน้ำขึ้นมาพอดี

    พอ ขึ้นมาบนตลิ่ง แทนที่แกจะทำท่านอบน้อมหรือว่ามีอาการนอบน้อมเหมือนชาวบ้านชาวเมืองธรรมดา แกก็เดินท่าทางองอาจเหมือนนักเลงโตมาถามว่า นี่ท่านปานอยู่หรือเปล่า คนที่ยืนอยู่กับฉันตั้ง 40 คนเศษ ทั้งพระบ้าง ไม่ใช่พระบ้าง ทุกคนพอได้ยินเสียงแบบนี้รู้สึกไม่พอใจ ทุกคนหน้าเครียดเหมือนกันหมด เพราะว่าไม่มีใครเลยที่จะมาเรียกหลวงพ่อปานว่าท่านปาน มีแต่เขาเรียกกันว่าท่านใหญ่ ปกติคนแถวนั้นเรียกกันว่าท่านใหญ่ สำหรับหลวงพ่อเล็กเป็นพระรองลงมาเขาเรียกว่าหลวงพ่อเล็ก แต่หลวงพ่อปานนี่เขาเรียกว่าท่านใหญ่ เป็นยังงั้น ถ้าใช้คำว่าท่านหรือท่านใหญ่ก็เป็นอันว่ารู้กัน ตีความหมายว่าเขาพูดถึงหลวงพ่อปาน แต่ว่าขรัวอีโต้แกมาใช้วาจาว่าท่านปานอยู่ไหม พวกเราถึงแม้ว่าจะไม่พอใจก็ตาม ก็พูดกับแกดีๆ บอกว่าหลวงพ่อกำลังนั่งอยู่ที่รับแขก โยมต้องการอะไร

    แกก็บอกว่าเดี๋ยวต้องไปถามเขาสักหน่อย ว่าทำไมไอ้เรือของข้าน่ะมาหน้าวัดเขาทำไมไฟจึงไหม้ เอ๊ะ นี่มันก็แปลกเหมือนกัน พวกเราก็พากันยิ้ม นึกว่าอีตาคนนี้ไม่บ้ามากก็คงเลยบ้านิดๆ เรียกว่าถ้าไม่พอดีบ้า ก็เลยบ้านิดๆ เรือของแกแกพายของแกมาเอง แล้วก็ไฟไหม้หลังคาเรือของแก แกจะไปถามคนบนบกว่าทำไมไฟจึงไหม้เรือแก ก็นึกในใจว่าอีตานี่แกชอบกล แล้วแกก็เดินผ่านมา มุ่งหน้ามาหาหลวงพ่อปาน ฉันกับคนทุกคนก็ตามแกมาชักไม่ไว้ใจ แกถืออีโต้มาด้วย ไอ้เจ้าลิงเล็กนี่ตามปกติเวลาเป็นฆราวาสนี่มันคล่องเหลือเกินเรื่องการตีกัน ละมันออกหน้า ถ้ามันออกหน้าฉันอยู่หลังรับรองว่าเรื่องอาวุธไม่โดนแน่ ถ้าเขาใช้หอกก็ตาม ใช้มีดใช้ไม้ก็ตาม มันมีปืนพกของมัน ตีมีดตีไม้ตีหอกกระเด็นหมด ไอ้เจ้านี่ไวมาก เก่งมาก ไอ้เจ้านี่มันสะกดรอยสะกดหลังขรัวอีโต้มาเลย เขาบอกว่าวันนี้ถ้าไม่ดีกูล็อคคอแน่ ไอ้แก่ๆ แบบนี้ไม่ถึงครึ่งนาทีหรอก ตาตั้ง เขาว่าอย่างนั้น

    เมื่อมาถึงหลวงพ่อปานแล้ว อีตานั่นก็พูดเอะอะโวยวายมาตลอดทาง แกไม่เดินมาเฉยๆ พอมาถึงแล้วก็เอาอีโต้ชี้หน้าพูดว่า หนอยแน่ นักเลงโต แกล้งกันได้นี่หว่า หลวงพ่อปานก็ยกมือป้องหน้าถามว่าใคร แกก็บอกว่าข้าเองแหละวะ พวกเราก็ไม่พอใจมากเหมือนกัน หลวงพ่อปานป้องหน้าพอเห็นเข้าร้องว่า อ้อ นึกว่าใคร ขรัวอีโต้หรอกรึ นี่พวกคุณปล่อยเขาเถอะ คนนี้ไม่ใช่บ้าหรอก แกล้งบ้า ไอ้คนบ้าจริงๆ น่ะมันบ้าไม่มาก ไอ้คนบ้าไม่จริงนี่อาการบ้ามันมากกว่าคนบ้าปกติ แกหัวเราะกั้กๆ อีตาขรัวอีโต้น่ะ พอหลวงพ่อปานว่าเท่านั้นหัวเราะกั้กๆ แกเลยบอกว่า นี่พวกพระของท่านนี่สำคัญนะ ผมรู้นะว่าตามมาจะมาล็อคคอผม นี่เขายังไม่รู้ฤทธิ์ขรัวอีโต้นะ ประเดี๋ยวจะแสดงฤทธิ์ให้ดู แล้วแกก็วางมีดลง นั่งลงกราบหลวงพ่อปาน ในฐานะที่หลวงพ่อปานเป็นพระ พอแกกราบลงไปแล้ว หลวงพ่อปานก็ประกาศว่า

    ขรัวอีโต้ไม่ใช่ใครหรอก เพื่อนฉันเอง เขาเก่งนะคนนี้ เก่งกสิณมาก ได้อภิญญาเหมือนกัน แต่ทว่าเป็นฆราวาส ถึงแม้ว่าเขาเป็นฆราวาสก็ตามเถอะ แต่จิตของเขาดี ใช้ได้ เรื่องความดีนี่ไม่ใช่จะเอาผ้าเหลืองมาหุ้มห่อกันเฉยๆ คนที่เอาผ้าเหลืองมาหุ้มห่อตัว โกนหัว โกนคิ้ว แต่ไม่ทำความดีก็เลวกว่าฆราวาสที่เขามีดีเสียอีก นี่ท่านว่าให้ฟังแบบนี้ แล้วตาขรัวอีโต้ก็คุยโอ่อยู่พักหนึ่ง อวดเดชอวดศักดาด้วยประการทั้งปวง เมื่อคุยกันอยู่พักแล้วก็บอกว่า

    นี่ท่าน พระพวกนี้ท่านไม่รู้จักผม เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวผมจะแสดงฤทธิ์ให้ดูสักอย่าง จะให้อีโต้ว่ายน้ำ แกว่าอย่างนั้น จะให้อีโต้ว่ายน้ำให้ดู แกก็ลุกขึ้นแล้วก็เดินไปที่ท่าน้ำ พวกเราก็ตามกันไปหมด แกก็เหวี่ยงอีโต้ไปกลางแม่น้ำ ปุ๋ม มีดอีโต้มันก็จมหายไป อีโต้น่ะมันก็มีดเหล็กธรรมดา แถมด้ามก็เป็นด้ามเหล็กอีกด้วย ไอ้เหล็กม้วนๆ ที่เขาเรียกว่าบ้อง พอมีดจมลงไปแล้วสักครู่หนึ่งแกก็ตบมือเรียกว่าอีโต้จงขึ้นมาหาข้าๆ ขี้เกียจไปงมหาเอ็ง เท่านั้นแหละมีดโต้มันก็โผล่ผลุงมาตรงที่มันจมลงไป โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำแล้วก็วิ่งจู๊ดคล้ายกับเรือเร็ว แกเอามือรอไว้ใกล้น้ำเจ้าด้ามก็เข้ามาถึงมือพอดี แกบอกว่านี่มันเป็นฤทธิ์หนึ่งนะ ฤทธิ์ใหญ่ๆ มียิ่งกว่านี้แต่ฉันไม่แสดง บอกว่าจะเป็นการแสดงอวดเจ้าของถิ่น แกพูดแล้วก็หันหน้ามาดูไอ้ 2 ลิง คือว่าไอ้ลิงขาวกับลิงเล็ก เพราะเจ้านั่นเขาได้อภิญญา เจ้าสองคนมองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม แล้วแกก็บอกว่าคุณๆ ทั้ง 2 องค์นี่ได้อภิญญาก็จริงนะ แต่ว่ายังเป็นอภิญญาใหม่ ต้องเล่นให้คล่อง

    เจ้า 2 คนนั่นตกใจ ว่าแกมาประเดี๋ยวเดียว แกรู้ได้อย่างไร ก็เลยสะกิดกันบอกว่าอย่าไปพูดเลย อย่าไปสงสัยนะ แกเป็นเพื่อนของหลวงพ่อนะ เข้าใจว่าอย่างดีที่สุดแกก็มีดีคล้ายคลึงหลวงพ่อ สำหรับหลวงพ่อนี่เราไม่มีอะไรจะหลบท่านเลยนะ เรื่องการปกปิดความชั่วหรือความดีนี่เราไม่มีทางจะปกปิดท่านได้เลย ก็ขรัวอีโต้นี่เป็นเพื่อนของหลวงพ่อ ขนาดหลวงพ่อให้อภัยแล้วก็ต้องดี ถ้าไม่ดีแล้วหลวงพ่อไม่ให้อภัย ต่อมาแกก็กลับคุยกับหลวงพ่อ ตอนกลางคืนแกไปนอนห้องเดียวกับหลวงพ่อ ฉันก็นอนอยู่ใกล้ๆ แก ตอนก่อนค่ำเรียกว่าตอนค่ำใหม่ๆ แกมีลอบเล็กๆ ของแกอยู่ลูกหนึ่ง แกเอาขึ้นไปไว้บนยอดไม้หลังกุฏิหลวงพ่อปาน ถามแกว่าเอาขึ้นไปไว้ทำไม แกบอกว่าดักเงิน ดักแบ๊งค์ ตอนเช้าตรู่แกก็ขึ้นไปเอา ปรากฏว่าได้ธนบัตรใบละ 10 บาท ใหม่เอี่ยมอยู่ใบหนึ่ง แกทำอย่างนี้อยู่ 2 วัน พอถึงวันที่ 3 ฉันก็สงสัยๆ ว่าธนบัตรใบละ 10 บาท

    นี่มันจะมาจริงๆ หรือแกย่องเอาไปใส่ไว้ ฉัน 3 องค์ด้วยกันผลัดกันอยู่ยาม คราวนี้จะสอบให้ได้ว่าแกเรียกเงินได้จริงๆ หรือว่าแกโกหก ถ้าเรียกเงินได้จริงๆ ก็เป็นของอัศจรรย์ ก็ผลัดกันอยู่ยามเฝ้ายามว่าเวลาที่แกเอาลอบไปไว้นี่แกเอาธนบัตรใส่ไปรึเปล่า สังเกตว่าเวลาที่แกเอาลอบไปไว้แกไม่ได้ใส่ธนบัตร เป็นลอบเปล่าๆ เวลาเช้ามืดเป็นยามของฉันๆ อยู่ยามตอนเช้ามืด ก่อนที่แกจะมากู้ลอบของแก ฉันก็ย่องขึ้นไปก่อนไปจับเอาลอบลงมาดูมีธนบัตรใบละ 10 บาทใหม่เอี่ยมมีอยู่จริงๆ แล้วฉันก็นำมาเก็บไว้ สักครู่หนึ่งแกก็มาดูลอบของแก เอาลอบลงปรากฏว่าไม่พบธนบัตร เสียงแกด่าพ่อล่อแม่ขรมไปหมด หลวงพ่อปานเปิดหน้าต่างออกมาถามว่าอะไร

    แกบอกว่าพระของท่านขโมยสตางค์ผม หลวงพ่อปานก็ถามว่าใครขโมยไป รับปากท่านว่ากระผมเองขอรับ หลวงพ่อถามว่าขโมยของเขาทำไม ก็เลยบอกว่าไม่ได้ขโมย บอกว่าอยากพิสูจน์ดูว่าขรัวอีโต้น่ะดักเงินได้จริงๆ หรือเปล่า แล้วหลวงพ่อปานก็ถามว่าผลพิสูจน์เป็นประการใด ก็กราบเรียนกับท่านว่า เวลาที่ขรัวอีโต้เอาลอบไปไว้กระผมก็ขึ้นไปดูไม่มีเงิน แล้วเมื่อคืนนี้ผลัดกันอยู่ยาม 3 องค์ก็ไม่เห็นว่าขรัวอีโต้เอาสตางค์ไปไว้เวลาไหน นี้ตอนเช้าตรู่ขึ้นไปดูก็ปรากฏว่าพบธนบัตรใบละ 10 บาท ที่เอาลงมานี้ไม่ได้ตั้งใจขโมย อยากจะลองพิสูจน์ดูว่าถ้าแกแน่ใจว่าลอบของแกดักเงินได้จริงๆ แกก็จะต้องเอะอะโวยวาย แต่ถ้าหากว่าแกไม่แน่ใจแกก็จะเฉยเสีย นี่ขรัวอีโต้เอะอะโวยวายด่าแบบนี้ แสดงว่าการดักเงินเป็นผลจริง หลวงพ่อปานก็หัวเราะ

    (ต่อข้างล่างค่ะ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpPan.jpg
      LpPan.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.8 KB
      เปิดดู:
      88
    • LPRuesri3 (2).jpg
      LPRuesri3 (2).jpg
      ขนาดไฟล์:
      116.1 KB
      เปิดดู:
      98
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2015
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    หันมาบอกขรัวอีโต้ว่านี่เขาลองพิสูจน์ความดีของเราน่ะ เราจะเอะอะโวยวายไปยังไง แล้วแกก็เลยบอกว่าในเมื่อเขาคิดอย่างนั้นก็ต้องทำอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะหาว่าไม่ดีจริง นี่เป็นเรื่องราวของขรัวอีโต้นะตอนดักเงิน วันรุ่งขึ้นตอนค่ำ หลวงพ่อปานเรียกฉันเข้าไปบอก เออ คุณ นี่ขรัวอีโต้เขามาอยู่กับเรา เขาหาเงินของเขาได้วันละ 10 บาท แล้วเขาก็เอาเงินของเขานี่ไปซื้อกับข้าว ซื้อหมู ซื้อเนื้อ เอามาเลี้ยงพวกเราบ้าง เขากินเองบ้าง รู้สึกว่าจะอายเขานะ ความจริงเขาเป็นแขกเราน่าจะเลี้ยงเขา นี่เขามาเลี้ยงเรานี่น่าอายเขา เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเรามันเป็นคนจนไม่สามารถจะดักเงินดักทองได้ คืนวันนี้เธอไปเอาเบ็ดราวนะ ไม่ทราบว่าหลวงพ่อปานเอามาจากไหน เบ็ดราวที่เขาเอาเชือกผูกแล้วเอาเบ็ดผูกเป็นระยะๆ ที่เขาดักปลาน่ะ ท่านบอกว่าในห้องมีเบ็ดราวอยู่ราวหนึ่ง เธอเอาไปขึงจากยอดต้นจามจุรีต้นนี้นะ แล้วเอาไปผูกไว้ที่ยอดต้นหางนกยูงต้นโน้น เราจะดักปลาในอากาศเอามาเลี้ยงขรัวอีโต้บ้าง

    ถามขรัวอีโต้บอกอยากกินปลาอะไร ขรัวอีโต้ก็บอกไอ้เรื่องปลานี่มันอยากทุกปลา แต่ว่าสิ่งที่ชอบที่สุดมันมีอยู่ 2 อย่างคือว่าหัวกับพุง อยากจะได้ไอ้ปลาช่อนหรือปลาชะโดนะไอ้ที่มันพุงใหญ่ๆ มีไข่เต็มอก ไข่เม็ดใหญ่ๆ ไข่ฝักใหญ่ๆ ชอบกินพุงกับไข่ต้มยำ หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่าได้ พวกเรานี่ต้องหาปลาเลี้ยงเขานะ ก็ชักสงสัยถามว่าหลวงพ่อขอรับพระลงเบ็ดหาปลาได้รึขอรับ ท่านบอกว่า ถ้าปลาอยู่ในน้ำ ปลาอยู่ในหนอง ปลาอยู่ในคลอง ปลาอยู่ในบึง อย่างนี้ถ้าเรานำมาเป็นโทษในทางปาณาติบาต แต่ว่านี่เราลงเบ็ดบนอากาศนี่ ถ้าปลาบินขึ้นมากินเบ็ดของเราเอง อย่างนี้เราถือว่าปลาตัวนั้นถึงที่ตาย เราไม่บาป หรือมิฉะนั้นก็เทวดาบันดาลให้ปลาตัวที่ถึงที่ตายมาติดเบ็ดของเรา ท่านว่าอย่างนั้น ตอนพูดตอนนี้ไม่ใช่พูดกับฉันคนเดียวนะ พระทั้งวัดกำลังมารวมกันอยู่หน้ากุฏิ

    หลวงพ่อปานพูดแบบนี้แล้วก็สั่งให้ฉันไปหยิบเบ็ดราว ฉันก็ไปหยิบเบ็ดราวมาแล้วไปขึงตามท่านว่า พอถึงเวลาเช้า เวลาเช้าตรู่พอแสงทองขึ้น ท่านก็เรียกฉันว่า ลิงดำเอ๊ย ไปปลดปลาซีลูก ประเดี๋ยวจะได้ต้มยำเลี้ยงขรัวอีโต้เขา พระทุกองค์ที่ได้ฟังต่างคนต่างวิ่งไปดูที่เบ็ด ปรากฏว่ามีปลาชะโดบ้าง ปลาช่อนบ้าง ตัวขนาดใหญ่ ถ้าทำเป็นริ้วก็เห็นจะถึง 7-8 ริ้ว สัก 10 ตัว ติดห้อยแขวนต่องแต่งอยู่ รู้สึกว่าปลาขณะไปเห็นยังจะมีชีวิตอยู่ แต่ว่าพอปล่อยเบ็ดลงมาแล้ว พอปล่อยหางเชือกลงมา พอลงมาถึงดินก็ปรากฏว่าปลาทั้งหมดตาย เป็นปลาตายสด แล้วก็เอามาต้มกินกันเอร็ดอร่อยเหมือนปลาธรรมดา หัวกะพุง ไข่ยังงี้ เป็นที่ชอบใจของขรัวอีโต้ ในขณะที่ขรัวอีโต้อยู่นั้นหลวงพ่อปานท่านสั่งให้ลงเบ็ดทุกวัน หลวงพ่อปานเป็นคนหาปลา ขรัวอีโต้ก็เป็นคนเอาสตางค์จ่ายของอย่างอื่นเอามาผสมกับปลา จะแกงอะไรจะต้มอะไร จะผัดแบบไหนก็หาผสมด้วยเงินของแก แต่เนื้อปลา พุงปลา หัวปลา ไข่ปลาเป็นของหลวงพ่อปาน พวกพระทุกองค์ก็พลอยกินปลาสดไปตามๆ กัน

    นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ เมื่อขณะที่ขรัวอีโต้อยู่ท่านทำแบบนั้น พอขรัวอีโต้กลับไปแล้วฉันขอให้ท่านทำ ท่านไม่ทำ ไม่ทำเพราะว่าไม่มีคู่แข่งขันนี่ เรื่องนี้มันไม่ใช่ปลาจริง ท่านบอกว่าใบไม้ทั้งนั้นแหละคุณ ปลาที่มาห้อยที่เบ็ดน่ะใบไม้ ฉันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อสุ่นเวลาคนมาทำโบสถ์ท่านเอาใบไม้ทำปลาไว้ในสระให้คนทำโบสถ์กิน แต่นี่ของเราเอาเบ็ดราวขึ้นไปลงบนยอดไม้ จะลงหรือไม่ลง ต้องการเมื่อไรมันก็ได้เมื่อนั้น ถ้าเราคิดอยากจะกินปลาขึ้นมาจริงๆ ก็เอาใบไม้มาอธิษฐานให้มันเป็นปลา จะเป็นปลาอะไรก็ได้ จะกินให้มีรสอร่อยยังไงก็ได้ แต่ว่าอย่าทำเลยนะ อย่าตามใจลิ้นที่มีกิเลส แต่ว่าถึงแม้ว่าท่านไม่ห้ามฉันก็ไม่ทำ เพราะฉันทำไม่ได้ ส่วนเจ้า 2 ลิงมันทำได้ เจ้า 2 ลิงที่มันเข้าป่ามันทำได้ พอหลวงพ่อปานพูดเท่านั้นมันก็ชวนฉันเข้าป่าช้า เข้าที่อยู่ แล้วมันก็ทำปลาแต่ละแบบๆ วางเป็นแถว ท่านบอกว่าเป็นของไม่ยากหรอกเป็นของง่ายๆ มาเห็นมันเข้าก็รู้สึกอิจฉาเหมือนกัน คนบวชคราวเดียวกันมีความสามารถไม่เท่ากันนี่ แหมมันน่าอาย

    ตอนนี้มาพูดกันถึงคุณสมบัติของขรัวอีโต้อีกประการหนึ่ง เวลาคนไข้มา ถ้าคนไข้เป็นโรคปวด โรคเมื่อย เป็นแผล ฟกช้ำดำเขียวที่ไหน แกก็บอกว่าแกจะทำน้ำมนต์ให้ แล้วแกก็ให้คนไข้เอามะพร้าวมา 1 ลูก เอาดินเหนียวมา 1 ก้อน แกขูดมะพร้าวเสร็จแกก็เอามาขยำกับดินเหนียว ขยำไปขยำมาไอ้น้ำมันมะพร้าวมันไหลออกมามีสีเหมือนน้ำมันเคี่ยว แล้วก็มีกลิ่นหอมเหมือนน้ำมันที่เคี่ยวแล้ว แล้วก็ให้คนเอาไปทารักษาโรคหาย นี่เป็นคุณสมบัติในด้านการรักษาโรค เอาละ เป็นอันว่าเรื่องของขรัวอีโต้เพื่อนหลวงพ่อปานนี่ฉันสอบถามแล้วนะ ว่าเป็นนักกรรมฐานคนสำคัญ แล้วก็ได้กสิณ 10 ได้อภิญญา แต่ทว่าก็อย่าลืมนะว่าเป็นอภิญญาโลกีย์วิสัย เรียกว่าฌานโลกีย์ มีผัวมีเมียได้ ไม่ใช่ว่านักเจริญกรรมฐานต้องเลิกจากผัวต้องเลิกจากเมีย ไม่ใช่อย่างนั้น

    ถ้าเรื่องของศีลเขาไม่ขาดละก็เขาทำของเขาได้ แต่พระโสดา สกิทาคา เขายังครองเรือนได้ ยังมีลูกมีเต้าได้ แต่สำหรับพระอนาคามีเท่านั้นแหละ ถึงแม้ว่าจะอยู่บ้าน ก็อยู่อย่างไม่มีความหมาย เพราะว่าความรู้สึกทางเพศไม่มี นี่ส่วนที่เป็นฆราวาส อย่าว่าแต่ฌานโลกีย์เลย แม้แต่พวกที่ได้โลกุตตระ คือ เป็นพระอริยเจ้ายังอยู่ได้ ถึงพระอนาคามี นี่บรรดาลูกหลานทั้งหลายที่ฟังอาจจะสงสัยว่าคนที่ได้ฌานโลกีย์ ได้กสิณ ได้อภิญญาแล้วทำไมจะมามีลูกมีเมียเป็นฆราวาสอยู่ ทำไมไม่บวช เรื่องของการบวช เรื่องสมณวิสัยนี่มันคนละเรื่อง ฉันว่ามีความจำเป็นน้อย คนที่เป็นชาวบ้านจะทำความดีนี่ไม่จำเป็นต้องเป็นพระ ชาวบ้านทำความดีได้ ชาวบ้านเป็นพระอริยเจ้าก็ได้ อย่าว่าแต่ฌานโลกีย์เลย ถมเถไป สมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ไปเจริญพระกรรมฐานในป่าก็มีความอดอยาก บางวันท่านคิดว่าพรุ่งนี้ถ้าเราได้กินข้าวต้มสักนิดก็จะดี ก็ปรากฏว่ามีโยมผู้หญิงคนหนึ่งนำข้าวต้มมา

    บางวันท่านคิดว่าพรุ่งนี้มีอะไรสักหน่อยหนึ่งที่ท่านชอบใจได้กินก็จะดี โยมคนนั้นก็นำมา พระก็สงสัย ถามแกๆ ก็ไม่ตอบ ต่อมาเมื่อกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าคนๆ นั้นเขาได้อนาคามีผล และก็เป็นขั้นปฏิสัมภิทาญาณเสียด้วย นี่จะว่าพระจะดีกว่าฆราวาสเสมอไปน่ะ ไม่แน่นักนะ นั่นพระยังเป็นโลกียชน แล้วคนๆ นั้นเขาเป็นพระอริยเจ้าขั้นอนาคามีบุคคล พระทันเขาที่ไหน สำหรับขรัวอีโต้นี่ก็เหมือนกัน ลูกหลานฟังแล้วก็จะว่า แหม ได้ฌานขั้นนี้แล้วน่าจะบวช เรื่องบวชนี่มันไม่จำเป็นหรอกนะ ไม่มีความจำเป็นนัก หมายความว่าจะบวชกันหรือไม่บวชไม่สำคัญ คนที่บวชตัวแล้วไม่บวชใจนี่ซิ ระยำมาก ระยำกว่าคนที่เขาไม่บวชตัวแล้วใจเขาก็ไม่บวช เพราะเขาเป็นฆราวาสทั้ง 2 อย่าง แต่ว่าถ้าบุคคลใดตัวเขาไม่บวชแต่ว่าใจเขาเป็นนักบวช นี่เขาประเสริฐมาก

    ต่อแต่นี้ก็จะนำเรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ มาเล่าให้ฟัง คือว่าถึงคุณสมบัติของหลวงพ่อปานที่สามารถจะล่วงรู้อะไรได้ หรือที่เรียกว่าท่านมีทิพยจักขุญาณแจ่มใสมาก แจ่มใสพอจะใช้ได้ คือว่าคราวหนึ่งเมื่อฉันมานอนคิดอยู่ในใจ ตอนที่ฉันอยู่ในป่าช้าคิดว่าเพื่อนของฉันเขาได้อภิญญา ขรัวอีโต้ก็ได้อภิญญา แล้วก็แถมเจ้าลาวมันก็ได้อภิญญาเหมือนกัน เจ้าลาวนี้ได้อภิญญาก็ไม่ใช่ของแปลก เพราะว่าเขาเป็นคนมาใหม่ สำหรับเจ้าเพื่อนของฉันที่ได้อภิญญาซิเป็นของแปลก เพราะว่าเรามาด้วยกัน แต่ว่าเขาได้อภิญญา ส่วนฉันไม่ได้ เวลาฉันเจริญกสิณ หลวงพ่อท่านก็บอกว่าจะเจริญกสิณหมดทุกอย่างไม่ได้ คุณจะทรงอภิญญาไม่ได้ ตัวคุณเองนี่จำเป็นจะต้องอยู่กับคน หมายความว่าจะหนีคนไม่ได้ ท่านบอกว่าห้ามหนีคน เพราะว่ายังเป็นหนี้คนเขาอยู่มาก จะต้องอยู่กับคนจนตลอดชีวิต แต่ว่าสำหรับเพื่อน 2 คนน่ะเขามีสิทธิ์ที่จะเข้าป่า เพราะว่าเขาไม่มีพันธะกับใครๆ ฉันก็จนใจในเมื่อท่านห้าม เมื่อฉันทำกสิณได้ 7 กอง ฉันก็ต้องยับยั้ง มาอีกทีหนึ่งก็คิดว่า ถ้าเราได้อภิญญาไม่หมดแม้แต่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของอภิญญาก็ดี จะต้องเอาให้ได้ถึงแม้ว่าหลวงพ่อท่านห้ามก็จะพยายามทำ

    นี่ลูกหลาน ฟังแล้วก็คิดนะ อารมณ์อย่างนี้ไม่ใช่อารมณ์ดี มันเป็นอารมณ์ชั่ว มันเป็นอารมณ์ของอำนาจกิเลสตัณหาเข้าบีบบังคับ ความจริงเราจะได้อภิญญาหรือไม่ได้อภิญญาไม่สำคัญ ถ้าหากว่าเรามีสมาธิ เราสามารถจะทรงสมาธิได้ แล้วก็ใช้อารมณ์อันนั้นยับยั้งนิวรณ์ 5 เสียได้ ทำใจให้ปลอดโปร่ง แล้วเอากำลังของสมาธิมาเจริญวิปัสสนาญาณ อย่างนี้มันมีผลเยอะแยะ เรียกว่ามีผลดีไม่น้อย แต่ทว่าฉันไม่ใช่อย่างนั้นซิ ฉันไปคิดว่าเพื่อนเขาได้แล้วฉันไม่ได้มันก็น่าจะอายเพื่อน อย่างนี้ไม่ใช่อารมณ์ของพระ เราเรียกว่าอารมณ์ของเด็ก แต่บรรดาลูกหลานทุกคนก็อาจจะคิดว่าในเมื่อเขาได้ เราก็ควรจะได้บ้าง มันก็เป็นของดี นี่คิดกันอย่างอารมณ์ของชาวโลก ไม่ผิด แต่ว่าอารมณ์ของชาวธรรมะผิดมาก ผิดเยอะ สิ่งใดที่ไม่ใช่วิสัยสิ่งนั้นไม่ควรทำ แล้วก็การดิ้นรนเกินไปในการได้อภิญญา ก็เป็นอภิญญาโลกีย์ หรือว่าอภิญญาระดับไหนก็ตามที ไม่ใช่ว่าจะช่วยให้เราเป็นพระอรหันต์เร็วขึ้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นวิสัยก็ไม่เป็นไร แต่ทีนี้อยากได้มาเพราะอาศัยการดิ้นรนเป็นปัจจัย มันเป็นการผิดข้อมูลต่างๆ เรียกว่าผิดกันเอามากเลยทีเดียว อย่างนี้เรียกว่าใช้ไม่ได้ อะไรจะใช้ได้หรือไม่ได้ ฉันก็คิดเข้าแล้วในตอนนั้นในคืนหนึ่งฉันคิดว่า ถ้าฉันทำอะไรไม่ได้ ฉันจะลองฝึกเดินน้ำดู ว่ามันจะเป็นยังไงการเดินน้ำเดินท่า จะลองเดินน้ำดู แล้วก็ลองเดินกลางคืนดึกๆ ฉันก็เริ่มใช้ปถวีกสิณ กสิณดินเอาเข้ามาเพ่ง เพ่งจนกระทั่งปรากฏว่าน้ำในแก้วแข็ง จะเอานิ้วจิ้มลงไปตรงไหน น้ำมีสภาพเหมือนน้ำแข็งทุกอย่าง มันแข็งเป๋งเหมือนกับหิน ซ้อมอยู่อย่างนี้ 3 คืน เมื่อ 3 คืนแน่ใจแล้ว คืนหนึ่งตอนตี 2 แล้วก็เดือน 12 เสียด้วยนะ กำลังหนาวจัด ที่วัดบางนมโคนั่นมันด่านลม ลมหนาวพัดมาน้ำเป็นคลื่น ความหนาวเย็นสะท้าน ฉันก็เตรียมจะเดินน้ำ คิดว่าตอนนี้มันหนาวนี่ แล้วดึกๆ อย่างนี้หลวงพ่อท่านคงจะไม่ออกไปนอกกุฏิ พระแก่คงจะไม่สู้กับความหนาว ฉันนุ่งผ้าผืนเดียว เตรียมพร้อมที่จะลงน้ำ ไปนั่งอยู่ที่โป๊ะหน้าวัดแล้วก็เข้าปถวีกสิณ ประเดี๋ยวเดียวอธิษฐานจิต เอานิ้วจิ้มลงไปในน้ำ ปรากฏว่าน้ำแข็ง ฉันแน่ใจว่าน้ำแข็งมันจะเดินได้แล้วฉันก็ก้าวลงจากโป๊ะ ตอนก้าวลงนี่แหละ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย การคุมอารมณ์มันไม่ทรงสภาพ สมาธิมันเคลื่อน

    ตอนนี้เอง พอก้าวลงจากโป๊ะ ตัวมีน้ำหนักตัวทางต่ำมาก ลงตูมลงไปเลย ปรากฏว่าหัวมิดน้ำจมน้ำลงไป แล้วโผล่ขึ้นมารู้สึกว่ามันหนาวจัด แต่ว่าความอยากน่ะมันยังไม่ยับยั้ง มันยังไม่ยอมหนาว ตัวอยากด้วยอำนาจตัณหาน่ะ มันยังไม่ยอม มันยังอยากจะทำต่อไป พอขึ้นมาจากน้ำ นั่งอยู่บนโป๊ะ ปรากฏว่าหลวงพ่อปานยืนอยู่บนเขื่อนหน้าวัด ท่านร้องเรียกไปว่า ไอ้ลิงดำ นี่เอ็งจะแสดงฤทธิ์หรือยังไงนี่ จะมาเดินน้ำเรอะ ท่านถามอย่างนั้น ก็หนีกันไม่ได้แล้วนี่ ในเมื่อหนีไม่ได้มันก็ต้องยอมรับ ก็ยกมือประณมไหว้ท่านแล้วก็บอกว่า ผมจะเดินน้ำขอรับ ท่านก็บอกว่าฉันห้ามแล้วไม่ใช่เรอะ ห้ามแกแล้วนาว่าอภิญญาน่ะแกทำไม่ได้ แต่ความจริงถ้าแกจะทำมันก็เป็นของไม่ยาก ทำได้ แต่ที่ฉันไม่ให้แกฝึก ให้แกฝึกในขั้นของวิชชา 3 นี่ก็เพราะว่าแกมีพันธะอยู่กับคน พระที่ได้อภิญญานี่น่ะ ได้อภิญญาแล้วจะอยู่กับคนไม่ได้ จะต้องเข้าป่า แต่แกนี่มีบริษัทมีบริวารมาก แกจะทรงอภิญญาไม่ได้

    (ต่อข้างล่างค่ะ)
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ในเมื่อทรงอภิญญาแล้ว เรื่องของอภิญญานี่น่ะ คนที่ยังเป็นโลกีย์วิสัย ยังมีอารมณ์ข้องอยู่ในกิเลส มันอดที่จะอวดดีไม่ได้ แต่ความจริงสิ่งที่จะอวดไม่ใช่อวดดี มันเป็นอวดเลว แต่ไอ้ความเลวนี่เราเข้าใจว่ามันเป็นความดี มันเป็นความผิด เพราะผิดพุทธพจน์ แต่ว่าไม่เป็นไร ในเมื่อเธอมีความปรารถนาฉันก็จะให้ทำ แต่ว่าทำได้คราวนี้คราวเดียวนะ ต่อไปห้ามทำ เพื่อเป็นการพิสูจน์อารมณ์สมาธิของเธอ เอาอย่างนี้ ตั้งอารมณ์ใหม่ เมื่อกี้นี้เธอทำผิด เพราะว่าเธอตั้งใจอธิษฐานให้แม่น้ำทั้งแม่น้ำเป็นน้ำแข็ง อย่างนี้มันผิดจากจริยามาก ถ้าน้ำเป็นน้ำแข็งทั้งแม่น้ำแล้วเรือแพสัญจรไปมาไม่ได้ การจราจรมันก็ติดขัด อย่างนี้มีโทษนะ เป็นการกลั่นแกล้งชาวบ้านเขา ถ้ากระไรก็ดีละก็ เธอเอาใหม่ เธอทำอย่างนี้

    เธอตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอน้ำที่ข้าพเจ้าเหยียบไปนี่นะ เท้าของข้าพเจ้าเหยียบไปตรงไหนขอให้น้ำตรงนั้นแข็ง แล้วก็ควบคุมอารมณ์ให้ทรงอยู่ในอุปจารสมาธิ ในขั้นแรกเข้าปถวีกสิณก่อน ให้ถึงฌาน ๔ ท่านเรียกตามภาษาพระว่าจตุตถฌาน แปลว่าฌาน 4 มีอารมณ์เป็นอุเบกขาดีแล้ว คลายจิตลงมาสู่อุปจารสมาธิแล้วอธิษฐานว่า น้ำที่ข้าพเจ้าเอาเท้าเหยียบไป จะเป็นตรงไหนก็ตาม ขอน้ำตรงนั้นจงแข็งเหมือนหินหรือไม่ก็เหมือนดินให้ข้าพเจ้าเดินไปได้โดย สะดวก แล้วก็เข้าฌาน 4 ใหม่ แล้วคลายฌาน 4 ออก เมื่อตั้งอารมณ์อยู่ในอุปจารสมาธิแล้วก็เดินไป แค่นี้ทำได้ไม่ยาก เรื่องของอภิญญาเป็นเรื่องไม่ยาก ความจริงเธอมีความสามารถพอจะทำได้ แต่ว่ามันไม่ใช่วิสัยของเธอควรทำ ฉันจึงห้าม เธอไม่ต้องวิตกกังวล ผลใดก็ตามที่เธอมีความปรารถนา ผลนั้นจะมีความสำเร็จกับเธอ เมื่อเธอผ่านการบวชไปแล้ว 26 พรรษา

    เรื่องการเอาดีเอาพระอภิญญาไปอวดชาวบ้านอย่านึกว่ามันเป็นของดี ถ้าชาวบ้านเขารู้ว่าเธอทำได้เขาจะขอให้เธอทำ แล้วในที่สุดเธอก็จะเหน็ดเหนื่อย ถ้าเธอไม่ทำให้กับบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนั้นก็จะพากันว่าพากันนินทา พากันพูดเสียดสี หนักเข้าๆ อารมณ์จิตของเธอก็จะไม่ดีตกอยู่ในอำนาจของโทสะ ฌานต่างๆ มันก็จะเสื่อม หรือว่าถ้าหากว่าฌานไม่เสื่อม คนก็จะติดในฤทธิ์ ในเมื่อคนติดในฤทธิ์เสียแล้ว พระอื่นแสดงฤทธิ์ไม่ได้ คนเขาก็ไม่เลื่อมใส แล้วคนที่ติดในฤทธิ์ทั้งหมดก็ไม่ต้องการบุญต้องการกุศล ต้องการอย่างเดียวคือให้พระแสดงฤทธิ์ให้ดู อย่างนี้ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะเสื่อม อาการอย่างนี้ปิณโฑลภารทวาชะทำมาแล้วในสมัยพระพุทธเจ้า ที่เหาะไปเอาบาตรแก่นจันทร์ พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เพราะว่า ชาวบ้านที่ไม่เคยเห็นการเหาะมาดูการเหาะกันทุกคน ต่างก็พากันอยากจะเห็นพระเหาะ เพราะไม่เคยเห็นเลย เมื่อคนนี้ได้ดูแล้ว คนอื่นยังไม่ได้ดูก็ขอดูใหม่ เมื่อท่านปิณโฑลภารทวาชะไม่เหาะให้ดู ก็ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อว่าต่อขาน จนกระทั่งท่านรำคาญท่านก็ต้องเหาะให้ดู เป็นอันว่าการเหาะของท่านปิณโฑลภารทวาชะต้องเหาะกันทุกวัน วันละหลายครั้ง เพราะชาวบ้านรู้ถึงไหนก็มาถึงนั่น การเห็นคนเหาะมันเห็นยาก ไม่มีใครเขาทำให้เห็น เมื่อปรากฏว่าคนทำได้เข้าก็อยากดูกันใหญ่ ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็เรียกท่านปิณโฑลภารทวาชะมาติเตียนต่างๆ แล้วก็มีพระพุทธบัญญัติตรัสห้ามว่า ต่อแต่นี้ไป พระองค์ใดก็ตามจะแสดงปาฏิหาริย์จะต้องได้รับอนุญาตจากพระองค์เสียก่อน ถ้าใครไม่ได้รับอนุญาตจากพระองค์แล้วแสดงปาฏิหาริย์

    พระองค์ทรงปรับเป็นโทษ เรียกว่ามีความผิดตามพระวินัย นี่เรื่องมันใหญ่ เธอจำไว้นะ เธอเรียนมาแล้ว เธอพบแล้วน่าจะจำ แต่เอาเถอะ ในเมื่อกิเลสตัณหามันยังบังคับใจเธออยู่ เธออยากจะทำก็จงทำ เอ้า ทำได้แล้ว ท่านบอกให้ฉันทำ ฉันก็ทำ ในเมื่ออธิษฐานตามท่านมันไม่ยาก ท่านบอกให้เข้าฌาน 4 ฉันก็เข้าปุ๊บ เข้าปุ๊บ แป๊บเดียวมันไม่ถึงครึ่งวินาที มันก็ได้ฌาน 4 เป็นของง่ายไม่ใช่ของยาก จะว่าเป็นของกล้วยๆ ก็ได้ กล้วยก็กล้วยสุกไม่ใช่กล้วยดิบ เมื่อเข้าฌาน 4 สบายใจถอยจิตออกมาถึงอุปจารสมาธิแล้วอธิษฐานตามที่ท่านบอกว่าน้ำตรงไหนที่ ข้าพเจ้าเหยียบลงไป ขอน้ำตรงนั้นจงแข็งเหมือนดิน แล้วเข้าฌาน 4 ใหม่ เข้าปุ๊บเดียวก็ถึง เมื่อออกจากฌาน 4 แล้วก็ตั้งจิตอยู่ในอุปจารสมาธิ อธิษฐานใหม่ว่าน้ำที่ข้าพเจ้าเหยียบจงแข็ง เหยียบลงตรงไหนตรงนั้นจงแข็ง แล้วหลวงพ่อปานก็มีบัญชาบอก เอ้า เดินได้ เพียงเท่านั้นฉันก็เดินน้ำเล่นได้ตามสบาย หลวงพ่อปานบอกว่า ทรงกำลังใจไว้ให้ดีนะ ฉันจะกลับไปนอน แกเดินตามสบายเถอะ จะเดินสักกี่ชั่วโมงก็ได้

    เท่านี้แหละอภิญญาเป็นของไม่ยาก ฉันก็เดินเล่นทั้งๆ ที่อากาศหนาว ตัวก็เปียก แต่จิตมันอยากนี่ ความครึ้มใจมันมี มันก็เลยไม่หนาว เดินอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงเศษๆ มันก็ถึงตี 4 กว่าๆ เพราะเขาตีระฆัง ก็เกรงว่าพระจะมาเห็นเข้า ก็เลยเลิกกลับมาที่นอน ผลัดผ้าผลัดผ่อน นุ่งสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิ เข้าเจริญพระกรรมฐานตามเวลาปกติ คืนนั้นเลยไม่ต้องได้นอนกัน เป็นอันว่าเรื่องการเจริญอภิญญาของฉันคือเดินน้ำก็หมดไป นี่ลูกหลานฟังไว้นะ เมื่อฟังแล้วก็จงจำ ว่าเรื่องของความอยากนี่มันไม่ใช่ของดี มันไม่มีอะไรจะดีหรอก ความอยากนอกรีตนอกรอยนี่นะไม่ดี เข้าใจว่าการเจริญอภิญญาดี ถ้ามันเป็นวิสัยของเรา เราได้ง่ายๆ มันก็ดี ถ้ารู้สึกว่าจะได้ยากเราก็คิดว่าอภิญญานี่น่ะไม่ใช่อรหัตผล แล้วอภิญญาไม่ใช่พระโสดา สกิทาคา อนาคา อภิญญาก็คือโลกีย์ญาณ

    ถึงแม้ว่าจะได้สักเท่าไรก็ตามที จิตก็ยังตกอยู่ในอำนาจกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม ถ้าหากว่าเราทำได้ยาก เราก็หาโอกาสแบบนี้ดีกว่า หาโอกาสทำอย่างอื่น คือ เจริญวิปัสสนาญาณให้สามารถตัดสังโยชน์ 3 ประการ ได้เป็นพระโสดาบันแทน หรือว่าเป็นพระสกิทาคามีแทน หรือเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ เอายังงั้นเลยดีกว่า นี่ทำยากนา ถ้าทำได้ง่ายๆ คือเป็นวิสัยของเราละก็ทำเถอะ ไม่เป็นไร เพราะการได้อภิญญานี่เป็นการช่วยให้การบรรลุมรรคผลสำเร็จได้โดยง่าย ถ้าเราไม่เมาอภิญญา แต่ว่าเราได้อภิญญาแล้วเมาอภิญญาอย่างท่านพระเทวทัตไม่ดีเหมือนกัน ชวนลงนรก เรื่องนี้ขอผ่านไปไม่มีอะไรหนัก นี่เล่าให้ฟังเท่านั้น

    คัดมาบางตอนจาก แสดงกระทู้]แสดงกระทู้]แสดงกระทู้ - หลวงพ่อปาน โสนันโท • ลานธรรมจักร - หลวงพ่อปาน โสนันโท • ลานธรรมจักร - หลวงพ่อปาน โสนันโท • ลานธรรมจักร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]. .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • goodnight2.jpg
      goodnight2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.1 KB
      เปิดดู:
      757
  7. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    [​IMG]


    มาชวนไปทำบุญและเวียนเทียนค่ะ
     
  8. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    [​IMG]


    เข้าวัดทำบุญ ฟังธรรมตามกาลด้วยกันนะคะ
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    นานาปัญหา
    โดย คณะสหายธรรม


    ๔๒. ทำไมจึงเป็นคนอาภัพ

    ถาม คนอาภัพ เกิดจากสาเหตุอะไร ทุกวันนี้ผมมีปมด้อยมาก เพราะเป็นคนอาภัพ ไม่ค่อยมีเพื่อนฝูง

    ตอบ คำว่า คนอาภัพ ในทางโลกกับทางธรรมนั้นไม่เหมือนกัน คนอาภัพทางโลกนั้นคือคนที่อยากได้อะไรหรืออยากเป็นอะไรแล้วก็ไม่สมหวัง อยากมีเพื่อนฝูงอย่างคุณผู้ถามเป็นต้น ก็ไม่ค่อยมี แล้วก็กล่าวว่าเป็นคนอาภัพ นี่เป็นความหมายของคนอาภัพทางโลก
    แต่คนอาภัพทางธรรมนั้น หมายถึงคนที่ไม่อาจบรรลุมรรคผลในชาตินี้ ท่านเรียกว่า อภัพพบุคคล ได้แก่คน ๔ ประเภทคือ
    ๑. คนที่เกิดด้วยอุเบกขาสันตีรณะอเหตุกกุศลวิบาก คือเกิดด้วยปฏิสนธิจิตที่เป็นผลของกุศลที่ไม่มีเหตุประกอบ เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อน เกิดเป็นบ้าใบ้ ตาบอด หูหนวก ปัญญาอ่อนมาแต่กำเนิด คนพวกนี้เป็นคนอาภัพเพราะไม่อาจบรรลุมรรคผลได้ แม้จะได้หันเหชีวิตมาเจริญมรรคมีองค์ ๘ ก็ตาม
    ๒. คนที่ทำกรรมหนักชนิดที่เรียกว่าอนันตริยกรรม คือฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ฆ่าพระอรหันต์ ทำโลหิตพระพุทธเจ้าให้ห้อ ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน คนที่ทำกรรม ๕ อย่างนี้ แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านเรียกว่าอภัพพบุคคล เพราะแม้จะฉลาดอย่างไรก็ไม่อาจบรรลุมรรคผลได้ เพราะได้ทำกรรมหนักที่จะต้องนำไปสู่นรกทันทีเมื่อตายลง กรรมดีใดๆ ไม่อาจขวางกั้นกรรมหนักได้ กรรมหนักทั้ง ๕ นี้ต้องให้ผลก่อน
    ๓. เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือเป็นคนมีความเห็นผิด ไม่เชื่อบุญเชื่อบาปเป็นต้น ใครจะชี้แจงแสดงเหตุผลอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อฟัง คนอย่างนี้เป็นคนอาภัพเช่นกัน เพราะไม่มีทางบรรลุมรรคผลในชาตินี้ได้
    ๔. คนที่แม้จะเกิดมาด้วยไตรเหตุ ไม่ทำกรรมหนัก เป็นสัมมาทิฏฐิ คือเชื่อบุญเชื่อบาปแล้ว แต่ว่าไม่มีศรัทธาประพฤติปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือเป็นผู้เกียจคร้านไม่มีฉันทะในการทำกุศล พวกนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเป็นคนอาภัพเช่นกัน เพราะไม่อาจบรรลุมรรคผลได้
    บุคคล ๔ พวกนี้แหละ คือคนอาภัพในความหมายของทางธรรม
    คณะสหายธรรมก็ยังเป็นคนอาภัพในทางธรรมเช่นท่านผู้ฟังอีกหลายท่าน รวมทั้งผู้ถามด้วย เพราะฉะนั้นอย่าได้น้อยใจไปเลย เพราะคนที่ยังเป็นคนอาภัพเช่นเดียวกับท่านผู้ถามยังมีอีกมากเหลือเกิน คงจะเกือบทั้งโลกกระมัง
    ก็ในเมื่อคนทั้งโลก มีคนที่บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยะ พ้นจากการถูกเรียกว่าคนอาภัพน้อยมาก เพราะฉะนั้นอย่าได้น้อยใจไปเลย ผู้ถามมีพรรคพวกประเภทเดียวกันมากมาย
    คราวนี้ขอพูดถึงคนอาภัพทางโลกบ้าง ซึ่งก็ได้ให้ความหมายของคำว่าคนอาภัพในทางโลกไว้แล้วว่า ได้แก่คนที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ไม่สมหวังไปเสียทุกอย่าง อยากมีเพื่อนก็ไม่มีเพื่อนเป็นต้น อันนี้จัดเป็นผลของอกุศลกรรมที่ทำไว้
    คนที่ทำบุญไว้หลายๆ อย่าง คือทานก็ทำ ศีลก็รักษา ซ้ำเวลาทำทานรักษาศีลก็ไม่ทำคนเดียว เที่ยวชักชวนพรรคพวกเพื่อนฝูงญาติพี่น้องให้ทำทานรักษาศีลร่วมกับตนด้วย การทำอย่างนี้แหละ เป็นเหตุให้เมื่อต้องการสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้นตามประสงค์ การชักชวนคนอื่นๆ ให้ทำดี เป็นเหตุให้ได้บริวารมาก
    ในอดีตคุณคงทำบุญไว้น้อย เวลาทำแล้วไม่ได้ชักชวนคนอื่นๆ ด้วย คุณจึงขาดเพื่อนฝูง ถึงอย่างนั้นคุณก็อย่าน้อยใจในความอาภัพของคุณเลย เพราะเราไม่อาจแก้ไขสิ่งที่เราทำไปแล้วได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องทำเหตุในชาตินี้ของคุณให้ดีให้ถูก เพื่อคุณจะได้ไม่ต้องเป็นอย่างนี้ในชาติต่อไป
    ในปัจจุบันนี้ เราก็หาเพื่อนได้ไม่ยากเลย ถ้าเรามีเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นอยู่เสมอ ใครๆ ก็อยากคบหาผู้นั้น

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้
    นั่นคือถ้าเราเป็นผู้ให้คือเผื่อแผ่อยู่เสมอแล้ว เป็นธรรมดาใครๆ ก็ย่อมจะรักใคร่เรา คุณลองทำดูเถิด รับรองว่าคุณจะมีเพื่อนมากมายจนคบไม่หวาดไหว แต่ว่าการจะได้เพื่อนกินหรือเพื่อนแท้นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของเพื่อนแท้ เราดูกันประเดี๋ยวประด๋าวไม่ได้ ต้องคบกันนานๆ จึงจะตัดสินใจ

    คณะคิดว่าคนอาภัพทางโลกไม่สำคัญ เรามีมิตรดี มิตรแท้ ที่จะชักนำเราไปในทางดี ไม่ประพฤติชั่วเพียงคนสองคนก็พอแล้ว แต่คนอาภัพทางธรรมสิสำคัญมาก เพราะถ้าเราอาภัพทางธรรมอยู่ทุกๆ ชาติ เราก็ต้องพบกับความทุกข์ต่างๆ รวมทั้งการเป็นคนอาภัพเพื่อนฝูงด้วยอยู่ทุกๆ ชาติ ถ้าเราพ้นจากความอาภัพทางธรรมเสียแล้ว ความอาภัพทางโลกจะมีได้อย่างไร เพราะฉะนั้นควรสนใจเรื่องความอาภัพทางธรรมดีกว่า แล้วทำตนให้พ้นจากความเป็นคนอาภัพในทางธรรมเสีย แล้วคุณจะไม่พบกับความอาภัพทั้งทางโลกและทางธรรมอีกเลย

    ________________________________________

    ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓

    ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

    อภัพพสัตว์เป็นไฉน
    ����ûԮ�������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ�������� ��
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    https://www.youtube.com/watch?v=F1vJkPCE5MI

    ขออนุญาตเจ้าบ้านจัดรายการเพลงสักน้อยนะคะ บ้านเงียบ ๆเหงา ๆ ไปค่ะ ด้วยบทเพลงคิดถึงบ้าน ของน้าหมู เชิญรับฟังค่ะ
     
  11. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    [​IMG]

    พี่ ๆ น้อง ๆ หายหน้าไปตามภาระชีวิตที่รับผิดชอบ
    หากมีเวลาอย่าลืมกลับมาบ้างนะคะ
     
  12. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    [​IMG]

    แวะมาชวนค่ะ
    ในวันออกพรรษา เราชาวพุทธสามารถร่วมกิจกรรมได้หลากหลาย
    เช่นไปบำเพ็ญกุศล ทำบุญตักบาตร บริจาคทานได้นะคะ
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]

    ขอให้ท่าน อ และครอบครัวรวมทั้งน้องๆหลานๆทุกๆท่านมีความสุข รํ่ารวย ปลอดภัยทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะตลอดปีและตลอดไปค่ะ
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ขออนุญาตบอกกล่าวว่าชอบแบบบ้านนี้นะครับ
     
  15. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๙

    ส่งสุขปีใหม่ สุขสันต์ สุขกาย สุขใจ ทั่วกันค่ะ


    [​IMG]
     
  16. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ครั้งหนึ่ง..

    เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมในถ้ำลึกในป่า แห่งหนึ่ง

    เวลาประมาณ ตีหนึ่ง น้ำตาไหล...สะเทือนใจ เสียใจมาก


    จิตสับสน...ใจอยากร้องไห้ อยากเดินกลับบ้าน นับทางได้เกือบ 200 กิโล

    กลางดึก ออกเดินเท้าเปล่า ท่ามกลางคืนมืดมัวในป่าลึก น้ำตาไหลพรากเสียจริต

    เสื่อมศรัทธาในความดี ทาน ศีล ภาวนา ปัญญา

    สงสัยในคุณธรรมในโลกจิตตวิญญาณ

    แม้กระทั้งคุณธรรมความดีของพระพุทธเจ้า


    เศร้า..สุดเสียใจ คล้ายคนบ้า..ในคืนเดือนมืดวันหนึ่ง


    ขอความจริตผิดเพี้ยนทางโลกวิญญา สิ่งเหล่านี้ อย่าได้บังเกิดแก่ผู้ปารถนาทางธรรมแก่ผู้ใดเลย....

    เพราะทุกข์หนักเหลื่อเกินในความระแวงสงสัยในคุณธรรมคำสอนขององค์พระพุทธศาสดา
     
  17. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ขอนุโมทนาบุญกับทุกท่าน เนื่องในโอกาสปีใหม่
     
  18. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    [​IMG]
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,936
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    .............................................
    เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นกับทุกๆคนนะคะ ความลังเล สงสัย ไม่แน่ใจ มีกันมาหลายภพชาติ ดูถูกดูหมิ่น ตามประสาคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ปัจจุบันนี้ เดี๋ยวนี้ เมื่อรู้แล้ว หมดข้อสงสัย แจ่มแจ้งแล้ว พวกเราจึงต้องขอขมาพระรัตนตรัยทุกคืนก่อนนอนค่ะ
    ธรรมะสวัสดีทุกๆท่านค่ะ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ณ บัดนี้ข้าพเจ้า...

    กำลังเดินเข้าเส้นทางธรรมได้สะดวกแล้ว ปลดเปลื้องภาระ..ชดใช้ภาระกรรมอันแสนหน่ายเหนื่อย

    หวังว่าภาระกรรมหนักๆคงผ่านพ้นไปด้วยดี...จะได้มีเวลาจะเริ่มเฮ กันใหม่!!!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...