ประสบการณ์เมื่อเรามีคนทักว่าเรามีองค์ (แนวให้ความรู้)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย กาลีนะ, 13 มิถุนายน 2013.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    การเข้าไปล่วงรู้วาระจิตของผู้อื่น ไม่ใช่เป็นของยาก ไม่ใช่ของแปลกหรือมหัศจรรย์ใจใดๆนัก การทำได้ก็ดี เพียงแต่ว่ามีประโยชน์น้อย เนื่องเพราะการเข้าไปรู้แล้ว ก็เกิดยินดียินร้าย หวั่นไหวไปกับโลกธรรม ในคำนินทา สรรเสริญ การนิยมยินดี การตำหนิถือโกรธ ย่อมเกิดตำหนิฝังลงในจิตของตนอีกระลอกหนึ่ง ซึ่งการฝังตรงลงไปในจิตของนักปฏิบัติที่เริ่มขาวสะอาดแล้ว ย่อมจะเด่นชัดกว่าปุถุชนคนทั่วไปที่ยังมีกิเลสหนา ตัณหามาก...

    ประเด็นนี้จะเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่ฝึกในหมวดอภิญญา หรือทิพยจักขุญาณ อยู่พอสมควร ถึงขั้นที่ผมต้องตั้งใจไว้เองคนเดียวว่า ต่อจากนี้ไป หากจิตเรายังมีความเลวอยู่เพียงใด เรื่องการจะไปรู้เห็นวาระจิตของผู้อื่นนั้น เราจะไม่ทำอย่างเด็ดขาด...นี่เกิดขึ้นตอนอายุได้สัก 20 ปีเห็นจะได้...แม้ว่าต่อจากนั้นมาก็ยังสามารถรู้ได้เห็นได้ แต่เจตนาจะไปรู้ไปเห็นนี้ไม่มี...และเมื่อรู้แล้วเห็นแล้ว ไม่ว่าจะดีจะร้าย จะถูกจะผิด ก็ไม่ได้เอามาระลึกนึกถึงแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงว่ารู้ เป็นแต่เพียงว่าเห็น ด้วยอย่างไรเสีย มันยังไม่พ้นจากโลกธรรมทั้ง 8 ไปได้ ...

    สำหรับการไม่อาลัยในโลกธรรมทั้ง 8 ประการนี้ จะมีอาการไม่ใส่ใจ ไม่เอ่ยถึง ไม่กล่าวถึง ไม่เกี่ยวเนื่องด้วย ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่วิพาก ไม่วิจารณ์ ไม่ถือสา สติจะพึงวนเวียนค้นหาพิจารณาอยู่แต่สิ่งชั่วในดวงใจของตนเพียงอย่างเดียว ไม่สอดส่องออกไปภายนอกเลย ...
    อาการของนักปฏิบัติ ต้องระมัดระวังให้มาก ด้วยผ้าขาวเปื้อนแล้วมันซักออกยาก มันไม่เหมือนผ้ายีนขมุกขมอมยังไงก็ยังใส่ได้
     
  2. worldly

    worldly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2014
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +164
    องค์ที่รักษาคนได้กับองค์ที่บำเพ็ญเพียรต่างกันอย่างไรบ้างครับ
     
  3. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    กาลีนะ เพิ่งเดินสายไหว้พระ กับ ไปเก็บน้ำมนต์เพิ่งกลับมาคะ
     
  4. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ไปเจอในเว็ปมาคะ น่าสนใจดี .. ความรู้ใหม่พอสมควร .. เอามาให้พิจารณากันดูนะคะ ..

    .... ของท่านที่ใช้ชื่อว่า ..
    ธรรมะดุจดั่งสายธาร ที่กว้างไกล


    ..... ทราบหรือไม่ว่า การเปิดพลังเทพ มีทั้งหมดกี่วิธี อะไรบ้าง


    .... การเปิดพลังเทพ ไม่ใช่ว่า ใครที่ไหนก็จะทำได้ จะเป็นไปสำหรับ มนุษย์ผู้ที่มีเทวดาคุ้มครอง หรือมีพลังเทพอยู่แล้วในตัวเองเท่านั้น ที่จะสามารถเปิดพลังเทพในตัวเองออกมาใช้ได้

    ... ที่ว่า ไม่ใช่บุคคลที่ไหนก็จะทำได้นั้น หมายถึง บุคคลที่ไม่มีเทวดาคุ้มครอง ย่อม ไม่สามารถทำได้ แม้จะพยายามเปิดแค่ไหน ก็เสียเวลาเปล่า เขาไม่สามารถใช้พลังเทพได้ และเข้าไปไม่ถึงพลังของเทวดา

    .... การเปิดพลังเทพสายญาณต่างๆ จำเป็นต้องรู้ดีก่อนว่า ตัวเองนั้น มีเทพหรือสายญาณองค์ไหน คุ้มครอง ถึงจะสามารถใช้พลังเทพ หรือเปิดญาณบารมีได้อย่างถูกต้อง

    ... คำว่า มีเทวดาคุ้มครอง ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ไม่ว่าเป็นเทวดาสายญาณทาง ไทย จีน แขก ก็จัดอยู่ในประเภท มนุษย์ผู้ที่มีเทวดาคุ้มครองทั้งนั้น

    ... จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะมีเทวดาคุ้มครอง หากเกิดสร้างบุญบารมีเท่านั้น และเป็นผู้มีบุญบารมีพอสมควร หรือเป็นผู้มีบุญบารมีสูง ถึงจะมีเทวดาคุ้มครอง

    ...ก่อนที่จะเปิดพลังเทพนั้น นอกจากเราจะทราบก่อนว่า เรามีเทพองค์ไหนคุ้มครองแล้ว เราจำเป็นต้องถือศีลปฏิบัติธรรม ให้เข้าถึงพลังเทพ ถึงจะใช้พลังเทพ หรือพลังของเทวดาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    ทราบ หรือ ไม่ว่า เทพ หรือเทวดา มีทั้งหมด กี่ประเภท

    เทพ มีทั้งหมด 3 ประเภท คือ


    1. สมมติเทพ เทวดาโดยสมมติ
    2. อุปปัตติเทพ เทวดาโดยกำเนิด
    3. วิสุทธิเทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ์

    อธิบายขยายความ

    เทพ หรือเทวดา เมื่อแยกตามประเภทแล้ว อธิบายได้ ดังนี้ คือ

    สมมติเทพ

    คือ เทวดาโดยสมมติ หมายถึง บุคคลผู้มีศีลธรรม คุณธรรมประจำใจ มีคุณธรรมของเทวดา ได้แก่ หิริ และโอตตัปปะ เป็นต้น จัดเป็นมนุษย์ที่เป็นสมมติเทพ แม้แต่พระราชาผู้ทรงทศพิธราชธรรม ก็เรียกว่า พระสมมติเทพ เช่นกัน

    อุปปัตติเทพ

    คือ เทวดาโดยกำเนิด หมายถึง ตั้งแต่เกิดมาก็เป็นเทวดาบนสวรรค์ เนื่องด้วยบุญกุศลของตนที่เคยทำไว้ เทวดาประเภทนี้ จัดเป็นผู้มีกายทิพย์ ไม่ใช่กายมนุษย์

    วิสุทธิเทพ

    คือ เทวดาโดยความบริสุทธิ์ หมายถึง บุคคลผู้ประพฤติธรรม จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะเป็นผู้สิ้นไปแห่งกิเลสทั้งปวง เป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสแล้ว จึงเป็นวิสุทธิเทพ “ส่วนพระอริยบุคคลชั้นอื่น ที่ยังบรรลุธรรมไม่ถึงขั้นพระอรหันต์ มี พระโสดาบัน เป็นต้น ยังไม่เรียกว่า วิสุทธิเทพ เพราะยังมีกิเลสอยู่”

    เมื่อจำแนกประเภทของเทวดาโดยละเอียดแล้ว การเปิดพลังเทพ หมายถึง มนุษย์ผู้ที่มีเทวดาคุ้มครอง หรือผู้ประพฤติธรรม จนสำเร็จเป็นชั้นเทพขึ้นไป ถึงสามารถทำได้

    .... การเปิดพลังเทพ ให้สามารถใช้พลังของเทวดาได้ มีวิธีทั้งหมด ดังนี้ คือ

    1. การให้คนอื่นเปิดพลังเทพให้
    2. การถ่ายทอดญาณ
    3. การบำเพ็ญบุญบารมี
    4. การปฏิบัติสมาธิจนเข้าถึงพลังเทพ

    อธิบายขยายความ

    ... การให้คนอื่นเปิดพลังเทพให้ หมายถึง บุคคลนั้นมีเทพคุ้มครองอยู่แล้ว หรือทราบดีว่า ตัวเองมีเทวดาองค์ไหนคุ้มครอง ก็จะให้คนอื่นที่เป็นครูบาอาจารย์เปิดให้ได้ แต่จะเข้าถึงพลังเทพได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของบุคคลผู้นั้นเอง

    .... การถ่ายทอดญาณ

    หมายถึง บุคคลที่มีญาณวิเศษทางเทพอยู่แล้ว สามารถถ่ายทอดให้กับผู้ที่ไม่มี ให้เป็นผู้ที่มีญาณวิเศษได้เช่นกัน อาทิเช่น เกิดความสงสารผู้อื่น ถ่ายทอดญาณปู่ชีวกไปให้ เพื่อรักษาโรค เป็นต้น แต่จะให้ไปเต็มองค์ หรือแบ่งภาคกันออกไป อยู่ที่ผู้ให้จะกำหนดเอง ถ้าให้ไปเต็มองค์ ผู้รับทางนี้ไป จะใช้พลังรักษาโรคได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าแบ่งภาคกันออกไป คือ ผู้ให้ก็ยังมีปู่ชีวก ส่วนผู้รับก็มีปู่ชีวกเช่นกัน ก็ต่างฝ่ายต่างใช้พลังทางนี้ได้คนละครึ่ง โบราณท่านว่า ยิ่งให้ยิ่งได้ นั้นมีจริง เพราะถ้ามีญาณทางเทพอยู่ แต่ไม่เคยบำเพ็ญบารมีหรือให้ใครเลย ก็มีบุญอยู่เท่านั้น , แต่ถ้ายิ่งให้ผู้อื่น หรือยิ่งช่วยเหลือผู้อื่น แม้จะเสียพลังเทพไป อย่างเดียว แต่จะได้ญาณใหม่ที่สูงกว่าเดิมยิ่งๆขึ้นไป และญาณบารมีของท่านก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ

    การบำเพ็ญบุญบารมี

    หมายถึง การสร้างบุญบารมีต่างๆ มีการให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม เป็นต้น เมื่อเป็นผู้มีบุญมาก เทวดาก็จะมาคุ้มครองเอง โดยไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้อง หรือแสวงหามาจากที่ไหน

    การปฏิบัติสมาธิจนเข้าถึงพลังเทพ

    หมายถึง การปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรภาวนา หรือบำเพ็ญตบะ จนสำเร็จพลังเทพของเทวดาแต่ละองค์ได้ วิธีนี้เรียกว่า เปิดเอง เข้าถึงเอง หรือตรัสรู้ชอบได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดมาเปิดให้ ก็เข้าถึงเอง สามารถใช้พลังเทพของเทวดาแต่ละองค์ที่ตัวเองมีอยู่ได้อย่างง่ายดาย

    ...... ด้วยเหตุนี้ การให้คนอื่นเปิดให้ก็ดี การถ่ายทอดญาณวิเศษก็ดี การบำเพ็ญบุญบารมีก็ดี การปฏิบัติสมาธิจนสำเร็จพลังเทพก็ได้ จะเข้าถึงพลังเทพได้มากน้อยเพียงใด จะเป็นพลังทางสายบุญฤทธิ์ หรือสายอิทธิฤทธิ์ หรือทั้งสองสาย ก็อยู่กับบุญบารมีของบุคคลผู้นั้นเอง

    ข้อควรรู้พิเศษ

    ........ การเปิดพลังเทพให้คนอื่นนั้น ต้องรู้ว่า สิ่งใดที่ควรให้ได้ และสิ่งใดที่ควรให้ไม่ได้ อาทิเช่น พระศิวะเทพ เป็นต้น ก็ควรรู้ว่า ควรเปิดให้ในระดับใด ไม่ใช่ว่า จะให้มีพลัง ระดับเดียวกับพระศิวะเทพ ที่สามารถให้พรวิเศษผู้อื่นได้ และทำลายได้เช่นกัน ถ้าเป็นแบบนี้ สามโลกก็เดือดร้อน เพราะนึกจะให้พรใครก็ใคร โดยไม่ได้พิจารณาให้ดีก่อน นึกจะทำลายใครก็ทำลาย เทวดาทั้งหลายก็เดือดร้อน “การมีพลังระดับพระศิวะเทพ หรือมีประกาศิต จะต้องเป็นบุคคลผู้ที่มีสิทธิพิเศษ หรือได้รับพรวิเศษ หรือได้ประกาศิต ลงมาจากสวรรค์เท่านั้น”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2015
  5. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ต่อ ตอน 2

    สายญาณเทพต่างๆ ที่ควรรู้

    .... สายญาณเทพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายไทย จีน แขก เมื่อย่อแล้ว มีอยู่ 2 ประเภท คือสายบุญฤทธิ์ สายอิทธิฤทธิ์

    สายบุญฤทธิ์ จะมีลักษณะเป็นพลังเย็น

    สายอิทธิฤทธิ์ จะมีลักษณะเป็นพลังร้อน

    ...... การรวมพลังทั้งสองเข้าด้วยกัน ทั้งพลังภาคบุญฤทธิ์ และ อิทธิฤทธิ์ หรือ สายเย็นกับ สายร้อน ให้เป็นหนึ่งเดียว คือ การทำจิตให้นิ่ง ถึงจะสามารถควบคุมพลังทั้งหมดไว้ได้ เมื่อเป็นดังนี้ พลังทั้งสองสาย ก็จะรวมเข้าหากันเป็นหนึ่งเดียว “ บุคคลนั้น ย่อมสามารถเข้าถึงพลังเทพทั้งบุญฤทธิ์ และอิทธิฤทธิ์ได้ ”

    ...... ดังนั้น ขึ้นชื่อว่า เป็นพลังเทพแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพลังเย็น หรือ เป็นพลังร้อน ก็ดีทั้งนั้น จึงอย่าไปเชื่อว่า พลังเย็นนั้นดี พลังร้อนนั้นไม่ดี

    .... บุคคลที่กล่าวว่า พลังร้อนนั้นไม่ดี แสดงว่า เขายังรู้ไม่จริง หรือ อีกนัยหนึ่ง มารดลใจ ให้บุคคลที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อน คนใกล้ชิด ครูบาอาจารย์ ลูกศิษย์ มารก็สามารถแทรกจิตบุคคลผู้นั้น ให้มาบอกกล่าวว่า อย่าไปฝึกเลย พลังร้อนนั้นไม่ดี

    ..... เหตุผลเพราะ มารทำไม ถึงกลัวพลังสายร้อน เพราะพลังเทพสายร้อน เป็นพลังภาคอิทธิฤทธิ์ มารจึงไม่อยากให้เราฝึก เพราะกลัวเราจะสำเร็จพลังเทพภาคอิทธิฤทธิ์ และ จะมีฤทธิ์ขึ้นไปเป็นใหญ่เหนือกว่ามาร เมื่อนั้นมารจะสู้เราไม่ได้ มารจึงจำเป็นต้องขัดขวางเราทุกวิถีทาง โดยมารแฝงตัวมากับคนรอบข้างเรา หรือ คนใกล้ชิดเรา เป็นต้น ให้เราเลิกล้มความเพียรเสีย มีแต่ผู้มีบุญบารมีสูงเท่านั้น ถึงฟันฝ่าอุปสรรค และเข้าถึงพลังเทพภาคอิทธิฤทธิ์ได้

    .... ด้วยเหตุนี้ เวลาจะฟังใครผู้อะไร ก็พิจารณาให้ดีก่อนว่า จริง หรือ เท็จประการใด ไม่ควรเลิกล้มความเพียร เพราะคำพูดของผู้อื่น ด้วยหาสารประโยชน์อันใดมิได้

    ..... เมื่อจำแนกสายบุญฤทธิ์ และ สายอิทธิฤทธิ์ โดยละเอียด จำแนกออกได้ ดังนี้ คือ

    สายรักษา

    .... จะเป็นพลังเทพภาคบุญฤทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นเทวดาสายไหน ก็สามารถรักษาโรคช่วยเหลือผู้อื่นได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะสายปู่ฤาษี อาทิเช่น ปู่ชีวก เป็นต้น

    .... การใช้พลังเทพสายรักษา กำหนดจิตนึกถึงเทวดาประจำตัวเรา ที่เป็นสายรักษา แล้วกำหนดจิตแผ่พลังเทพจากตัวเรา เคลื่อนย้ายไปที่ฝ่ามือ “ แผ่พลังเทพที่อยู่ปลายฝ่ามือ ใช้รักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะหายเป็นปกติ ”

    สายปราบ

    ..... จะเป็นพลังเทพภาคอิทธิฤทธิ์ เทวดาภาคมารปราบ มีประมาณมิได้ อาทิเช่น พระนารายณ์ทรงครุฑ พระนารายณ์อวตาร พระกาลี พระทุรคา พระยายมราช เป็นต้น

    ข้อควรรู้ สำหรับเทพสาบปราบ ภาคสีแดง กับภาคสีดำ แตกต่างกันอย่างไร

    ภาคสีแดง เป็นภาคอิทธิฤทธิ์ ปราบมารจริง แต่ก็ยังมีความเมตตาปราณีอยู่

    ภาคสีดำ เป็นภาคปราบมาร ที่มีความเด็ดขาด ไม่มีความปราณีใดๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2015
  6. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ต่อ ส่วนที่ 3

    ..... ดังนั้น เมื่อเทวดาเปลี่ยนจากสีแดง เป็นสีดำ เมื่อไร ก็จะมีการลงโทษขั้นเด็ดขาด อาทิเช่น พระยายมราช เป็นต้น

    ..... การจะเข้าถึงพลังเทพภาคอิทธิฤทธิ์นั้น บุคคลนั้นต้องเข้าถึงเอง เห็นเอง รู้เอง ถึงจะสามารถใช้พลังเทพสายปราบได้ เต็มประสิทธิภาพ

    สายดูดวง

    .... จะเป็นพลังเทพสายบุญฤทธิ์ ไม่ว่าเทวดาสายใดๆ ก็มีญาณวิเศษสามารถดูดวงได้ทั้งนั้น เช่น สายปู่ฤาษี เป็นต้น ก็สามารถดูดวงได้

    .... แต่สำหรับเทวดาที่ดูดวงได้แม่นยำที่สุด คือ บุคคลผู้ที่มีพระพรหมคุ้มครอง

    การจะดูดวง แนะนำให้คนละชั่ว สร้างความดี และจะดูได้แม่นยำที่สุด ให้บูชา พระพรหม จะเปิดได้ดีกว่า สายญาณอื่นๆ

    ... สำหรับผู้ที่มีสายญาณทางเทพ หรือ ญาณวิเศษ เพียงกระดิกจิตทีเดียวก็รู้แล้วว่า คนนั้นดวงจะขึ้นหรือตก

    .... สำหรับมนุษย์ธรรมดา ต้องเริ่มต้นจากการศึกษาวิชาโหราศาสตร์ บุคคลผู้เป็นศิษย์มีครู กับศิษย์ไม่มีครู แตกต่างกันอย่างไร ศิษย์มีครู สามารถวางเลขฐานต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ เป็นต้น

    ..... ศิษย์ไม่มีครู ไม่สามารถวางเลขฐานต่าง ๆได้ อาจผิดเพี้ยนเสมอ เป็นประจำ เช่น อรุณยังไม่ทันขึ้น ก็นับเป็นวันใหม่ เอาเวลาสากลมาปะปนกับทางโหร เป็นต้น เพียงแค่นี้ ก็รู้แล้วว่า ศิษย์ไม่มีครู เหตุผลทางโหร ยังไม่ถึงหกโมงเช้า หรืออรุณยังไม่ทันขึ้น ไม่นับว่าเป็นวันใหม่ จะเอาเวลาสากลตอนเที่ยงคืนมานับว่าเป็นวันใหม่ไม่ได้

    ..... ดังนั้น การดูดวงที่แม่นยำที่สุด ต้องได้เวลาตกฟาก บอกเวลาสากลมา ก็เอามาหักล้าง เป็นเวลาของทางโหรอีกที

    ..... เพราะฉะนั้น จะดูดวงแม่น หรือ ไม่แม่น อยู่ที่การวางเลขฐาน วัน เดือน ปี ให้ถูกต้องด้วย และยิ่งได้เวลาตกฟาก ยิ่งแม่นยำที่สุด เพราะจะได้รู้ว่า เกิดฤกษ์อะไร “เพราะเวลาเกิดต่างกันเล็กน้อย ฤกษ์เกิดก็ไม่เหมือนกัน เช่น เด็กเกิดวัน เดือน ปีเดียวกัน แต่เวลาเกิดไม่เหมือนกัน อีกคนเกิดก่อน อีกคนเกิดหลัง หมายถึง อีกคนได้ราชาฤกษ์ เป็นฤกษ์คนมีอำนาจบุญวาสนาบริวาร อีกคนได้ทลิทโทฤกษ์ เป็นฤกษ์คนจน ชีวิตของเด็กทั้งสองก็ไม่เหมือนกัน ต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน เสมือนราชากับยาจก ฉะนั้น”

    ..... ด้วยเหตุนี้ การดูดวงที่แม่นยำที่สุด ต้องได้เวลาตกฟากด้วย ถึงจะสามารถวางฤกษ์ได้อย่างถูกต้อง

    .... สำหรับผู้มีญาณวิเศษ หรือ พลังทางเทพ ยิ่งมีพระพรหมคุ้มครองด้วยแล้ว เพียงกระดิกจิตนิดเดียวก็รู้แล้วว่า บุคคลไหน ดวงจะขึ้น หรือ ลง

    สายการแสดง

    .... จะเป็นพลังเทพภาคบุญฤทธิ์ หรืออิทธิฤทธิ์ก็ได้ พลังเทพภาคบุญฤทธิ์ ได้แก่ การมีปู่ฤาษีหน้าทอง หรือพ่อแก่ คุ้มครอง เป็นต้น
     
  7. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ต่อ ตอนที่ 4

    พลังเทพภาคอิทธิฤทธิ์ ได้แก่ การมีปู่พิราบ คุ้มครอง เป็นต้น

    ... การเรียนศิลปทางการแสดง ต้องมีทางนี้คุ้มครอง หรือ ไหว้ครู ถึงจะไปไว ถ้าไม่มีพลังเทพทางนี้เปิดให้ ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จทางการแสดง หรือ การงานได้

    .... บุคคลผู้ที่มีสายญาณทางปู่ฤาษีบรมครูทางการแสดงคุ้มครอง กับผู้ที่ไม่มี แตกต่างกันอย่างไร

    .... บุคคลผู้ที่มีสายญาณทางปู่ฤาษีบรมครูทางการแสดงคุ้มครอง จะมีนะเมตตามหานิยม เวลาทำอารมณ์ทางการแสดง ก็จะไปได้ไวกว่าคนที่ไม่มีทางนี้

    .... บุคคลผู้ที่ไม่มีสายญาณทางปู่ฤาษีบรมครูทางการแสดงคุ้มครอง จะทำอารมณ์ทางการแสดงได้ช้า

    สายโปรดสัตว์

    .... จะเป็นพลังเทพภาคบุญฤทธิ์ เน้นช่วยเหลือผู้อื่น ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่ต้องพิจารณาให้ดีก่อนช่วย เพราะไม่ใช่ว่า มนุษย์ทุกคนที่ช่วยได้ ช่วยคนที่สามารถช่วยได้ ปล่อยวางคนที่สมควรปล่อยวาง เหตุผล มนุษย์บางคน ทำคุณบูชาโทษ บาปสัตว์ได้บาปก็มี

    .... พระพุทธองค์ตรัสว่า ทานอันใดสัตบุรุษไม่ได้เลือกให้ บัณฑิตย่อมติเตียน ทานอันใดสัตบุรุษเลือกให้ บัณฑิตย่อมสรรเสริญ

    สายธรรม หรือ สายบุญก็เรียก

    .... จะเป็นพลังเทพภาคบุญฤทธิ์ที่เน้นประพฤติธรรม สร้างบุญบารมีเท่านั้น สายนี้ ชอบใส่ชุดขาว ถือศีล กินเจ เป็นต้น ผู้เข้าถึงพลังเทพสายนี้ จะเป็นพลังเย็น

    ........ ข้อควรรู้ เทพธรรมดา กับมหาเทพ มีความเตกต่างกันอย่างไร

    เทพธรรมดา

    .... สามารถใช้แค่พลังของตัวเองทั้งนั้น

    มหาเทพ

    .... สามารถใช้พลังของตัวเองก็ได้ หรือ จะใช้พลังของเทวดาองค์นั้นก็ได้ หรือ จะขอให้เทวดาองค์ไหน ใช้พลังเทพของตัวเองช่วยเหลือตนก็ได้

    มหาเทพสายไทย ได้แก่ พระอินทร์ พระพรหม เป็นต้น

    มหาเทพสายจีน หรือ สายเซียน ได้แก่ เง็กเซียนฮ่องเต้ เป็นต้น

    มหาเทพสายแขก ได้แก่ พระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ หรือ ตรีมูรติ เป็นต้น

    .... แม้แต่พระโพธิสัตว์ ที่เป็นท้าวสันตดุสิต ก็จัดว่าเป็นมหาเทพเช่นกัน

    ..... ข้อควรรู้ เป็นมหาเทพอวตาร หรือ แบ่งภาคลงมาเกิด แตกต่างกันอย่างไร

    การที่มหาเทพอวตารลงมาเต็มองค์ เช่น พระนารายณ์อวตารลงมาบ้าง ฟ้าดินก็สั่นสะเทือน เป็นต้น

    แต่ถ้าเป็นการแบ่งภาคของมหาเทพลงมาเกิด ทำอะไรฟ้าดินจะไม่สั่นสะเทือน ไม่มีอานุภาพมากเหมือนกับอวตารลงมาเต็มองค์

    พระโพธิสัตว์ ที่เป็นท้าวสันตดุสิต ระดับพระพุทธภูมิ จุติลงมาสร้างบุญบารมี ฟ้าดินก็สั่นสะเทือนเช่นกัน

    ..... จะรู้ได้อย่างไรว่า มหาเทพอวตารลงมาเต็มองค์ หรือ แบ่งภาคลงมาเกิด มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์

    ..... มหาเทพอวตารลงมาเต็มองค์จริง มักทำอะไรที่พิสดาร ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน มีเดชอานุภาพมาก ทำอะไรแต่ละอย่าง ฟ้าดินมักจะสั่นสะเทือน “ ให้สังเกตดูว่า ดินฟ้าอากาศ เกิดความแปรปรวน โดยไม่ทราบสาเหตุหรือไม่ เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่า ใช่มหาเทพหรือไม่ ”

    ..... การแบ่งภาคลงมาเกิด ทำอะไรก็เหมือนคนทั่วไป จึงไม่ค่อยมีอะไรรู้ว่า แบ่งภาคลงมาเกิด ทำอะไรฟ้าดินไม่ค่อยสั่นสะเทือน
    “ นอกจาก วันใดที่ได้โองการลงมาจากฟ้า ให้ทำหน้าที่บางประการ ถึงจะมีเหตุมหัศจรรย์เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาขึ้น ”

    ข้อควรทราบ คนมีจริง กับคนคิดไปเอง แตกต่างกันอย่างไร

    ...... คนมีจริง กับคนคิดไปเอง ต่างกัน .... เพียงใช้สติปัญญาพิจารณาดูก็รู้แล้ว แต่เรื่องทางนี้ โดยส่วนมากแล้ว คนที่มีญาณวิเศษ ถึงแม้จะรู้อะไรที่เป็นความจริง มักจะไม่ได้การยอมรับจากคนทั่วไป เพราะฉะนั้น เรื่องทางนี้ไม่พูดเลยเป็นดีที่สุด ถ้าจะพูดให้พูดกับคนที่มีญาณวิเศษเหมือนกัน
    ตัวอย่าง พลังช้างสาร หรือ มีพระพิฆเนศคุ้มครอง
    .... คนมีจริง สามารถใช้พลังช้างสาร หรือ ยกของหนักที่คนธรรมดาทั่วไป ไม่สามารถยกได้ ให้เบาดุจยกขนนกขึ้นได้ ฉะนั้น คนคิดไปเอง ไม่สามารถใช้พลังช้างสาร ยกของหนักที่เกินกว่าคนธรรมทั่วไปยกได้ เพียงใช้สติปัญญาทดสอบดูแค่ก็รู้แล้วว่า มีเทพคุ้มครองอยู่จริง หรือ ไม่

    ตัวอย่าง การมีพระนารายณ์คุ้มครอง ไม่กลัวงูกัด

    ..... คนมีจริง จะไม่กลัวงูกัด หรือ พญานาคเลยแม้แต่น้อย เพราะงูเป็นบริวารของ พระนารายณ์ เวลาเดินผ่าน หรืออยู่กับงู งูก็ไม่กัด เพราะมีพลังเทพของพระนารายณ์คุ้มครอง คนคิดไปเอง จะกลัวงูกัด เพราะตัวเองไม่มีอะไรคุ้มครองเลย เพียงพิสูจน์แค่นี้ ก็รู้แล้วว่า มีจริง หรือ ไม่

    ข้อควรรู้พิเศษ บุคคลผู้ที่สามารถใช้พลังของเทวดาทุกองค์ มีอยู่ 3 ประเภท คือ

    1. ตอนอยู่บนสวรรค์ เคยเป็นครูสอนของเทวดาแต่ละมาก่อน ถึงสามารถใช้พลังเทพได้ ทุกองค์

    2. เป็นมหาเทพอวตารลงมาเกิด

    3. เป็นพระโพธิสัตว์จุติลงมาเกิด

    อธิบายโดยย่อ

    ..... การเป็นครูสอนเทวดามาก่อน ตอนมีชีวิตอยู่บนสวรรค์ ครั้งลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะสามารถรู้ว่า พลังเทพของแต่ละองค์เป็นอย่างไร มีวิธีเปิดพลังอย่างไร มีวิธีปิดพลังเทพอย่างไร ด้วยเหตุนี้ คำโบราณจึงมักกล่าวว่าเสมอว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าไปพูดว่าตัวเองมีอะไร เด็ดขาด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2015
  8. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ต่อ ตอนที่ 5

    .... การเป็นมหาเทพอวตารลงมาเกิด สามารถใช้พลังเทพของเทวดาทุกองค์ได้เช่นกัน โดยเฉพาะบุคคลผู้เข้าถึงพลังของตรีมูรติแล้ว และ พลังของพระศิวะเทพ ที่ให้ได้ ก็สามารถทำลายได้เช่นกัน

    ... การเป็นพระโพธิสัตว์จุติลงมาเกิด ก็สามารถใช้พลังของเทวดาได้ทุกองค์ โดยเฉพาะผู้ที่เข้าถึงพลังโพธิพันญาณ จะมีสายญาณของเทวดาสักกี่องค์ ก็สามารถรับได้ทั้งหมด และสามารถล่วงรู้วิชาของเบื้องบนได้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาสายพิสดารของเทวดาชั้นต่างๆ หรือวิชาพุทธภูมิทั้งหมด ของเทวดาชั้นดุสิต ก็สามารถจะทำได้ “ แต่วิชาบางอย่าง เป็นปัจจัตตัง เมื่อรู้เอง ก็ไม่สามารถถ่ายทอดได้ เพราะมีสองเหตุผล , เหตุผลแรก มนุษย์ธรรมดา มีบุญบารมีไม่ถึง ถึงรู้ไป ตัวเองก็ทำไม่ได้อยู่ดี เสียเวลาเปล่า ไม่เกิดประโยชน์อันใด เหตุผลที่สอง ถ้ามนุษย์ธรรมดารู้วิชาของพุทธภูมิหมด ก็แยกไม่ออกเลยว่า ใครกันแน่ ที่สร้างบุญบารมีมาเป็นพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ สาวกภูมิ ”

    .... ข้อควรทราบ เทวดาโดยความบริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลสทั้งปวง ได้แก่

    พระอรหันต์ จำแนกตามบารมีธรรม ได้ 4 ประเภท คือ

    1. พระอรหันต์ ผู้ถึงพร้อมด้วยวิปัสสนาล้วน

    2. พระอรหันต์ ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา 3

    3. พระอรหันต์ ผู้ถึงพร้อมด้วยอภิญญา 6

    4. พระอรหันต์ ผู้ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4

    ..... สำหรับเทวดาโดยความบริสุทธิ์นี้ ไม่มีใครสามารถเปิดให้กันได้ บุคคลต้องบำเพ็ญสร้างบารมีเองว่า ต้องการเป็นพุทธภูมิ ปัจเจกภูมิ สาวกภูมิ และ ถึงพร้อมด้วยคุณวิเศษประเภทไหน ถึงจะสามารถปฏิบัติตามบุญบารมีของตัวเองได้อย่างถูกต้อง

    ..... บุคคลอื่นไม่สามารถทำให้ท่านบรรลุธรรมได้ นอกเสียจากว่า มีคุณวิเศษระดับพระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ที่มีคุณวิเศษ แสดงธรรมให้ตรงกับจริตของผู้อื่น ถึงสามารถโปรดคนให้พ้นทุกข์ สำเร็จบรรลุธรรมได้เหมือนท่าน

    ... มนุษย์ธรรมดาทั่วไป ไม่มีคุณวิเศษ ไม่สามารถแสดงธรรม ให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ ด้วยเหตุนี้ ถ้าอยากพ้นทุกข์บรรลุธรรม ท่านต้องเพียรสร้างบุญบารมี ปฏิบัติเอง รู้เอง เข้าถึงธรรมเอง เมื่อบุญบารมีธรรมเต็ม ก็จะบรรลุธรรมในวันนั้น

    .... การปฏิบัติสมถะก่อน แล้วมาต่อเป็นวิปัสสนาทีหลัง เรียกว่า หลุดพ้นด้วยเจโตวิมุตติ

    .... การปฏิบัติวิปัสสนาแล้ว ไม่ผ่านสมถะมาก่อนเลย เรียกว่า หลุดพ้นด้วยปัญญาวิมุตติ

    .... การปฏิบัติธรรม ไม่สำคัญว่า ปฏิบัติแบบไหน สำคัญอยู่ที่ว่า ปฏิบัติอย่างไร ให้ตรงกับจริต และ บุญวาสนาบารมีของตัวเอง ก็สามารถบรรลุธรรมได้
     
  9. TEE_L

    TEE_L สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +23
    คุณ กาลีนะ ครับ ถ้า พระแม่กาลี อารตีไฟให้ คืออะไรหรอครับ
     
  10. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .. ความเป็นมงคลจะบังเกิดคะ .. อาจจะได้เจอ .. คนมาช่วยเหลือ หรือ อัปมงคลกำลังจะหมดไปคะ ..
     
  11. TEE_L

    TEE_L สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +23
    ขอบคุณครับผม ^_^
    ช่วงนี้เจอแต่เรื่องแย่ๆในชีวิตครับ
     
  12. รมิตรา

    รมิตรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2014
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +54
    สวัสดีคุณกาลีนะ แวะเพื่อนสมาชิกค่ะ
    พึ่งจะได้มีเวลามาอัฟเดท และติดตาม อีกครั้งค่ะ
     
  13. รมิตรา

    รมิตรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2014
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +54
    อยู่ต่างประเทศค่ะตอนนี้
    ช่วงนี้เดินทางบ่อยมาก
    การทำงานก็ค่อนข้างเครียด
    ยิ่งใกล้นายมากเท่าไหร่ ..ความกดดัน
    จากความคาดหวังมีมาก ...
    พึ่งจะได้กลับบ้านไม่กี่วันก็ต้องเดินทาง
    ก่อนเดินทางได้ทาง ได้ทำพานพุ่ม ดอกบัว ...รับด้วยกุหลาบสีชมพู...
    พวงมาลัย...หมากพลู ..บุหรี่ิไปถวาย
    ก็ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด...จะต้องไปเวลา
    เย็น ให้ตะวันคล้อย แดดร่ม ..ลมตก เช่นนี้เสมอมา ทุกครั้ง...

    กล่าวคำถวาย..และบอกกล่าวว่าจะต้องเดินทางกลับไปต่างประเทศเสร็จ
    ก็ค่อยๆถอยหลังออกมา...
    ยังไม่พ้นประตู...ความรู้สึกบอกให้กลับเข้าไปใหม่ ...ด้วยอาการงงๆๆตัวเองกลับเข้าไปนั่งต่อหน้าพระพักตร์ ...
    สักพักหนึ่ง ..อยากจะร้องไห้ และก็ร้องไห้ออกมา..ไม่ได้ยินคำถามใดๆๆ..ไม่มีที่มาของเสียง..แต่ใจนั้นกลับตอบออกไปว่า ...ลูกทนได้ ...และเปล่งเสียงตัวเองออกมาปนเสียงสะอื้น...พูดประโยคเดิม ...ว่าลูกทนได้ ...ลูกไม่ลำบากอะไรเลย...ไม่มีอะไรลำบากเลย.....แค่รู้ว่าทรงห่วงใย ...และอยู่เคียงข้างตลอดเวลา...แค่นี้ลูกก็พร้อมเผชิญ ...ปล่อยให้น้ำตาไหล...จมอยู่ในความรู้สึกเช่นนั้นครู่หนึ่ง...ก็ตั้งสติ กราบทูลลาออกมา ด้วยความรู้สึกเป็นปกติ...

    รับรู้ถึงกระแสแห่งรัก...และเมตตา... ความรักนั้น ....ยิ่งใหญ่จริงหนอ ....
    ขอให้เชื่อเถิด...รักต่างภพนั่นมีอยู่...รักที่ไม่ต้องการอะไร ...มากไปกว่าการได้เห็นคนที่เรารัก มีความสุข...

    ผลบุญอันเกิดจากการเผยแผ่ ..เรื่องราวเป็นธรรมทาน ..ขออุทิศถวายบุญนี้แก่ล้นเกล้า ล้นกระหม่อม ..อุทิศให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ด้วยเทอญ
     
  14. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... ขอบคุณนะคะ .. ช่วงนี้จำเป็นต้องเงียบคะ .. ทั้งงานที่ทำ และ การหาความรู้ใส่ตัวเพิ่มเติม .. และ การตามหาหนทางของตนเอง ได้ประสบการณืดี ๆ เยอะมากคะ .. แต่ตอนนี้ยังเล่าไม่ได้ .. เพราะว่า กำลังยังไม่มากพอจะเล่า .. ให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อนเพราะถ้าทำไรล่วงละเมิดมากไปไม่ใช่เราที่เสียคนเดียวมีคนอื่นต้องลำบากด้วย .. ขอบคุณนะคะที่ยังไม่ลืมกันคะ
     
  15. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... สาธุในความรักนะคะ ... ใช่คะ .. ความรักระหว่างภพภูมิมีจริง .. คุณ กับ กาลีนะ ก็คงได้พิสูจน์มันไม่ต่างกัน อาจต่างกันที่วิธีที่เราได้แสดงออกเท่านั้น .. เพราะรักระหว่างภพภุมิของ กาลีนะ มันสัมผัสได้ด้วยกายเนื้อด้วย .. ( บอกแค่นี้พอ )

    ... การที่เราจะก้าวข้ามผ่านมันไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ต้องมีความมั่นคง และ เข้มแข็งมากพอจริง ๆ .. มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ๆ ความรักเป็นเรื่องแปลก และ มหัศจรรย์ที่สุดในสามโลก .. หากเรามองในทางศาสนาพุทธ .. มัน คือ " ห่วง " ความยึดติด ยึดมั่น ถือมั่น ของดวงจิต คือ พันธะนาการที่ดึงให้มนุษย์มิอาจหลุดพ้นออกจากวงจรได้อย่างหนึ่ง .. เพียงแต่มันแตกต่างตรงที่ " มันให้ทั้งคุณ และ โทษ " อยุ่ที่เราจะก่อให้เกิดผลด้านใดเท่านั้นเอง .. ซึ่งมันก็ขึ้นกับจิตของแต่ละบุคคลจะพิจารณาให้ถึงแก่นแห่งมันได้สักเท่าใด .. บางคนทำให้มันเป็น " ยาพิษ " ที่ทำร้ายทั้งตัวเอง และ ผู้อื่นให้ต้องเจ็บปวด และ ทุกข์ทรมานในรักที่เป็นพิษ ดังที่เราได้เห็นในข่าวในทางไม่ดีต่าง ๆ .. บางคนใช้มันเป็น " ยาชูกำลัง " เพื่อที่จะต่อสู้เป็นกำลังใจให้ทำในสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้รักนั้นนำมาซึ่งความสุขแก่ทุกคน .. ถ้าจะให้เห็นชัดก็มิใช่ใครที่ไหน .. พระพุทธองค์ของเรานี้ไงคะ .. ท่านได้ใช้ความรักที่ท่านมีมากมายมหาศาลเพื่อ " เราทุกคน " หรือ ความรักของ พ่อแม่ที่มีต่อลูก เป็นต้น ความรักมันไม่ได้จำกัดเพียงแค่ ชาย - หญิง , คู่รัก เท่านั้น .. มองให้กว้าง แล้วเปิดใจ .. จะได้เห็นอะไรเยอะแยะคะ .. แต่หากจิตใจยังคับแคบก้จนปัญญาจริง ๆ
     
  16. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    .. ต่อจากนี้ขออนุญาติใช้ภาษาส่วนตัวนะคะ .. อาจดูแปลก ๆ นิดหนึ่งเพื่อจะได้ทันกับความคิดที่มันแว๊บเข้ามา ..
     
  17. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    สวัสดีคะ แหม...เขินจังแอบเข้ามาอ่านเป็นแฟนคลับนานแล้ว(เกือบจะต้องทำป้ายไฟแล้วไหมล่ะ 555) แอบสะดุ้งเล็กน้อย(กระตุกอย่างแรง)ตอนพี่กาลีนะเหน็บพวกที่เข้ามาอ่านแต่ไม่say hello แบบว่ามือหนูมันพิมพ์ไม่ค่อยได้อ่านได้อย่างเด็ยว(ม่ายรุเป็นไร) คอมก็เจ๊ง เอาเป็นว่าวันนี้เข้ามารายงานตัวแล้วน่ะคะ(แอบมานั่งร้านเน็ต ทรมานมากคะ หนูไม่ปลื้มกลิ่นตุๆทั้งหลาย คอมอืด พวกเล่นเกมดันพากท์อะไรม่ายรุ บลาๆๆๆ)
    เอาเป็นว่าหนูมันเป็นพวกเด็กขี้เกียจ+งี่เง่า(โดนดุบ่อย)พี่ๆคนไหนมีความคิดดีๆช่วยกระตุ้นความขยันหนูหน่อยไหมค่ะ ทั้งๆที่รู้ว่าจะเจอบทหนักแท้ๆแต่หนูยังไม่มีไฟซะเล้ย เฮ้อ.......... อ้อ เรียกน้องจอยก็ได้คะ คิดว่าหนูคงอ่อนอาวุโสกว่าทุกๆคนอิๆๆๆ
     
  18. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ต่างกันตรง ... หน้าที่ ... แต่พื้นฐานก็ทำได้เหมือนกันทั้งสองแบบ .. เหมือนเราแบ่งงานกันทำนะคะ เขาให้คุณรับผิดชอบทำสิ่งนี้ แต่คุณกลับไปทำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน กับคนที่มีหน้าที่นี้และทำหน้าที่ของตนเอง คุณคิดว่าใครที่ควรถูกตำหนิรึ รับโทษหนักกว่ากันคะ
     
  19. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    อ้อ .. ใช้กับเฉพาะคนบางกลุ่มคะไม่ใช่ทุกคน และส่วนตัวอยากรู้ว่าเราน่าจะทำตรงจุดนี้ต่อไปไหม เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะถ้าข้อมูลเราผิดพลาดทำให้เกิดความเสียหายเราเองก็จะแย่ไปด้วยคะ .. แล้วก้เวลาเข้ามามันจะรับรู้ได้เองคะว่ามีใครคิดไม่ค่อยดีกะเรา เลยบอกไปตรง ๆ นี้แหละคะชัดเจนดี

    ปล. ไม่ต้องมีป้ายไฟดีกว่ามั้งคะ .. บอกตามตรงแค่คนที่แก่กว่ายกมือไหว้นี้เราก้หลบแทบไม่ทันไม่ชอบคะ แค่มีจิตมิตรภาพให้กันก็พอคะ สบาย ๆ กันเองดีกว่าสบายใจดี
     
  20. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ... พอดีวันนี้พี่อ้น พี่ที่รู้จักกันมานานมากแล้วเกือบสิบปี บ้านแกเป็นหมอดู และ ตัวแกได้ไปเรียนเพิ่มเติมจนตอนนี้กลายเป้นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงพอสมควร เป็นพี่ชายที่น่ารัก และ ใจดีมาก แต่แกชอบแกล้ง กาลีนะ ตอนเจอกัน เห้อ ๆ กาลีนะ เคยให้ป๋าตรวจสอบว่าพี่เขามีองค์ในแบบที่เราคิดใหม่ และ ทำไมพี่เขามีความสามารถทางโหราศาสตร์ .. คำตอบที่ได้ คือ พี่อ้นแกมีเทพรักษาที่มีความชำนาญทางด้านนี้คุมอยุ่ และ มีหลายท่านด้วย .. เทวดาประจำตัวแกเป็นชั้น พ... แค่นี้พอนะคะเดาเอา .. ซึ่งจากการพบกันนั้นเป็นอีกบททดสอบหนึ่งของ กาลีนะ ว่าคนมีองค์ที่ชัดเจนและมาในแนวทางเดียวกันเป็นเช่นไร .. แต่นั้นแหละคะ กฏเขามีอยู่ว่า หากไม่ใช่หน้าที่ของตนเอง " ห้ามทักว่าใครมีองคือะไร " เพราะอาจผิดใจกับท่านเหล่านั้นได้ ถ้าองค์ตัวเองไม่ใหญ่พอคุ้มครองตัวได้ .. กรุณาอย่าไปเผือกเรื่ององค์ชาวบ้านจะปลอดภัยที่สุดคะ .. เพราะชีวิตของคุณอาจสะดุด และ มีปัญหาได้ แต่อาจแค่อ้อม ๆ เอาได้คะ อย่าบอกตรง ๆ ถ้าไม่ใช่หน้าที่ของคุณ ..

    ... ที่เอามาลงเพราะพี่อ้นแกพูดได้ดั่งใจ กาลีนะ เลยคะแต่พุดไม่เคยได้ดีขนาดนี้จริง ๆ แต่ของ กาลีนะ จะใช้ ชื่อ สกุล บางครั้งจะดูที่อยู่ประกอบด้วย แล้วแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนมากไม่ทำเพราะเหนื่อย และ ใช้พลังเยอะ แถมทำเองไม่ได้เดือดร้อนชาวบ้านบ่อย ๆ เกรงใจคนที่มาช่วย ส่วนมากอาจจะแค่แนะนำให้เขาไปทำเองมากกว่า .. เพราะ อ.ต๋องมักสอนว่า อย่าพูดหมด อย่าพูดตรงเกินไป ให้ทิ้งท้ายไว้ หรือ ใบ้เป็นปัญหา หรือ พยายามอย่าใช้แรงตนเป้นดีที่สุด .. ไม่คุ้มอย่าเสี่ยง
    ..

    .......... ชะตามนุษย์ .................

    ... อันมนุษย์แต่ละคนนั้นเกิดมาย่อมมีวาสนาของตนเอง ตามแต่บุญกรรมที่ทำกันมาในอดีตชาติ หลายท่านคงที่จะเคยสงสัยกันบ้าง ว่าเหตุอันใดแต่ละคนเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน บางคนก็รวยล้นฟ้า บางคนหรือก็ยากจนต้อยต่ำ บางคนก็จากรวยมาเป็นจน จากจนก็มาร่ำรวย คนทั่วไปมักจะใช้คำอธิบายง่ายๆว่า “ชะตาฟ้าลิขิต” ซึ่งแท้จริงแล้ว ประโยคนี้แปลว่าอะไร

    ... ในตอนที่มนุษย์ถือกำเนิดซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงดาวทั้ง10ดวงโดยดาวแต่ละดวงนั้นจะมี อนุภาคที่แตกต่างกันไป ซึ่งจะดลบันดาลให้เกิด รอยประทับแห่งดวงดาวในแต่ละชะตา เปรียบได้ดั่ง ดินที่อยู่ในไร่นาของเราว่าจะเป็นดินดีดินเสียอย่างไร หากใครที่เกิดภายใต้อิทธิพลของดวงดาวที่ดี ก็ดั่งไร่นาที่มีพื้นดินที่เอื้อแก่การเพาะปลูก ย่อมจะนำมาซึ่งผลผลิตที่ดีกว่าสถานที่ที่มีดินแห้งกรั่งแร้งแค้น ส่วนผลกรรมในปัจจุบันก็เปรียบได้ดั่งเมล็ดพันธ์ที่เราจะเพาะปลูกลงไปในดินนั้นๆ หากเราปลูกสิ่งใดลงไปดูแลรักษาแค่ไหน ก็ย่อมจะได้ผลผลิตตามที่เราได้ลงทุนลงแรงไป ดวงดาวที่โคจรรอบตัวเราก็เปรียบได้ดั่งฤดูกาลและสภาวะแวดล้อมที่จะเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกแค่ไหน เพราะต่อให้ดินดี เมล็ดพันธ์ดี ดูแลรักษาดีแค่ไหน หากฝนไม่ตกอากาศร้อนรุนแรง แมลงศัตรูพืชโรคร้ายลง พืชผลจะเติบโตก็เป็นไปมิได้ ซึ่งเปรียบดั่งดาวโคจรในชะตาคน ต่อให้พื้นดวงดีเพียงใด ทำดีแค่ไหน แต่หากยังไม่ถึงเวลาอันควรหรือโอกาศอันดียังไม่เปิดก็ยากที่จะประสบความสำเร็จสมหวังได้

    .... คนที่เกิดมาวาสนาดีแต่การกระทำไม่ดีนั้น ก็เปรียบได้ดั่งคนที่มีทำเลในการเพาะปลูกที่ดี แต่เมล็ดพันธ์ไร้คุณภาพ ขาดการดูแลรักษา ก็ย่อมจะมีผลผลิตพอประมาณ แต่หากวันใดที่โรคร้ายต่างๆมาเยือน ฝนฟ้าผิดฤดูกาล ก็ย่อมจะเกิดความเสียหายได้ หลายๆคนมักจะพูดว่า ฟ้าลิขิตหรือจะสู้มานะคน แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามานะของคนนั้นเกิดขึ้นจากตนเอง หลายๆคนก็มิได้มีมานะอะไร ซ้ำยังเกิดมาบนกองเงินทองทองเสียมีชีวิตสุขสบายด้วยซ้ำ ในเรื่องของอิทธิพลของดวงดาวมีจริงหรือไม่นั้นก็ขอให้ลองมองดูน้ำขึ้นน้ำลงซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลกของเราได้ แล้วมนุษย์เป็นเพียงแค่อณูเล็กๆในจักรวารมีหรือจะไม่โดนผลกระทบจากอิทธิพลแห่งดวงดาว การแสดงออกของแต่ละบุคคลก็เช่นกัน ย่อมหนีไม่พ้นขอบเขตุที่ดาวแต่ละดวงที่ส่งผลต่อชะตากำหนดไว้ว่าให้มีลักษณะนิสัยเช่นไรตามที่ดาวแต่ละดวงที่ถึงชะตานั้นกำหนด

    .. วิชาโหราศาสตร์ไทย จึงจำเป็นที่จะต้องได้ วัน เวลา วันเกิด ปีเกิดที่ชัดเจนในการที่จะกำหนดรอยประดับแห่งดวงดาว ซึ่งหลายๆคนเรียกดวงสมภพหรือดวงอีแปะและดวงจักรนั้นเอง เพื่อที่จะได้ใช้แกะรหัสว่าชะตาแต่ละชะตานั้นมีพื้นฐานดีร้ายเช่นไร เข้มแข็งในด้านไหน เปราะบางในเรื่องอะไรแล้วใช้เป็นแผนที่พื้นฐานในการพยากรณ์ดวงชะตาว่าควรที่จะมีทิศทางไปทิศทางไหน รวมทั้งใช้เป็นจุดตั้งรับการกระทบของดาวโคจรว่าจะดลบันดาลให้เกิดสิ่งใดในช่วงอายุไหนบ้าง เราจึงได้เห็นว่า บางคนในยามหนุ่มสาวนั้นจะแสนสบายแต่พอยามชรากลับกลายไปเป็นขอทานก็เป็นได้


    อ.เสกสรรค์ พยากรณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...