เรื่องเล่า ตื่นนอน ตอนสายๆ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 30 มิถุนายน 2010.

  1. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    ตามที่เขียนไว้ มีเรื่องลึกลับซ้อนอยู่มากมาย แต่ละเรื่องมีทั้งบุญและบาป ซ่อนอยู่
    ใครตาดีก็ได้บุญไปฟรีๆ ดังจะเล่าแยกแยะให้ฟังดังนี้
     
  2. ไข่ต้ม14

    ไข่ต้ม14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +385
    ร่วมทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์กับคุณหมอสุวิ 100 บาทค่ะ
     
  3. pbun

    pbun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +369
    โอนเงินเข้ากองทุนไถ่ชีวิตสัตว์แล้ว200บาทครับ
     
  4. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ความคืบหน้าของยันต์หลวงพ่อโอภาสีฯ


    ดังที่ผู้อ่านได้ทรบไปแล้วว่า ยันต์หลวงพ่อโอภาสีฯ ที่กะทิเธอมีอยู่ในมือนี้ เป็นสิ่งที่คุณ Lazaza มีน้ำใจช่วยกะทิเธอในการจัดพิมพ์มาให้ และกะทิได้รับเพื่อนำมาทำพิธีกับท่านหลวงพ่อ และพระอาจารย์ของท่าน ตลอดจนที่คุณ Lazaza ได้พริ้นท์สีขาวดำ มาเผื่อเพื่อแจกด้วยแล้วนั้นเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ทั้งๆ ที่สีของกระดาษที่คุณ lazaza ส่งมาให้นั้นเพี้ยนไปเยอะทีเดียว ดังภาพประกอบนะคะ


    [​IMG]




    พูดตรงๆ ว่ากะทิเธอรู้สึกว่าท่านหลวงพ่อจะว่าอย่างไร ที่ยันต์กระดาษของท่านสีเพี้ยนไปเป็นเช่นนี้ กะทิจึงเรียนถามท่านหลวงพ่อก่อนจะเริ่มอัดพลังบุญของกะทิร่วมกับยันต์พระคาถาของหลวงพ่อและพระจารย์ของท่านในพระพุทธศาสนาลงไป


    กะทิถามท่านหลวงพ่อและพระอาจารย์ของท่านว่า "พื้นสีเพี้ยน แต่ทว่าผู้ที่ทำนั้นตั้งใจมากที่จะให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ แต่ผลออกมามันเป็นสีแบบนี้ ท่านจะว่าอย่างไรคะ?"


    กะทิได้คำตอบจากหลวงพ่อโอภาสีดังนี้ค่ะ "เห็นไหมว่าความไม่เที่ยง ไม่แน่นอนเป็นอย่างนี้"



    แต่ท้ายที่สุด ก็ได้ทำพิธีจนเสร็จสิ้นนะคะ แต่เพื่อความแน่ใจในการอัดพลังเข้าไปแล้วจะได้ผลไหม? กะทิก็เลยส่งไปรีเช็ค/ดับเบิ้ลเช็คกับหมอสุวิค่ะ ซึ่งกะทิเริ่มถามหมอตั้งแต่ "ท่านหลวงพ่อมาให้กราบจริงๆ หรือปลอม และพลังของยันต์พระคาถาในยันต์กระดาษมีพลังป้องกัน และรักษาอยู่จริงไหม?"


    หมอสุวิตอบกะทิเธอมาดังนี้ค่ะ

    "สรรพคุณบนแผ่นยันต์ทั้งสองแบบในปัจจุบัน มีสรรพคุณ เหมือนต้นฉบับทุกประการ(หนึ่งเพื่อการรักษาและอีกหนึ่งปกป้อง) และยังมีบางอย่างเพิ่มขึ้นอีก(ซึ่งของเดิมไม่มี) คือเมตตาและโชคลาภ(อยู่บนยันต์ทั้งสองแผ่น)


    แต่ๆๆๆๆ พลังบนแผ่นยันต์ตอนนี้เป็นของกะทิล้วนๆ ลองตรวจสอบอำนาจของพลังดู ไม่เลววุ้ยอีหนูนี่ พลังที่อยู่ในแผ่นยันต์เป็นพลังพุทธะ (พลังสแตติก =22 ; พลังไดนามิก= 7ล้านกว่า) สูงกว่าพระเครื่องที่เขาปรุกเศกกันทั่วๆไปในปัจจุบันซะอีก


    เมื่อมีคนมาขอไปใช้(เป็นกรณีพิเศษ) เราก็เอาแผ่นยันต์ใส่พานขึ้นบูชา ขอบารมีหลวงพ่อฯและหลวงปูพระอาจารย์ ขอเพิ่มอำนาจของกระดาษย์ยันต์ให้แก่ คุณ..... เพื่อ........... กระดาษยันต์ก็จะมีอำนาจเพิ่มขึ้น สำเร็จตามที่ใจปรารถนา (พลังไดนามิกจะเพิ่มจาก หลักล้านเป็น หลักอสงไขย์ทันที)"



    ทั้งนี้ที่กะทิเขียนมาเล่าให้ฟัง เพื่อให้ผู้อ่านเบาใจได้ว่า เมื่อรับไปแล้ว พื้นสีกระดาษยันต์ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด ตราบใดที่ท่านหลวงพ่อโอภาสีและพระอาจารย์ของท่านเห็นสมควรอนุญาตหรือไม่?


    และข้อสองที่สำคัญมากๆ คือ กะทิไม่ได้จะเขียนมาโอ้อวด แต่เขียนมาเพื่อจะบอกว่า ที่หมอสุวิกล่าวด้วยว่า ยันต์ชุดนี้ นอกจากจะมีพลังการปกป้องและรักษาผู้นำไปใช้แล้ว ยังมีสรรพคุณเมตตาและโชคลาภด้วยนั้น นั่นเพราะเหตุตามลำดับเหตุการณ์ดังนี้


    1 มีพลังเมตตาและโชคลาภ เพราะว่า คุณ Lazaza ตั้งใจในการพิมพ์ ความตั้งใจของเธอเปี่ยมด้วยพลังเมตตาให้ผู้อื่นมีความสุข

    2 มีพลังเมตตาอยู่ด้วย เพราะว่าตอนที่กะทิทำพิธี คำแรกที่เชิญพลังของยันต์พระคาถานั้น กะทิเธอกราบขอพระเมตตาจากหลวงพ่อโอภาสีและพระอาจารย์ของท่านในพระพุทธศาสนาเป็นคำแรก และย้ำกล่าวในพิธีเสมอ

    3 มีโชคลาภในยันต์คาถาชุดนี้ (เพราะ?) จุดนี้ถ้ากะทิเธอคิดไม่ผิดเพราะในพิธี กะทิได้เชิญลูกแก้วสาพัดนึกที่พระอาจารย์ของหลวงพ่อท่านได้เคยให้กะทิไว้ เมื่อครั้งแรกที่เธอได้นำบุญในมหาสมุทรขึ้นมาถวายหลวงพ่อและพระอาจารย์ของท่าน พระอาจารย์ของท่าน รับไว้แล้วส่งบุญนี้กลับคืนมายังกะทิ และหมอสุวิที่ได้ฝากบุญไปถวายท่านด้วย กะทิได้ใช้ลูกแก้วนี้ร่วมประกอบในพิธีครั้งนี้ด้วยค่ะ (ขอเสริมด้วยว่า ในครั้งแรกที่กะทิเธอไปกราบหลวงพ่อและพระอาจารย์ของท่าน พระจารย์ของท่านเคยกล่าวว่า ผู้ใดเอายันต์คาถาของเราไปใช้ แล้วอุทิศถวายบุญแด่เรา หลังจากที่ถวายบุญนี้แด่พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนาก่อนแล้ว(จึงนำมาถวายบูชาเรา) บุญนี้เราจะส่งกลับคืนไปยังคนผู้นั้น เพื่อว่าเราจะไม่ติดหนี้บุญเบียดเบียนต่อกัน จุดหมายของเรานั้นคือพระนิพานฯ ในพระพุทธศาสนา บุญที่เธอทั้งหลายถวายแด่เรา เราจึงรับและส่งคืนกลับไปยังผู้ให้ด้วยประการฉะนี้ (ประมาณนี้นะคะ เป็นคำพูดของพระอาจารย์ของหลวงพ่อค่ะ)


    หมายเหตุ : ผู้อ่านหลายท่านอาจมีข้อสงสัยว่าเหตุใด กะทิเธอชอบเขียนย้ำๆ กับคำว่าในพระพุทธศาสนาจังเลยอะ เช่น คำว่า พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา พระธรรมในพระพุทธศานา หลวงพ่อโอภาสีในพระพุทธศานา กะทิเธอจะเขียนย้ำทำไม พูดย้ำทำไมมีทราบจ๊ะ


    แน่นอนค่ะ มีผล ย่อมีเหตุนะคะ


    เพราะที่ผ่านมาหลายปี กะทิเธอเคยพูดว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้เดินทางสายพระนิพานในพระพุทธภูมิ อะไรๆ ก็ต่อด้วยพระพุทธภูมิหนะค่ะ สุดท้ายเธอก็ป่วยๆๆๆๆ มารและอสูร เข้าเกาะหนึบ แถมยังมั่วว่าบุญและบารมีทั้งหลายของกะทิ รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่กะทิมีอยู่ทั้งหมด ล้วนเป็นของพวกเธอ หรือก็คือยึดเอาไปล่ะค่ะ ซึ่งเมื่อประมาณปีหนึ่งมานี้เอง หมอสุวิเพิ่งจะมาบอกว่า เพราะส่วนหนึ่งกะทิใช้คำว่า พระพุทธภูมิในการกล่าว

    อย่างที่กะทิเธอเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังนะคะว่า ไม่ใช่ว่ามารและอสูรจะมีแต่จำพวกไม่ดีไปซะหมด เช่นเดียวกับมนุษย์ที่มีทั้งดีและไม่ดี ดังนี้ จึงมีมารและอสูรกลุ่มหนึ่งปฏิบัติจนสำเร็จทางธรรมอยู่มากมาย เป็นพระชั้นผู้ใหญ่ ชั้นสูงก็มีมาก เหล่านี้ถ้ากะทิจำไม่ผิดจากคำหมอสุวิ(ถ้าผิกก็ขออภัยและรอหมอสุวิมาเพิ่มเติมปรับแก้นะคะ) หมอบอกว่า เหล่านี้ก็มีอาศัยในพระพุทธภูมิอยู่ ได้ยินได้ฟังดังนี้ กะทิก็งานเข้าอะจิ ทำไงดีอะคะ?


    หมอสุวิจึงแนะนำให้กะทิกล่าวใหม่เป็น พระพุทธศานา เช่น หลวงพ่อปู่อุปคุตไม่แบ่งภาคพี่ภาคน้องในพระพุทธศาสนา เป็นต้น (ยาวไหม?ค่ะ แต่นี่คือบทสวดถวายบุญของกะทิเธอที่ทำทุกวันจริงๆ ค่ะ และวันละหลายๆ รอบด้วยนะคะ อันได้แก่ สังฆราชราชา พระปฐมในพระพุทธศาสนา องค์สัมมาสัมพุทธเจ้ายี่สิบแปดพระองค์ในพระพุทธศาสนา องค์ปัจเจกพระพุทธเจ้าและองค์พระอรหันต์เจ้าในพระพุทธศาสนา องค์หลวงพ่อปู่อุปคุตไม่แบ่งภาคพี่ภาคน้องในพระพุทธศาสนา หลวงพ่อโอภาสีในพระพุทธศานาและพระอาจารย์ของท่านในพระพุทธศานา พระธรรมในพระพุทธศาสนา ทุกกัลปะ ทุกจักรวาล และกัมมุนา วัตติโลโกฯ และลูกแก้ว........(ว่ากันไปมีลูกแก้วอะไรบ้าง)..


    สรุปคือยาวมากใช่ไหมคะ? แต่กะทิไม่รู้จะทำยังไงค่ะ จำต้องกล่าวอย่างนี้ทุกวัน และวันละหลายรอบมาก เพราะกะทิอุทิศบุญบ่อยมากๆ อันได้แก่


    เช้า อุทิศให้บิดามาร ครูบาอาจารย์ แล้วถวายบุญ(กล่าวถวายครั้งที่หนึ่งของวัน)


    กลางวัน อุทิศให้ เทพ พรหม ยม ยักษ์ทั้งหลาย แล้วถวายบุญ(กล่าวถวายครั้งที่สองของวัน) แต่ช่วงนี้มักลืมอุทิศ เพราะตอนเที่ยง กินข้าว ก็จะห่วงกินบ้าง ห่วงเล่นเน็ตบ้างไรบ้าง ตามประสามนุษย์ซุกซนนะคะ


    เย็น อุทิศให้ สัมภาเวสี โอปาติกะ สัตว์เดรฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์เดรฉานทั้งหลาย แล้วถวายบุญ(กล่าวถวายครั้งที่สามของวัน)


    กลางคืน อุทิศให้ ญาติทั้งหลาย บรรพบุรุษทั้งหลายของข้าพเจ้า แล้วถวายบุญ(กล่าวถวายครั้งที่สี่ของวัน)


    นี่ยังไม่ได้รวมการอุทิศถวายบุญหลังสวดมนต์ตอนเช้า และก่อนนอนอีกนะคะเนี่ย สรุปว่า ใน 1 วัน กะทิเธออุทิศถวายบูชาบูยเช่นนี้รวมกี่ครั้งกันหว่า? ยาวจนเซ็งไหมคะ? ท่านผู้อ่านช่วยกะทินับหน่อยนะคะ อิอิ


    กะทิเธอเป็นอย่างนี้จริงๆ ค่ะ ท่านผู้อ่านคิดว่าไงคะ? มันเกินไปไหมคะ?






    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจาก การเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์ และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2014
  5. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ใครรู้จักยันต์เกราะเพชรบ้าง ยกมือขึ้นนนน

    ผู้ที่จะรับยันต์เกราะเพชรนั้น จะต้องเข้าร่วมพิธี ในเวลาเดียวกัน จะอยู่ในหรือนอกประรำพิธีก็ได้(อยู่ที่บ้านยังได้เลย)
    เมื่อถึงเวลาทำพิธี เจ้าพิธีก็อาราธนาอำนาจพระพุทธคุณ ครูบาอาจารย์ แล้วก็สาธยายพุทธคุณ ฯลฯ ไป
    ผู้ที่จะรับยันต์นี้ ก็อาราธนา ตั้งใจ ขอให้ยันต์นี้แทรกเข้าไปในตัว(นัยว่า ฝังอยู่บนกระดูก)
    อำนาจยันต์นี้ก็จะอยู่กับคนผู้นั้นตลอดไป และคล้ายกับว่า ต้องปฏิบัติตัวดี ทำดีด้วย หากนอกคอก แหลวแหลกผิดศีลเป็นนิจ อำนาจยันต์ก็จะค่อยๆถอนตัวออก และสลายไป

    เช่นเดียวกัน ยันต์กระดาษ ของหลวงพ่อโอภาสี(ทั้งสองแบบ) ก็จะสามารถฝังตัวเข้าไปในร่างของผู้เป็นเจ้าของ(ผู้ครอบครองยันต์กระดาษอย่างถูกต้อง)
    เพียงแต่ ผู้เป็นเจ้าของยันต์ นึกถึงบุญที่ตัวเองได้ทำแล้ว นำขึ้นบูชา หลวงพ่อโอภาสีและหลวงปู่พระอาจารย์(ของท่าน)พร้อมกับยันต์กระดาษที่ได้รับมา
    ตั้งจิตปารถนาให้อำนาจยันต์กระดาษนี้ แทรกเข้าสถิตในร่าง เพื่อ รักษาโรคที่มี/ที่เป็นอยู่ และป้องกันการเบียดเบียนจากลมเพลมพัด และ........
    เพียงเท่านี้ก็สำเร็จแล้ว

    มีอีกประการ การอธิษฐานให้ยันต์กระดาษนี้ แทรกอยู่ในตน เพื่อ รักษาโรคและคุ้มครองจากการเบียดเบียน ทั้งวันทั้งคืนทุกกาลเวลา
    ผู้อธิษฐานสามารถขอให้คงอยู่ตลอดชีวิต หรือ ให้คงอยู่เฉพาะกิจก็ได้(รักษาโรคหายแล้ว ก็สลายออกจากร่างกายไป)
    อีกข้อ ยันต์นี้จะอธิษฐานให้แทรกเข้าสู่ร่างกายของผู้เป็นเจ้าของได้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

    ยิ่งกว่านั้น เมื่อเราอธิษฐานให้อำนาจยันต์เข้ามาสถิตในตัวเราแล้ว อำนาจยันต์บนแผ่นกระดาษก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ด้อยลงแม้แต่น้อยหนึ่ง
    จะเอาไปไว้ที่หัวเตียง เอาไว้ในห้องนอน ในบ้าน(คุ้มครองทั้งบ้าน) ฯลฯ ก็ได้
    มีข้อแม้อยู่ข้อเดียว "ห้ามนำยันต์ทั้งสองแบบ วางซ้อนกันเด็จขาด"

    ยันต์นี้มีสิ่งที่น่ากลัวอยู่
    ปกติของศักสิทธิ์ในศาสนาพุทธ หากผู้ครอบครองทำความผิดบาป อำนาจสักสิทธิ์นั้น ก็ค่อยๆ ลดลง และไม่คุ้มครองผู้เป็นเจ้าของอีกต่อไป
    แต่ยันต์กระดาษนี้ กลับคงความศักสิทธิ์ ตลอดกาล ผู้เป็นเจ้าของจะทำความผิดบาปอย่างไร ยันต์นี้ก็จะคงอำนาจอยู่เช่นเดิมไม่ได้ลดถอยเลย
    แต่อำนาจกฏแห่งกรรมที่สัมพันธิ์อยู่กับยันต์กระดาษนี้ จะเข้าชำระความผิดบาปที่ผู้ครอบครองยันต์นี้กระทำสูงกว่าปกติหลายเท่าตัว ในข้อหา
    ใช้อำนาจอริยะเจ้า สนับสนุนให้กระทำความผิดบาป และปกป้องความผิดบาปที่ก่อไว้
    ซึ่งโทษนี้ร้ายแรงมาก เท่ากับการก้าวล่วงพระอริยะเจ้าทีเดียว
     
  6. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ประโยคสุดท้ายน่ากลัวอะ


    ขออนุญาตเสริมนะคะ

    ตรงที่หมอสุวิเขียนไว้ว่า "ผู้ที่จะรับยันต์นี้ ก็อาราธนา ตั้งใจ ขอให้ยันต์นี้แทรกเข้าไปในตัว"


    ตรงนี้ผู้ใช้ ก่อนจะเริ่มนำยันต์ที่มีพลังไปใช้ กะทิจะเขียนบอกหลังจากที่ท่านได้รับไปแล้วว่า จะต้องทำอย่างไรบ้าง


    บทสวดเป็นอย่างไร?


    แต่ถ้าหากว่าท่านได้รับไปแล้ว และกะทิไม่ได้บอกวิธีการไปด้วย ก็ขอให้แจ้งกลับมานะคะ พยายามจะดูแลให้ทั่วถึงค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2014
  7. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    มันไม่มากเกินไปหรอกจ้ากะทิ...อิอิ แต่หาคนทำได้อย่างนี้ยากมาก ความเชื่อ ความศรัทธา...มีพลังมากเหลือเกิน...ช่วงหลังๆ นี้

    เรารู้สึกว่างานเขียนของกะทิ เปี่ยมพลังแห่งความรัก ความเมตตา
    น่ารักมาก กะทิที่ฉายในจิตเรา เป็นคนละคนกับคนในเฟสจริงๆ ...
    ขอบคุณน๊าา...ทุกๆอย่างเลย
     
  8. ฤชา

    ฤชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +835
    ขออนุญาตเรียนถามครับ
    กระดาษยันต์ของหลวงพ่อโอภาสี สามารถบรรจุหลอดพลาสติก หรือพับเป็นสี่เหลี่ยมแล้วเลี่ยมพลาสติกสำหรับห้อยคอได้หรือไม่ครับ
     
  9. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168

    ขอตอบก่อนว่าได้ค่ะ ผู้ที่ได้รับยันต์หลวงพ่อโอภาสีไป กะทิจะส่งให้ 3 แผ่นนะคะ คือ แผ่นสี และแผ่นพริ้นท์ขาวดำ

    เหตุที่เพิ่มแผ่นสีขาวดำให้ไปด้วย 1 แผ่น อันนี้ ให้เอาไปแปะที่ตั้งเตียงนอนด้านหัวเตียงค่ะ แปะแน่นๆ นะคะ เผื่อเปลี่ยนผ้าปูเตียงไว้ด้วยนะคะ โดยเฉพาะหากที่บ้านมีแม่บ้าน แล้วเขาอาจไม่ทราบ ทำร่วงทิ้งไป อันนี้เด๊่ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน


    และคำตอบนี้ต้องแยกออกเป็นสองประเด็นนะคะ


    ข้อแรก เมื่อท่านผู้ประสงค์รับ รับไปแล้ว จำต้องพิจารณากระดาษยันต์ และจดจำลักษณะต่างๆ ของยันต์ไว้ได้อย่างดี

    ข้อสอง การทำพิธี (ทำเฉพาะครั้งแรกเท่านั้นที่ได้รับยันต์มาแล้ว) การวางกระดาษยันต์แต่ละสี ที่แตกต่างกัน ในมือแต่ละข้าง เพื่อขออนุญาตจากท่านหลวงพ่อ ให้ยันต์คาถาทั้งสองปกป้องรักษา มายังที่ตัวคุณ ชื่อ - สกุลนี้ๆ (เจอะจงลงไป) และเป็นการปาวารณาตัวเอง ว่าหลังจากนี้ คุณจะจำคาถายันต์นี้ได้ และท่องเมื่อคุณจะใช้ป้องกันรักษาตัว และจำได้ด้วยว่า คุณจะต้องอุทิศถวายบุญแด่ท่าน เพื่อแสดงความกตัญญูต่อท่านทั้งสอง( หลวงพ่อ และพระอาจารย์ของท่าน)


    ข้อสาม

    ยันต์สีส้ม(ซึ่งเป็นสีออกชมพู) ใช้ห้อยคอ จะห้อยโดยไปเคลือบบัตร หรือจะพับใส่หลอดพลาสติกห้อยไว้ ก็แล้วแต่ เพียงแต่ว่า "คุณจะต้องจำรูปร่าง รูปแบบ ของยันต์ นั้นได้ขึ้นใจแล้ว" เพื่อว่า เวลาที่คุณสวดยันต์คาถา คุณจะได้นึกถึง 3 สิ่ง ดังนี้

    1.เชิญหลวงพ่อและพระอาจารย์ในพระพุทธศาสนาที่แท้จริง

    2.ขออนุญาตให้คาถายันต์มีอานุภาพ "พร้อมท่องยันต์คาถาที่ถูกต้อง" เพื่อให้แคล้วคราดจาก ลมเพลมพัดต่างๆ มนุษย์ อมนุษย์ เปรต อสูรกาย ผี มารทั้งปวง อสูรทั้งปวง โดยเฉพาะ...

    (1) ผู้ที่เดินทางไป โน่น นี่ นั้น เดินทางเป็นว่าเล่น (กะทิอยากติดไปด้วยจังเยย) หรือ

    (2)นอนค้างอ้างแรมในที่ต่างๆ หรือแม้แต่โซฟาบ้านเพื่อน ทีในที่ๆ ไม่รู้ว่าควรจะนอนหรือไม่?

    3.ท่องยันต์คาถา พร้อมนึก(จินตนาการ) ให้ยันต์นี้คลุมตัว (จะนึกว่าเป็นเหมือนพรม(ร่ม) ที่คุ้มศีรษะคุณอยู่ หรือจะห่มตัว ห่มไหล่คุณอยู่ก็แล้วแต่จิตนาการสะดวก)


    ยันต์สีขาวเทา(ซึ่งเป็นสีออกเหลือง) ใช้เพื่อรักษา วิธีการเช่นเดียวกันกับยันต์สีส้ม(ซึ่งเป็นสีออกชมพู) เพียงแต่ในช่วงแรกเวลาเจ็บป่วยที่ไหน อาจต้องเอาไปแปะที่ส่วนนั้น แล้วทำพิธีไล่มาตั้งแต่ข้อ 1-2 ของยันต์สีส้ม แต่ในส่วนของข้อ 3 ขอให้จินตนาการว่า ยันต์นั้นได้ดูดเข้าไปในร่างกาย ในส่วนที่เจ็บป่วย หรือปวดอยู่ และเมื่อนานวันเข้า หากคุณจำรูปร่างของยันต์ได้แล้ว ความจำเป็นในการใช้ยันต์แปะลงไปเหนือเนื้อหนังมังสาจะไม่มี หรือก็คือจากรูปธรรมกลายเป็นนามธรรม


    เหตุที่ท่านหลวงพ่อได้ทำยันต์นี้เป็นรูปธรรม 2 สี ก็อย่างที่ท่านผู้อ่านทราบดีแล้วว่าเพราะเพื่อ หนึ่งป้องกัน หนึ่งรักษา และเพื่อให้เหมาะกับปัญญาของมนุษย์ที่มีความแตกต่างกัน ทั้งปัญญา เพศ อายุ ฯลฯ ต่อเมื่อผู้รับนำไปใช้ ก็ด้วยเหตุแห่งปัญญาของมนุษย์ไม่เท่ากัน การเรียนรู้ จดจำ ย่อมมีความต่างกันไป จากรูปธรรมที่จำได้ ก็จะเหลือแต่นามธรรมในการนำไปใช้ ดังนั้น ภายหลังที่ผู้ใช้ ใช้อย่างเชี่ยวชาญ ชำนาญ จากรูปธรรมต่างๆ ก็จะเหลือแต่การปฏิบัติที่เป็นนามธรรมนั้นเอง


    ประเด็นใหญ่ที่หมอสุวิ แนะไว้ ก็คือ อย่าเอายันต์ทั้งสองสี มาทับกันก็พอค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2014
  10. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    วันนี้หมอสุวิเจอเรื่องแปลก ทำให้ได้ความรู้แปลกใหม่
    ความจริงก็รู้อยู่แล้ว แต่ไม่นึกว่า เวลาท่านๆใช้จะง่ายดายปานนี้

    เรื่องของยันต์กระดาษ ผู้ที่ได้รับ ก็ทำบุญถวายบูชาหลวงพ่อโอภาสีและหลวงปูพระอาจารย์
    ผู้สร้างยันต์(อีหนูกะทิ) ก็นำเงินจากการบูชาครู ไปทำบุญ และน้อมถวายบูชาท่านทั้งสองเช่นกัน

    ที่หมอสุวิสัมผัสและรับรู้ เมื่อท่านทั้งสองรับบุญที่ถวายแล้ว ท่านกลับไม่รับไว้เอง ท่านนำขึ้นจบและคล้ายอธิษฐานอะไรบางอย่าง
    และโปรยกลับมาให้ผู้ที่ถวาบบุญท่าน ดังกลีบดอกไม้และหยาดน้ำทิพย์ ปลิวกระจายไปทั่ว

    ส่งที่เห็นนี้ก็เป็นปกติ มันต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ไม่น่าแปลกใจ

    แต่สิ่งทีแปลกก็คือ มันปรากฏ เป็นเหล่าผี เปรต อสูรกาย จิตวิญญานต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่รู้มาจากใหนกันบ้าง
    เอาจิตจับ เขม้นมองดีๆ อ้อ..มันผุดออกจากตัวคนไข้ คนป่วยที่รับยันต์ไปนั่นเอง
    แต่บ้างก็มาจากรอบๆตัวคนป่วยด้วย(มาได้ไงหว่า)

    เขามารับบุญที่เป็นกลีบดอกไม้ผสมหยาดน้ำทิพย์ ที่กระจายไปทั่ว
    บ้างรับแล้ว ก็ไป บ้างก็ยังคอยขออีก บ้างก็ทะเลาะแย่งชิงกัน แต่เดียวเดียวก็สงบ
    เหมือนตอนเขาโปรยทาน ตอนบวชพระเลย

    ที่แปลกยิ่งกว่านั้น เมื่อท่านโปรยบุญลงมานั้น เหมือนไม่ไยดีในบุญที่โปรยทิ้งไปเลย
    แต่เมื่อโปรยเสร็จ ก็ปรากฏเป็นดวงบุญก้อนโตกว่าเก่ามากมาย ลอยไปสู่มือท่าน
    และมีอีกสองก้อน ลอยเข้าสู่มือหมอสุวิ(โทษฐานแนะนำให้ทำ) และกะทิ(โทษฐานที่กระทำการแจกยันต์)

    พอหมอสุวิมองเห็นไอ้ลูกบุุญที่ลอยเข้ามือท่านทั้งสอง ปฏิภาณก็กระฉูดทันที ยกมือขึ้นวันทาอนุโมทนาสาธุการทันเวลาพอดี
    สาธุ สาธุ

    หมอสุวิ เลยได้บุญสามเด้งด้วยปะกาละฉะนี้ (หนึ่งจากที่ตัวเองทำ สองจากหลวงพ่อโอภาสี สามจากหลวงปูพระอาจารย์)

    ใครอยากได้ส่วนแบ่งก็ สาธุเอานิ
     
  11. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168

    สาธุค่ะ

    ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบูชากุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กล่าว อนุโมทนา "สาธุ" นี้ แด่พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา

    และขอผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กล่าวอนุโมทนา "สาธุ" นี้ จงแปลเปลี่ยนเป็นพลังบุญ ข้าพเจ้าขอน้อมพลังบุญนี้ ถวายแด่องค์หลวงพ่อปู่อุปคุตในพระพุทธศาสนา องค์หลวงพ่อโอภาสีในพระพุทธศาสนา และพระอาจารย์ของท่านหลวงพ่อโอภาสีในพระพุทธศาสนาที่เป็นจริง และอุทิศบุญนี้แด่คุณอุษา(Lazaza) ผู้กรุณาช่วยพิมพ์ยันต์กระดาษ และคุณ wawana ผู้ร่วมสมทบทุนมาเพื่อการแจกยันต์กะดาษ ให้ได้รับผลบุญเฉกเช่นเดียวกันกับข้าพเจ้าพึงได้รับทุกประการ

    และหากการถวายบูชาบุญของข้าพเจ้า ต่อหลวงพ่อท่านทั้งหลาย ในพระพุทธศาสนา แต่พระอริยเจ้าทั้งหลายในพระพุทธศาสนา ที่ข้าพเจ้าได้เอ่ยนามไว้ มีกุศลผลบุญต่อข้าพเจ้าแล้วไซร้ ขอผลบุญนี้จงแปรเปลี่ยนเป็นมหาสมุทรแห่งบุญของข้าพเจ้าให้เพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่มีเหือดแห้ง นำไปใช้ได้ไม่มีหมด ขอให้ข้าพเจ้ามีสุขภาพแข็งแรง อย่าได้ป่วยไข้จากมนุษย์ อมุษย์ และภยันตรายทั้งหลาย มีการงานที่ดี ส่งเสริมธุรกิจการเงิน และเป็นผลบุญสู่พระนิพานในพระพุทธศาสนาแด่ตัวข้าพเจ้าเทอญฯ
     
  12. พ่อณภัทร

    พ่อณภัทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    7,877
    ค่าพลัง:
    +3,633
    เมื่อวานนี้เวลา 21:44 น. ร่วมทำบุญเข้าบัญชีเพื่อกองทุนไถ่ชีวิตสัตว์ จำนวน 400 บาทครับ อนุโมทนา สาธุ
     
  13. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549
    คุณอาไม่เล่าต่อเหรอคะ หลังๆมานี่ หนูรู้สึกว่าตัวเองจะงกพิกล
    อันไหนบอกว่าบุญนี่ ตาลุก ตาลุก 555
     
  14. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เมื่อเช้ามืด หมอสุวิ ถูกว่ากล่าวตักเตือน ถึงเรื่องอันควรและไม่ควรกระทำ หลายเรื่องอยู่
    โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัยพระอริยะเจ้า
    การนำไปพูดไปเล่า กึ่งจริงกึ่งเท็จ นี่มีความผิดในการก้าวล่วงพระอริยะเจ้าเชียวนะ
    ซึ่งหมอก็ยอมรับในการกระทำจริง ด้วยปรารถนาดีให้ผู้รับรู้ ได้วางตัวอยู่ในธรรมอันดี
    แต่สิ่งที่หมอสุวิ เขียนออกไปมันกึ่งจริงกึ่งเท็จ ทำให้คนเข้าใจผิดหลายอย่าง(ก็เขียนสั้นไปนะ)
    เมื่อมีผู้เข้าใจผิด ในลีลาของพระอริยะเจ้าแล้ว ผู้กระทำ(ตัวหมอสุวิ) ก็เข้าข่ายก้าวล่วงพระอริยะเจ้าแล้ว

    ก็เรื่องที่หมอเล่าไปนั้น มีบางส่วนยังไม่เกิดขึ้นจริง(แต่แนวโน้มจะต้องเกิดขึ้นเช่นนั้น) บางส่วนก็เกิดขึ้นจริงแล้ว และนำมาเขียนบอกเล่าเข้าด้วยกัน(กลายเป็นจริงๆเท็จๆ)
    เรื่องที่นำเอามาพูดเอามาเล่า จึงอยู่ในข่าย ความผิดใน "กุศลกรรมบถ ๑๐" ในหัวข้อ วจีกรรม ๔
    ซึ่งผู้ที่จะก้าวเข้าสู่อริยะไม่สมควรกระทำแม้แต่น้อยหนึ่ง
    เรื่องมีที่มาที่ไปอย่างไร เชิญท่านทั้งหลายพึงสดับเถิด

    ก่อนเล่า ก็ขอท้าวความเรื่อง "บุคลาธิษฐาน" สักหน่อยก่อนนะ เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องได้ง่ายขึ้น
    บุคลาธิษฐานเป็น สิ่งสมมุติ เรื่องราวสมมุติ ที่เกิดขึ้นเป็นตัวแทน ของสิ่งต่างๆอันอาจเกิดขึ้นจริง หรือแค่เป็นสิ่งบอกเหต ทำให้ผู้มีญานทัศนะตีความให้รู้ถึงสิ่งที่จะเกิดในอนาคตได้
    เรื่องของเจ้ากรรมนายเวรกำมะลอที่หมอสุวิพูดถึงบ่อยๆนั้น
    ความจริงเขาก็คือ บุคลาธิษฐาน ที่เกิดจากอำนาจกรรม มาทำหน้าที่เจ้ากรรมและนายเวร ให้กฏแห่งกรรมนั่นเอง
    โดยมีวิบากกรรมเป็นตัวเปิดทางให้เกิดการเบียดเบียน

    อย่างหมอสุวิ นั่งๆอยู่เพลินๆ เกิดนึกขึ้นว่า เอ..เราภวายบุญหลวงพ่อ หลวงปูแล้ว นื่ท่านเอาไปทำอะไรต่อหว่า
    ในมโนจิตก็ปรากฏภาพวาดเรื่องราวขึ้น ตามที่เล่าให้ฟัง
    ซึ่งเรื่องทั้งหมด ก็เป็นบุคลาธิฐาน แบบหนึ่งนั่นเอง

    ในเรื่อง บุญ ที่เราเอาไปบูชาท่าน และบุญที่เกิดขึ้นใหม่ที่ท่านรับไว้ มีความแตกต่างกันอยู่
    ความแตกต่างอยู่ที่ บุญที่เรานำบูชาท่านนั้น มันไม่บริสุทธิ์ มันเจือเจตตนาของเราผู้ถวายบุญบูชา
    เจตตานานั้นก็คือ ขอให้เราผู้เป็นเจ้าของบุญ รอดปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ ปลอดภัยจากการเบียดเบียน
    มากมายหลายเรื่อง ทั้งเรื่องเงินทอง ที่อยู่อาศัย การทำมาหากิน ขอให้สามีรัก รีบกลับบ้าน ฯลฯ สารพัดเรือง ที่จะอธิษฐานกันไว้
    เมื่อท่านรับบุญไว้แล้ว ท่านก็อธิษฐานซ้อน บูชาพระ ฯ และครูบาอาจารย์ของท่าน แล้วประทานคืนสู่เรา ให้สมปรารถนาในสิ่งที่เราขอ

    เมื่อก่อนนี้ ตัวหมอเองยังเคยนึกเลยว่า หากมีคนมาอธิษฐานเช่นนี้กับหมอสุวิ จะทำยังไงหว่า คงเซ่อรับประทานแน่ คิดไม่ออก
    แต่วันนี้ หมอสุวิ เข้าใจกระจ่างแล้ว
    บุญที่ท่านอุทิศคืนกลับ ก็คือการให้บุญเป็นทานนั่นเอง
    การให้บุญเป็นทาน นั่นก็คือการทำบุญ อย่างหนึ่ง บุญที่ได้กลับคืนจะเป็นบุญที่บริสุทธิ์ ปราศจาก เจตตานาใดๆแฝงอยู่
    นั่นคือก้อนบุญที่ลอยเข้าสู่มือท่าน

    แล้วภาพที่เป็น ผี เปรต อสูรกาย จิตวิญญานแปลกๆที่ปรากฏออกมารับบุญนั้นเล่าคืออะไร
    ยั่นเป็นภาพกึ่งจริงกึ่งบุคลาธิฐาน เพื่อให้รู้ว่า บุญที่อุทิศลงไป ทำอะไรได้บ้าง เกิดผลอะไรบ้าง

    อย่างไรก็ดี เรื่องที่หมอเขียน แม้จะเป็นเรื่องกึ่งจริงกึ่งเท็จ ตาบแบบฉบับนิทาน ที่เอามาเล่าสู่กันฟังเวลาตื่นนอนตอนสายๆ ที่มีการตีใข่ใส่สีบ้าง ให้น่าสนุกน่าสนใจ
    เรื่องนี้ ก็ยังบุญแอบซ่อนอยูจำนวนมาก ท่านใดที่ได้อ่านแล้วและเข้าใจ ก็จะสามารถอนุโมทนา สาธุ เพื่อมีส่วนร่วมในบุญเหล่านี้ได้ ตามส่วน หรือได้อย่างสมบูรณ์ ก็อยู่ที่ใจของท่าน
     
  15. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ยังซ่อนอะไรอยู่หนอ ข้อความหมอสุวิ?


    --------------------

    By the way :

    เบื่อๆ กะทิเธอขอคั่นด้วยเพลงยามบ่าย ง่วงมากๆ ตอนนี้ 전 지금 졸려 있습니다.
    มีอยู่ไม่กี่เพลงหรอกค่ะ เพลงประจำชื่อของกะทิเธอ


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=BHkQFpA1o9w"]http://www.youtube.com/watch?v=BHkQFpA1o9w[/ame]


    ปล. ฟังแล้วไม่ต้องคิดสงสัยในชื่อจริงของกะทินะคะ เพราะนี่เป็นชื่อที่พ่อไปขอมาจากพระคริสตเจ้าในโบสถ์ค่ะ และมันมีชื่อมาจากชื่อเพลง เพลงหนึ่งในการสรรเสริญพระคริสตเจ้านะคะ

    และกะทิก็คิดว่าแค่นี้ความหมายของชื่อจริงคงจบลง แต่ไม่ใช่ พระองค์ได้แฝงความหมายในชื่อที่ซ่อนอยู่ ไม่ต่างจากหมอสุวิที่กำลังบอกว่า มันมีบางอย่างแฝงอยู่ในข้อเขียนของหมอ หุหุ

    แต่ของกะทิเปิดเผยได้ค่ะ แม้ว่าปริศนานี้จะซ่อนแม้แต่จากตัวกะทิมานานถึง 38 ปี เพราะปีที่แล้วกะทิเธอเพิ่งจะทราบ ว่าชื่อนี้มันสำคัญไฉน ถ้าไม่ได้พบได้คุยกับพี่สาวในอดีตชาติของตัวเอง(ที่ตอนนี้ขอต่างคนต่างไปเทอญฯ)

    แน่นอนว่า มันจะเป็นนิทานเรื่องยาว ในตอนต่อๆ ไปนะคะ และกะทิเธอขอขอบคุณแฟนคลับที่ส่งข้อความมาแจ้งให้ทราบนะคะ ว่า"ผมเป็นแฟนคลับครับ" กะทิเธอปลื้มมากนะคะ ขอบคุณค่ะ ^ ^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2014
  16. chaini

    chaini สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +18
    ติดตามอ่านด้วยคนครับ
     
  17. ฤชา

    ฤชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +835
    ได้อ่านเรื่องเล่าของท่านอาจารย์หมอสุวิ และคุณอธิษฐาน ถือได้ว่ามีประโยชน์และได้อนุโมทนาบุญ อีกอย่างคือ ผมกำลังคิดจะตั้งโต๊ะให้เช่าบูชาพระเครื่อง พอดีได้อ่านบทความของท่านอาจารย์หมอสุวิ และของคุณกรรมนิยาม ทำให้ทราบถึงโทษในการให้บูชาพระเครื่อง ก็ถือว่าผมยังมีบุญอยู่บ้างที่ได้อ่านบทความดังกล่าว
    ขอขอบพระคุณทุกท่าน ด้วยความเคารพครับ
     
  18. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ๖ พฤศจิกายน ๒๓๑๐ วันกู้ชาติสยาม วันที่โลกลืม


    วันที่ ๖ พฤศจิกายน วันที่คนไทยทั้งประเทศกำลังจะสนุกสนานกันทั้งประเทศเพราะเป็นวันลอยกระทงที่รอกันมานาน วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ น้ำนองตลิ่ง วันพระจันทร์เต็มดวง


    แต่คนไทยลืมไปแล้ว เมื่อ ๒๔๗ ปีที่แล้ว วันที่ ๖ พฤศจิกายน คือ วันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติสยาม “วันกู้ชาติ” หรือ “วันประกาศอิสรภาพ” ราชอาณาจักรสยาม วันที่คนไทยลืมสนิทไปแล้ว


    คือ วันที่กองทัพกู้ชาติของพระเจ้าตาก เข้ายึดกรุงศรีอยุธยาคืนจากข้าศึกพม่า ข้าศึกที่เผากรุงศรี ฆ่าชาวกรุงศรีนับแสน และยึดไว้ ๗ เดือนเต็มพอดี วันที่เราสามารถล้างแค้นปลดแอกและขับไล่ข้าศึกออกจากดินแดนสยาม และ คืนความสุขให้กับชาวสยาม ที่ทนทุกข์ยากใต้วงล้อมข้าศึกมานับปี


    [​IMG]



    ครับ วันกู้ชาติ หรือ วันประกาศอิสรภาพ (Independence Day) ถ้าเป็นนานาประเทศ เขาจะถือว่าเป็นวันชาติที่สำคัญที่สุด วันประกาศเอกราชที่ทุกชาติจะยกย่องและฉลองกันอย่างเอิกเกริกสมศักดิ์ศรี แต่เป็นวันที่คนไทยทั้งประเทศไม่มีใครพูดถึงเลย




    นักประวัติศาสตร์ที่อวดอ้างว่ารู้ประวัติศาสตร์ นักวิชาการที่พยายามเรียกร้องให้คนไทยรักชาติ นักกีฬาที่พยายามชวนให้คนไทยแสดงความรักชาติด้วยการไปเชียร์กีฬาโบกธงไทย ฯลฯ อันนั้นเขาเรียกว่ารักชาติแต่ผิว ไม่ใช่ที่จิตวิญญาณ ครับ


    -ดนัย จันทร์เจ้าฉาย-



    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=_jg4yjrlbc4"]http://www.youtube.com/watch?v=_jg4yjrlbc4[/ame]



    "ทหารเสือพระเจ้าตาก รักชาติแรงกล้า พ่อกูสอนให้ฆ่า แม้ใครมาบุกรุกไทย...."


    ที่กะทิเธอแปะมาเล่า เพราะว่า มีหลายๆ ท่านในกระทู้นี้ที่นับถือ และใส่พระเครื่องบูชาท่านอยู่ วันนี้ท่านทั้งหลาย อย่าลืมอุทิศบุญแด่ท่านกันด้วยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2014
  19. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    เมื่อวานมีผู้ส่งพัสดุบางอย่างมาให้ค่ะ

    "ใครหว่า?" คิดไปคิดมา แฟนคลับอะนะคะ


    ข้างในเปิดมาดู ตอนแรกนึกว่าช็อกโกแลต (เหมือนมากๆ) ขออภัยด้วยนะคะ หากปรามาสท่านนะคะ

    เขาคือ "แผ่นนพเก้า" ค่ะ (อะไรก็ยังไม่รู้จักอยู่ดี กะทิ)

    แผ่นนพเก้า เป็นกระเบื้องโมเสคประดับพระปรางค์วัดพระศรีมหาธาตุ จ.พิษณุโลก (วัดพระพุทธชินราช) ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

    ผู้ส่งมาบอกว่า เป็นของสูงของมงคลควรแก่การบูชาครับ

    ตอนที่ได้รับมา กะทิเธอยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ก็เลยขออนุญาตท่านแผ่นนี้ ถ่ายภาพมาด้วย แต่ไม่ทราบว่า ด้านหน้าเป็นทองค่ะ (คิดว่าด้านที่เป็นทองคือด้านหลัง)

    ก็เลยกลายเป็นว่า ถ่ายภาพด้านหลังมาฝากท่านผู้อ่านแทนอะ ส่วนด้านหน้า ท่านผู้อ่านจินตนาการเอาเองนะคะ เป็นสีทองเฉกเช่นสีเดียวกับเจดีย์วัดพระแก้วค่ะ


    แถมมาด้วยคำอวยพรหลังไมค์จากท่านผู้ส่งมา บุญใดที่ท่านอวยพรมา ก็ขอให้ท่านได้รับคืนกลับไป เป็นร้อยเท่าพันทวีค่ะ สาธุ


    ปล. ขออนุญาตแปะข้อมูลที่หามาได้จาก อากู๋ ค่ะ เนื่องจากกะทิเธอไม่มีความรู้เรื่องนี้ เลยอยากจะทราบหนะคะ และไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอามาเผื่อท่านผู้อ่านด้วยอะนะคะ กะทิก็เพิ่งรู้เนี่ยล่ะค่ะ


    "นพเก้า-นพรัตน" กระเบื้อโมเสคปิดทอง หุ้มพระปรางค์วิหารพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก นำเข้าจากประเทศอิตาลี่ อายุกว่า110ปี


    ความเป็นเลิศในศิริมงคลของ แผ่นทองนพเก้า-นพรัตน ก็คือการที่เมือทางวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จัดสร้างวัตถุมงคล จะต้องล้อมสายสิญจน์มาถึงองค์พระปรางค์ด้วยทุกครั้ง เท่ากับว่า แผ่นทองนพเก้า-นพรัตน์ ได้เข้าพิธีพุทธาพิเษกด้วยทุกครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2444เป็นต้นมา เป็นเวลานับร้อยปี ในสมัยก่อนเวลาลมฟ้าลมฝนหรือนกบินไปเกาะบนยอดพระปรางค์ แผ่นนพเก้า-นพรัตน์ก็ตกลงมาตามกาลเวลา ชาวบ้านในพื้นที่ไปพบเข้าเก็บกลับไปไว้บ้านอย่างไม่รู้คุณค่า


    และเมือปี พ.ศ.2550ทางกรมศิลป์ได้ลอกของเดิมออกทั้งหมดและนำเข้าเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ ด้วยความที่ นพรัตน์-นพเก้า ตากแดดตากฝนมาเป็นเวลานับร้อยปี ทำให้มีผิ้วเนื้อในออกดำและแข็งแกร่งดังอัญมณีจึงมีผู้นิยมน้ำไปแกะสลักหรือเจียระไนแป็นรูปองค์พระพิมพ์ต่าง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2014
  20. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    อีหนูกะทิเอ้ย...
    งานเข้าอีกแล้ว คราวนี้เป็นงานไดโนเสาร์เลยนะ (งานนี้ มีทั้งโชคร้ายและโชคดี)

    ไอ้แผ่น นพเก้า ที่อีหนูถ่ายรูปมาให้ทุกคนดูกันนะ มันเป็นของสงฆ์นะ เขาทำไว้ประดับพระปรางค์วัดพระศรีมหาธาตุ จ.พิษณุโลก (วัดพระพุทธชินราช) ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
    เมื่อเป็นของสงฆ์ ผู้เอาไปครอบครอง จะได้มาด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ ก็มีแต่ความ......(ไม่กล้าพูดตรงๆวุ้ย)
    นี่คือความโชคร้ายของนังหนูแล้ว

    แล้วโชคดีคืออะไร
    ก็อีหนู เป็นศิษย์ขององค์ปฐม องค์ปฐมก็คือพระพุทธชินราช(องค์แทน) ที่สถิตอยู่ที่วัดนั้น
    ทุกอย่างที่เขาสร้างขึ้นที่วัดนั้นก็เพื่อบูชาองค์ปฐม (พระพุทธชินราช)
    ดังนั้นของชิ้นนี้ จึงเป็นสมบัติของพระองค์

    ดังนั้นอีหนู ก็เอาไอ้แผ่นนพเก้า วางบนพาน พร้องเครื่องบูชาอันควร หาอะไรไม่เจอ ก็ดอกไม้สวยๆสักดอกนะ เอาบุญก้อนโตๆ วางลงไปสักก้อนนะ
    แล้วนึกถึง แก้วสุริยะกาญจน์
    "พี่แก้วสุริยะกาญจน์เจ้าขา โปรดนำข้าเจ้า ไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าพุทธจักรพรรดิองค์ปฐมด้วยเถิด
    เมื่อไปถึง ก็เอา ไอ้แผ่น นพเก้า ไปถวายท่าน และกล่าวว่า ขอความจริงทั้งหลายจงปรากฏในพระเนตรพระกรรณเถิดเจ้าข้า
    และขอพระเมตตา ให้สิ่งนี้จงเป็นมงคลแก้ข้าพระพุทธเจ้าด้วยพระเจ้าข้า(เพคะ - งงวุ้ยผู้หญิงเขาใช้คำใหนกันแน่)

    ถ้าอีหนูโชคดี ก็อาจจะได้ของวิเศษอีกชิ้นหนึ่งแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...