เปรต ๒๑ จำพวกกับการได้รับส่วนบุญที่เราอุทิศไปให้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ยศวดี, 15 ตุลาคม 2014.

  1. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ก๊อก ก๊อก พรุ่งนี้วันพระคะ อย่าลืม ทำบุญกรวดน้ำคะ
    โมทนาสาธุคะ

    ที่อยู่ที่เกิดของเปรตทั้งหลาย ชื่อว่า เปตติวิสยะ เพราะธรรมดาเปรตทั้งหลายย่อมไม่มีที่อาศัยอยู่โดยเฉพาะ แต่อาศัยอยู่ตามที่ทั่วไป เช่น ตามป่า ตามภูเขา เหว เกาะ ทะเล มหาสมุทร ป่าช้า และตามถนนหนทางต่างๆ

    เปรตนั้น ได้แก่ ผี ยักษ์ และเปรต เป็นต้น ซึ่งคนทั้งหลายใช้พูดกันอยู่ทั่วไป เปรตมีหลายจำพวกด้วยกัน บางจำพวกเป็นเปรตเล็ก บางจำพวกก็เป็นเปรตใหญ่ เปรตนี้เนรมิตตัวให้เป็นอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ก็ได้ ฝ่ายอิฏฐารมณ์ให้เห็นเป็นเทวดา เป็นชายเป็นหญิง ดาบส เณร พระ แม่ชี ถ้าฝ่ายอนิฏฐารมณ์ให้เห็นเป็นวัว ควาย ช้าง สุนัข รูปร่างสัณฐานน่ากลัว มีศีรษะใหญ่ ตาพอง และบางทีก็ไม่ปรากฏชัด เพียงแต่ให้เห็นเป็นสีดำ แดง ขาว ในบรรดาเปรตทั้งหลายนี้ บางพวกก็ต้องเสวยทุกข์อยู่นาน มีการอดข้าว อดน้ำ บางพวกก็เข้าไปกินเศษอาหารที่ชาวบ้านทิ้งไว้ในที่โสโครก บางพวกก็กินเสมหะ น้ำลายและอุจจาระ ส่วนเปรตที่อาศัยอยู่ตามภูเขา เช่นเขาคิชฌกูฏนั้น ไม่ใช่แต่จะอดอาหารอย่างเดียว ยังต้องเสวยทุกข์เหมือนกันกับสัตว์นรกอีกด้วย* เปรต ๔ ประเภท ในอรรถกถาเปตวัตถุ คือ

    ปรทัตตูปชีวิกเปรต เปรตที่มีการเลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นอุทิศให้ 
    ขุปปิปาสิกเปรต เปรตที่ถูกเบียดเบียนด้วยความหิวข้าวหิวน้ำ 
    นิชฌามตัณหิกเปรต เปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ 
    กาลกัญจิกเปรต เป็นชื่อของอสุราที่เป็นเปรต
    กาลกัญจิกเปรตนี้มีร่างกายสูง ๓ คาวุต ไม่ค่อยมีแรง เพราะมีเลือดและเนื้อน้อย มีสีคล้ายใบไม้แห้ง ตาถลนออกมาเหมือนกับตาของปู และมีปากเท่ารูเข็มตั้งอยู่กลางศีรษะ 
    เปรต ๒๑ จำพวก ในพระวินัย และลักขณสังยุต (สํ.นิ.๑๖/๖๓๖-๖๖๑/๒๙๘-๓๐๖)

    อัฏฐิสังขสิกเปรต เปรตที่มีกระดูกติดต่อกันเป็นท่อนๆ แต่ไม่มีเนื้อ 
    มังสเปสิกเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นชิ้นๆ แต่ไม่มีกระดูก 
    มังสปิณฑเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน 
    นิจฉวิปริสเปรต เปรตที่ไม่มีหนัง 
    อสิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์ 
    สัตติโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นหอก 
    อุสุโลมเปรต เปรตที่มีขนยาวเป็นลูกธนู 
    สูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็ม 
    ทุติยสูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒ 
    กุมภัณฑเปรต เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก 
    คูถกูปนิมุคคเปรต เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ 
    คูถขาทกเปรต เปรตที่กินอุจจาระ 
    นิจฉวิตกเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง 
    ทุคคันธเปรต เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า 
    โอคิลินีเปรต เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ 
    อสีสเปรต เปรตที่ไม่มีศีรษะ 
    ภิกขุเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนภิกษุ 
    ภิกขุนีเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนภิกษุณี 
    สิกขมานเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนสิกขมานา 
    สามเณรเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนสามเณร 
    สามเณรีเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนสามเณรี 
    หมายเหตุ  เปรตงู และเปรตกา ที่มาในอรรถกถาธรรมบทนั้น เปรตงูมีร่างกายยาว ๒๕ โยชน์ เปรตกามีร่างกายใหญ่ ๒๕ โยชน์

    เปรตที่รับส่วนบุญได้
    บรรดาเปรตทั้งหลายที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น เปรตที่มีโอกาสจะได้รับส่วนบุญจากญาติอุทิศให้ ก็มีแต่ปรทัตตูปชีวิกเปรตจำพวกเดียวเท่านั้น ส่วนเปรตอื่นๆ ที่นอกจากนี้ไม่สามารถจะรับส่วนบุญที่ญาติอุทิศไปให้ได้ เพราะเหตุว่าเปรตเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากหมู่มนุษย์ ส่วนปรทัตตูปชีวิกเปรตนั้น เป็นเปรตที่เกิดอยู่ในบริเวณบ้าน เช่น บุคคลบางคนถูกฆ่าตายโดยปัจจุบัน หรือผู้ที่ตายตามธรรมดาก็ตาม แต่มีความห่วงใยอาลัย ก็เกิดเป็นเปรตอยู่ในบริเวณบ้านนั้นเอง และปรากฏตนให้บรรดาญาติหรือบุคคลอื่นๆ เห็นได้ ตามที่ชาวบ้านเขานิยมพูดกันว่าผีหรือเปรต ผีหรือเปรตเหล่านี้ก็ได้แก่ ปรทัตตูปชีวิกเปรตนั้นเอง แต่ถึงแม้ว่าปรทัตตูปชีวิกเปรตจะเป็นเปรตที่เกิดอยู่ในบริเวณบ้านทั้งหลายได้ก็ตาม แต่ถ้าไม่รู้ว่าเขาแผ่ส่วนบุญให้ หรือรู้แล้วแต่ไม่ตั้งใจอนุโมทนาในส่วนบุญนั้น ก็ไม่สามารถที่จะรับส่วนบุญนั้นได้เหมือนกัน ฉะนั้นในเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า บุคคลที่มีจิตใจที่ไม่รู้ถึงคุณงามความดี ปล่อยให้อวิชชา มิจฉาทิฏฐิ ครอบงำจิตใจหนาแน่น เมื่อถึงคราวตกต่ำ แล้วแม้มีผู้ต้องการช่วยเหลือ ตนเองก็ไม่อาจจะรับความช่วยเหลือนั้นได้ เพราะความเห็นผิดของตนนั้นนั่นเอง

    เรื่องสัตว์ที่ตายไปแล้วรับส่วนบุญไม่ได้
    บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ต่างก็ไปเกิดอยู่ในนรกบ้าง เป็นดิรัจฉานบ้าง เป็นเปรตที่อยู่ห่างไกลจากหมู่มนุษย์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง ส่วนญาติทั้งหลายที่อยู่ภายหลังต่างก็ชวนกันทำบุญอุทิศให้แก่บุคคลเหล่านี้อยู่เสมอๆ ก็ตาม ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อันใดแก่บุคคลที่ได้ไปถือกำเนิดในที่ต่างๆ เช่นนั้นได้ แต่คงเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่อุทิศให้เท่านั้น เช่นญาติคนหนึ่งของเราถึงแก่ความตายลง และเกิดเป็นสุนัขอยู่ในบ้าน ถึงแม้ว่าญาติจะทำบุญแล้วอุทิศให้ก็จริง แต่บุญนั้นก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรให้แก่สุนัขนั้นได้ ถึงแม้เป็นเทวดาหรือเป็นพรหมก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่รู้ว่าญาติของตนทำบุญและอุทิศส่วนบุญมาให้เท่านั้น บุญนั้นไม่สำเร็จประโยชน์อันใดให้แก่เทวดาและพรหมทั้งหลายเลย

    ส่วนผู้ที่ทำบุญอุทิศให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ถึงแม้ญาตินั้นจะไม่ได้รับส่วนบุญอุทิศไปให้ บุญที่ผู้กระทำได้อุทิศไปให้นั้นก็ไม่สูญหายไปไหน คงเป็นบุญติดตัวอยู่แก่ผู้กระทำเสมอ ทั้งในชาตินี้ชาติหน้าและชาติต่อๆ ไป

    เรื่องเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร
    ในกัปที่ ๙๒ นับจากภัทรกัปนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปุสสะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก มีพระราชบิดาพระนามว่า ชัยเสนะ เป็นพระราชาผู้ครองนครกาสี มีพระราชมารดาผู้ทรงเป็นพระราชเทวีพระนามว่า สิริมา มีพระกนิษฐภาดา (น้องชาย) ต่างพระมารดากัน ๓ พระองค์ ทั้ง ๓ พระองค์มีขุนคลังคนเดียวกัน มีขุนส่วยในชนบทคนเดียวกัน

    พระราชโอรสทั้ง ๓ ของพระราชาทรงมีพระประสงค์จะทรงทำนุบำรุงพระบรมศาสดาผู้เป็นพระเชษฐภาดา (พี่) ของพระองค์ตลอด ๓ เดือน จึงทูลขออนุญาตพระราชบิดา เมื่อพระราชบิดาได้ทรงอนุญาตแล้ว พระราชโอรสทั้ง ๓ จึงทรงมอบหมายให้ขุนส่วยสร้างวิหารสำหรับพระศาสดา และพระภิกษุสงฆ์สาวก แล้วได้ทรงนิมนต์พระศาสดาไปมอบถวายวิหาร เมื่อพระศาสดาทรงรับแล้ว พระราชโอรสทั้ง ๓ ก็ได้รับสั่งให้ขุนคลังและขุนส่วยให้จัดการทำภัตตาหารถวายแด่พระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก ๙ หมื่นรูป โดยทรงมอบค่าใช้จ่ายไว้ให้ ส่วนพระราชโอรสทั้ง ๓ นั้น พร้อมด้วยข้าราชบริพาร ก็ได้ทรงสมาทานศีล ๑๐ นุ่งผ้ากาสายะ (ผ้าย้อมด้วยน้ำฝาด) ประทับอย่างสงบ โดยไม่รับสั่งอะไรอีกในวิหารนั้นเอง ตลอด ๓ เดือน

    ขุนคลังพร้อมด้วยภรรยา และขุนส่วย รับพระบัญชาแล้ว และพาบุรุษชาวชนบท ๑๑๐,๐๐๐ คน ทำภัตตาหาร ถวายทานตามวาระ แด่พระศาสดาและพระสงฆ์สาวก บรรดาพวกชาวชนบททั้งหมดนั้น มีพวกหนึ่งประมาณ ๘๔,๐๐๐ คน ได้ถูกความโลภเข้าครอบงำ ได้กินไทยธรรมด้วยตนเองบ้าง ได้ให้แก่พวกลูกหลานของตนไปกินบ้าง บางพวกมีจิตริษยา เอาไฟเผาโรงภัตตาหารเสียบ้าง เมื่อพวกคนเหล่านี้ตายไป ต่างก็ไปบังเกิดในนรกถึง ๙๒ กัป

    ส่วนพระราชโอรสทั้ง ๓ พร้อมด้วยข้าราชบริพาร ขุนคลัง ภรรยา และ ขุนส่วย และบริวารผู้ประกอบกรรมดีด้วยทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล ต่างก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ จากสวรรค์ถึงสวรรค์ (ชั้นต่างๆ) ตลอด ๙๒ กัป

    ครั้นถึงกาลเสด็จอุบัติขึ้นในโลกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม ของเรานี้ พระราชโอรสทั้ง ๓ พร้อมทั้งข้าราชการบริพาร จุติจากสวรรค์แล้ว ได้มาบังเกิดในสกุลพราหมณ์ในแคว้นมคธ ได้เป็นชฎิล (นักบวชประเภทหนึ่ง เกล้าผมมุ่นเป็นมวยสูงขึ้น  มักถือลัทธิบูชาไฟ  บางครั้งจัดเข้าในพวกฤๅษี) ๓ พี่น้องคือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ พร้อมด้วยชฎิลบริวาร ๑,๐๐๐ คน ส่วนขุนคลัง ได้มาบังเกิดเป็นมหาเศรษฐีชื่อ วิสาขะ (คนละคนกับมหาอุบาสิกาวิสาขา) ภรรยาขุนคลังได้มาเกิดเป็นธิดามหาเศรษฐีชื่อ ธัมมทินนา ขุนส่วยได้เป็นพระเจ้าพิมพิสาร บริวารทั้งหลายได้มาเป็นข้าราชบริพารของพระเจ้าพิมพิสาร

    ส่วนบรรดาพวกชาวชนบทที่ถูกความโลภเข้าครอบงำแล้วกินภัตตาหารเครื่องไทยทาน และเอาภัตตาหารเครื่องไทยทานให้ลูกหลานไปกินด้วย และพวกที่ถูกความริษยาครอบงำแล้วเผาโรงภัตตาหาร เหล่านั้น เมื่อไปสู่นรก จากนรก (ขุมใหญ่) ได้เข้าถึงนรก (ขุมเล็ก) ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น จนถึง ๙๒ กัป ครั้นถึงสมัยที่พระพุทธเจ้ากัสสปะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ก็ได้พ้นเวรจากนรกมาเกิดเป็นเปรตอีก ได้รับความทุกข์ทรมานด้วยความอดอยากหิวโหยยิ่งนัก เห็นพวกเปรตตนอื่นๆ เขามีญาติทำบุญอุทิศให้ ส่วนพวกตนไม่ได้รับกับเขา จึงไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้ากัสสปะ ว่า

    “พระองค์ผู้เจริญ ทำไมหนอ พวกข้าพเจ้าจะพึงได้สมบัติ (ภัตตาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ) เช่นนั้นบ้าง ?”

    พระพุทธเจ้ากัสสปะได้ตรัสแก่พวกเปรตเหล่านั้นว่า

    “ในกาลนี้ พวกเธอยังไม่ได้ ในอนาคตกาล (อีก ๑ พุทธันดร) ญาติของพวกเจ้าจักเป็นพระราชาพระนามว่าพิมพิสาร ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าโคดม พระเจ้าพิมพิสารนั้นจักถวายทานแด่พระพุทธเจ้านั้น แล้วทรงอุทิศผล (ทาน) แก่พวกเจ้า ครั้งนั้น พวกเธอจึงจักได้.”

    พวกเปรตเหล่านั้น จึงได้แต่รอหวังที่จะได้รับส่วนบุญจากพระเจ้าพิมพิสาร ด้วยความอดอยากหิวโหยต่อมาอีก ๑ พุทธันดร (พุทธันดร คือ ช่วงเวลาที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนา คือช่วงเวลาที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งสิ้นแล้ว และพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ยังไม่อุบัติ)

    ครั้นถึงกาลเสด็จอุบัติของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ พวกเปรตจึงได้มีโอกาสได้รับส่วนบุญที่พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงถวายทาน (ภัตตาหาร ผ้าไตรจีวร และเสนาสนะ) แด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข และได้ทรงอุทิศให้ เปรตเหล่านั้นได้อนุโมทนาบุญแล้ว จึงได้รับส่วนบุญ เป็นสมบัติทิพย์ (น้ำ อาหาร ผ้า และปราสาท เป็นต้น) ได้เกิดขึ้นเพื่อเปรตเหล่านั้น ดังที่พระพุทธโฆษาจารย์ได้อรรถาธิบายไว้ว่า

    เปรตแม้เหล่านั้น หวังว่า “วันนี้ พวกเราพึงได้ (อะไรๆ) บ้างเป็นแน่” ดังนี้แล้ว มาสู่เรือนแห่งญาติในกาลก่อน ด้วยสำคัญว่าเรือนของตน ได้ยืนอยู่ ณ ที่ทั้งหลายมีภายนอกฝาเป็นต้น, เปรตเหล่านั้น เสวยผลแห่งความริษยาและความตระหนี่อยู่ บางพวกมีหนวดและผมรุ่มร่ามมีหน้าดำ มีเส้นเอ็นหย่อน และอวัยวะใหญ่น้อยห้อยย้อย ผอม หยาบ และดำ เหมือนกับต้นตาลที่ถูกไฟป่าไหม้แล้ว ตั้งอยู่ ณ ที่นั้นๆ, บางพวกมีสรีระอันเปลวเพลิงตั้งขึ้นแต่ท้อง เพราะการสีแห่งไม้สีไฟคือความกระหายแล้วแลบออกจากปากเผาอยู่, บางพวกไม่ได้รสอย่างอื่น (นอก) จากรสคือความหิวกระหาย เพราะแม้ได้ (น้ำและโภชนะ) แล้ว ก็เป็นผู้ไม่สามารถบริโภคน้ำและโภชนะได้ ตามต้องการ เพราะความที่ตนเป็นผู้มีช่องคอประมาณเท่าปลายเข็ม และเพราะเป็นผู้มีท้องมีอาการดุจภูเขา, บางพวกได้ของสกปรกมีเลือด หนอง และไขข้อเป็นอาทิ อันไหลออกจากปาก (แผล) ฝีและต่อมซึ่งแตกแล้วของกันและกันหรือของสัตว์เหล่าอื่น ลิ้มเลียอยู่ปานดังน้ำอมฤต. พระศาสดาได้ทรงทำโดยประการที่เปรตเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งมีรูปอันแปลก ไม่น่าดู และมีสรีระอันน่ากลัวอย่างยิ่ง ได้ปรากฏแล้วแด่พระราชา.

    พระราชา เมื่อจะถวายทักษิโณทก ทรงอุทิศว่า “ขอทานนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของเรา.”

    ในขณะนั้นเอง สระโบกขรณีที่ดาดาษด้วยปทุมชาติ บังเกิดเพื่อเปรตเหล่านั้นแล้ว. เปรตเหล่านั้น อาบและดื่ม (น้ำ) ในสระโบกขรณีนั้น มีความกระวนกระวายความลำบากและความกระหายสงบระงับแล้ว มีวรรณะเพียงดังทองคำ.

    พระราชาถวายยาคูของเคี้ยวและของบริโภคทั้งหลายแล้ว ทรงอุทิศให้ (อีก). ยาคูของเคี้ยวและของบริโภคทั้งหลายอันเป็นทิพย์ ก็บังเกิดเพื่อเปรตเหล่านั้นในขณะนั้นเหมือนกัน. เปรตเหล่านั้น บริโภคอาหารวัตถุมียาคูเป็นต้นเหล่านั้นแล้ว ได้มีอินทรีย์กระปรี้กระเปร่าแล้ว.

    พระราชาถวายผ้าและเสนาสนะแล้ว ทรงอุทิศให้ (อีก). เครื่องอลังการวิธีทั้งหลาย มีผ้า ยาน ปราสาท ผ้าปูนอน และที่นอนอันเป็นทิพย์ เป็นต้น บังเกิดเพื่อเปรตเหล่านั้นแล้ว.

    ก็สมบัตินั้นทั้งหมดนั้นแล ของเปรตเหล่านั้น ย่อมปรากฏได้โดยประการใด พระศาสดาทรงอธิษฐานโดยประการนั้น. พระราชาทอดพระเนตรเห็นสมบัตินั้นแล้ว ได้มีพระราชหฤทัยเบิกบานอย่างยิ่ง.

    ลำดับนั้น พระศาสดา เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว เมื่อจะทรงทำอนุโมทนา (และ) เมื่อจะทรงแสดงความที่เปรตทั้งหลายมายืนอยู่ในที่นั้นๆ แด่พระราชา ตรัสคาถาที่ ๑ ว่า

    “เปรตทั้งหลายพากันมาสู่เรือนของตนๆ ยืนอยู่ ณ ภายนอกฝาบ้าง ที่ทาง ๔ แพร่งและ ๓ แพร่งบ้าง ที่บานประตูบ้าง.”

    ในกรณีที่ผู้วายชนม์แล้วได้ไปบังเกิดในภพภูมิต่างๆ ทั้งสุคติภูมิ อย่างเช่น มาเกิดเป็นมนุษย์ หรือเทพยดา พรหม อรูปพรหม และทั้งทุคคติภูมิ อย่างเช่น ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น แล้วมีญาติทำบุญกุศลอุทิศให้นั้น ผู้ปฏิบัติถึงธรรมกายได้รู้เห็นอย่างนี้ ว่า

    ผู้ใดมีญาติหรือบุคคลอื่นทำบุญกุศล มีทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล แล้วอุทิศให้ ผู้นั้นได้ทราบการบุญกุศลนั้นแล้วกระทำการอนุโมทนา คือการแสดงกิริยารับทราบ ยินดี เปล่งวาจาสาธุการว่า “สาธุ” ด้วยความเคารพ ย่อมได้รับส่วนบุญนั้น และจะปรากฏเห็นเป็นสายบุญจากพระนิพพานมาจรดตรงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย ตรงศูนย์กลางกายของผู้ได้ประกอบการบุญกุศลด้วยตนเองนั้นให้ใสสว่างขึ้นก่อน 
    และเมื่อตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลให้ญาติมิตรแล้ว สัตว์โลกใดที่เป็นมนุษย์ (ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ว่าเป็นญาติกันหรือไม่ก็ตาม) ก็ดี ทวยเทพทั้งหลายใดก็ดี ปรทัตตูปชีวิกเปรต และแม้สัตว์นรก (ที่มีญาติสาโลหิต (สาโลหิต คือ ผู้ร่วมสายเลือด, ผู้สืบสกุลมาโดยตรง) ผู้ปฏิบัติได้ถึงธรรมกาย เจริญฌานสมาบัติแล้ว ได้ถึงและแจ้งข่าวการบุญการกุศลนั้นให้ทราบได้) ใดก็ดี ที่ได้รับทราบการบุญกุศลที่ญาติได้บำเพ็ญแล้วอุทิศให้ แล้วได้กระทำอนุโมทนาบุญนั้น ก็จะปรากฏสายบุญใสสว่าง จากศูนย์กลางกายของญาติผู้ทำบุญกุศลแล้วอุทิศให้นั้น ไปจรดยังดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายของสัตว์ผู้ได้กระทำการอนุโมทนาบุญนั้น ให้ใสสว่างเพิ่มขึ้น

    เฉพาะกรณีของเปรต (ปรทัตตูชีวิกเปรต) และแม้สัตว์นรกตามที่กล่าวแล้วนั้น จะเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายของเขาใสสว่างขึ้น ถ้าบุญนั้นสำคัญมาก เช่น ทานกุศล (ปัจจัย ๔) ที่ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ผู้ทรงคุณประเสริฐ และ/หรือ ผู้กำลังปฏิบัติธรรมเพื่อขจัดขัดเกลากิเลส ศีลกุศล และ ภาวนากุศล ที่ญาตินั้นได้ประกอบบำเพ็ญเอง จึงเป็นบุญใหญ่กุศลใหญ่ แล้วอุทิศให้ และสัตว์ผู้อนุโมทนาบุญนั้นก็ใกล้จะพ้นเวร เมื่อสายบุญจากญาติผู้อุทิศให้ไปจรดที่ดวงธรรมที่ทำให้เป็นสัตว์นั้นซึ่งแต่เดิมเศร้าหมองอยู่ ก็จะค่อยๆ ปรากฏใสสว่างขึ้น และขยายโตขึ้น แล้วเปลี่ยนภพภูมิตามระดับภูมิธรรมที่มีผู้อุทิศให้ และที่สัตว์ผู้อนุโมทนานั้นรับได้ เช่นถ้าเป็นระดับมนุษยธรรม ก็จะปรากฏเป็นกายมนุษย์ละเอียด ไปเกิดในมนุษย์โลกต่อไป ถ้าเป็นระดับเทวธรรม ดวงธรรมก็จะปรากฏใสสว่างโตขึ้น แล้วก็จะปรากฏเป็นกายทิพย์ พร้อมด้วยทิพย์สมบัติ มีทิพยวิมานเป็นต้น ตามส่วนแห่งบุญกุศลที่ตนเคยทำ แล้วระลึกได้ และที่ตนได้อนุโมทนาบุญจากญาติที่ทำบุญอุทิศให้นั้น ได้เปลี่ยนภพภูมิไปทันที

    ถ้าบุญที่ญาติทำแล้วอุทิศให้นั้น เป็นบุญเล็กน้อย และประกอบกับสัตว์ที่อนุโมทนาบุญนั้นยังจะต้องรับผลจากเวรกรรมเก่าอีกมาก การอนุโมทนาบุญนั้น ก็ได้รับผลบุญนิดหน่อยและสายบุญนั้นด้วย ยังดวงธรรมของสัตว์นั้นให้ใสขึ้น ดีขึ้นกว่าเก่า นิดหน่อย ไว้รอโอกาสที่ญาติจะทำบุญกุศลให้สำคัญยิ่งขึ้นด้วยทั้งทานกุศล ศีลกุศล แล้วอุทิศให้ ก็จะได้อนุโมทนาบุญและจึงจะได้รับผลบุญที่ยิ่งขึ้นไป

    เพราะฉะนั้น ญาติผู้ยังมีชีวิตอยู่ ประสงค์จะทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้ญาติผู้ที่ตนรัก เคารพนับถือ ที่ล่วงลับไปแล้ว พึงทำบุญด้วยทั้งทานกุศล ศีลกุศล และด้วยทั้งภาวนากุศล และด้วยสติปัญญาอันเห็นชอบ จึงจะเป็นมหากุศลที่ละเอียดและประณีต อย่างเช่น จะประกอบทานกุศล ก็พึงรู้อานิสงส์ ว่า ควรจะทำบุญอะไร กับใคร อย่างไร จึงจะเป็นมหานิสงส์ เหมือนอย่างจะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็จะต้องรู้ว่าจะปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์พืชอะไรดี จะปลูกบนพื้นที่ดินที่ไหนดี และจะปลูกอย่างไร จึงจะได้ผลดี จะรักษาศีล เจริญภาวนา ก็พึงรู้อานิสงส์ ว่า จะปฏิบัติธรรมนี้อย่างไร จะเรียนรู้วิธีปฏิบัติจากครูอาจารย์สำนักไหน จึงจะถูกอัธยาศัย และถูกวิธี ให้ได้ผลดี ก็สามารถยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เป็นญาติมิตรที่รัก ที่เคารพนับถือ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ให้ได้ผลสูงที่สุด

    ผู้ไม่มีศรัทธาด้วยปัญญาอันเห็นชอบ ในทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ก็ย่อมไม่สามารถจะยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านผู้อื่น ได้แก่ ญาติมิตรที่รัก ที่เคารพนับถือของตน ให้สำเร็จลงได้ อย่างเช่น ญาติผู้ไปในงานศพ ไม่มีจิตศรัทธาในทานกุศล จะถวายทานพระก็สักแต่ว่าทำๆ ไป ตามประเพณี จะรับศีล ฟังธรรม ก็สักแต่ว่ารับฟังๆ ไป ไม่สนใจที่จะปฏิบัติหรือรักษาศีลจริงๆ มีการกระทำบาป ประพฤติผิดศีลอีก เช่นมีการเลี้ยงสุรา ดื่มสุรา หรือเล่นการพนันกันในงานศพ ฆ่าสัตว์มาประกอบอาหารเลี้ยงกันเป็นต้น จะฟังธรรมก็สักแต่ไปนั่งรับฟัง ฟังไปคุยกันกันไป เหล่านี้เป็นต้น ย่อมเป็นบุญกุศล คือคุณความดีน้อย หรือไม่เกิดบุญกุศลใดๆ แก่ตนเอง และทั้งกลับจะเป็นบาปอกุศลแก่ตนเองอีกด้วย บุญก็ย่อมไม่สำเร็จแก่ทั้งตนเองและแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะแก่ญาติมิตร ที่ตนรัก เคารพนับถือ ผู้วายชนม์นั้นแต่ประการใดเลย

    ผู้ใดมีญาติทำบุญ แต่ไม่ได้อุทิศให้ผู้วายชนม์ไปแล้ว หรือมีญาติทำบุญและอุทิศให้แล้ว แต่ผู้วายชนม์นั้นไปเกิดในภพภูมิต่างๆ แล้วไม่ทราบการบุญกุศลที่ญาติอุทิศให้นั้น จึงมิได้กระทำการอนุโมทนา เช่นได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ไปเกิดเป็นเปรตเหล่าอื่น หรือสัตว์นรกที่อยู่ห่างไกล หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วไม่ทราบว่าญาติได้ทำบุญอุทิศให้ หรือ ไปเกิดเป็นเทพยดาที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์สมบัติ หรือไปเกิดเป็นพรหม อรูปพรหม ที่กว่าจะนึกถึงญาติสักทีหนึ่งก็นานแสนนาน จึงไม่ทราบการบุญกุศลที่ญาติได้ทำแล้วอุทิศให้ หรือว่าทราบ แต่ว่าบุญนั้นเป็นบุญที่หยาบเกินกว่าที่ตนจะรับได้ ก็ไม่ได้อนุโมทนาบุญนั้น จึงไม่ได้บุญนั้น เหมือนญาติผู้กระยาจกของพระราชานำเครื่องเสวย หรือเครื่องนุ่งห่มที่หยาบและแถมมือที่ถือไปจะถวายแก่พระราชา ก็แสนจะสกปรก (เหมือนคนทุศีล ทำทานกุศล ที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาอันเห็นชอบ) แม้พระราชาจะทอดพระเนตรเห็นแล้ว ก็ไม่ทรงรับเอาไปเสวยหรือทรงใช้สอยฉันใด ก็ฉันนั้น 
    จากกรณีนี้ พึงพิจารณาเห็นด้วยปัญญา ว่า

    ผู้ที่ไม่มีศรัทธาในบุญกุศล มีทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล เป็นต้น และไม่ประกอบการบุญกุศลให้ได้เป็นเสบียงเลี้ยงตัวต่อไปในอนาคตภพชาตินี้และในสัมปรายภพ คือในภพภูมิต่อไป และแถมยังทำบาปอกุศลไว้อีกมาก เมื่อตายไป ก็มีทุคติเป็นที่หวัง คือ มีโอกาสมากที่จะไปเกิดเป็นอสุรกาย เปรต สัตว์นรก และสัตว์เดรัจฉาน ดังที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสว่า

    “จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ, ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา.”
    “เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว, ทุคคติเป็นที่หวัง.”

    (ม.มู.๑๒/๙๒/๖๔)

    ก็ต้องคอยให้ญาติมิตร ลูกหลานเขาทำบุญอุทิศให้ ถ้าเขาไม่ทำบุญอุทิศให้ ตนก็อดอยาก ทุกข์ยาก ลำบากไปจนกว่าจะพ้นเวร ซึ่งเป็นเวลานานแสนนาน

    เพราะฉะนั้น ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ จึงควรบำเพ็ญกุศลคุณความดี มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ด้วยตนเอง ด้วยใจศรัทธา ด้วยปัญญาอันเห็นชอบ จะได้เป็นเสบียงเลี้ยงตนต่อไปในอนาคต ในภพชาตินี้ และในสัมปรายภพ ตราบเท่าถึงได้บรรลุมรรคผล นิพพาน ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง และที่เป็นบรมสุข ต่อไป 
     
  2. ไชยยารัตน์

    ไชยยารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +739
    เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวเองดีกว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่ารอใคร
     
  3. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ใช่เลย
    สิ่งเหล่านี้มีจริงๆ เห็นกันจริงๆ แบบจะจะ
    จะรออะไร

    555+
     
  4. (-*-)

    (-*-) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,060
    งงกับเธอจริงๆ คุยกับคนอื่นรู้เรื่องมั้ยนี่
     
  5. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    555+
    เรื่องจริงคุยรู้เรื่อง
    เรื่องไม่จริงไม่รู้เรื่องนะ
     
  6. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    เรื่องไม่จริง ไม่อยากรู้ เสียเวลา
    คุยกับคนจริงใจ คุยได้
    คุยกับคนพูดอย่าง แต่ ทำอีกอย่างไม่ได้
     
  7. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    แต่เปรตมาขอส่วนบุญ อุทิศให้ แล้วเขาได้นะ
     
  8. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    เธอจะ คุยแบบเอาเรื่อง หรือ หาเรื่องละ หรือ แบบ ไม่มีสาระแต่เอาฮาดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...