ก้อนหิน

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 10 กรกฎาคม 2013.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ผมชอบเฝ้าสังเกตความเป็นไปของคนรอบๆข้าง
    บางคนเก่ง ฉลาด ไหวพริบดี แต่ชีวิตไม่เคยประสบความสำเร็จเลย
    บางคนก็งั้นๆ แต่กลับหยิบจับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปได้ มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี
    บางคนเก่ง ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแต่ด้านครอบครัวกลับล้มเหลว
    บางคนก็ทำเป็นสารพัดอย่าง รู้สารพัดเรื่อง แต่ชีวิตกลับไม่เป็นโล้เป็นพาย...

    ผมเฝ้าถามว่าทำไม?...ทำไม? และ ทำไม?...
    พี่ผมและหลายๆคนบอกผมว่า "คนเราต้องหาตัวเองให้เจอ เมื่อค้นพบตัวเองแล้ว ก็จะพบความสำเร็จ"
    ใช่แล้วครับ มันก็จริงทีเดียว ว่าแต่ทำอย่างไรเราถึงจะค้นพบตัวเองได้
    ผมรื้อลิ้นชักก็แล้ว ค้นไปยันซอกมุมตู้ แต่ผมก็หาไม่เจอว่าตัวเองที่ต้องพบเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิต มันอยู่ตรงไหนนะ????

    ระหว่างที่ค้นหาอยู่นั้นผมกลับพบว่า คนที่พูดประโยคเหล่านั้นก็ไม่ได้เข้าใจความหมายของการค้นพบตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือไม่รู้ว่า จะต้องทำอย่างไร??? เพียงแต่การได้พูดออกมานั้นทำให้ผู้พูดดูดี เท่านั้นเอง....

    ถ้าเช่นนั้นแล้ว การค้นพบตัวเองจะต้องทำอย่างไร? และเมื่อค้นพบแล้วจะต้องทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จให้ได้ด้วย มันจะขึ้นกับบุญบารมีแต่ปางก่อนหรือไม่ กรรมเก่า เจ้ากรรมนายเวร หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
    ถ้าคนอย่างผมที่บุญน้อย ด้อยวาสนา ไร้บารมี กรรมเก่ามากมี ชีวีบัดซบ อย่างนี้แล้วจะค้นพบตัวเองได้อย่างไร?
    คนที่แพ้คือคนที่ไม่คิดจะสู้...
    คนที่ไม่คิดก็ไม่สงสัย
    คนเมื่อสงสัยย่อมต้องหาคำตอบ...

    ผมพบคำตอบนี้นานมาแล้ว และทดลองอยู่หลายปีนัก จนพอจะแน่ใจว่า นี่คือวิธีการค้นพบตัวเอง ที่จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ แม้จะไม่สามารถทำให้เรากลายเป็นรัฐบุรุษอันยิ่งใหญ่ที่ทั่วโลกจดจำ แต่มันสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนเฮงซวยได้พอสมควรทีเดียว...

    วิธีการค้นหาตัวเองให้พบ....

    ลงมือทำงานทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ที่เรียกว่าสากกะเบือยันเรือรบ ใครขอให้ช่วยกิจการงานใดๆก็เข้าไปช่วยทำอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ทำกิจการงานนั้นประดุจว่าเป็นธุระของตนเอง ทำอย่างตั้งอกตั้งใจทำ โดยไม่หวังผลตอบแทน

    วันเวลาผ่านไปอย่างต่อเนื่องยาวนาน เราจะพบว่ามีงานบางอย่างที่เราทำแล้วมีคนส่วนมากชอบใจในสิ่งที่เราทำและชื่นชมกับสิ่งที่เราทำลงไป และเมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับกิจการนี้เมื่อไรคนทั้งหลายจะนึกถึงเรา...นั่นแหละครับ ตัวเรา...

    การค้นพบตัวเราจึงไม่ใช่เรา ที่เป็นคนค้นพบ แต่เป็นคนรอบๆข้างเราที่มองเราว่าเป็นในสิ่งใด มันจึงเหมือนกลองที่ดังเพราะคนตี ไม่ใช่ดังเพราะตัวกลองเอง นี่มันเป็นมุมมองที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่เคยมีมาในการค้นพบตัวเอง ด้วยตัวเอง...แต่มันคือการค้นพบตัวเอง ด้วยการมองของคนอื่น...

    การทำกิจการงานทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวัน ผมเรียกมันว่าประสบการณ์ การที่มีประสบการณ์มากๆ มันคือโอกาส และความชำนาญ โอกาสที่ว่านี้เกิดจากคนทั้งหลายมองเห็นว่าเรามีความรู้ความชำนาญด้านนั้นๆ ทำสิ่งนั้นๆได้ดี คิดถึงเราทุกครั้งเมื่อต้องการจะทำธุระสิ่งนั้นๆ มันเป็นไปตามกฎของกรรมจริงๆ เป็นการสร้างเหตุปัจจัยของเราเองอย่างต่อเนื่องยาวนานเพียงพอที่ผลของความสำเร็จจะเกิด...
    ไม่เกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรเลย...
    ขอให้ทำให้จริง ทำให้ต่อเนื่องยาวนาน ตั้งใจจริงที่จะทำ...
    วันนี้ เราจะค้นพบตัวเองได้ทุกคน และประสบความสำเร็จไปพร้อมๆกับการค้นพบตัวเอง...สวัสดี...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2014
  2. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    "ไม่รู้มันเป็นเวร เป็นกรรมอะไรของเรานะ"
    "มันคงเป็นกรรมเก่า ที่ทำเอาไว้"
    "ชาติที่แล้วเราคงทำมาแค่นี้"


    โทษเวรโทษกรรม แต่ชาติก่อน มันก็ดีไปอย่างเหมือนกันนะ เพราะถ้าไม่คิดอย่างนี้แล้ว ก็คงจะฉะมันซึ่งๆหน้าไปเลย ฆ่ากันไปเลย หรือฟ้องร้องกันไป เหมือนอย่างทางยุโรปหรือทางอเมริกา ที่นั่นเขาไม่มีกรรมเก่าแต่ปางก่อนย้อนมาให้ผล เขามีเรื่องกันก็จ้างทนายฟ้องร้องกันเลย ไม่มีเอาอดีตชาติมาอ้าง ไม่มีว่าชาติที่แล้วแกเป็นเมียฉันมาก่อน ชาตินี้เรามาเป็นผัวเมียกันต่อนะ...อย่างนี้ไม่มี...
    ชาติที่แล้วแกติดหนี้ฉัน ชาตินี้ฉันยืมตังค์ไปเลยไม่ต้องคืน จะได้เจ๊ากัน แบบนี้ทางยุโรป ไม่มีแน่ เพราะเขาไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม ไม่เชื่อเรื่องชาติที่แล้ว...

    ดังนั้นจะว่าไปการที่อ้างเอาเวรกรรมเก่าในชาติปางแต่ก่อนมาใช้ปลอบใจกันของคนเอเซียก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกันนะ...

    ผมก็เคยพิสูจน์เรื่องกรรม เรื่องเจ้ากรรมนายเวร มาพอสมควร จนเชื่อได้ว่า กรรมเก่าก็ดี เจ้ากรรมนายเวรก็ดี สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง...
    แต่...
    ก็อย่าไปยกเหมาเอาว่าอะไรก็ตามที่ไม่ดีๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรานี้ เป็นเพราะเจ้ากรรมนายเวรไปเสียหมด บ่อยๆครั้งที่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย...โดนกล่าวหาซะงั้น แถมยังแก้ตัวไม่ได้อีกตะหาก อย่างงี้มันก็ไม่ถูกเหมือนกันนะ...

    มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เราสามารถทำได้ โดยไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับเจ้ากรรมนายเวร..
    ยกตัวอย่างเช่น..
    เวลานี้ ลองค้นคำว่า"วิธีทำน้ำเต้าหู้" แล้ววันเสาร์นี้ไปหาถั่วเหลืองมาลองทำน้ำเต้าหู้ดูสิครับ ผมรับรองว่าคุณจะได้กินน้ำเต้าหู้ฝีมือตัวเอง ถ้าคุณลงมือทำ ซึ่งเจ้ากรรมนายเวรเขาคงไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับน้ำเต้าหู้หรอกนะ...สิ่งที่ได้ตามมาคือประสบการณ์ ความรู้ ทักษะ และทำให้เราต่อยอดไปทำเต้าหู้ก็ได้ หรือจะผสมกับไข่ไปนึ่งทำเป็นเต้าหู้ไข่ก็ได้ อยากจะทำเป็นเต้าฮวยก็ยังได้ มันขึ้นอยู่กับการที่เราเลือกที่จะค้นคว้าหาความรู้ แล้วลุกขึ้นมาลงมือทำมันให้สำเร็จ มันจะเล็กน้อย มันก็สำเร็จ เมื่อสำเร็จแล้วก็จงภาคภูมิใจในสิ่งที่ได้ทำลงไป...

    อาทิตย์ถัดไปเราอาจจะเปลี่ยนไปหัดตอนกิ่งต้นไม้ หรือชำกิ่งพุดซ้อนในขวดน้ำ ฯลฯ เรื่องเหล่านี้มีประโยชน์ เป็นความรู้ ลงมือทำแล้วก็ได้ประสบการณ์ ฝึกทักษะ ได้พบเห็นสิ่งแปลกๆใหม่ๆ ไม่เกี่ยวกับชาติที่แล้วว่าเคยตอนกิ่งมาก่อนหรือเปล่า หรือเจ้ากรรมนายเวรที่เกี่ยวพันกันมานับภพนับชาติไม่สิ้นจะมาตามรังควาน ...

    อยากจะทำอะไร ค้นคว้า หาข้อมูล คิด แล้วลงมือทำเถอะครับ ไม่ต้องรอบุญ วาสนา บารมี ไม่ต้องกลัวว่ากรรมเก่าจะตามมาสนอง เจ้ากรรมนายเวรจะไม่อนุญาตหรือจะต้องเบิกบุญก่อน 3 หน่วยถึงจะลงมือทำได้ และไม่ต้องวางแผนหรอกครับ เพราะแผนมีไว้ให้ทำ ไม่ได้มีไว้ให้วาง มัวแต่วางแผนอยู่นั่นแหละ เลยไม่ได้ลงมือทำซะที...ทำเลยครับ ไม่ต้องวางแล้วแผน...
     
  3. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    บันทึกโลกสวย
    กว่าจะเอ็นฯติดก็แสนจะยากลำบากเหน็ดเหนื่อย แต่พอเข้าไปเรียนแล้วกลับยิ่งยากกว่าหลายเท่า วิชาที่เรียนก็สอนพื้นฐาน เรื่องมันนานมาสัก 80 ปีที่แล้ว เอามาให้เรียนกัน ผมถามอาจารย์ว่า ที่สอนๆมานี้จบไปทำงานจะได้เอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง....

    คำตอบคือ ทุกวิชาความรู้ที่สอนสามารถนำไปใช้ได้ทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับพวกคุณเอง ที่เอาไปใช้ไม่ได้ก็เพราะโง่เอง ไม่รู้จักวิธีเอาไปใช้...
    ที่ถามไปอย่างนั้นเป็นเพราะว่าเนื้อหาวิชาที่สอนไม่มีประโยชน์อะไรในการเอาไปใช้ทำงานเลย ยิ่งข้อสอบแล้วยิ่งไปกันใหญ่ คือจะถามในสิ่งที่คาดว่านักศึกษาไม่รู้และจะทำไม่ได้เพราะเป็นข้อผิดตกยกเว้นเล็กๆน้อยๆ ซึ่งในชีวิตจริงสิ่งเหล่านี้แทบไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย แต่สิ่งที่ต้องเอาไปใช้ในการทำงานจริง กลับไม่มีสอน สุดท้ายแล้วคือ ต้องไปเรียนรู้กันอีกทีเมื่อเรียนจบไปแล้วนั่นเอง...


    การเรียนจึงเรียนเพื่อให้สอบผ่านตามความต้องการของครู ไม่ใช่ตามสิ่งที่ควรจะรู้ควรจะเป็น สำหรับคนที่เรียนเก่งนั้น ไม่มีปัญหา คนพวกนี้ถึงไม่มานั่งเรียนเลย มันก็สอบได้ที่1อยู่ดี เพราะมันเก่ง แต่กับพวกที่เรียนธรรมดาๆอย่างผมนี่มันลำบากมาก พยายามอ่านหลายรอบ ทำแบบฝึกหัดมากมาย มีชีทเป็นตั้งๆ สุดท้ายแล้วคะแนนสอบออกมาก็ไม่เห็นฝุ่นของพวกที่มันเก่งๆกันหรอก...

    ธรรมชาติก็ยังให้ความเป็นธรรมเสมอ เพราะพวกที่มันเก่งจริงๆ มันสอบได้ที่1ของประเทศ พวกนี้มีอยู่ประมาณ 1 เปอร์เซนต์ของจำนวนนักศึกษาทั้งคณะ เท่านั้นเอง นั่นทำให้ยังมีโอกาสให้คนธรรมดาๆอย่างเรา พอที่จะมีที่ยืนกับเขาบ้าง ...

    ในเวลานั้น สิ่งที่ผมคิดไว้คือ ชีวิตเราเริ่มต้นเมื่อเรียนจบ... แม้ไม่ได้เกียรตินิยม แต่ขอให้เรียนให้จบ มันก็จบเหมือนกันแหละนะ...และความสำเร็จในชีวิตคน มันไม่ได้วัดกันที่เกรดที่เรียนจบออกมา ...
    ใช่แล้ว มันเท่ห์มากเลยที่คิดได้อย่างงี้...แต่ ความสำเร็จในชีวิตของคนมันเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ...

    ผมเคยอ่านประวัติเจ้าสัว และคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตหลายๆคน ที่มีความมุ่งมั่น มุมานะ พยายาม แน่นอนว่า ผมอ่านสามก๊กด้วย ...
    ผมอ่านแล้วก็มองในมุมที่แตกต่างกันออกไปจากที่หลายๆคนอ่าน ผมชื่นชมความสำเร็จของหลายๆคน แต่ผมก็เห็นเหตุปัจจัยแวดล้อม หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ด้วย นี้จึงเป็นที่มาของคำว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” หลายคนบอกผมว่า “เก่งต้องเฮงด้วย” แต่ผมซวยตลอด จะทำยังไงดี...
     
  4. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ดังนั้นก่อนเรียนจบผมจึงต้องเตรียมตัวสำหรับการเริ่มต้นชีวิตการทำงาน เพราะผมมั่นใจว่าเมื่อเรียนจบแล้วต้องทำงานแน่นอน เนื่องจากยากจนมาก จะมีปัญญาไปเรียนต่อที่ไหนได้อีกเล่า ก็ในเมื่อต้องทำงาน และต้องไปเป็นลูกจ้างเขาอย่างแน่นอนแล้ว จะเตรียมตัวอย่างไร...

    1.เตรียมตัวสอบใบขับขี่ เพราะทำงานไปสักวันต้องโดนใช้ให้ขับรถแน่ การมีใบขับขี่จึงจำเป็น
    2.การทำงานต้องอยู่ร่วมกับคน ไม่ว่าจะผู้ร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง ต่างล้วนต้องทำงานอยู่กับคน ดังนั้นจึงต้องเรียนรู้และศึกษาเรื่องคน...ผมจึงลงเรียนวิชา จิตวิทยาและการจูงใจคน
    3.นอกจากคนทั้งหลายที่ต้องเรียนรู้อยู่ร่วมกันแล้ว อีกคนหนึ่งที่สำคัญคือตัวเราเอง ที่จะต้องปรับปรุงบุคลิกภาพอย่างไร ให้เหมาะสมและเป็นที่พึงพอใจต่อกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นผมจึงหาหนังสือเกี่ยวกับบุคลิกภาพและความเป็นผู้นำมาอ่านประดับสมองเอาไว้
    4.เวลา การบริหารจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน เพราะเวลามีค่ามาก...มากจริงๆ ไม่เชื่อไปถามคนใกล้ตายสิ ว่ามีค่ามากขนาดไหน ดังนั้นผมจึงหาหนังสือเกี่ยวกับการบริหารจัดการเวลามาอ่านไว้
    5.ผมเลิกสนใจกับความสำเร็จของผู้คนทั้งหลาย เพราะคนเหล่านั้นเขาเก่ง แน่นอน ไม่ธรรมดาด้วย แต่สำหรับคนธรรมดาๆอย่างผม คงทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะศึกษาคนที่ทำกิจการแล้วเจ๊ง หายนะ ย่อยยับ ฯลฯ ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไม ? ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้หาวิธีระมัดระวังป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นกับผม

    เรื่องนี้ศึกษาไม่ยากครับ เพราะคนทั่วไปมีนิสัยชอบนินทาชาวบ้าน ชมชอบกับการได้เห็นความฉิบหายของคนอื่นแล้วเอามาเล่าต่อๆกันอย่างสนุกปาก เมามัน ซึ่งผมโดนอยู่เป็นประจำเหมือนกัน...
    ผมมีความเห็นว่า ถ้าโอ่งเรารั่ว ใส่น้ำไปมากเท่าไรก็ไม่เต็ม แต่ถ้าเราอุดรูรั่วหมดแล้ว ใส่ช้อนก็เหลือช้อน ใส่น้ำหนึ่งถ้วยก็เหลือหนึ่งถ้วย เราอาจไม่มีความสามารถหาน้ำมาใส่ได้ทีละถังก็ตาม แต่หากโอ่งเราไม่รั่ว ใส่ไปทีละเล็กทีละน้อย สักวันมันจะต้องเต็ม ผมจึงได้ศึกษาว่า รูรั่วเหล่านี้ มีอะไรบ้าง ที่ทำให้คนที่เคยประสบความสำเร็จแล้ว กลับต้องหายนะ...
     
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เหตุแห่งหายนะ...
    1.ขี้เหล้าเมายา ไม่ต้องอธิบายให้มากความ ทุกคนรู้ดี
    2.เล่นการพนัน อันนี้ก็ชัดเจน
    3.เที่ยวกลางคืน เรื่องจริงๆคือ ติดหญิงมากกว่า ถ้าไม่ติดหญิงจะไม่เที่ยวกลางคืน แล้วพอเที่ยวกลางคืนมันก็ต้องมีเหล้าพ่วงด้วย มีเท่าไรก็หมดครับ
    4.ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่ยั้งคิด ทำเพียงเพื่ออวดชาวบ้าน เพื่อหน้าตา จริงๆพวกนี้มันเป็นพวกที่มีปมด้อยน่ะครับ

    วิธีการแก้ไขเรื่องเหล่านี้ ไม่ยากครับ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันก็หมดเรื่องครับ เพราะถ้าผมไม่กินเหล้า ผมก็เชื่อได้ว่าผมจะไม่ติดเหล้า
    ถ้าผมไม่ไปเที่ยวกลางคืน ผมก็ไม่ติดหญิง และก็ไม่มีความเสี่ยงที่จะไปเหยียบตีนใครเข้า
    แล้วถูกตั้งคำถามอย่างปัญญาอ่อนว่า “มึงรู้ไหมว่าพ่อกูเป็นใคร” โถ...ไอ้บ้า..พ่อมันเองแท้ๆ มันยังไม่รู้ เที่ยวมาถามคนอื่นอีก ว่าพ่อมันเป็นใคร คุณว่าปัญญาอ่อนไหมล่ะ ซึ่งถ้าไม่ไปเที่ยวกลางคืนซะ เราก็จะไม่เจอคนพวกนี้ และไม่มีสิทธิโดนยิง เพราะคนพวกนี้ยิงใครเข้าไปแล้วมันจำอะไรไม่ได้หรอก มันโทษว่าเป็นไอ้ปื๊ดนั่นแหละ...ไม่ไปเที่ยวกลางคืนซะ จบเรื่องครับ

    การพนันเล่นแล้วมันติด เลิกยาก ผมเองไม่ใช่คนเก่งอะไรครับ คนธรรมดาๆ ดังนั้นถ้าคนที่เขาเก่งกว่าผม เล่นการพนันแล้วยังติด เลิกไม่ได้ ผมเองก็คงไม่รอดแน่ๆ...
    ทางที่ดีคือ ไม่ต้องไปหัดเล่นมัน เมื่อเล่นไม่เป็น มันก็ไม่ได้เล่น เมื่อไม่ได้เล่น มันก็ไม่ติด ผมว่าวิธีนี้ง่ายกว่านะครับ...
    เรื่องการใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ใช้ในสิ่งที่ไม่จำเป็น ผมถามเรื่องนี้กับใครๆก็ได้คำตอบไม่ตรงกัน มันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ของสิ่งเดียวกัน คนนึงบอกว่าไม่จำเป็น อีกคนนึงบอกว่าจำเป็น คนๆเดียวกัน วันนี้บอกไม่จำเป็น เดือนหน้ามาบอกว่ามันจำเป็นซะแล้ว...
    มันทำให้ผมต้องหานิยาม หรือคำจำกัดความของคำว่าจำเป็น...

    สิ่งที่จำเป็น คือ สิ่งที่ขาดไปแล้ว ชีวิตเราไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ หรือ ธุรกิจของเราไม่สามารถดำเนินต่อได้ สิ่งนั้นเรียกว่า “จำเป็น” ถ้าขาดสิ่งนั้นไปแล้ว เรายังมีชีวิตอยู่ได้ หรือกิจการก็ยังดำเนินต่อไปได้ สิ่งนั้นยังไม่เรียกว่า “จำเป็น” แต่มันเรียกว่า “ความต้องการ”

    นอกจากนี้มันยังมีความแตกต่างกันระหว่างชีวิตในวัยเรียนกับชีวิตจริง ในการเรียนนั้น วัดกันที่จำนวนคำตอบที่ถูกต้อง นั่นคือผลการทดสอบ...
    แต่ในชีวิตจริง วัดกันที่ความผิดพลาดล้มเหลว ว่าเราได้อะไรจากความผิดพลาดล้มเหลวที่เกิดขึ้น เพราะผลจากการแก้ไขข้อผิดพลาดล้มเหลวได้คือความสำเร็จ ...

    อายุ22ปี ผมเริ่มเขียนแผนชีวิตของผมขึ้นมาว่า ปีไหนผมจะทำอะไรบ้าง ปีไหนจะซื้อบ้าน ปีไหนจะซื้อรถ ปีไหนจะมีกิจการเป็นของตนเอง ปีไหนจะแต่งงาน ปีไหนจะมีลูกคนแรก ปีไหนจะมีลูกคนสุดท้าย ปีไหนจะออกเดินทางไปทำกิจการต่างประเทศ และจนอายุ 60 ปีที่ถือเป็นการเกษียณแล้วผมจะทำอะไร
    และแม้กระทั่งว่าในท้ายที่สุดของชีวิตแล้วผมเหลือตัวคนเดียว ผมจะทำอย่างไรที่จะมีรายได้ ใช่แล้ว ทำอย่างไรจึงจะมีรายได้ แม้อยู่เฉยๆ หรือจะไม่เฉยก็ตาม แต่ประสาคนสูงวัย จะมีรายได้อย่างเพียงพอ ไม่สิ เหลือกินเหลือใช้สามารถแบ่งปันช่วยเหลือสังคมได้ด้วย เป้าหมายทุกอย่างถูกกำหนดขึ้นไว้ ไม่ใช่เพื่อพุ่งชน แต่เพื่อหาวิธีการทำให้เป้าหมายนั้นบรรลุวัตถุประสงค์ ...

    หมากรุก เดินยังต้องคิด หมากชีวิต ไม่คิด จะเดินได้อย่างไร...

    แผนการดำเนินชีวิตผม ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของคนรุ่นก่อน มากกว่าจะเรียนรู้ถึงความสำเร็จของคนรุ่นก่อน ทั้งนี้เพราะผมพบว่า ความสำเร็จ ไม่สามารถลอกเลียนแบบวิธีการกันได้ ด้วยสถานะการณ์ที่แตกต่างกัน ตัวประกอบของเรื่องที่แตกต่างกัน จังหวะและโอกาสที่ไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน สถานที่เกิดเหตุก็แตกต่างกัน มีปัจจัยที่แตกต่างกันมากเกินไป จึงไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตของคนธรรมดาอย่างผมได้ แต่ความผิดพลาดของคนรุ่นก่อนๆ มันยังทำความหายนะให้พวกเราได้เสมอ ไม่จำกัดกาลและสมัย

    เพราะว่าสถานะการณ์สร้างวีรบุรุษ....สำหรับผมคนธรรมดาที่อยากเป็นวีรบุรุษบ้าง จึงต้องสร้างสถานะการณ์ขึ้นครับ...
    แต่ผมมาสะกิดใจตรงที่ผู้ร้ายคนหนึ่งในหนังของเฉินหลงกล่าวต่อไว้ว่า ...วีรบุรุษได้ชื่อเมื่อตาย...
    อือ...น่าคิดเหมือนกัน งั้น..ผมขอเป็นคนธรรมดาๆคนนึงก็พอครับ...

    แต่อีกใจนึงก็คิดว่า คนธรรมดาๆคนนึง มันอยากลองเป็นวีรบุรุษกับเขาบ้าง สักครั้งนึงละกัน แล้วจะรีบถอยให้ทัน เอาล่ะ...
    เราก็ต้องลองสร้างสถานะการณ์ดู...สร้างยังไง...แบบที่คนธรรมดาๆคนนึงจะสามารถสร้างได้ ไว้มาคอยดูกัน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2014
  6. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ขี้ข้าที่รัก....

    ถ้าเราเอาก้อนหินก้อนหนึ่งมาวางไว้ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ...
    ลูกจ้างจะมองเห็นแง่มุมของลูกจ้าง และนายจ้างจะมองเห็นแง่มุมของนายจ้างเท่านั้น...
    ต่างฝ่ายต่างจะพูดในมุมมองของตน และต้องการในแบบของตน...

    ผมเริ่มงานจากการเป็นลูกจ้าง ซึ่งตามแผนแล้วผมจะเป็นลูกจ้างอยู่เพียง 5 ปีหลังจากนั้นผมจะต้องเป็นเจ้าของกิจการ เนื่องจากพระเจ้าไม่ได้สร้างให้ผมเกิดมาเป็นขี้ข้าตลอดชีวิต...
    ใช่แล้วครับ มันช่างเป็นคำกล่าวที่ทรนงเหลือเกิน...

    เดินไปส่องกระจกมองหน้าตัวเองแล้วอยากจะถุย...ถุยสัก 10 ที...โธ่...ไอ้ขี้ข้าเอ๊ย...

    ผมตั้งใจจะใช้เวลา 5 ปีนี้เรียนรู้การเป็นเจ้าของกิจการ ดังนั้น ผมจะต้องเข้าไปมองในแง่มุมของเจ้าของกิจการว่า เขาเห็นอะไร เขารู้อะไร เขาต้องการอะไร และอะไรเป็นสิ่งที่เขาเชื่อ....
    แน่นอนว่า ผมจะต้องมองในมุมมองของลูกจ้างด้วยเช่นกัน...
    ซึ่งเมื่อผมหมุนหินก้อนนี้ไปรอบๆ ผมจะสามารถเห็นมุมมองของทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างได้ ผมคิดอย่างนั้น และเมื่อเข้าใจดีแล้ว นั่นคือ หน้าที่ของ ที่ปรึกษาฯ นั่นเอง....

    นายจ้างหรือเจ้าของกิจการ ต้องการให้ ลูกจ้าง ทำงานอย่างเต็มที่ ด้วยความซื่อสัตย์ จงรักภักดี รักษาผลประโยชน์ทุกอย่างของบริษัทฯ ต้องการลูกจ้างที่มีความรับผิดชอบสูง มีความกล้าหาญที่จะเข้าไปต่อสู้แก้ไขปัญหาที่ยากๆให้ลุล่วงไปได้ โดยไม่ต้องถึงมือเจ้านาย เมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งปวงแล้วผลงานนั้นให้ตกเป็นของบริษัทฯและของนายจ้างทั้งหมด ...

    นายจ้างไม่ต้องการให้ลูกจ้างทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาครับ จะทำอะไรก็ควรจะปรึกษาหารือและได้รับการอนุมัติจากนายจ้างเสียก่อน ไว้หน้ากันบ้าง แต่ก็ไม่ต้องการให้ลูกจ้างเอาแต่เรื่องและปัญหามาให้อยู่ตลอด มีอะไรไม่เคยตัดสินใจเองเลย อะไรนิด อะไรหน่อยก็วิ่งมาถาม มีแต่ปัญหาเยอะแยะไปหมด จนอยากจะทุ่มด้วยโพเดี่ยม แบบนี้ก็ไม่ชอบอีก ...

    อะไรที่นายจ้างชอบ...คือให้ลูกจ้างเข้าไปปรึกษาปัญหาพร้อมนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา นายจ้างจะเพียงแค่ อนุมัติ ไม่อนุมัติ หรืออนุมัติและคอมเม้นท์เพิ่มเติม ซึ่งแบบหลังนี้จะมีเสมอ เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองยังเก่ง สมกับที่เป็นหัวหน้า หรือนายจ้าง...
    ดังนั้นขี้ข้าอย่างผม จึงมโนฯเอาว่า ที่หน้าประตูห้องของเจ้านาย มีข้อความเขียนไว้ว่า

    “อย่าเข้ามาพร้อมปัญหา จงเข้ามาพร้อมวิธีแก้ปัญหา”

    แน่นอนว่าสิ่งที่นายจ้างต้องการจากลูกจ้างนั้น มันไม่มีข้อไหนเลยที่ลูกจ้างอยากทำครับ ก็เพราะเป็นลูกจ้างนี่นา ไม่ใช่กิจการของตัวเองซะหน่อย ทำมากมายไปเงินเดือนก็ได้แค่เท่านี้เอง คนที่รวยเอา รวยเอา มันก็นายจ้าง ทำงานเท่าที่พอกับเงินเดือนก็พอแล้ว ที่เหลือก็ประจบเอาหน่อย ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับนาย...
    เพราะค่าของคน มันไม่ได้อยู่ทีผลของงาน แต่มันอยู่ที่เป็นคนของใครมากกว่า...
    ทำไปมากมายก็เท่านั้นแหละครับ สิ้นเดือนได้เงินเท่าเดิม เกิดทำอะไรมากไปโดนหาว่าเกินหน้าเกินตา ผิดพลาดขึ้นมาโดนด่าอีก สู้อยู่เฉยๆดีกว่า สั่งอะไรมาก็ทำ ทำไม่ได้ก็โยนกลับไปให้นายหาคนอื่นมาทำ อะไรไม่สั่งก็อย่าไปทำมันให้เหนื่อยตัวเปล่าๆ ล่วงเวลาก็ต้องมี สวัสดิการก็ควรจะได้ สิทธิในวันหยุดเราก็ควรใช้ให้ครบ เพราะว่ามันเป็นสิทธิของเราตามกฎหมาย...

    ทำงานเสร็จแล้วก็ควรจะชมกันบ้าง พาไปเลี้ยงฉลองกันบ้าง ตบรางวัลบ้าง ไม่ใช่แกล้งทำเป็นมึน ...
    อาสาเจ้าจนตัวตาย อาสานายแต่พอแรง
    โบราณเขาสอนมาอย่างนี้ครับ ดังนั้น แค่นี้พอแล้วครับ เหนื่อยแล้ว สำหรับ ขี้ข้าอย่างเรา...
    นี่เป็นสิ่งที่ลูกจ้างคิด...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2014
  7. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ผมเป็นคนธรรมดา ไม่ถึงกับบ้า แต่ว่าเพี้ยนครับ คือผมชอบทำอะไรตรงกันข้ามกับชาวบ้านเขาทำกัน เวลาเป็นลูกจ้างผมก็นึกว่าผมเป็นนายจ้าง ผมจะทำงานอย่างเต็มที่ รักษาผลประโยชน์ให้กับบริษัทฯอย่างเต็มที่ ไม่มีเบียดบังผลประโยชน์ของบริษัทฯเข้าตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อให้บริษัทฯเจริญก้าวหน้า ประดุจดังกิจการที่เตี่ยมอบไว้ให้ก็ไม่ปาน...

    เพราะผมคิดว่า นี่คือโอกาสที่ดี ที่จะให้ผมทดลองเป็นเจ้าของกิจการ เป็นที่ฝึกงานของผมในระยะเวลา 5 ปี เพื่อเตรียมพร้อมจะไปเป็นเจ้าของกิจการ....

    สุดยอดของศาสตร์คือเงิน สุดยอดของศิลป์คือคน...บุรุษผู้หนึ่งได้กล่าวไว้...
    การบริหารจัดการเงินเป็นเรื่องของศาสตร์
    การบริหารจัดการคนเป็นเรื่องศิลปะ...ว่าแต่ จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้ หยั่งถึง...

    ทำยังไงเราจึงจะรู้ใจคนทั้งหลายนะ...
    เป็นไปได้อย่างนึงคือการได้เจโตปริยญาณ เราก็จะสามารถรู้วาระจิตของผู้อื่นได้ว่าเขาคิดอย่างไร ซึ่งเบื้องต้นต้อง รักษาศีล 5 มีกรรมบท 10 ทรงพรหมวิหาร 4 บำเพ็ญบารมี10 ได้ทิพยจักขุญาณ มีการทรงฌาณเป็นปกติ....ครับ...
    ทำได้อย่างนี้ ...
    ไปบวชเถอะครับ...

    ประสาปุถุชนคนธรรมดา ที่บุญก็ทำ กรรมก็สร้าง วัดก็เข้า เหล้าก็กิน...
    อยากจะรู้วาระจิตผู้อื่นบ้าง จะทำยังไง?

    “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา”

    ง่ายกว่านะครับ อะไรที่เราชอบ ที่เราอยากได้รับ อยากมีคนทำให้ คนอื่นเขาก็ต้องการเหมือนกันครับ เราก็ทำสิ่งนั้นๆให้คนอื่น รับรองว่าทุกคนชอบครับ ในทางกลับกันอะไรที่เราไม่ชอบ ไม่อยากให้ใครทำกับเรา เราก็อย่าไปทำกับเขา แบบนี้เท่านี้เอง ง่ายไหมครับ...

    ไม่ง่ายหรอกครับ เพราะในชีวิตจริง อะไรที่เราชอบ เรามักจะเรียกร้องเอาจากคนรอบข้าง ส่วนอะไรที่เราไม่ชอบ นั่นคือสิ่งที่เรามักประพฤติสิ่งนั้นกับคนรอบข้าง...

    เวลางานมันกำลังยุ่งๆ เราอยากให้มีใครมาช่วยเราทำบ้าง....เฮ้ย...มาช่วยกันหน่อยสิวะ...แหม...น้ำใจน่ะมีไม๊ รู้จักไม๊น้ำใจน่ะ เรื่องแบบนี้ต้องให้บอกด้วยหรือไง...โห...จำไว้เลยนะ...เอ้า...ว่าขนาดนี้แล้วยังไม่ช่วยอีก...

    ถ้าเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วจะเห็นว่า งานยุ่งๆก็เพราะเราวางแผนและเตรียมการมาไม่ดีเอง คราวหน้าก็จะได้จำไว้ คนอื่นเขาไม่ช่วยก็เพราะเขามีเหตุผลของเขา เขาอาจไม่รู้อย่างที่เรารู้เขาถึงช่วยไม่ได้ เพราะงั้นแล้วจะไปด่าเขาทำไม ใครๆก็ไม่อยากโดนด่าโดนกระแนะกระแหนเหน็บแนมทั้งนั้นแหละนะ...

    กลับกันว่าถ้าเราเห็นเพื่อนงานยุ่งมากเลย เราอาสาเข้าไปช่วยเป็นธุระแบ่งงานมาทำ เหมือนกับเป็นธุระของตัวเอง มันจะว่าบ้างบ่นบ้างก็เข้าใจนะ คนมันเหนื่อย...

    นี่แหละครับ เอาใจเขา มาใส่ใจเรา มันไม่ง่ายนักหรอกครับ...
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    กับคนอื่นๆรอบๆข้างที่ทำงาน ผมจะพยายามทำความเข้าใจว่าเขาเหล่านั้นต้องการอะไร แล้วผมก็ทำในสิ่งที่เขาต้องการโดยไม่ต้องเอ่ยปาก...

    แต่กับตัวผมเอง ผมจะทำแต่สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของผม ก็คนมันเพี้ยนนี่ครับ...
    ผมมันก็คนธรรมดานะครับ ผมก็ต้องขี้เกียจบ้าง อยากนอนบ้าง พอผมอยากนอนผมก็จะลุกมาอ่านหนังสือ พอผมรู้สึกขี้เกียจผมก็จะแกล้งทำเป็นขยันทำโน่นทำนี่ เห็นส้วมสกปรกขี้เกียจล้างเอาไว้ก่อนนะ ผมก็จะลงมือล้างเลยเดี๋ยวนั้น ผมจะทำทุกอย่างตรงข้ามกับความต้องการของตัวผมเอง ผมเลยดูเหมือนคนเพี้ยนๆครับ แต่คนอื่นกลับหาว่าผมเป็นคนดี ขยัน ฯลฯ ใช่สิ พวกมันเลยสบาย หลอกใช้เราอยู่ร่ำไป....
    คิดบวกนะ แต่ไม่ได้หลอกตัวเอง หรือดัดจริตโลกสวย ก็พวกมันทำแบบนั้นจริงๆนี่นา แล้วจะให้คิดยังไงล่ะ หลอกตัวเองเหรอ...

    ผมเป็นคนธรรมดาๆคนนึง แน่นอนว่าผมก็เป็นคนขี้ลืม ขนาดโทรศัพท์ไปคุยด้วยจะถามเรื่องราวสัก3เรื่องพอคุยเรื่องแรกไปได้ผมก็ลืมที่เหลือ แล้วไปคุยบ้าบอคอแตกไร้สาระจนวางโทรศัพท์ไปแล้วค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าอีก 2 เรื่องลืมถามแล้วก็ต้องโทรกลับไปหามันใหม่ โดนมันว่ามาอีกว่า ทำไมไม่ถามทีแรกให้มันจบวะ เสียเวลาเสียค่าโทรศัพท์...ก็คนมันขี้ลืมอ่ะนิ...

    ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้เป็นคนขี้ลืมขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่เรื่องดีๆมีสาระนี่ผมจำไม่ค่อยได้ครับ แต่ถ้าเรื่องไร้สาระเนี่ย ขนาดได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก จนโตผมยังจำได้แม่นเลยครับ พวกเรื่องชาวบ้านเขา เรื่องตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก แบบนี้ผมจำได้แม่นมากเลยครับ แต่เรื่องเรียน เรื่องงานเรื่องการนี่ผมลืมประจำ ไม่รู้เป็นยังไง...
    ผมว่ามีคนแบบผมเยอะเหมือนกันนะครับ...

    รุ่นพี่ รุ่นใหญ่แล้วนะ เวลาเข้าประชุมกับเจ้าของโครงการ แกรู้ทุกเรื่องจริงๆ ดารานักร้อง สถานที่ท่องเที่ยว เครื่องดื่ม สารพัด แกรู้หมดทุกอย่าง คุยได้ทุกเรื่อง แต่พอถามเรื่องงาน เผือกตอบไม่ได้...
    โดนเจ้าของโครงการเขาชมมาว่า

    “คุณนี่รู้ทุกเรื่องเลยนะ ยกเว้นเรื่องงานในหน้าที่”

    นี่ถ้าเป็นผมโดนดอกนี้เข้าไปนะครับ ผมจะดำดินแบบขอม หนีหายไปโผล่อีกทวีปนึงเลย
    แต่ว่าผมไม่รู้วิชาดำดิน ผมดำน้ำกับโดดร่มตอนเรียน ทำเป็นเท่านั้นเอง...
    ทางที่ดีกว่านั้นและดูจะง่ายกว่าคือ ผมพยายามจดบันทึกเอาไว้ดีกว่า จะตาราง หรือจะเช็คลีส ก็ยังได้
     
  9. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ตอนเช้าไปถึงที่ทำงานผมจะลีสรายการว่าวันนี้มีงานอะไรต้องทำบ้าง
    อันไหนสำคัญเร่งด่วนก็ใส่ A
    อันไหนสำคัญแต่ไม่เร่งด่วนผมจะใส่ B
    อันไหนไม่สำคัญ ไม่เร่งด่วน ไว้เวลาเหลือๆค่อยทำก็ได้ ผมจะใส่ C

    เรื่องไหนที่ต้องโทรติดต่อผมจะทำตารางไว้เลยว่า
    วันที่ เรื่อง ชื่อผู้ติดต่อ เบอร์โทร ปัญหา/คำถาม และช่องสุดท้ายคือคำตอบหรือผลที่ได้รับ

    ใช่ครับ มันดูน่าเบื่อ หน้าโง่ด้วยก็ได้นะ เบอร์โทรก็มีในโทรศัพท์แล้ว เปิดนามบัตรดูก็ได้ จะไปเขียนมันอีกทำไม แต่มานึกดูอีกทีก็ดีเหมือนกัน มันเหมาะกับคนธรรมดา ไม่เก่ง ไม่ฉลาด(ในเรื่องที่ควรฉลาด แต่เรื่องโง่ๆล่ะฉลาดนัก...ปล.เคยมีคนชมมา)
    ความจำ(เรื่องมีสาระ)ไม่ดี
    ขี้ลืม(ในเรื่องที่ควรจำ)
    หลังจากนั้นมาคนที่รับโทรศัพท์จากผมจะเหนื่อยครับ โดนยิงคำถามเป็นชุด...
    แต่เจ้านายชอบครับ ได้คำตอบครบเท่าที่อยากรู้ภายในครั้งเดียว...
    แถมตอนผมไม่อยู่ เจ้านายลืมไปแล้วว่าเรื่องที่สั่งไว้สรุปนัดกันไว้ว่ายังไงบ้าง จะโทรไปขอเลื่อน แกก็มาเปิดบันทึกที่เป็นตาราง แล้วดูจากช่องสุดท้าย ได้คำตอบแล้วแกก็มาดูชื่อกับเบอร์โทรแล้วโทรไปขอเลื่อนเขาเอง...
    ไม่ได้คำชมอะไร เพียงแต่บอกว่า เออ...เข้าท่าดีว่ะ...

    ผมยืมตัวเลขาเจ้านายมาใช้งานผมก็สอนให้ทำแบบเดียวกันนี้ แต่ผมบอกว่า ลิสงานที่ต้องทำวันนี้มา แล้วเอามาช่วยกันดู ถ้าทำเสร็จตามนั้นได้แล้ว เวลาที่เหลือจะเอาไปทำอะไรตามสบาย จะถักนิทติ้ง จะเล่นเกม หรือจะกลับบ้านเลยก็ได้ ผมอนุญาตเอง...

    เท่านั้นแหละครับ เลขาเจ้านาย ซึ่งกลายมาเป็นเลขาผมแล้ว ลุยเต็มที่ ผ่านไปได้สัก 2 อาทิตย์ ได้ยินเสียงลอดลำคอออกมาว่า...
    เหนื่อยฉิบหายเลยพี่...ทำแม่งจน 5 โมงเย็นยังไม่เสร็จซ๊ากที นั่งกับโต๊ะ เหนื่อยยังกะไปแบกอิฐ กลับถึงบ้านยังไม่ทันอาบน้ำ หลับคาเก้าอี้...

    ภายหลังเลขาคนนี้ลาออกไปสมัครงานบริษัทฯพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้เป็นผช.ผจก.และได้รับการโปรโมทตำแหน่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ทำงานได้เป็นที่พอใจของทั้งเจ้านายและลูกน้อง ได้สร้างผลงานที่ประทับใจให้กับกิจการนั้นๆจนเป็นที่ภาคภูมิใจของคนในครอบครัวและตัวเธอ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2014
  10. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ท่านอาจารย์คุณป๋า รวมเล่มเลยคะ....
     
  11. ิิblue-lemon

    ิิblue-lemon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2013
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +27
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลมีประโยชน์มากเลยค่ะ
     
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ถ้าเราถามคนธรรมดาทั่วไป...
    ผมเชื่อว่าทุกคนอยากเป็นคนเก่ง ฉลาด มีความสามารถ และต้องการประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น ... หนังสือที่เกี่ยวกับการทำให้คนเก่งและประสบความสำเร็จ ประเภทรู้เขารู้เรา รบ 100 ครั้ง ชนะ 120 ครั้ง ก็คงหาอ่านกันมามากมายแล้ว...

    หนังสือพวกนั้นผมก็อ่านมาหมดแล้วเหมือนกัน ...
    แต่มันไม่เหมาะสำหรับคนธรรมดาๆ ที่ไม่ใช่คนเก่ง ไม่เฮง(ออกจะซวยซะด้วยซ้ำ) ไม่ได้ฉลาด ไม่ได้มีโอกาสมากมาย ...

    ผมอยากจะบอกวิธีการ ที่จะทำให้คนธรรมดาๆ สามารถประสบความสำเร็จได้ ในระดับนึง ด้วยวิธีที่คนธรรมดาๆ ฟังแล้วเข้าใจ ไม่เลิศเลอ...
    ทำแบบง่ายๆ หรือจะทำแบบโง่ๆ แบบสเตป บาย สเตป ...
    ให้แต่ละคนมีธุรกิจของตัวเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องลอกเรียนแบบจากหนังสือเล่มไหน ไม่ต้องร่ำรวยแบบใครๆเขา แต่ขอให้เราสุขใจ และมีเหลือกินเหลือใช้ก็พอแล้ว...
    ซึ่งวิธีการเหล่านี้นั้นมีอยู่แล้วครับ มันอยู่รอบๆตัวเรา และถูกหยิบยกมาอธิบายอย่างยุ่งยาก จนทำให้เราเห็นว่ามันยากจนแทบเป็นไปไม่ได้ ...

    ผมไม่แน่ใจว่า การอธิบายให้มันเข้าใจได้ยากๆนั้น เพราะคนๆนั้นเก่งและฉลาด
    หรือเพราะเขาต้องการให้เราคิดว่าเขาเก่งและฉลาด
    หรือเพราะเขาไม่มีความสามารถที่จะทำให้มันง่ายกันแน่...

    ทำไมเราต้องอ่านท็อปซีเคร็ด ทั้งที่อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจวิธีที่จะนำมาใช้อยู่ดี อ่านสาหร่ายเถ้าแก่น้อยแล้ว เราก็ไม่มีโอกาสเหมือนอย่างเขา แม้นักลงทุนรายอื่นๆพยายามทำสาหร่ายมาแข่งกับเถ้าแก่น้อยแต่ก็สู้ไม่ได้...ทำไม? ทำไมสาหร่ายต้องเถ้าแก่น้อย..

    ทำไมบะหมี่ต้องชายสี่ ... ชายหก อย่างเราทำไมจึงทำไม่ได้ มีกี่รายที่พยายามทำแข่งกับชายสี่แล้วไม่สำเร็จ ... เพราะอะไร?

    ทำไมชาเขียวต้อง นายตัน ทำเท่านั้นถึงจะสำเร็จ นายกลวงอย่างเราทำไม่สำเร็จ เจ้าพ่อน้ำเมาซื้อกิจการไปทำต่อก็ไม่สำเร็จ นายตัน ออกมาทำน้ำผสมกันไป ผสมกันมาก็ไม่สำเร็จเหมือนกัน จนต้องหันกลับมาทำ ชาเขียวเหมือนเดิม จึงประสบความสำเร็จ ทำไม?

    ผมเป็นพวกขี้สงสัย...
    นอกจากนี้ผมยังมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับนามธรรมด้วย...
    ผมหาคนอธิบายให้เข้าใจไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่จะรำคาญและด่าผมซะก่อน...
    ยกตัวอย่างเช่น..

    ตั้งแต่เด็ก ผมต้องตัดแว่นสายตาสั้น ช่างวัดสายตาจะถามผมว่า ชัดแล้วหรือยัง?
    ผมไม่รู้ว่า ชัด ในความหมายของช่างตัดแว่น แค่ไหน ถึงจะเรียกว่าชัดแล้ว แค่ไหนถึงจะเรียกว่า ชัดมากไป...

    ยิ่งถามผมว่า ดูสิ พื้นมันลอยๆหรือเปล่า ผมมองพื้นแล้วพื้นมันเป็นปูน มันจะลอยได้ยังไง มองยังไงถึงเห็นว่ามันลอย ผมตอบเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ผมซักเข้าก็โดนด่าหาว่ากวนครับ บ้างก็คิดว่าผมโง่ หรือปัญญาอ่อน

    จนในที่สุดผมก็ต้องพยายาม หาอะไรที่เป็นจุดยืน ที่จะสามารถทำให้ทุกคนเห็นและเข้าใจตรงกันได้ ด้วยวิธีการที่ง่ายๆ และทุกๆคนเห็นได้ตรงกัน เช่น นิยามของคำว่า "จำเป็น" เป็นต้น

    มุมมองของผมก็มักมองในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคนอื่น ในระหว่างที่กิจการเริ่มต้นทุกคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้แต่ผมเห็นถึงสิ่งที่เป็นไปได้...
    แต่ขณะที่กิจการกำลังเจริญก้าวหน้าทุกคนชื่นชมถึงความสำเร็จ ผมกลับรู้สึกเครียดกับมัน เพราะทุกเช้าที่ผมเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ผมเห็นเที่ยงวันที่พระอาทิตย์จะแผดแสงจ้า ผมจะรู้เลยว่า มันจะต้องมีตอนบ่าย ตอนเย็น พระอาทิตย์ต้องตกดิน และต้องถึงเวลากลางคืนแน่ๆ

    วันที่กิจการเจริญเติบโตก้าวหน้า ผมจึงรู้สึกได้ว่า วันเวลาแห่งความร่วงโรยกำลังจะมาเยือน แล้วจะให้ผมดีใจได้ยังไง มีแต่จะต้องเตรียมการรองรับ ค่ำคืนที่จะมาถึง เตรียมเสบียง ฟืน ไฟ ฯลฯ หาใช่เวลาที่จะรื่นเริงไม่...
    คนเขากลับหาว่าผมเพี้ยน คิดมากไป...
    แต่ผมกลับคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ มันเกิดขึ้นแน่ๆ ทำไมไม่คิดว่า สรรพสิ่งล้วนต้องเปลี่ยนแปลง เราจะเตรียมการรอรับการเปลี่ยนแปลง หรือเราจะชิงเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลง เราเลือกเองได้นี่นา ...

    เพราะผมเป็นคนธรรมดาๆคนนึง ผมจึงต้องการสื่อสารด้วยวิธีการแบบธรรมดาๆ อธิบายเรื่องยากๆให้ง่ายลงเพื่อให้คนธรรมดาๆสามารถเข้าใจ และทำได้

    ผมหวังว่า เรื่องราวที่จะเล่าต่อๆไปนับจากนี้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของคนธรรมดา ได้ในสักวันหนึ่งครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2014
  13. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ท่านอาจารย์คุณป๋า ธรรมดาแบบไม่ธรรมดาจร้า.........สุดๆ
     
  14. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เด็กฝาก...

    ตั้งแต่เรียนจบมาผมไม่เคยกรอกใบสมัครงานเลย ผมมีความเชื่อว่าคนเราต้องมีความมุมานะพยายามด้วยตนเอง การใช้เส้น การฝากฝัง เป็นเรื่องน่ารังเกียจมาก...

    วันหนึ่งผู้จัดการก็เรียกผมเข้าไปพบ แล้วมีเรื่องปรึกษาว่า อยากจะฝากเด็กเข้าทำงานคนนึง พร้อมกับเอ่ยขึ้นทันทีว่า ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบเด็กฝาก ผมเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ผมอยากให้ช่วยรับไว้ทำงานสักคนนึง....

    สำหรับคนที่โตๆกันแล้ว เขาไม่ด่ากันด้วยวาจาหรอกครับ มันดูหยาบคายไร้รสนิยม...
    เพียงแค่มองหน้า แล้วยิ้มน้อยๆ ด้วยความไม่จริงใจ มันก็คือการด่า ที่เพียงพอแล้ว...
    ผมถามเพียงสั้นๆว่า "เป็นใครครับ"
    ผู้จัดการตอบมาอย่างไม่เต็มปากเต็มคำว่า "หลานของแฟนผมเอง"
    ด้วยแววตาที่สลดหดหู่ ประกอบเหตุผลที่ลูกผู้ชายทุกคนล้วนเข้าใจ ในหัวอกของตนเป็นอย่างดี...

    เมื่อมันจำเป็นต้องรับแล้ว การที่จะไปปฏิเสธ ต่อรอง เอื้อนเอ่ยวจีใดๆให้รำคาญใจ ไม่มีประโยชน์ครับ สู้ยืดอกรับมันอย่างผู้กล้า เปล่งวาจาออกไป ให้ประทับใจลูกพี่ซะดีกว่า...
    "ได้ครับ" ทุกคนก็มีปัญหาและความจำเป็นด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ
    ผู้จัดการมีแววตาสดใสขึ้นทันที เหมือนชีวิตนี้มีหวัง รอดตายแล้ว เย็นนี้จะได้มีคำตอบไปให้เมียที่เคารพ...
    "ต้องการให้มาทำหน้าที่ในตำแหน่งอะไรครับ"
    ด้วยความที่ยังดีใจค้างอยู่ ผู้จัดการจึงบอกว่า แล้วแต่คุณเลยนะ จะให้เป็นธุรการ หรือทำงานสโตร์เช็คของขนของอะไรได้หมด...แล้วแต่คุณจะใช้งานเลย...

    ในอีกแง่มุมหนึ่ง...
    ถ้าคนที่มีความรู้ดี เรียนเก่ง มีความสามารถเป็นเลิศ เขาไม่ต้องให้ใครฝากเข้าทำงานหรอกครับ เหตุที่ต้องฝากเข้าทำงานก็เพราะว่า ความสามารถไม่มี โง่ หมดทางที่จะหางานที่ไหนทำได้แล้ว ต้องขอร้องให้ญาติผู้ใหญ่ช่วยฝากเข้าทำงานสักแห่งหนึ่ง งานอะไรก็ได้ ....
    เวลาเข้ามาทำงานแล้วก็ต้องพยายามจะประจบเจ้านาย ยังต้องคอยก้มหัวยอมรับคำบัญชาจากผู้ใหญ่ที่ฝากเข้ามาทำงาน บางครั้งต้องข่มคนอื่น เพื่อกลบลบปมด้อยของตัวเอง ต่อหน้าต้องยิ้มระรื่น ทั้งที่ต้องทนต่อสายตาดูถูกของคนรอบข้าง หาว่าทำอะไรไม่เป็น อาศัยผู้ใหญ่ฝากเข้ามา รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกก็ต้องยิ้มเอาไว้ ช่างมัน กลับมาบ้าน ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ทำไมเราไม่มีความสามารถเหมือนคนอื่นเขา เรามันโง่ แต่เราก็เป็นคน คนนึง เราก็อยากทำตัวให้คนอื่นๆเขายอมรับในความสามารถเหมือนกัน เราก็พยายามแล้ว แต่เราทำไม่ได้... T.T

    ผมเข้าใจเหตุผลข้อนี้...เพราะผมก็เป็นคนธรรมดา หน้าโง่ ห่วยแตก แต่ผมก็อยากจะมีความสามารถและได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง ผมพยายามแล้วพยายามอีก อดทนแล้วอดทนอีก ผมจึงเข้าใจหัวอกของเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน...

    วันแรกของการเริ่มงาน ทุกคนจะเลือกแต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุด ไปเริ่มงานด้วยความดีใจ แต่เช้า แน่นอนว่า เด็กคนนี้ก็เหมือนคนทั่วไปทุกคน เธอย่อมต้องกลัวว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างไร ความหวั่นใจและวิตกกังวลย่อมต้องมีเป็นธรรมดา และไม่กล้าคาดหวังว่าจะเกิดอะไรดีๆขึ้นบ้างกับการทำงานวันแรก....มันเป็นเรื่องธรรมดา ของคนธรรมดาทั่วไป ย่อมรู้สึกแบบนี้ ...

    ผมเริ่มด้วยการยิ้มให้และทักทายเธอก่อน ตัวดำ ตาโปน กระโดกกระเดก แต่เธอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง จึงควรต้อนรับเธออย่างที่ต้อนรับมนุษย์คนหนึ่ง ยินดีกับเธอสำหรับวันแรกในการเริ่มงาน และบอกเธอว่า นับแต่นี้เราจะร่วมงานกัน เป็นพวกเดียวกัน หลังจากแนะนำตัวให้ทุกคนรู้จักแล้ว ก็บอกทุกคนไปว่าตอนเที่ยงพากันไปเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ นะ...ค่าใช้จ่ายไปเบิกตังค์ที่ผู้จัดการ...(อยากฝากมาดีนักนี่...)

    เธอทำอะไรไม่เป็นเลย ซึ่งไม่ได้เกินความคาดหมาย
    แต่การใช้ให้พิมพ์จดหมายแล้วเธอพิมพ์ติดกันเป็นพรืดหมดไม่มีเว้นวรรค ย่อหน้า ใดๆทั้งสิ้น ...อืม...คำตอบของเธอคือ ก็พี่สั่งให้พิมพ์นี่...
    เขียนเบิกอุปกรณ์สำนักงาน เธอเขียนเบิกกระดาษเช็ดชู้ 2 ม้วน ... อันนี้ผมเซ็นอนุมัติให้ไม่ได้ แม้ว่าจะอยากได้ไว้ใช้บ้างก็ตาม ต้องให้เธอไปแก้ใหม่ เธอไม่แก้และเถียงว่าเธอเขียนมันอย่างถูกต้องแล้ว...
    เลขาฯ และ พนักงานธุรการ จึงต้องมาช่วยกันอธิบายให้เธอฟังว่า มันคือกระดาษทิชชู ทุกคนสาบานต่อหน้าเธอว่า เค้าเขียนว่า ทิชชู เท่านั้น...

    เมื่อผู้จัดการลองเรียกใช้งานให้เธอพิมพ์งานให้ ก็มีอันต้องโกรธจนหัวเหม่งแดง ...
    นั่นทำให้ผมต้องเข้าไปปลอบใจ ...
    "ไม่มีใครอยากเกิดมาโง่หรอกครับ
    ไม่มีใครอยากทำผิดด้วยเช่นกัน
    คนที่ทำผิดลงไปแล้ว เขาย่อมรู้ตัวดีว่าทำผิด
    เพียงแต่เขาไม่รู้จะทำยังไงให้มันถูก...
    ผมจะค่อยๆสอนเองละกัน"...

    เนื่องเพราะไม่มีใครยอมสอนงานเธอคนนี้เลย...ผมรู้ว่าเธอก็รู้ตัวดี ผมเดาได้ว่ากลับไปบ้านเธอก็ต้องแอบไปนั่งร้องไห้...แล้วผมก็รู้อีกว่า ไม่มีใครในโลกนี้อยากโดนตำหนิหรือโดนด่าหรอกครับ...

    จะว่าไปมันคือโอกาสของผมที่จะได้ศึกษาและเรียนรู้ วิธีการสอนคนอีกประเภทหนึ่ง เพื่อพัฒนาศักยภาพของเขาขึ้นมา ให้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองในสังคม ...
    ผมเริ่มจากการอธิบายในสิ่งที่จะมอบหมายให้ไปทำ...
    ผมทำให้ดูเป็นตัวอย่าง...
    ผมให้เธอทำร่วมกันกับผม...
    ผมให้เธอทำโดยมีผมคอยดูแลกำกับให้ตลอดเวลา...
    เธอทำได้...
    ผมจึงปล่อยให้เธอทำเพียงลำพัง...เจ๊ง..ครับ...ใช่...เจ๊ง...ไม่ใช่เจ๋ง...
    ไม่เป็นไร ผิดก็แก้ไข...
    ผมให้ทำซ้ำๆอย่างนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเธอเบื่อ รำคาญ อึดอัด ร้องไห้ หยุดร้องไห้ ทำต่อ ทำจนเสร็จ ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า...ทำอยู่หน้าที่เดียว จนกลางคืนหลับไปเธอก็ฝันว่าเธอกำลังพิมพ์งานและทำตารางเสนอราคาด้วย Excel

    ผมจึงกลายเป็นที่เกลียดและกลัวของเธอ การนินทาผมลับหลังย่อมเป็นเรื่องสนุกและคลายเครียดของทุกคน และทำให้ทุกคนเข้ากันได้เป็นอย่างดี งานที่เธอทำจะต้องผ่านตาผมก่อนจะไปถึงมือผู้จัดการ...ผู้จัดการไว้วางใจ และ อารมณ์ดีขึ้น เวลางานเลี้ยงญาติๆก็ได้รับคำชมว่า ฝึกคนได้ดี...ผู้จัดการได้หน้า เมียให้เครดิต...

    คนเราทุกคนก็ต้องมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ผมเองทำงานก็มีปัญหา เพราะผมทำงานไปด้วยเรียนป.โท ไปด้วย แถมเรียนภาคกลางวัน ดังนั้นผมต้องโดดงานไปเรียน ซึ่งผู้จัดการต้องเห็นชอบด้วย แน่นอนว่าถ้างานที่ผมรับผิดชอบอยู่ไม่เสียหาย และผมทำงานชดใช้ให้ในเวลาเย็น แลกกันนะ กับการที่ผมช่วยรับมาเด็กของท่านมาฝึก...

    เวลาผ่านไป เธอคนนี้มาปรึกษาผมว่าจะลาออกไปทำงานที่ใหม่ดีไหม เงินเดือนมากกว่าที่นี่ 2 เท่า เป็นกึ่งรัฐวิสาหกิจมีความมั่นคง...ผมอนุมัติให้ลาออกทันที เพราะมันทำให้อนาคตเธอผู้นี้ดีขึ้น...
    หลังจากทำงานที่ใหม่ได้ไม่นาน เธอกลับมาหา พร้อมคำขอบคุณมากมาย ที่ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปอย่างไม่เคยรู้สึกตัว เพื่อนร่วมงานที่ใหม่ต่างชื่นชมว่าเธอมีความสามารถมาก ทำงานมีระบบ รวดเร็ว มีแง่คิดมุมมองในการทำงานที่ทุกคนต่างยอมรับ...
    เธอสารภาพว่า เธอเคยเกลียดผม เธอเอาผมไปนินทาบ่อยๆ แต่เธอรู้แล้วว่าที่เธอได้รับการยอมรับจากทุกคนในที่ทำงานใหม่ คือสิ่งที่ผมเคี่ยวเข็ญให้เธอทำ วันนี้ทุกคนในครอบครัวภูมิใจในตัวเธอ และเธอเล่าให้คนทั้งหลายฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักเบื่อว่าผมฝึกเธอมาอย่างไร...จนคนเหล่านั้นอยากรู้จักผม อยากรู้ว่าผมทำสอนคนแบบนี้ได้อย่างไร

    ในทางกลับกันผมก็ได้เรียนรู้จากเธอว่า ควรจะต้องสอนต้องฝึกอย่างไร สำหรับคนที่ทำอะไรไม่เป็นเลย คิดอะไรไม่ได้เลย .... เพื่อนผมเคยบอกผมว่า ขยะยังเอามารีไซเคิลได้ ขี้ยังเอามาทำเป็นปุ๋ยได้ ผมคิดว่า คนทุกคนดีกว่าขยะ และดีกว่าขี้ การที่เขาไม่สามารถฝึกฝนเรียนรู้และพัฒนาได้ อาจบางทีไม่ใช่เพราะเขาไม่เอาไหน แต่อาจเป็นเพราะคนสอนไม่รู้จักฝึก ไม่รู้จักสอน หรือที่ทางพระกล่าวว่า ไม่รู้กุศโลบายอันแยบคาย...

    เรื่องราวของเธอ อาจช่วยให้หลายคน เปลี่ยนมุมมอง ของเด็กฝาก เด็กเส้น ไปได้บ้าง ได้เห็นอีกด้านของมุมมืดในสังคม และหวังว่าเราทุกคนจะรู้สึกได้ถึงความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ของคนรอบๆตัว เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกัน...

    จบลงด้วยภาษิตประจำวันนี้ว่า...
    "ให้สุขแก่ท่าน....สุขนั้นถึงตัว"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เด็กเลี้ยงแกะ ...

    น้าเริญ แกเป็นนักการอยู่ในแลป
    อยู่มาวันหนึ่งรุ่นน้องก็เดินมาฟ้องผมว่า พี่ๆ ดูน้าเริญเด่ะ ทุเรศมากเลย ผมเดินไปบอกว่า อาจารย์เรียกให้ไปช่วยยกโต๊ะ เท่านั้นแหละ แกรีบวิ่งไปข้างหลังแลป ถอดเสื้อจุ่มกะละมังทำท่าซักใหญ่เลยครับ...
    ทีเวลากินนะ ผมเห็นวิ่งถือจานนำหน้าก่อนเพื่อนเลย...

    ผมฟังแล้วก็ได้แต่รำพึงรำพันไปว่า

    “เรื่องกินเรื่องอยู่ ไม่สู้พ่อ
    เรื่องพายเรื่องถ่อ พ่อไม่สู้”

    เรื่องแบบนี้มันก็ต้องฟังหูไว้หู แต่ด้วยเห็นว่ารุ่นน้องมันหงุดหงิดงุ่นง่าน ผ่านไปอาทิตย์นึงแล้วมันก็ยังติดใจอยู่ เจอหน้าผมก็ยังบ่นอีก...
    วันต่อมาผมเลยเดินไปหาน้าเริญ
    “น้าๆ อาจารย์เรียก ไปช่วยย้ายของที่ห้องหน่อย”
    ผมเห็นแกรีบวิ่งไปข้างหลังแลป พอตามไปดูก็เห็นน้าเริญแกทำท่าถอดเสื้อออกซักอย่างขมักเขม้นจริงจัง...
    อืม..
    จริงดังรุ่นน้องผมมันนินทาไว้ ผมก็ไม่ว่าอะไร รีบกลับไปทำงานต่อที่บริษัทฯ เพราะว่าเราโดดงานมาเรียน...
    พอมาเจอรุ่นน้องผมก็เลยเล่าให้ฟังว่า เออ..จริงนิ ลองแกล้งบอกไปว่า อาจารย์เรียกเท่านั้นแหละ เห็นน้าแกวิ่งไปถอดเสื้อซักทันที ตลกดีเหมือนกัน ...

    วันหลังผมเอาอีก เดินไปหาน้าเริญ
    “น้าๆ อาจารย์เรียกแน่ะ...”
    แกถามว่าเรียกทำไม ดูน้าแกมีงอนๆ ผมก็เลยว่า สงสัยจะให้ไปซื้อของข้างนอกอ่ะมั๊ง ไม่รู้ดิ...
    สักพักน้าเริญ หายตัวไปเลยครับ...
    ส่วนผมแกล้งคนได้แล้วก็ขึ้นรถลงเรือกลับไปทำงานต่อที่ออฟฟิตเหมือนเคย...

    หลังๆมานี่น้าเริญแกรู้แล้วว่าโดนผมหลอก ตอนหลังผมไปบอกน้าเริญ
    “น้าๆ อาจารย์ ใช้ให้ไปช่วยย้ายลังเอกสาร..”
    คราวนี้แกไม่เชื่อผมแล้วครับ แกเดินลอยหน้าลอยตา แกก็คงด่าผมในใจว่าไอ้เด็กเลี้ยงแกะ...

    แล้วอยู่มาวันหนึ่ง อาจารย์ก็ใช้ให้ผมไปเรียกน้าเริญ จริงๆ ให้มาพบ เพื่อจะใช้งาน เพราะผมบอกว่าคนอื่นไม่ว่างกันเลย เหลือน้าเริญ แต่น้าเริญจะไม่ยอมทำอะไรทั้งสิ้นถ้าอาจารย์ไม่สั่ง...
    อาจารย์ก็เลยใช้ผมให้ไปบอกน้าเริญ...

    ผมก็เดินไปบอกน้าเริญ เหมือนทุกที แต่ว่าน้าเริญไม่เชื่อไอ้เด็กเลี้ยงแกะอีกแล้ว...
    ผมเลยท้าว่า ถ้าน้าแน่จริงไปเจออาจารย์ด้วยกันไหมล่ะ...
    น้าแกก็กะจะเอาผมให้ตายคาคำโกหก...จึงไม่ทันได้ถอดเสื้อแช่น้ำ
    ไปถึงเจออาจารย์เข้า อาจารย์ก็สั่งงานทันที...
    ส่วนผมนี่ก็พวกได้ทีขี้แพะไหลครับ รีบเสนอหน้าทันที “ถ้าขนยังไม่เสร็จห้ามกลับบ้านนะ เดี๋ยวจะให้รุ่นน้องที่ชื่อ....มาคอยดูแล แล้วกลับมารายงานอาจารย์” ว่าแล้วผมก็บอกรุ่นน้องผมตามนี้ และแล้วผมก็เผ่นกลับไปทำงานต่อที่ออฟฟิต เหมือนเคย...

    วันหลังผมเข้ามาแลปอีก รุ่นน้องผมมันเห็นหน้าผมแล้วหัวเราะกันน้ำตาเล็ด มันว่าน้าเริญ โกรธพี่มากเลยรู้ป่าว...
    อ้าว... ก็อาจารย์เรียกไปย้ายของนี่หว่า จะโกรธก็ไปโกรธอาจารย์ดิ มาโกรธผมได้ไง?
    ครั้งก่อนๆผมก็หลอกแกไปอย่างงั้นเองสนุกๆ ...

    ไม่เคยฟังนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะหรือไง? กับพวกชอบหลบ ชอบอู้ เอาเปรียบกินแรงชาวบ้านก็ต้องเจอมุกนี้แหละนะ...หุหุหุ...

    ..................................................................................................

    เรื่องสมัยบั้นปลายชีวิตของอีสปเนี่ย จริงๆแล้วไม่ได้โดนทหารลอบฆ่าแล้วโยนลงเหวหรอกครับ สมัยนั้นอีสปได้รู้จักกับผมเข้า แล้วก็พยายามจะเล่านิทานให้ผมฟังเพื่อเป็นคติเตือนใจ หวังจะให้ผมเป็นคนดี แต่พอเห็นผมเอานิทานของแกมาปู้ยี่ปู้ยำไปซะอย่างนี้แล้ว อีสปแกเครียดมาก จากที่เคยเป็นคนคิดบวกก็เลยมีอาการซึมเศร้า รับไม่ได้ครับ สอนคนมาตั้งหลายเมือง สอนไปยันขุนนาง เจ้าเมืองทั้งหลายจนมีชื่อเสียงโด่งดัง...

    หลังจากเห็นผมเอานิทานสอนใจของแกมาทำแบบนี้แล้ว อีสปก็เริ่มเห็นลางแห่งความหายนะอยู่เบื้องหน้ารำไร นัยตาที่เหม่อลอย พาเท้าให้ก้าวเดินไปเรื่อยๆ ไปจนถึงขอบหน้าผา ระหว่างกำลังยืนครุ่นคิดว่าจะโดดเหวตายเสียดีกว่า เพื่อรักษาชื่อเสียงเกียรติยศเอาไว้...

    ผมรีบวิ่งตามไปข้างหลัง ขณะกำลังจะเอามือรั้งอีสปเอาไว้ ให้บังเอิญสะดุดเอาก้อนหินก้อนหนึ่งเข้า จนทำให้มือไปฟาดหลังอีสป ตกเหวตาย...
    แต่เพื่อเป็นการรักษาชื่อเสียงของอีสปเอาไว้ให้อยู่ชั่วกาลนาน จึงต้องโบ้ยความผิดนี้ให้ทหารว่าเป็นคนฆ่าอีสปแล้วผลักตกเหว...

    จากนั้นผมก็หยิบหินก้อนที่เป็นต้นเหตุของโศกนาตกรรมในครั้งนี้ขึ้นพิจารณาดู จึงเห็นแง่มุมต่างๆที่แม้แต่หินก้อนเดียวกันก็ยังมีหลายแง่หลายมุม...

    น่าเสียดายที่ผมไม่ทันได้บอกเรื่องนี้ให้อีสปรู้ถึงว่า นิทานของเขาเองก็ยังมีอีกหลายแง่มุมเช่นกัน...

    เฮ้อ...เฮ้อ...เฮ้อ...:'(

    ซาโยนาระ อีสป ขอให้ไปสู่สุคติ...นะ


    .... เรื่องต่อไปคือ วิธีหลอกใช้คนเก่ง....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2014
  16. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]

    เดี๋ยวชวนพี่ระมิงค์ไปฟาร์มฮัก ติงจ่ายค่ะเข้าชมให้ค่ะ
     
  17. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    วิธีหลอกใช้คนเก่ง

    เวลางานไหนมีปัญหา คนเขาชอบนึกถึงผมครับ แต่ก่อนจะไปถึงผมเขาจะไปถึงผู้จัดการก่อน แล้วให้ผู้จัดการมาใช้ผมอีกทีนึง งานแบบนี้เองที่เรียกว่า โยนอุจจาระ ...
    แล้วก็ได้ทีขี้แพะไหลอีกแล้ว เอามาบีบคอผมว่า ผู้จัดการสั่งมาแล้วนะ...
    ทั้งที่ประสบการณ์ผมก็น้อยกว่า แต่ก็โดนเอาตำแหน่งมาอ้างว่า ตำแหน่งผมใหญ่กว่า ....

    เมื่อเลี่ยงไม่ได้ผมก็ต้องซักถามรายละเอียดของปัญหา แต่ร้อยทั้งร้อย คนพวกนี้ก็จะด่าไปบ่นไปเกี่ยวกับลูกค้าที่ตัวเองไปมีปัญหาด้วยกับเขา แล้วปิดท้ายจบลงด้วยว่า ลูกค้าที่คุมงานนี้เป็นรุ่นพี่ คณะเดียวกันกับผม น่าจะคุยกันได้ดีกว่า เพราะตัวเขาเองจบมาคนละสถาบัน...นั่นไง...โยนอุจจาระมาให้แล้ว ยังเอาสถาบันมาเล่นอีก...

    ผมเอารายละเอียดกลับมานั่งดูต่อที่บ้านจนตี 2 เช้ารุ่นพี่ที่บริษัทฯจัดการขับรถพาผมเดินทางไปพบลูกค้าทันที รายละเอียดอะไรที่มีทั้งหมดผมขนใส่รถไปหมด ไม่เว้นแม้แต่หัวกระดาษบริษัทฯ พร้อมสมุดบันทึกสำหรับจดวาระการประชุม...สำหรับผมแล้ว เรื่องดีๆไม่ค่อยได้เจอหรอกครับ ดังนั้นแล้ว การเตรียมตัวที่จะรับเรื่องร้ายๆ ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย...

    เป็นเรื่องธรรมดาที่เจอหน้ากันครั้งแรก จะมาอ้างรุ่นพี่รุ่นน้องสถาบันเดียวกัน กับคนที่เขาเรียนเก่งๆเนี่ย เขาจะมองว่าเราต้องการจะไปหาผลประโยชน์จากเขา โดยการอ้างเอาสถาบัน...ผมจึงไม่เอ่ยถึง จะปลอดภัยกว่า...

    คนเก่งมักจะต้องมีอีโก้สูง แน่นอนล่ะ ก็เพราะเขาเป็นคนเก่งนี่ครับ...คนพวกนี้ไม่ชอบเห็นใครเก่งกว่า แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่ชอบคุยกับพวกโง่ๆ มันน่ารำคาญ...ดังนั้นการไม่ชิงพูดก่อน หรือถามอะไรออกไป จึงรักษาตัวรอดได้...

    คนเก่งมักจะชอบปฏิเสธความคิดของคนอื่น ก็เพราะคิดว่าตัวเองเก่ง ซึ่งจริงๆก็เก่งจริงนั่นแหละ ผมไม่เถียงสักคำ...

    คนเก่งจะชอบจับผิดและหาเรื่องตำหนิผู้อื่น เพราะเห็นว่าเรื่องแค่นี้ทำไมคิดกันไม่ได้นะ ....

    คนเก่งๆพวกนี้ ชอบคนแบบไหน....

    “คิดก่อนจึงค่อยถาม
    ตรองเนื้อความก่อนตอบ
    ตรวจตราให้รอบคอบก่อนทำ”

    เขาชอบคนแบบนี้ครับ...เวลาตอบคำถาม ถ้าไม่รู้บอกไปเลยว่าไม่รู้ ถ้าอ้ำๆอึ้งๆ คนพวกนี้จะโกรธมาก...
    หาว่าโง่แล้วยังอวดฉลาดอีก...
    แต่พอยอมรับว่าโง่ กลับจะยอมอ่อนข้อให้หน่อยนึง แบบว่าฉันไม่อยากถือสากับไอ้พวกโง่ๆอย่างแกหรอกวะ...

    คนเก่งพวกนี้เขาชอบให้เราฟังเขาอธิบายอย่างตั้งใจ และจด
    จดเสร็จแล้วทบทวนข้อสรุปที่เราจดไว้ให้เขาฟังอีกครั้ง เพื่อให้เข้าใจตรงกันอย่างไม่ผิดพลาด...

    คนเก่งพวกนี้ชอบคำยอเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ยอตรงๆ เพราะจะรู้สึกรังเกียจการเลียแข้งเลียขาอย่างซึ่งๆหน้า แต่ถ้าเป็นการยอแบบอ้อมๆแล้วจะโอเค...

    นี่แหละครับ...คุณสมบัติหลักๆของพวกที่มีไอคิวสูง และแน่นอน เก่งด้วย...

    ดังนั้น เมื่อผมเริ่มเปิดประเด็นว่า ผมได้รับมอบหมายจากทางบริษัทฯให้มาดูแลเกี่ยวกับปัญหา.....
    เท่านั้นแหละครับ คำตำหนิ คำว่ากล่าว ต่างๆจะออกมามากมาย และคนเก่งเหล่านี้ มักจะสรรหาคำเจ็บๆแสบๆมาด่าได้อย่างลึกซึ้งกินใจยิ่งนัก...
    ทางแก้เมื่อเจอแบบนี้คือ ยิ้ม ครับ...ยิ้มเข้าไว้...แล้วก็จะโดนด่าว่า ยิ้มทำบ้าอะไร????

    ผมต้องบอกว่า ผมพึ่งเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรกครับ ผมพอจะทราบปัญหาจากทางฝั่งบริษัทฯเพียงด้านเดียว ผมจึงต้องมารับฟังปัญหาจากลูกค้า เพื่อร่วมกันหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสมไปด้วยกัน....

    คนเก่งพวกนี้เขาฟังออกครับ ว่าเราหลอกด่าเขาว่า เอะอะยังไม่ทันไรก็ด่าซะแล้ว....
    เสร็จแล้วคนเก่งๆพวกนี้ก็จะชอบลองภูมิครับ...หลังจากโดนเบรคไปแล้ว เขาก็จะถามว่าแล้วคุณคิดหาทางแก้ปัญหาไว้ยังไง ไหนว่ามา???

    ที่จริงคนเก่งๆพวกนี้ เขาคิดวิธีการที่ดีที่สุดเอาไว้แล้วครับ และเขามั่นใจด้วยว่ามันดีที่สุดแล้ว ดังนั้นในฐานะคนธรรมดาๆอย่างเราให้คิดอย่างไรก็คิดไปไม่ถึงคนพวกนี้อยู่แล้ว การตอบอะไรออกไป ยังไงก็ไม่ถูกใจเขาอยู่ดี...อย่ากระนั้นเลย ในเมื่อเขาเก่งอยู่แล้ว เราก็หลอกใช้เขาซะสิ...

    ผมจึงบอกไปว่า “ผมอยากฟังแนวทางจากพี่ก่อนครับ เพราะในฐานะที่พี่อยู่ฝ่ายผู้ว่าจ้าง แนวทางที่ทำให้พี่พอใจสูงสุดเป็นสิ่งที่บริษัทฯต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกครับ”
    แค่นี้เราก็จะได้คำตอบที่พรั่งพรูออกมามากมาย จดเอาไว้ให้หมด เสร็จแล้วสรุป ทบทวนให้เขาฟังอีกที...
    มีประเด็นไหนสงสัยก็ซักถามต่อไป พวกนี้เขาก็จะระบายเป็นหญิงแก่ให้ฟัง มากมาย ....

    ฟังจบแล้ว ก็อย่าพึ่งรับปากว่า จะตกลงตามนั้นทันที บอกไปก่อนว่าต้องนำเรื่องตรงนี้ไปหารือกับผู้บังคับบัญชาอีกทีนึงก่อน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยกันทั้งสองฝ่าย...(แต่จริงๆแล้ว เราไม่อยากรับผิดชอบคนเดียวตะหากล่ะ)
    เสร็จแล้วก็จะฟังคนพวกนี้บ่นต่อไปก่อนครับ...การที่ได้ช่วยให้คนพวกนี้ได้มีโอกาสระบาย ก็คิดซะว่าได้สร้างบุญกุศลไว้สักครั้งก็แล้วกัน...

    คนเก่งพวกนี้ ที่จริงแล้วน่าสงสารนะครับ คือจะต้องทำงานอยู่ลำพัง เข้ากับใครไม่ค่อยได้เพราะคนอื่นมันดูโง่ไปหมด เจ้านายก็เข้าหาไม่ค่อยได้ คุยกันก็ต้องมีเถียงกันตลอด สุดท้ายทำงานตัวเป็นเกลียวแต่หาความดีความชอบไม่ได้ คำปลอบใจสำหรับคนเก่งแบบนี้คือ คำถามว่า เหนื่อยไหมครับ?

    คำตอบมักจะเริ่มต้นจากคำว่า “อย่าให้พูดเลยดีกว่า” ว่าแล้วก็....พูดๆๆๆๆ....บ่นๆๆๆๆ....เออนะ..อย่าให้พูดดีกว่า เพราะพี่เล่นพูดทีนึงเป็นครึ่งค่อนชั่วโมง...

    ห้ามแสดงออกว่าเห็นใจคนพวกนี้ครับ เพราะนั่นจะเป็นการดูถูกเขาอย่างที่ให้อภัยไม่ได้...
    คำชมหรือคำเห็นใจสำหรับคนเก่งพวกนี้ อาจพูดได้เพียงว่า...

    “มันก็ธรรมดาอยู่นะครับ ที่พี่ต้องรับผิดชอบภาระแบบนี้ เพราะถ้าเอาคนอื่นมาทำตรงนี้ แบบนี้ ผมว่ามันคงเละไปนานแล้ว”

    มันจะเป็นคำชมที่ดูไม่น่าเกลียด เพราะนิสัยคนเก่งๆ จะไม่ชอบให้ใครมาชมแบบเผาขน ...

    ง่ายๆเท่านี้เอง...วิธีหลอกใช้คนเก่ง ...

    เวลาจะหลอกใช้พวกผู้ชายก็เหมือนกันครับ บางครั้งคุณผู้หญิงก็ต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นว่า ชั้นทำไม่ได้อ่ะ ต้องขอให้พวกผู้ชายช่วยหน่อย ช่วยเสร็จแล้วก็ชมๆมันเข้าไป...
    พวกผู้ชายนี่ก็ลึกๆแล้ว อยากจะแสดงว่าข้านี่เก่ง ข้านี่มีความสำคัญ วันใดขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก ...ฯลฯ
    พวกหลงตัวเองครับ...หลอกใช้ให้เป็นละกัน พวกนี้เนี่ย...โดนหลอกใช้แล้วยังชอบใจอีกด้วยนะ...

    เรื่องต่อไปคือ...ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2014
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    "ทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย"
    .............................

    ภาษิตนี้หมายความว่า ถ้าคุณทำดี แล้วมีคนเห็นว่าเด่น จะเกิดภัยขึ้นกับตัวท่านเอง โดยคนที่เห็นว่าเด่นนี่เอง จะเอาภัยมาสู่คุณ...
    แง่มุมที่ซ่อนอยู่ข้างหลังภาษิตนี้คือ สังคมนั้นมีคนเจ้าริษยา อยู่เป็นจำนวนมาก ..
    เพื่อนผมซึ่งสอบได้วิชาภาษาไทยเกรด 2 เท่ากันกับผม ได้ให้นิยามไว้ว่า...

    คนขี้อิจฉา ยังดีกว่า คนริษยา เพราะคนขี้อิจฉา คือ เห็นคนอื่นได้ดีแล้วอยากดีด้วย
    แต่คนริษยา คือ เห็นใครได้ดีแล้ว ทนไม่ได้ คิดอยากจะทำลายเขา...

    เวลาที่ผมทำงานเป็นขี้ข้า บรรดาศักดิ์ ผมก็นึกไปว่า ผมเป็นเจ้าของกิจการครับ เพราะผมเห็นว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะให้ผมฝึกการเป็นเจ้าของกิจการฟรีๆ เพื่อเตรียมตัวไว้จะเป็นเจ้าของกิจการเองจริงๆในภายหน้า...
    ดังนั้น อะไรประหยัดได้ผมจะช่วยประหยัด กระดาษที่ถ่ายเอกสารเสียแล้ว ผมก็จะเก็บเอาไว้ใช้ต่อ สำหรับพิมพ์รายงาน หรือบันทึกเรื่องที่ต้องทำ เป็นการภายในแผนก ...

    อะไรที่จะเป็นรายได้จากงานเพิ่มผมจะนำเสนอลูกค้าเพื่อให้โปรดพิจารณา เพื่อผลประโยชน์ของบริษัทฯ

    แต่ถ้าซื้อของจากผู้ขาย ผมจะต่อรองราคา ลดจนสุดแล้วก็จะขอของแถม แถมจนหมดแล้วผมก็จะขอเครดิตให้ยาวขึ้น เพื่อช่วยรักษาผลประโยชน์ของทางบริษัทฯ...

    ผมทำของผมเองเงียบๆ ไม่ได้บอกใครในเรื่องเหล่านี้ เพราะผมเข้าใจดีว่า ถ้ามีใครเห็นเข้า ภัยจะมาถึงตัวผมเป็นแน่แท้...

    การประชุมประจำเดือนผมก็ยกให้ผู้จัดการเป็นคนอธิบายสรุป ผมพยายามอยู่เงียบๆไม่ออกหน้า ออกตา ...

    ธรรมดาของคนเป็นเจ้าของกิจการ ย่อมจะมีวิสัยทัศน์และมุมมองที่หลากหลายพอสมควร ต้องมีความสามารถพอสมควร จึงจะมาเป็นเจ้าของกิจการได้ ดังนั้น ในการประชุมครั้งหนึ่ง เจ้าของกิจการก็เกริ่นขึ้นมาก่อนว่า เขาได้โทรไปสอบถามถึงการทำงานของพนักงานบริษัทฯกับลูกค้า และได้แวะเวียนไปเยี่ยมลูกค้าเดือนละอย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อสอบถามความพึงพอใจของลูกค้า...โดยไม่ได้บอกให้พนักงานบริษัทฯได้รู้ล่วงหน้า....

    ดังนั้นเจ้าของกิจการจึงได้รับรู้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับลูกค้า แล้วนำปัญหานั้นมาติดตามต่อกับพนักงานในบริษัทฯอีกทีหนึ่ง...รุ่นพี่ต่างสถาบันผมต่างก็โดนไล่บี้กันทุกคน ยกเว้นผม...เพราะผมทำสรุปปัญหา วิธีการแก้ปัญหา และผลจากการแก้ไขปัญหาส่งให้ผู้จัดการก่อนแล้ว และการที่ผมใช้กระดาษรีไซเคิลพิมพ์ไปโดยขีดฆ่าหน้าที่เสียทิ้งไว้นั้น มันบอกกับเจ้าของกิจการและผู้จัดการกลายๆว่า ผมรักษาผลประโยชน์ของกิจการท่าน และฟ้องกันไปในตัวว่า คนของท่านใช้ของฟุ่มเฟือย ทิ้งๆขว้างๆอย่างไม่ระมัดระวังเพียงใด....

    ถ้าเรื่องเล็กๆน้อยๆผมก็ยังระมัดระวัง คอยดูแลผลประโยชน์ให้ เรื่องใหญ่ๆย่อมต้องไม่พลาดไปด้วยแน่นอน...

    การนั่งอยู่ไกลๆ และเงียบๆ กลับทำให้ได้รับความสนใจ แล้วความบรรลัยก็มาเยือน...
    เมื่อเจ้าของกิจการเอ่ยปากชมว่า ขอให้ทุกคนดูตัวอย่างผม ที่รักษาผลประโยชน์บริษัทฯ จนลูกค้าชมมามากด้วยกัน ช่วยดูและประสานผลประโยชน์แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ดี รับรองได้ว่า คนแบบนี้ อนาคตต้องไปไกลแน่....

    ยอคนยอต่อหน้า
    ยอข้าเมื่อแล้วกิจ
    ยอมิตรเมื่อรับหลัง
    ลูกเมียยังอย่าพึ่งสรรเสริญ...

    ผมจำเขามาอีกที...แต่ผมว่าผิดหมดเลยครับ...
    จะยอคนหรือยอใคร ให้มันถูกกาละเทศะ โดยคำนึงถึงผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นด้วย...
    เอาเป็นว่า ปิยะวาจา ดีกว่านะครับ...

    เหตุเพราะเจ้าของกิจการชื่นชม เชิงเปรียบเทียบไปถึงรุ่นพี่ทั้งหลาย ที่โดนด่ากันถ้วนหน้าแม้จะไม่ได้ด่ากันตรงๆก็ตามที...ผมก็รู้แล้วว่า นับจากนี้ไป ผมจะทำงานได้ด้วยความยากลำบากเสียแล้ว...

    การจะพูดจาอ่อนน้อมถ่อมตนในเวลานั้น ก็จะถูกรุ่นพี่หาว่าเสแสร้งถ่อมตนเพื่อให้ตัวเองดูดีและได้รับการยอมรับ แต่กับเจ้านายก็จะมองว่า เป็นคนที่ขาดความมั่นใจ ต้องดูอย่างฝรั่งทำงาน เวลาเขาชมคนได้รับคำชมจะยืดอกรับ พร้อมกับตบมือ....(โธ่...นั่นมันฝรั่ง...แต่นี่มันบักสีดา...ไม่เกี่ยวกันเลยนะ)

    เมื่อเจออย่างนี้เข้า เราควรจะทำตัวอย่างไรดี????

    คำตอบคือ เคยทำมาอย่างไร ก็ทำมันไปอย่างนั้น เป็นบุคคลเสมอต้นเสมอปลาย เพราะเราจะไปห้ามคำพูดคนอื่นให้ชม ให้ด่า ให้นินทา ให้สรรเสริญ ย่อมเป็นไปไม่ได้...

    การจะตัดสินใจทำอะไรลงไปนั้น หากทำแล้ว ส่วนรวมได้ประโยชน์ คนรอบข้างได้ประโยชน์ และตัวเราเองก็ได้ประโยชน์...ทำไปเถอะครับ...ใครจะคิดอย่างไร ว่าอย่างไร มันก็เรื่องของเขา...ส่วนเราทำอะไรลงไป เราก็ต้องได้รับผลของมันตามเหตุตามปัจจัยนี้เอง...ซ๊าทุ...


    เรื่องต่อไปคือ คนธรรมดาๆ จะทำอย่างไร ให้ได้รับความสนใจ กะเขาบ้าง...นะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2014
  19. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    "มีอำนาจ วาสนา วาจาสิทธิ์
    ทำอะไร ไม่ผิด เพราะฤทธิ์ขลัง
    ที่พูดผิด กำหมัด ซัดลงปัง
    ก็เป็นพูด ถูกจัง ไปทั้งเพ"
    .....................................

    สำหรับคนมีอำนาจ วาสนา บารมี ทั้งเก่ง ทั้งหล่อ และฉลาด เขาทำอะไรก็ดูง่าย ดูดี ได้รับความสนใจ ไปหมดแหละครับ...
    มันก็เหมือนกับการที่ผมพิมพ์ตัวใหญ่ เน้นสี สลับสี ให้ดูมีสีสันน่าสนใจ นี่เอง...

    แต่สำหรับคนธรรมดาๆอย่างเรา จะทำอย่างไร เพื่อให้ได้รับความสนใจบ้าง...
    จะทำแบบเดียวกับ เจ้าไม้ขีดไฟ ที่แอบหลงรัก ดอกทานตะวัน ดีไหม...
    มันไม่คุ้มกันเลย...ว่าป่ะ...

    เคล็ดลับของคนธรรมดาๆ ที่จะทำให้ได้รับความสนใจก็คือ....
    ................
    ................
    ................

    ธรรมชาติของคน ชอบสอดรู้สอดเห็น

    ...............
    ...............
    ...............

    โพสหน้าจะมายกตัวอย่างให้ฟัง....
     
  20. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=77R9ysdMBlc]ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน.avi - YouTube[/ame]

    ตามหาความหมายกับเพลง...
     

แชร์หน้านี้

Loading...