จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]

    ทำไมเงียบจัง กระทู้นี้ พากันหาย...ไปไหนกันหมด...นี้ล่ะหนา...ความไม่เที่ยง...ทุกอย่างบนโลกใบนี้ มันก็หนี "กฎไตรลักษณ์" เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่ได้เลยจริงๆ...

    ได้ใหม่แล้วลืมเก่า (5555)...โธ่...ช่างน่าฉงฉานเจ้าเสียนี้กะไร เจ้าเป็นจุดกำเนิดของจิตเกาะพระที่นี้ ในเวปพลังจิต แต่ตอนนี้เค้าไปสร้างบ้านหลังใหม่ไฉไลกว่าเดิมในเฟสบุค ไม่มีใครกลับมาเยี่ยมอยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อนกันเลยเหรอ พากันไปหลงแสงสีในเมืองกรุงกันหมดเลย 5555 เจ้าของบ้านไม่อยู่ ลูกบ้านเลยพากันหายไปหมดเลย...คนแก่ก็งี้ หนีมาบ่นอยู่คนเดียวที่นี้ คงไม่มีใครมาเห็นหรอก อิๆๆ ​
     
  2. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]
     
  3. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]
     
  4. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    "การป้องกันไม่ให้วาระกรรมส่งผล"

    โดย พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน


    ถาม : เราป้องกันไม่ให้วาระกรรมส่งผลได้ไหมครับ ?

    ตอบ : ได้..ต้องทำความดีใหญ่ให้สม่ำเสมอต่อเนื่องกัน ความดีใหญ่ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าทำได้ต่อเนื่องกัน กำลังความดีก็ส่งเราห่างจากผลกรรมชั่วไปเรื่อย ๆ ถ้าดีถึงที่สุดก็ตามไม่ทันเลย

    ถาม : ถ้าดวงตกเล่าครับ ก็ทำเหมือนเดิม ?

    ตอบ : เหมือนเดิม อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยบรรเทา อย่าให้ผลกรรมชั่วเกิดเต็มที่ เพราะถ้าผลกรรมชั่วเกิดเต็มที่ เราอาจจะถึงตายเลย

    ถาม : แล้วถ้าอยากให้บุญส่งผลเร็ว ๆ เล่าครับ ?

    ตอบ : ก็ทำความดีเยอะ ๆ ทำหนัก ๆ แต่ที่เยอะ ๆ หนัก ๆ นี่ไม่ได้หมายถึงในเรื่องของทาน แต่เป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือว่าเป็นสมาธิกับภาวนา ถ้ากำลังใจของเราเข้มข้น สมาธิยิ่งสูงเท่าไร บางทีแค่คิดก็ได้แล้ว พอปฏิบัติไปถึงระยะหนึ่งห้ามคิดนอกลู่นอกทาง เดี๋ยวได้จริง ๆ

    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕

    ที่มา : เว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
     
  5. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    *** ตัวที่บรรลุจริง ๆ อยู่ที่การดูอารมณ์ใจ ***

    “…ผมบอกจุดสำคัญไว้ให้ก็ได้ว่า ทุกท่านที่บรรลุมรรคผล หรือ แม้แต่ทรงฌานโลกีย์ เขาใช้ จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน เป็นประจำทุกวัน

    พวกคุณอย่าทิ้งเชียวนะตัวนี้ ตัวที่บรรลุจริง ๆ อยู่ตรงนี้ นักปฏิบัติทุกองค์ที่บรรลุก็จับนี่เป็นเนติ เนติ แปลว่า แบบแผน ถือว่าเป็นตัวอย่าง ถือว่า เป็นครูใหญ่ ใช้ดูอารมณ์ใจ ไม่ต้องไปดูอะไร เพราะว่าไอ้กิเลสมันเกิดที่ใจ เอาอารมณ์ใจเข้ามาดู สติคุม ธัมมวิจยะ พิจารณา”

    จาก : หนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑
    ----------------------------------------------------

    "...ถ้าหากว่าเราเจริญพระกรรมฐานโดยใช้การภาวนาอย่างเดียว หรือว่าพิจารณาเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งอย่างเดียว แต่ว่าเราไม่มองจิตของเรา ไม่ใคร่ครวญอารมณ์ของจิต บางทีการเจริญพระกรรมฐานแบบนั้นก็มีผลเหมือนกัน แต่ว่าผลมันช้าเกินไป”

    จาก : หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๔๒ หน้า ๑๐๒
    ----------------------------------------------------------------

    เรียนรู้จิตตานุปัสสนาอย่างย่อ
    (คือการ“ดูอารมณ์ใจ” หรือ “ดูอารมณ์จิต” สายอื่นเรียก “ดูจิต”)

    "๏ ตอนนี้พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้รู้อารมณ์ของจิต ให้รู้อยู่ว่าจิตเป็นยังไงกำหนดรู้ไว้ ท่านตั้งรู้ไว้ถึง ๑๖ ข้อด้วยกัน ไม่ต้องท่องจำ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนให้มีสัมปชัญญะ ว่าขณะนี้เรามีอารมณ์เป็นยังไง คือรู้อารมณ์ คุมอารมณ์เท่านั้น ว่าเรามีอารมณ์เป็นยังไง ถ้าจิตมีอารมณ์ราคะ ก็พยายามแก้ราคะเสีย จิตมีโทสะก็แก้โทสะเสีย จิตมีโมหะก็แก้โมหะเสีย ถ้าจิตหดหู่ ก็สร้างจิตให้มันเบิกบานตามธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น คือว่าถ้ารู้มันมีจิตชั่ว รวมความว่าไอ้จิตน่ะมันมี ๒ จิต ที่พูดมาแล้วทั้งหมดมันมีอยู่ ๒ อย่าง คือว่าจิตมีอารมณ์ดี หรือว่าจิตมีอารมณ์ชั่ว

    ถ้าจิตมีอารมณ์ดีเนื่องในกุศลส่วนใดส่วนหนึ่ง อันนั้นควรส่งเสริมพยายามทำให้มากขึ้น รักษาอารมณ์นั้นให้แจ่มใส ถ้าอารมณ์ชั่วของจิตเกิดขึ้นเมื่อใด พยายามแก้ทันที นี่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแนะนำ เตือนให้รู้อยู่เสมอว่าขณะนี้อารมณ์จิตของเราเป็นยังไง เรื่องอารมณ์ของจิต เรามักจะเผลอกัน เราไม่ค่อยได้สนใจกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของตัวเอง ไม่ค่อยมีใครสนใจ มักจะไปสนใจกับเรื่องของบุคคลอื่น อันนี้มันเป็นอุปกิเลสนะขอรับ รวมความว่าเข้าถึงความชั่ว อุป แปลว่าเข้าไป กิเลส แปลว่าความเศร้าหมอง ไอ้ความเศร้าหมองก็ความชั่วน่ะเอง"

    ------------------------------------
    จาก : หนังสือมหาสติปัฏฐานสี่

    ฟังเสียงหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เทศน์เรื่อง” จิตตานุปัสสนา”
    youtube.com/watch?v=DOYcB4IGSXw

    อ่าน “จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน”
    ในหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑
    thasungmedia.com/wat/puy/ebook/2555/Romkhamsong1/#/104/
     
  6. NRK

    NRK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +98
    ยังอยู่ครับบ :D
     
  7. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    ~*~สาธุธรรม~*~

    กับญาติสันติธรรม
    เพื่อนๆกัลยาณมิตร ทั้งหลายฯ
    วันนี้ พระในจิตจะมาให้ลาภ
    ให้ลาภนะ ไม่ใช่ โลภ
    ไม่ใช่ ตัดสระโอทิ้ง
    แล้วเอาสระอามาใส่ตรงกลาง ระหว่างอักษร ล.ลิง กับ ภ.สำเภา
    แต่ให้เราเปลี่ยนจิตตนเอง เท่านั้น ก็คือ เปลี่ยนแนวคิด
    เหมือนเมื่อก่อน การปฎิบัติธรรม จิตเป็นผู้หลงไปยึดติดนู้นนี่
    สารพัดจะเอาว่างั้นเห่อ แต่พอปฎิบัติธรรมไปได้สักพักนึง
    คือ นับตั้งแต่เริ่มต้นด้วยการสร้างสติ ไปจนถึงสติเกิดรอบ
    หรือ มีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นกับจิต และค่อยๆพัฒนากลายเป็นตัว ปัญญา
    สรุปแล้ว พอมีทั้งสติและปัญญา เท่านั้นแหล่ะ เมื่อก่อน จิตเคยไปยึดมั่นถือมั่น
    หรือ เที่ยวไปเกาะนู่นนี่ มาเป็นของตนเอง แต่ตอนนี้
    จิตค่อยๆวาง จากการยึดถือสิ่งต่างๆนั้น เราก็จะรู้สึกว่าตนสบายใจขึ้น
    หรือ ไม่รู้สึกว่าตนเป็นทุกข์เหมือนเมื่อก่อนอีก ต่อไป
    เพราะฉะนั้น การปล่อยวาง จึงเป็นเรื่อง ปัจจัตตังของผู้ปฎิบัติธรรมท่านนั้น
    แต่จิตปุถุชน หรือคนธรรมดา หมายถึง คนไม่ลงมื อปฎิบัติธรรม
    จิตยังหยาบอยู่ หมายถึง มิใช่ คนเลว แต่หมายถึง จิตไม่เป็นบุญ เป็นกุศล
    จิตไม่เป็นบุญ จิตไม่เป็นกุศล ก็หมายถึง จิตนิ่งสงบภายใน ไม่เป็น
    จิตนิ่งไม่เป็น จึงหมายถึง จิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนที่ดี
    หรือ จิตยังไม่ได้ ภาวนาหรือกรรมฐาน หรือ นำจิตตนมาเดินมรรค
    แต่มิใช่ หมายถึง ตนคือผู้ปฎิบัติธรรมแล้ว จะหลุดพ้นทุกข์เลยซะทีเดียว
    หรือ ปล่อยวางได้หมดจด เหมือนดั่ง พระอรหันต์ ก็ไม่ใช่ แต่ก็ไม่เชิง
    ขอตอบว่า ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของคนๆนั้น
    เช่น มีสติปัญญาไม่มาก การปล่อยวางจึงน้อยตาม
    ส่วนคำว่า ทุกข์ ก็เช่นกัน เราจะมีทุกข์มากหรือน้อย ก็อยู่ที่คำว่า สติปัญญา
    เป็นต้น
    เพราะฉะนั้น ที่นี่ ห้องจิตพร้อมฯ เสมือนเป็นห้องปฎิบัติการ ^^ภาคสนาม^^
    มิใช่ ภาคทฤษฏี หรือ ภาคปริยัติ หรือ
    ต้องมาเน้น คำว่า อามิสบูชา(ทำบุญ) หรือ ธรรมาทาน
    แต่ที่นี่ จะมุ่งเน้น สร้างสติปัญญา ซึ่งกันและกัน
    เพราะถือว่า เป็นการให้ธรรมาทานแล้ว การให้สติปัญญาคน นับเป็นบุญอันยิ่งใหญ่
    บุญนี้ ไม่มีใครเขาจะไปยึดติดแต่อย่างใด แม้นกระทั่ง ธรรมในจิต ก็ไม่ยึด
    เพราะ เราเกิดมา แท้ที่จริงแล้ว จิตอนัตตา คือ ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย จริง
    ถ้าเอาสติปัญญาตรองกันดูให้ดีๆ แล้วจะเห็นคำว่า อนัตตา
    การเห็นอนัตตา ใครเห็น ตอบว่า จิต จิตแบบไหน ตอบว่า จิตที่ปราศจากกิเลส
    หรือจิตที่ไม่เอา ไม่ยึดเกาะขันธ์๕นี้ ธรรมตรงนี้ จะไม่เน้น
    หมายถึง คำว่า ปล่อยวาง จะไม่มาพูดกันมาก เพราะ ไม่มีประโยชน์
    แต่อยากพูด อยากให้พวกเราพากันสร้างคำว่า สติปัญญาให้มากๆ
    คำว่า อวิชชา นั้นก็จะค่อยๆหมดไปโดยปริยาย
    อ้าว ทำไม ไหลดั่งสายนธี พร่ำไปเรื่อย
    เข้าเรื่อง พระให้ลาภ
    ท่านบอกว่า เปลี่ยนแนวคิดเสียใหม่
    โดยเฉพาะ จิตมนุษย์ คือ เจือปนกิเลสมาก
    ขอให้ตาย ก็ไม่มีผล หมายถึง ขอลาภ
    ยิ่งขอก็ยิ่งไม่ได้ เดี่ยวก็เลิกขอไปเอง ท่านว่ามายังงั้นนะ
    ตื่นมา ปวดหัวแทบตาย แต่ก็ต้องตื่นก่อนเวลา คือ ตีสี่
    เพื่อที่จะมาบอกกับพวกเราในที่นี่ว่า แค่เปลี่ยนแนวคิด
    มิใช่ แค่นึกคิดอย่างเดียว แต่ต้องปฎิบัติด้วยความจริงใจด้วย
    ธรรมตรงนี้ จะใช้ได้ผล เฉพาะ ผู้ปฎิบัติธรรมเท่านั้น กล่าวคือ
    ตัดคำว่า อยาก ออกไปจากจิต ซะ ตรงนี้ ท่านบอกว่า สละเริ่มแรก
    ฝึกจิตละกิเลส หมายถึง กิเลส ชื่อ ความโลภ ฝึกไม่อยากๆๆ ต่อไป เรื่อยๆ
    คำว่า ลาภ จะค่อยๆมาแทนที่ ท่านว่ายังงั้นนะ อย่ามาถามผมนะ ผมไม่รู้เรื่อง
    ท่านให้พิสูจน์พร้อมกัน หรือ ลงมือปฎิบัติภายในกันเอง
    สรุปคือ ไปหาคำตอบเอาวันข้างหน้า อย่าตามหาคำตอบเอาตอนนี้
    อีกอย่างนึง คือ เรื่อง การรับอารมณ์คุณของพระรัตนตรัยหรือพระมหาเมตตาฯ
    ท่านแนะ ควรเตรียมจิตให้พร้อม หมายถึง ทำคุณสมบัติ 2 ประการนี้ ก่อน
    คือ ...
    ๑.ทำจิตให้นิ่งสงบ นานๆ
    ๒.เมื่อจิตตนนิ่งสงบดีแล้ว เอาสติถามจิตว่า ตรงนี้ เป็นบุญ? กุศล?
    อย่าเพิ่ง ใจร้อน รีบนำจิตไปน้อมรับเอามา ถึงทำไปก็รับไม่ได้ เพราะจิตยังหยาบ
    หมายถึง จิตตนยังไม่นิ่งมากพอ จิตไม่นิ่งต่อเนื่อง จึงเป็นจิตที่ไม่เป็นบุญ เป็นกุศล
    ท่านบอกให้ปรับพื้นจิตคนที่รับก่อน แต่ถ้าปรับไม่ได้ ควรทำสมาธิจิตก่อน
    โปรดทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นแล้ว หากรับไม่ได้ก็อย่ามาว่ากัน
    เพราะคนที่รับได้มีหลายคน มิใช่ ผมทำได้คนเดียว โม้อยู่คนเดียว
    การทำดีภายใน ต้องตั้งใจ จริงๆ มั่นคงต่อพระรัตนตรัย จริงๆ
    เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม คนส่วนใหญ่ รับไม่ได้
    ปลูกบ้าน ปลูกตึก ปลูกคอนโดฯ ยังต้องปรับพื้น ตอกเสาเข็ม
    ปลูกพืชหรือทำนา ก็ต้องปรับหน้าดินเลย เห็นไหม
    นี่การรับอารมณ์เบื้องสูง พวกเราจะมาทำแบบมักง่ายกันได้หรือ
    ทุกคนรู้ว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์มากขนาดไหน แต่คนรับ เครื่องรับของเรามันดีไหม
    ทำไม รับไม่ได้ อารมณ์เบื้องสูงนี้ นอกจาก มีความศักดิ์สิทธิ์มาก
    ยังเป็นอารมณ์บุญกุศลสูงมาก โดยเฉพาะ มีความละเอียดอ่อนมากนัก
    คุณไม่รู้หรอกว่า ขนาดพระสงฆ์ก็ยังตามหา หรือ
    คนจะทำงานใหญ่ในทางพระพุทธศาสนา ก็เช่นกัน
    ถ้าใจยังมีกิเลสอยู่มาก ก็ไปไม่รอด คือ ตกม้าตายเอง
    แต่ถ้าคนๆนั้น เข้าไม่ถึง คำว่า พระรัตนตรัย ก็เสร็จเท่านั้นแหล่ะ

    ภู ท ย า น ฌ า น

    https://www.facebook.com/photo.php?fbid=498017243668701&set=gm.630565717063552&type=1&theater
     
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    ๐๐อย่าไปโทษ กรรม
    ๐๐อย่าไปโทษ ผู้อื่น


    สิ่งที่น่าจะโทษ คือ โทษตนเอง
    เพราะ ตน ที่มีสติปัญญา น้อยเอง

    ที่พูด มิได้ หมายถึง ผู้ใด
    ธรรมะ เป็นของกลางๆ

    อย่าโทษใครเขา เพราะกรรมเราทำมาเองทั้งนั้น
    พระตถาคตเจ้า คนคิดเอาชีวิต ยังสอนให้เป็นพระโสดาฯ พระอรหันต์ได้เลย
    เพราะฉะนั้น จงวางกรรมใดๆซะ ในระหว่าง ปฎิบัติธรรม
    หรือ ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    กล่าวไว้ว่า จงอย่าสนใจจริยาผู้อื่น เพราะไม่เกี่ยวมรรคผลของตน

    อดีตกรรม คนทำมาไม่เหมือนกัน
    โดยเฉพาะ นำจิตมาเดินมรรคมีองค์๘ ศีล สมาธิ ปัญญา
    หรือในระหว่างปฎิบัติธรรม จงสนใจ สติกับจิตตนเองเท่านั้น
    มีสมาธิอยู่กับการสร้างสติตนเองเท่านั้น จนกว่าสติกลายเป็นสติสัมปชัญญะ
    หรือ มหาสติ คือ สติเกิดอัตโนมัติ คือ ไม่ต้องไปกำหนดหรือสร้างเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

    จงหันหลังสิ่งเหล่านะซะ แล้ว ตั้งหน้าตั้งตา เดินตามพระธรรม
    คนเดินพระธรรม หมายถึง คนปฎิบัติธรรม
    คนปฎิบัติธรรม หมายถึง คนที่กำลังเดินตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์

    สรุป ถ้าสติปัญญาของตนมีมากขึ้นๆ จากปัญญากลายเป็นญาณชนิดหนึ่ง ชนิดใด
    เพราะฉะนั้น แผ่นดินจะไหวกี่ริกเตอร์ ก็ทำอะไรจิตใจตนไม่ได้
    คือ ไม่มีผล แต่คนๆนั้น จะต้องสอบผ่านเรื่องความกลัว ความตายของตนก่อนนะ

    ส่วนเรื่องโลกธรรม๘ ต้องไม่แวะหรือยุ่งเกี่ยว
    ถือโลกธรรม๘ เป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนต้องพบเจอ
    เพราะทุกคนเกิดมามีกายหยาบ จึงไม่มีผู้ใด จะหลีกหนีพ้น

    คนที่จะเอาดี ^^ทางธรรม^^
    ก็พยายามห่างๆ ทางโลก ให้ได้
    ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ก็จะหาดีไม่ได้
    ถึงโลกยุ่ง แต่อย่าให้จิตใจของตนมันยุ่งตาม

    ๐๐คนที่ไม่อยากยุ่งทางโลก หรือ โลกธรรม๘
    เพราะฉะนั้น ให้สวนกระแสกิเลสตน
    แล้วก็เดินตามหลังพระพุทธองค์
    ปลอดภัยที่สุด เบาที่สุด เย็นที่สุด
    เพราะกิเลสมันเป็นของร้อน เป็นทุกข์
    นำจิตออกมาจากกองกิเลสหรือกองทุกข์ คือขันธ์๕
    โดยเฉพาะ จิตสังขาร(คิดปรุงแต่ง) อย่าหลงตกลงไป
    เพราะท้ายที่สุด ไม่มีใครทุกข์ คนที่หลงตกไปอยู่ในโลกแห่งความคิดตนเอง
    คิดเอง ทุกข์เอง แล้วเราจะไปโทษใครเขา

    ภู ท ย า น ฌ า น


    https://www.facebook.com/photo.php?...758.1073741829.100003812895876&type=1&theater
     
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    ๐๐๐ ขอพูด เรื่อง...อารมณ์พระรัตนตรัย
    และพระมหาเมตตาของพระพุทธองค์ซึ่งหาประมาณมิได้


    ถ้าผู้ใด อยากจะรับรู้และสัมผัสอารมณ์ที่กล่าวมานี้
    อยากอย่างเดียวไม่ได้แน่ แต่ควรถามใจตนเองก่อนนะว่า
    จิตเราเป็นยังไง ตรวจสอบสุขภาพ คุณภาพจิตตนก่อน
    ผมเคยแนะพวกเรามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ว่า
    อย่าเพิ่งไปรีบรับอารมณ์ที่มานี้ ใจเย็นๆ อย่าใจร้อน
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยากรับและสัมผัสอารมณ์กันตรงนี้
    ต้องทำคุณสมบัติ ๒ ประการนี้ให้ได้เสียก่อน มันมีขั้นมีตอนของมัน
    แต่ไม่ได้เรื่องมาก ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ทุกคนก็รับกันได้หมดแล้ว
    ทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้วนี่ แล้วจิตเรามันเข้าไปถึงกันจริงๆซะที่ไหนเล่า
    เพราะอารมณ์ที่ว่ามานี้ เป็นอารมณ์ละเอียดมากๆ
    เพราะฉะนั้น คนที่พอจะรับได้ ก็คือ
    ต้องปรับจิตหรืออารมณ์ให้ละเอียดมากๆก่อน
    อารมณ์๒ประการที่ว่ามานี้ ก็คือ
    ๑.ทำจิตให้นิ่งมากที่สุด
    คนที่ทรงสมาธิจิตหรือฌานเป็นวสี อันนี้จะได้เปรียบกับคนอื่นๆนิดนึง แต่ไม่มาก
    ๒.แต่ทว่าจิตเรานิ่งดีพอแล้ว คอนเฟิร์มจิตตนสักนิดนึงว่า นิ่งแน่นะ
    แต่ถ้านิ่งดีแล้วก็ถามใจตนเองอีกว่า จิตตนตอนนี้ มันตั้งอยู่เฉพาะ คำว่า
    บุญกุศลดีแล้ว รึยัง อย่าเพิ่งใจร้อน รีบนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย
    เด่ว รับไม่ได้ แล้วจะมาโทษกันอีก
    ๐๐แต่ถ้าไม่แน่ใจ ก็ทำจิตใหม่ ทำจิตตนนิ่งไปเรื่อยๆก่อน
    แต่ถ้าแน่ใจแล้ว ค่อยระลึก นึกถึงคุณของพระรัตนตรัย
    อันได้แก่ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ นึกให้ออกกันนะ
    แต่ถ้านึกได้แล้ว ต่อไป
    ก็ให้นึกถึงพระมหาเมตตาของพระพุทธองค์ที่ท่านมีต่อเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ค่อยๆร่ายภาวนา เรื่อยๆ
    แต่ถ้าจิตคนนั้นละเอียดจริง ก็จะรับได้ทันที ก็คือ เกิดปิติสุขมากล้น
    อาจมีน้ำตาไหล บ้าง อันนี้ จิตเรามาถูกทางแล้ว
    แต่คนที่เกิดปิติมาก คือ ร้องไห้มาก
    ผมมีวิธีแก้ด้วยวิธีอานาปานฯ คือ การเปลี่ยนอารมณ์จิต หรือ
    ***การเคลื่อนอารมณ์จิต แต่จะเรียกอีกชื่อนึง เฉพาะในกลุ่มจะทราบกันดี
    แต่ไม่อยากบอกที่นี่ สาธารณะ เพราะสติปัญญาคนเราไม่เท่ากัน
    เด่ว ตัวสังขารขันธ์(คิดปรุงแต่ง) จะทำงานมาก คิดกันไปใหญ่โต
    เมื่อเราเปลี่ยนหรือเคลื่อนย้ายจิตหรืออารมณ์จิตตรงนี้กันได้แล้ว
    คำว่า ปิติหรือสุข จิตเราก็จะไม่ไปติดกันตรงนี้แล้ว เห็นไหม
    อาการปิติที่เมื่อก่อนน้ำตานองหน้านั้นก็จะจางหายไปโดยปริยาย
    และหลังจากนี้แล้ว จิตจะนิ่งดิ่งลึก จิตจะชัดเจน
    และมีพลังพุทธะเกิดมากมายมหาศาล ที่พูดเนี๊ย จริงๆนะ ไม่ได้โม้
    ให้ไปถามคนที่พอทำได้กันนะ
    แล้วคนที่ทำได้แล้วก็คอยหมั่นอยู่กับอารมณ์พระมหาเมตตาจากพระพุทธองค์
    ซึ่งหาที่เปรียบไม่ได้ หรือหาประมาณมิได้ อยู่กับอารมณ์มหาเมตตานี้ นานๆ
    ต่อไปดูการเปลี่ยนสำหรับคนที่รับหรือสัมผัสได้
    เมื่อจิตเข้าถึงคุณพระรัตนตรัยและพร้อมเต็มเปี่ยมฤหัยของพระพุทธองค์แล้ว
    เมื่อเรามองเห็นสิ่งใดๆแล้ว
    เราก็จะมีความเมตตากับทุกคนมากมายอย่างไม่น่าเชื่อเป็นมาก่อน
    กระทั่ง จิตจะเข้าใจภาษาสัตว์ คือเข้าใจ คือ
    จิตจะไปสัมผัสถึงจิตใจของสัตว์เหล่านั้นแบบธรรมชาติเอง
    เป็นไปโดยอัตโมัติเองเลย
    แม้นกอนหิน ดิน ทราย น้ำ ต้นไม้ ดอกไม้ จิตเราก็ไปรู้ได้อย่างไรก้ไม่รู้
    บอกไม่ถูก เมื่อจิตละเอียด+มหาเมตตา มันจะเกิดอะไรขึ้นก็รับรู้และสัมผัสสกันเอง
    นี่แค่บอกเล่า เพียงสั้นๆเท่านั้นนะ
    แต่ทว่ามีเวลามานั่งคุยก็จะคุยให้ฟังทั้งวันก็ย่อมได้
    คนที่พูดแบบนี้ได้ ตอนนี้ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวแร๊ะ เห่อๆ
    เมื่อก่อนคนเคยบอกผมว่า อุปาทานหมู่ ไม่ว่ากัน
    ๐๐เข้าใจบนความไม่เข้าใจของคนอื่นด้วยเถิด๐๐
    ตามที่พระมาโปรดในจิต..กราบ กราบ กราบ สาธุๆๆ ((ธรรมในจิตจำจนตาย))
    แค่นี้ก่อน คนที่สนใจ เด่ว รอก่อนนะ
    ผมกำลังอาราธนาจิตบอกกล่าวกับครูบาอาจารย์ในจิตก่อนทุกครั้ง
    ไม่ว่าเราจะคิด-พูด-ทำ โดยเฉพาะ ถามตอบธรรมหรือตอบการบ้านศิษย์
    มิเคยสักครั้งเดียวที่จะเอาสติปัญญามาตอบพวกเธอ
    พวกเธอไม่รู้หรอกว่าผมทำยังไง นี่ไง บอกไปหมดแร๊ะ
    โดยเฉพาะครูสอนจิตเกาะพระทุกท่าน จะต้องทำ
    แต่ถ้าไม่ทำก็ตามใจนะ ไม่ได้บังคับนะ
    เพราะแนะไปหมดแล้ว ถือว่าผมหมดหน้าที่แร๊ะ)..สาธุๆๆ
    ขอบใจที่อดทนอ่านจนจบ ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรม..
    ต่อไปนี้ อย่าหาผมใจดำ เข้มนะ
    เพราะเหตุการณ์หลายอย่างมันสอน บอกแล้วนะ ว่า
    ผมมิได้รักหรือรังเกียจใคร ผมจะอยู่ระหว่างตรงกลางทุกอย่าง
    ไม่มีศิษย์Love ไม่มีศิษย์Ugly ไม่มีพรรคพวก ไม่มีพวกเราพวกเขา
    ถ้าใครคิดแบบนี้ รีบเปลี่ยนจิตซะใหม่นะ
    เพราะตรงนี้ มิใช่ บุญกุศล เลย
    ผมบอกไปหลายครั้งแล้ว ว่า ผมทำเพื่อใคร บอกชัดเจนไปแล้ว
    เพราะฉะนั้น คนที่ดูแค่ภายนอก พึงระวัง ให้ดูข้างใน
    นักปฎิบัติจะต้องมีตาใน
    เพราะว่า ตานอก(ตาเนื้อ) มันเคยหลอกเรามากี่ครั้งแล้ว
    และก็ จิตคิดปรุงแต่ง ก็หลอกมากี่ครั้งแล้ว มันหลอกเก่งยิ่งกว่าผี เห็นรึป่าว
    เห็นผิดเป็นชอบ อะไรประมาณ ของแบบนี้ สอนกันไม่ได้หรอก
    ๐๐ เรื่องการปล่อยวาง ก็เช่นกัน
    อย่าไปสอนกันให้เมื่อย เอาเวลาไปนอนพักดีกว่า
    ที่พอจะสอนกันได้นั่นก็คือ สติปัญญา เท่านั้น
    ส่วนเรื่องปล่อยวาง เป็นเรื่องเฉพาะ บุคคลนั้นๆ เป็นเรื่องบุญบารมี
    หรือวาสนาของคนๆนั้น ทุนเดิมทำกันมาไม่เหมือนกัน สาธุๆๆ
    ขอให้ทุกท่าน เจริญในธรรม..สาธุ

    ภู ท ย า น ฌ า น

    https://www.facebook.com/photo.php?fbid=494451587358600&set=gm.625522527567871&type=1&theater
     
  10. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    ~*~ เรารัก ^^พระรัตนตรัย^^ อย่างไร

    Chill Chill ชิวๆ สบายๆ
    ถึงกายจะป่วย เพราะ ภูมิแพ้หรือแพ้ภูมิ
    แต่จิต มิได้ ป่วยตามกายไปด้วย
    แต่ จิตฉันมันแพ้ต่อ คุณของพระรัตนตรัย
    (ปล.หมายถึง ผู้เขียน)
    พอฉันตื่น คือรู้สึกตัวว่าตื่น แต่ยังลืมตาไม่ขึ้น
    ปรากฎว่า เอ๊า ฉันนอนหลับไป รึ
    แต่ทำไม มันเหมือนไม่ได้หลับ
    เอ้า ที่บอกว่าหลับนั่นน่ะ ก็คือ กายหยาบหรอก รึ
    ออ ฉันเพิ่งถึงบางอ้อ.. เพราะ เมื่อกายหลับ มันก็ตัดเข้าสู่โหมดของจิต ทันที
    เสมือนฉันฝันไป ก็ไม่ใช่ มันไม่เชิง เพราะมันต่างกับความฝัน
    พอฉันตื่น คือรู้สึกตัวว่า ตื่น แต่ยังไม่ลืมตา
    ปรากฎว่า จากโหมดของจิต ก็จะตัดเข้าสู่โหมดกายหยาบอัตโนมัติเลย ทันที
    แสดงว่า กายยังต้องพักผ่อน คือ การนอนหลับ
    แต่จิตก็มีการพักผ่อน(บ้าง)เช่นกัน เช่น การทรงสมาธิ หรือการเข้าฌาน
    แต่ความเป็นจริง เรื่องกาย เรื่องจิต มันต่างกัน ต่างกันที่สภาวะ
    คือ กายยังต้องมีการหลับ การนอน แต่จิต ไม่เป็นเช่นนั้น
    กล่าวคือ จิต ไม่มีการหลับ การนอน มีแต่การพักจิต เช่น คนที่ทำสมาธิเป็น
    ส่วนคนไม่เคยทำสมาธิ หรือนำจิตไปพักผ่อนเลย เอาแต่ส่งออกนอกลูกเดียว
    พลังงานจิตก็เลย หมด เช่น คนจิตตก เพราะกำลังใจตก พลังจิตถูกใช้หมด
    ถ้าคนไหน พลังงานจิตใกล้จะหมด ในที่สุด กายก็ต้องพักผ่อน คือ การหลับ
    ส่วนคนที่นอนไม่หลับ เพราะจิตวุ่นวายๆ กว่าจะหลับ แทบตาย
    คือหมดพลังทั้งจิต ทั้งกาย
    พร่ำซะยาว ก็แค่อยากจะถามพวกเราว่า
    คุณๆ ท่านๆ ที่ปากพร่ำว่า รักเคารพพระรัตนตรัยนั้นน่ะ มันเป็นยัง
    ฉันไม่รู้หรอกว่า ใครเขารักเคารพพระรัตนตรัย อย่างไร
    แต่แบบฉบับของฉัน คือ รักเคารพพระรัตนตรัย แบบนี้ฯ
    ลองอ่านดูนะ มันเหมือนกันหรือต่างกัน อย่างไร
    เมื่อก่อนนั้น ก็คือ ตั้งแต่ฉันจำความได้
    สรุป ก็คือ นับตั้งแต่มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่อง พระรัตนตรัย
    มาจนถึง ตอนนี้ ฉันเข้าใจผิดหมดเลย นั่นก็คือ รักเคารพพระรัตนตรัย
    มีผู้ปฎิบัติท่านใด ไม่รักเคารพพระรัตนตรัย มีบ้างไหม ไม่มีหรอก
    แม้นแต่คนกำลังใจยังไม่ถึง คำว่า ภาวนา หรือปฎิบัติธรรม
    อาจมีกำลังใจถึงแค่บุญชั้นทาน หรือรักษาศีล หรือสวดมนต์ฯ
    แต่ก็ยังบอกว่า ตนนั้น รักเคารพพระรัตนตรัย
    ไม่มี คนไหน ไม่รัก ไม่เคารพ พระรัตนตรัย
    สรุปแล้ว รักเคารพพระรัตนตรัย ทุกคนเลย
    เพียงแต่รักเคารพ หรือมีความรักต่อพระรัตนตรัยกันแบบไหน อย่างไร
    ก็ต้องว่าไปตาม สติปัญญา หรือ กำลังใจแห่งตน
    สรุป ก็คือ รักเคารพพระรัตนตรัยกัน แบบไหน?
    แบบฉบับตนเอง หรือ ตามที่ตนเข้าใจกันมาตั้งแต่ต้นแล้ว
    หรือ รักเคารพแบบ พระอรหันต์
    ลองนึกกันเล่นๆ ดูนะว่า...
    เรารักเคารพพระรัตนตรัยเหมือนพระอริยเจ้าทั้งหลาย กันไหม
    ที่พร่ำบอกว่า เรารักเคารพพระรัตนตรัยกันนั้น
    มันรักแบบ นกแก้ว นกขุนทอง รึป่าว
    แต่ถ้าเรารักเคารพพระรัตนตรัยกัน จริงๆแล้ว
    หรือ เราเข้าถึง คำว่า พระรัตนตรัย กันอย่างไร
    แต่ถ้าเราเข้าถึงพระรัตนตรัยกันจริงๆ
    เพราะฉะนั้น พระรัตนตรัยก็จะไม่เคลื่อน หรือหนีหายไปจากจิตใจของเราเลย
    หมายความว่า จิตใจของเราจึงเต็มเปี่ยมไปด้วย พลังจิต พลังแห่งเมตตา
    คนที่เข้าถึง พระรัตนตรัยกันจริงๆแล้ว จิตต้องมีอาการ
    เช่น จิตใหญ่ จิตโตมโหฬาร เป็นต้น
    เสมือนจิตเรามีพลังแฝง หรือกำลังใจมาก มากกว่าที่ทุกคนคิด
    แต่จะมีพลังแฝงมากหรือมีกำลังใจมาก ก็ขึ้นอยู่กับจิตของคนๆนั้น
    ว่า...จิตปราศจากกิเลสมากน้อย แค่ไหน
    หรือในขณะที่เรารับอารมณ์คุณของพระรัตนตรัยนั้น
    จิตเรานิ่ง จิตเป็นบุญกุศล แค่ไหน
    ขอยกตัวอย่าง ความรักของคนทางโลก
    เช่น ปากบอกว่ารักๆ รักนัก รักหนา แต่ไม่ยอมพาพ่อแม่มาสู่ขอสักทีนึง
    หรือ สามีพร่ำบอกว่ารักๆภรรยา แต่การกระทำหรือแสดงออก มันสวนทางกัน
    ปากบอกว่า รักนะๆ รักแต่ปาก คือ รักไม่แสดงออกมาที่การกระทำเลย
    เช่น ลืมวันเกิด ไม่เคยซื้อของล้ำค่า ไม่เคยใส่ใจ เป็นต้น
    การรักเคารพต่อพระรัตนตรัย ก็เช่นกัน รักเคารพท่าน ต้องแสดงออก
    แต่การแสดงออกนี้ มิใช่ ให้ต้องป่าวประกาศให้ใครๆรับรู้
    แต่จิตของเราต้องแสดงออก คือรักเคารพพระรัตนตรัยด้วยความจริงใจ(จริงๆ)
    ก็ลองถามใจลึกๆของเราดูสิว่า...
    เรารักรักเคารพพระรัตนตรัยเท่าครึ่งของพระอริยเจ้าหรือพระอรหันต์ ท่านไหม
    รู้กันไหม ท่านน่ะ รักพระรัตนตรัย แทบจะทุกลมหายใจเข้าออกทีเดียว
    ถ้าใครนึกไม่ออก ว่า รักเคารพพระรัตนตรัยกันจริงๆนั้น เป็นแบบไหน
    ก็ขอให้นึกถึงเรื่อง ความรัก หรือ ความรักของคนทางโลก
    แต่ถ้าใครมีความรักมาก่อน ก็จะรู้ได้ทันทีเลย ไม่ต้องอธิบายมาก
    เมื่อมีรักก็ย่อมมีความคิดถึงกัน ห่วงหาอาทรกัน เป็นธรรมดา
    คิดถึงอยู่ได้ คิดถึงทุกครา คิดถึงทุกเวลา
    แม้นกระทั่งก่อนนอนหรือตื่นนอน ก็ยังคิดถึง
    เรียกได้ว่า คิดถึง(เธอ)ทุกลมหายใจ
    คิดถึงมาก บางครั้ง บางคน ไม่ยอมหลับ ไม่ยอมกิน
    แม้นกระทั่ง นอนหลับ ความคิดถึงก็ยังติดตามไปถึงในฝัน
    นี่ยังไงหล่ะ ที่พูดมาตั้งยาว ก็แต่อยากจะบอกกัวพวกเรา ว่า
    ความรัก ความเคารพที่ผมมีต่อพระรัตนตรัย
    ขนาดกายป่วยและหลับไปแล้ว แต่จิตก็ไม่วายไปพบ ไปหาท่าน
    ทั้งกลาง ทั้งกลางคืน แม้นกระทั่งยามหลับนอน จิตก็ไม่เคลื่อนไปไหนเลย
    เกาะอยู่ ติดอยู่ โดยเฉพาะ คุณงาม ความดี ของพระพุทธองค์
    โดยเฉพาะ พระมหาเมตตาฯ ซึ่งหาประมาณ มิได้
    ซึ่งก็เปรียบเสมือน..อาวุธเด็ด..ของพระพุทธองค์เลย
    ว่าแต่ว่า คนไหน อยากให้คนอื่นๆ รัก หรือเมตตาเรา
    โดยเฉพาะ ครูสอนพระกรรมฐาน(สมถะหรือวิปัสสนากรรมฐาน)
    หรือ ครูสอนจิตเกาะพระ คือ อยากให้ศิษย์ รัก+ศรัทธา
    ครูผู้สอนท่านนั้น จะต้องรับอารมณ์เบื้องสูงได้ ดั่งที่กล่าวไปข้างต้นนั้น
    ๐๐ผู้เขียน จะพยายามทุกวิธีทาง
    พยายามสื่อทุกอย่าง เท่าที่ตนจะทำได้
    อยากให้เพื่อนๆ หรือนักภาวนาด้วยกัน
    รักเคารพพระรัตนตรัย ด้วยความจริงใจ จริงๆ
    โดยเฉพาะ การเข้าไปให้ถึง คำว่า คุณของพระรัตนตรัย
    คือ มีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อยู่ประจำใจ
    หรือ ถ้าเป็นไปได้ มีอยู่แทบจะทุกลมหายใจเข้าออก จะดีมากเลย
    นักภาวนาที่ดี ควรเปลี่ยนลมหาใจ ซึ่งเมื่อก่อนเข้าใจว่า
    เราหายใจทุกครั้ง นั่นหมายถึง เราหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป
    แต่นักภาวนา ที่ต้องการเข้าถึง คำว่า พระรัตนตรัยกัน จริงๆแล้ว
    ขอให้นักภาวนา กำหนดลมหายใจเข้าไปนั้น ก็คือ พระรัตนตรัย
    พร้อมกับพระมหาเมตตาจากพระพุทธองค์ แแต่ถ้าใครทำบ่อยๆแล้ว
    จะรู้สึกว่า จิตหรืออารมณ์จิตของตนเปลี่ยนไปทันที ใหม่ๆอาจไม่ชิน
    แต่พอเราทำบ่อยๆ เพลินๆ เหมือนเราทำภาวนา จิตเป็นบุญกุศลตลอดเวลา
    ดีกว่าพวกท่านไปทำบุญที่ไหนๆ ก็ไม่เท่านี้
    อันนี้ ขอบอกตามตรงเลย ขอบอกด้วยความเคารพ จริงๆ
    ทุกท่านทราบเป็นอย่างดี ว่า พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
    หรือ แก้วสามประการนี้ ท่านมีความศักดิ์สิทธิ์มากในตัวอยู่แล้ว
    ว่าแต่ว่า คนไหนหรือจิตอย่างไร พอจะรับได้ ก็ขึ้นอยู่กับจิตของคนรับแล้ว
    พระในจิต ธรรมในใจของผู้เขียน ท่านบอกมาชัด
    บอกมาหลายคราแล้ว แต่ผู้เขียนเอง ที่ไม่เอาไหน สื่อภาษาสมมุติไม่ดีนัก
    ผู้เขียนเองต้องขอกราบขมากับลูกหลานของท่านเบื้องบนมา ณ ที่นี้ด้วย
    ขอกราบอภัย กราบขอโทษพวกเราด้วย ได้โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วย
    เมื่อพิมพ์เสร็จ ผู้เขียนน้ำล่วงเลย อยากเห็นพวกเราเข้าถึง
    มีโอกาสเข้าเฝ้าใกล้ชิดจิต หรืออารมณ์จิตของพระพุทธองค์
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ..สาธุ
    ขอให้เพื่อนๆ ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
    หรือเป็นที่พึ่งสูงสุดของจิตใจ จนกว่าขันธ์จะดับเข้าสู่พระนิพพาน

    ภู ท ย า น ฌ า น

    https://www.facebook.com/photo.php?fbid=496133137190445&set=gm.628148910638566&type=1&theater
     
  11. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    ๐๐การเข้าถึง,,,
    คำว่า พระรัตนตรัย อย่างไรเล่า ! ?


    พวกเธอทั้งหลาย มีลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา มิใช่หรือ""
    จงเปลียนลมหายใจทุกขณะเข้าออกของตนอยู่นั้น
    เป็นลมแห่งคุณพระรันตรัยนั้นเสียกายใจเรา จะได้ศักดิ์สิทธิ์ตามไปด้วย
    และเราจะได้ระลึกนึกถึงพระรัตนตรัยตลอดเวลา
    เวลาคิด-พูด-ทำ เราจะได้ละอายใจ ว่า..
    มีพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์สาวกฯ ติดตามตัวเราอยู่เสมอ
    และท่านก็รู้เห็นเราตลอดเวลา
    เป็นการเตือนสติที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยนะ ลองดูๆ
    ยิ่งกว่า อสุภะกรรมฐานซะอีก เพราะหากจิตคนๆนั้น ยังไม่แข็งแรงพอ
    ก็ยาก จะดู นอกจาก จิตใจจะหดหู่แล้ว กลัว สติยากจะเกิด สำหรับ บางคนนะ
    แต่สำหรับผม ปรกติกลัวผีมากตั้งแต่เด็ก แต่ชอบฟังคนเล่าเรื่องผีนะ
    โม้ก้อยากฟัง คริคริ
    กลัวกระทั่งเลือด แผลใหญ่ๆเป็นต้น แค่เห็นเลือด ก็หน้าซีด จะเป็นลมแร๊ะ
    ก่อนปฎิบัติธรรม หรือในขณะปฎิบัติ ผมเองก็หลีกเลี่ยงกรรมฐานนี้มาโดยตลอด
    มาจนกระทั่งพบท่านพ่อ หลวงพ่อ ในสมาธิ
    ถึงว่าท่านพ่อ ดีดดวงจิตผมเข้ามาดูภายในกาย
    มองเห็นภายในกาย เป็นโพรงใส เห็นตับ ไต ไว้ พุง
    แม้นกระทั่ง หัวใจที่กำลังเต้นเห็นบางใส เป็นภาพสามมิติ เห็นหมดเลย
    ว่ามันงานอย่างไร ภายในอวัยวะนี้
    จิตเป็นผู้ดู เป็นผู้รู้ ดูเฉยๆ พอดูนานๆเข้าก็ปลง พอจิตเราปลงเท่านั้นแร๊ะ
    กายหยาบเราก็กลายเป็นพระพุทธรูป ดูต่อไปอีก ก็ระเบิด กลายเป็นจุล เป็นผุยผง
    ในที่สุดก็กลายเป็นควัน และแล้วควันนั้นก็ไม่เหลืออะไรเลย อากาศก็ไม่ใช่
    นอกนั้น ก็รู้สึกตัว เพิ่งถึง บางอ้อ ว่า อ๋อ เมื่อตะกี้นี้ เราไปไหนมา
    ตอนนี้ ออกจากสมาธิลึก แร๊ะ
    ปล. เล่าให้พวกเราฟังเฉยๆ อย่าเพิ่งปักใจเชื่อนะ
    และหลังจากนั้นมา ผมก็เลยเริ่มดูภาพอสุภะได้นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป
    แต่ก่อนนั้น ผมชอบพุทธานุสสติกรรมฐาน
    เพราะจิตสงบไว และไม่กลัวด้วย แถมมีแต่เย็น มีแต่เบากายใจ
    ๐๐ พอมาถึงวันนี้ก็เลยเข้าใจหลวงพ่อฤาษีฯว่า ทำไม ท่านสอนมโนมยิทธิ
    นอกจาก เห็นนรก เห็นพระนิพพานกันแล้ว แต่ความจริงท่านอยากให้คนที่ทำได้
    นำมาตัดกิเลสตนให้สิ้นไปเสีย นี่คือ สิ่งที่พ่อต้องการ
    พ่อ อยากเห็นลูกหลานไปพระนิพพาน
    เพราะว่า ไม่อยากเห็นลูกหลานของพ่อ ๐๐มีทุกข์เลย๐๐
    พ่อสงสารลูกๆ มันทรมานมากลูก เอ๊ย พ่อ รู้สึกและเข้าใจมันดี ทุกข์อ่ะ
    ลูกเห็นพ่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไหม๊ เห็นพ่อทุกข์ไหม๊ ทุกข์เพราะมีกายหยาบ
    เกิดมาชาตินี้ พ่อ ทุกข์มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะป่วยมาก เพราะกรรมทำมาตั้งแต่อดีตชาติ
    กรรม อดีตชาติที่พ่อทำไป ไม่มีเจตนแบบนั้น แต่พ่อต้องทำ เพื่อปชช.จะได้อยู่ดี
    เพราะสมัยนั้น พวกมันชอบเข่นฆ่า โดยไม่มีเหตุผล ชอบบุกชิงบ้าน ชิงเมือง
    ไม่เหมือนสมัยนี้ พ่อนอนไม่ค่อยหลับเลย เพราะระแวง เกรงเขามาเข่นฆ่า ปชช.
    พอก่อนๆ ลืมตัว นึกว่า ตนเองเป็นพ่อ
    แต่ลูกที่นี่ รักเคารพพ่อคนนี้มาก ลูกและครูที่นี่ พยายามทำทุกวิธีทาง
    เพื่อพากันสร้างสติปัญญา แต่ลูกบางคนของพ่อ ก็แสนจะดื้อ
    มีตั้งแต่ไม่ดื้อเลย ว่านอนสอนง่าย ไปจนถึง ดื้อ สุดๆ เห่อๆ ไม่ได้ฟ้องพ่อ
    แต่พ่อรู้หมดแล้ว ที่สอนไม่ได้ ผมก็ทำตามที่พ่อเคยสั่งสอนลูกคนนี้มา
    พ่อ มีเมตตาต่อลูกมาก พ่อ รักลูกหลานของพ่อมาก
    ความรักของพ่อ ไม่ได้ยึดติดแต่อย่างใด พ่อไม่ทุกขืแล้วลูก
    เพียงพ่อรักและห่วงลูก ทุกๆคนเลย พ่ออยากบอกลูก ทุกๆวัน
    ลูกพ่อ อย่าทำไรเพลินกันนัก เพราะลมหายใจ ไม่ใช่ของเรา
    เพราะเราไปบังคับมันไม่ได้ เข้ากฎไตรลักษณ์ของพระพุทธองค์หมด
    อย่าลืมนะ พ่อ รอ ลูก ทุกๆวันเลย
    อีกเมื่อไหร่ ดวงจิต ดวงวิญญาณของลูกพ่อ จะขึ้นมาข้างบนนี้..พระนิพพาน
    เหมือนพ่อแม่ รอลูกๆกลับมาจากโรงเรียน กลับมาจากที่ทำงาน เป็นต้น
    พ่อทนทุกข์ ทนได้เพื่อลูกหลาน หวังลูกหลานมีดวงตาเห็นธรรม เห็นกรรม
    และท้ายที่สุด อย่าลืมนะ วิปัสสนาญาณข้อสุดท้าย ที่พ่อเคยบอกว่า
    นั่นก็คือ การยอมรับกฎของธรรมดา
    ถึงตอนนี้ จิตก็พร้อมไปพระนิพพานทุกเมื่อ
    ท่องไว้นะลูก ถ้าใครทำไม่ได้ ให้เอาจิตปักไว้ ท่องไว้ คำว่า นิพพานังฯ
    เพราะมันยากสำรับบางคนที่ยังมีกำลังใจกว่าเขา
    นึกถึงพ่อ บ่อยๆ นะลูก แล้ว พ่อจะมาหา จำไว้นะลูกรัก
    พ่อ รัก ลูก ทุกๆคน
    ถ้ารักพ่อจริง ต้องทำตามที่พ่อบอกมานะ ไม่ใช่แค่อ่าน
    สิ่งที่พ่อต้องการก็คือ พากันสร้างสติปัญญา
    (แอบร้องไห้คนเดียวเลย ไม่มีเพื่อนร้องด้วย ถามว่าอายไหม ตอบว่า ไม่)

    ภู ท ย า น ฌ า น


    https://www.facebook.com/photo.php?fbid=491756397628119&set=gm.621601407959983&type=1&theater
     
  12. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    # จงทำให้พวกเขาดู เถิด
    ๐๐สุภาษิตทางโลก๐๐
    ค่าของคน อยู่ที่.. ผ ล ข อ ง ง า น

    ๐๐สุภาษิตนักภาวนา๐๐
    มรรคผลของนักปฎิบัติ อยู่ที่..ก า ร ป ล่ อ ย ว า ง

    อย่าไปถือเอาพรรษา หรือว่า ปฎิบัติมากี่ปีแล้วก็ช่าง
    แล้วไง ถ้าจิตเรายังไม่รู้จัก คำว่า ปล่อยวาง
    ตราบใด ความทุกข์ยังปรากฎอยู่ที่จิตใจ
    นั่นแสดงว่า จิตเรายังยึดมั่นถือมั่นอยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง
    ส่วนคนที่ไม่รู้จักทุกข์ใจ นั่นแสดงว่า จิตข้างในปล่อยวาง
    และคนที่รู้จัก คำว่า ปล่อยวาง ยิ่งปล่อยวางมากเท่าใด
    ก็จะรู้สึกว่าเบาและเย็นมาก เท่านั้น ให้ดูของจริงกันตรงนี้
    ทำไม จิตไม่ยึดหรือไม่ไปเกาะแล้ว ก็เพราะว่า จิตมีปัญญา((ระดับหนึ่ง))
    ทำไม ต้องมีคำว่าระดับนึงด้วย ก็เพราะว่า ปัญญาคนเราไม่เท่ากัน
    เมื่อปัญญาไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น เรื่องการปล่อยวาง ก็ไม่เท่ากันด้วย
    ลองสังเกตดูที่จิตใจของตนเองนะ เพราะจิตใจคนเรามีความต่างกันไป
    เพราะฉะนั้น เรื่องปล่อยวาง จึงเป็นเรื่องปัจจัตตัง เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
    ไม่มีผู้ใด ไปทำแทนหน้าที่ของกันและกันได้ เจ้าของจิตต้องดูเอง รู้เอง
    ว่า กิเลสตัวใด ที่ยังปล่อยวางไม่ได้ หรือปล่อยวางไม่เป็น
    ส่วนธรรมะ ถ้าพูดไปแล้ว ฟังไปแล้ว อย่างมากก็แค่ รู้และเข้าใจ
    แต่ยังไม่สามารถจะปล่อยวางได้ ทันที ทันใด
    (ตรงนี้ นักภาวนา ต้องถามใจตนเองมากๆหน่อย)
    ขอยกตัวอย่าง สมัยพุทธกาล คือสมัยที่พระพุทธองค์ทรงมีชีวิตอยู่
    พระพุทธองค์ทรงโปรดธรรมกับผู้ใดไปแล้ว
    บางท่านได้เป็นพระโสดาบัน บางท่านได้พระอรหันต์ ก็มีถมไป
    เพราะด้วยเหตุใด นอกจาก พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้มีพระบุญญาธิกาลสูง
    มีบุญฤทธิ์สูง มีบุญบารมีสูง และมีพระมหาเมตตามากมายล้นพ้นยิ่งนักแล้ว
    สรุปแล้ว ล้วนมีปัจจัยจัยมากมายนัก แต่ก็อยู่ที่วาระจิตของคนๆนั้นอีกด้วย
    เช่น มีของเก่า คือมีบุญบารมีไม่เท่ากัน ก็ด้วยเหตุนี้ จึงมีบัวสี่เหล่า เป็นต้น
    อดีตไม่สำคัญเท่า..ธรรมปัจจุบัน
    เพราะความเพียรมากเท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่ง ทุกอย่าง
    เพราะฉะนั้น นักภาวนา อย่าได้สนใจจริยาผู้อื่น ตามที่หลวงพ่อสอน
    โดยเฉพาะ จิตกำลังเดินมรรค หรือกำลังปฎิบัติธรรม
    หากนักภาวนาท่านใด ยิ่งสนใจจริยาผู้อื่น มากเท่าใด
    เพราะฉะนั้น คำว่า มรรคผลของตน ก็ยิ่งจะหดหายลงไปมาก เท่านั้น
    ขอให้ทุกๆท่าน เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป..สาธุ

    ภู ท ย า น ฌ า น

    https://www.facebook.com/photo.php?fbid=491942874276138&set=gm.621913771262080&type=1&theater
     
  13. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    @แ ก่ น

    จริงๆแล้ว การปฎิบัติธรรม
    ไม่จำเป็นจะต้องมาใช้เวลานานมาก
    หรือต้องมาทรมานกายใจอะไรกันมากหรอก
    ขอเพียงนักปฎิบัติ หัดเป็นคนช่างสังเกต
    อย่าทำไปเรื่อย แบบไร้จุดมุ่งหมาย ปลายทาง
    พยายามมองหาจุดที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ ^จิตและอารมณ์จิต^
    ในระหว่างปฎิบัติ ขอให้มีสติ มีสมาธิ อยู่กับกาย-ใจตนเอง เท่านั้น
    อย่างอื่น อย่าไปสนใจ ยิ่งถ้าใครสนใจอย่างอื่น มาก
    ที่ไม่เกี่ยวกับสองสิ่งนี้ก็คือ กายใจ หรือ กายกับจิต
    ถ้าผู้ปฎิบัติไม่มีระเบียบ วินัย ก็จะหาดีไม่ได้
    คือ ไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร
    เป็นแบบนี้ ก็เพราะว่า เราไม่เอาจริงๆจังๆเอง ทำเล่นไม่ได้(บาปหนา)
    พยายาม มุ่งเน้น ไปที่ตัว ^สติกับจิต^ ก่อนเลย
    ตราบใด สติกับจิต ยังไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน(แยกกันอยู่)
    คำว่า ^สมาธิและปัญญา^ ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน
    เพราะฉะนั้น การปฎิบัติธรรม เพื่อหลุดพ้น ก็เป็นไปได้ยาก
    เพราะเป้าหมายสูงสุดของการปฎิบัติธรรม ในพระพุทธศานา
    นั่นก็คือ การหลุดพ้น เช่น
    หลุดจากพ้นทุกข์ นี่คือ เป้าหมายแรกสุด
    ส่วนเป้าหมายสุดท้าย ก็คือ พ้นวัฏฏสงสาร
    เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะมาพูดเรื่องการพ้นทุกข์ตนเองนั้น
    เราต้องมาพูดกันถึงเรื่อง คำว่า ^สติ^ กันก่อนเลย
    เพราะ ภาคปฎิบัติ คือ ภาคสนาม สติสำคัญที่สุด
    ตอนแรก จะไม่มีคำว่า ปัญญา เพราะปัญญาจะมีทีหลัง
    คำว่า สมาธิ เพราะฉะนั้น สมาธิ จึงมาทีหลัง คำว่า สติ
    ตราบใด ผู้ปฎิบัติธรรม ยังตามหาจิตตนเองไม่พบเจอ
    นั่นก็แสดงว่า สติยังไม่ได้เรื่อง รีบๆสร้าง ต่อไป
    จับจุดให้ได้กันนะ ไม่ใช่ ปฎิบัติไปเรื่อย ทำไปเรื่อย
    ไม่ใช่ เอาแต่ปลีกวิเวก ตามหาอะไรไม่รุ๊ สติไม่เร่งสร้างกันเอง
    เมื่อไม่พยายามสร้างตัวสติ ก็หาจิตตนไม่เจอสักทีนึง
    เมื่อ สติกับจิต ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน
    สมาธิจิตก็ไม่แน่น สมาธิไม่แข็งแรง สักทีนึง
    ปัญญา คือตัวรู้ ก็ไม่เกิด เมื่อไม่เกิด เราก็ไม่รู้จริงๆ สักทีนึง
    มันเป็นแบบนี้ จริงๆนะ
    ถ้าผู้ปฎิบัติธรรม พอจะจับหลักการภาวนากันได้ ก็ไม่ยากแล้ว
    แต่ถ้าคนที่ชอบการภาวนา นั่นแสดงว่า คนๆนั้นเริ่มเข้าถึงการภาวนา
    เข้าถึงภาวนา ก็แปลว่า สติกับจิต มาอยู่รวมกัน ที่เดียวกัน
    เสมือนครอบครัวที่อยู่ด้วยกัน พร้อมหน้าพร้อมตากัน จึงจะหมดห่วง
    การเข้าถึงภาวนา คือคนที่มีสติพบจิต(สติ+จิต)
    หรือพบสมถะ คือพบความสงบสุขภายในตน
    พบเจอสิ่งที่กล่าวมานี้แล้ว มิได้หมายถึง บรรลุธรรม แต่อย่างใด
    แค่บรรลุจิต คือ พบจิตตนเอง เฉยๆ
    แต่ยังมี คำว่า หลง อยู่มาก แค่รู้ตัวตัวเองเข้ามาหน่อย
    เพราะสมถะยังอยู่ในเขตแดน คำว่า โลกีย์ (เป็นไปแบบคนโลกๆ)
    จิตพระโสดาบันขึ้นไป จึงจะถือเป็นเขต ^โลกุตตระ^ (เบื้องต้น)
    เมื่อจิตผู้ใด เดินมรรคา ที่เรียกว่า ^สมถะ^
    ถ้าเปรียบเสมือนนักเดินทาง ก็เดินได้แค่ครึ่งทางเท่านั้นเอง
    เพราะฉะนั้น จะต้องต่อไปอีก ให้ถึงเขตแดน คำว่า วิปัสสนา
    และจะต้องเดินให้เลย คำว่า วิปัสสนา ด้วย
    แต่ถ้าไม่เลย ก็แปลว่า วิปัสสนาไม่ขาด
    นั่นก็หมายถึง ไม่หลุดพ้น ซะทีเดียว
    การปฎิบัติธรรมนั้น ไม่ยากๆ
    แต่จะยาก สำหรับคนที่ไม่เอา จริงๆ จังๆ
    บางคนเอาจริงจัง เรียกว่า บ้า จริงๆ แต่ดันไปบ้า สมถะ
    คือบ้าฌานสมาบัติ หรือจิตติดสุขจากฌาน
    เลยออกไปไกลกว่านี้ ก็คือ ติดหรือยึด นิมิต เป็นตัวเป็นตน
    อันหลังนี้ ท่าทางจะไปไกลจริงๆ เพราะกู่ไม่กลับแร๊ะ ใครเตือนไม่ฟัง
    นิมิต หรือพบของเก่า เช่น อภิญญา ต่างๆ มิใช่ เป็นเรื่องแปลก
    ไม่ใช่เรื่องวิเศษ วิโสอะไร อย่าไปให้ความสำคัญมากนัก
    ถ้าเราคิดว่า ตนเป็นลูกพระตถาคต หรือลูกท่านพ่อ หลวงพ่อ(ฤาษี)
    เพราะฉะนั้น ต้องเอาอย่างท่าน คือปฎิบัติตามท่าน
    ท่านพ่อ หลวงพ่อ มีทุกอย่าง แต่ท่านไม่ไปยึดอะไรตรงนี้
    แต่ท่านทำเพื่อ ^นิพพาน^ ถ่ายเดียว
    จิตที่จะหลุดพ้นจริงๆนั้น ต้องเดินเลย ตำบล สมถะ
    เมื่อเลยมาถึง ตำบล วิปัสสนา ก็ยังไม่พ้นซะทีเดียว
    เพราะกำลังวิปัสสนาญาณ พ้นจริงๆ ก็ต้องวิปัสสนาให้ขาดดิ้น
    หรือ ต้องเดินเลยทางสามแพร่งนี้ไปก่อน เช่น
    ทางตรง คือ พระนิพพาน
    ทางซ้าย คือ นิมิต ต่างๆ
    ส่วนทางขวา ก็คือ อภิญญา ต่างๆ
    ดูนะๆ ว่า เรา(จิต)อยู่ตรงไหน ของเส้นทางคำว่า ^^มรรคผลนิพพาน^^
    เล็งเป้าให้ดี เป้าไม่สำคัญเท่าตรงเหนี่ยวไก
    เมื่อเหนี่ยวไกไปแล้ว จะถูกเป้าหรือไม่ ก็อยู่ที่ สติตนเอง
    การปฎิบัติธรรม ก็อยู่ที่ตนเป็นหลัก
    ต้องบ้ากับมันนะ อยู่กับกายใจของตนเท่านั้น
    สติกับจิต อย่าให้ห่างกันมากนัก
    แค่คำว่า ตั้งใจ ในทางธรรมนั้น มันไม่เพียงพอ
    แต่ในทางโลกก็เพียงพอแล้ว
    คำว่า สมถะ กับ วิปัสสนา
    สมถะ จะผ่านยากที่สุด หินที่สุด เพราะว่าอะไร
    ก็เพราะว่า นักภาวนาส่วนใหญ่ มักมีสติปัญญาไม่พอ
    อินทรีย์๕ ไม่แก่กล้า ตกแล้วก็ตกอีก ตกซ้ำซาก แต่ไม่เป็นไร
    การปฎิบัติธรรม ไม่มีคำว่า สาย ไม่มีใครมาว่า เสียๆหายๆ
    ไม่มีใครเขามาซ้ำเติมหรอก ตัดปัญหาไป
    แต่เราสอบตกก็นับหนึ่งใหม่ หรือเริ่มต้นใหม่ นั่นก็คือ
    เราต้องหันกลับมาดูที่ตัวนี้ คือ สติ
    คำว่า สติ คือประตูแรกสุด ที่จะเดินเข้าสู่ มรรคผลหรือพระนิพพาน
    อย่าให้มันตกบ่อยนัก หรือโง่บ่อย เดี๋ยวจะโง่ จริงๆ
    แต่จะผ่านโดยง่าย สำหรับผู้ที่มีอินทรีย์๕ เข้มแข็ง
    หรือ มีครูบาอาจารย์มาสอนสั่งในจิต เอ่อ ถือว่าโชคดีไป
    แต่ถ้าไม่มีใครมาสอนสั่งในจิต ก็ต้องรอสติปัญญาตนหมุนรอบซะก่อน
    จึงจะผ่านด่าน คำว่า สมถะ ไปได้
    ขอโทษทีครับ ผู้เขียนพูดในฐานะนักปฎิบัติ มิใช่ นักปริยัติ
    ภาษาออกจะพื้นๆ ธรรมดาๆ อ่าน รู้เข้าใจเลย ไม่ต้องแปลความ
    นักปฎิบัติส่วนใหญ่ มักจะเข้าใจนักปริยัติเสมอ
    แต่นักปริยัติจะเข้าใจนักปฎิบัติหรือไม่ (ไม่ขอตอบ)
    ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ที่แน่ๆ นักปฎิบัติจะต้องรู้วาระจิตตน ว่าอยู่ตรงไหน
    แต่คนอื่น ฉันไม่รู้ ถึงจิตมันรู้ ก็ไม่อยากรู้อยู่ดี แต่ถ้ารู้ ก็รีบวาง ไวๆ
    อยากพ้นทุกข์ แต่ไม่สนใจเรื่อง การปล่อยวาง
    ในระหว่างจิตเดินมรรค มัวแต่สนใจเรื่อง นิมิต อภิญญา
    แทนที่ปฎิบัติเพื่อ การปล่อยวาง
    แต่กลับปฎิบัติเพื่อ เอากิเลสอันละเอียดเข้าไปอีก
    ปฎิบัติตอนแรกๆ ก็เอาดีอยู่ ขยันละกิเลสหยาบๆ
    พอเจอกิเลสละเอียด แต่กลับมองไม่เห็น เป็นเพราะอะไร รู้ไหม
    ก็เพราะว่า ไม่พยายามสร้างสติปัญญาให้ต่อเนื่อง
    สติปัญญามีไม่มาก เพราะขาดความต่อเนื่อง หรือหยุดการพัฒนาจิต
    เมื่อมีสิ่งมากระทบจิต เราก็วิ่งตาม เราก็เป็นสิ่งๆนั้น เช่น เรากำลังโกรธ
    เพราะสติปัญญาน้อยเกิน จึงตามไม่ทันจิตสังขาร(คิดปรุงแต่ง)แห่งตน
    ภาษานักปฎิบัติด้วยกัน เขา แปลว่า สอบตก !!!
    นักปฎิบัติไม่ต้องพูดกัน พร่ำเพื่อ รีบเร่งสร้างสติปัญญาตน ไวๆ
    ถ้าขยันเจริญสติปัญญา บ่อยๆ เนื่องๆ จนเป็นปรกติ เป็นนิสสัยแล้ว
    คำว่า ญาณต่างๆ ก็จะเกิดเอง โดยธรรมชาติ
    จิตอิสระ เพราะปล่อยวาง จากสิ่งที่จิตเคยยึดติด
    เราจึงพบธรรมชาติแห่งจิตตนเอง เมื่อนั้น
    ญาณ ไม่เกิด ก็เพราะว่า จิตติด(สุข)ฌาน ติด(หลง)นิมิต หลงอภิญญา
    สมถะนี่ บางคนติดเป็นเดือน เป็นปี หรือเป็นภพชาติ อสงไขย ว่าเข้านั่น
    ผู้เขียน เว่อร์ จบดีกว่า ติ-ชมได้ ตามสบาย
    ด่าว่าหรือนินทามั่งก็ดีนะ ขอบใจ ขอบคุณ ที่ทำให้โลกธรรมของผม
    สมบูรณ์แบบ ถ้าใครทิ้งได้แล้ว เห่อ เบา สบายแค่ไหน ทุกแซบ
    รักเมตตาทุกคน จุงเบย ขอให้เจริญในธรรม..สาธุ

    ภู ท ย า น ฌ า น

    ปล. ถ้ากล่าวธรรมใดๆ แต่ถ้าไม่ถูกจริต ไม่สบายใจ
    ขอโทษ ขอกราบอภัย มา ณ ที่นี้ด้วย

    https://www.facebook.com/groups/596157757171015/permalink/624803227639801/
     
  14. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    5555 ตัวเล็กเกิ๊น เกือบไม่เห็นซะแร๊ะ นี้ดีน่ะ ที่ตายังดี...(แต่ยายไม่ดีแล้ว) อิๆๆ
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,345
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    ขอบคุณคุณครูเกษค่ะ เฟสบุคตัวเล็ก อ่านไม่ไหวค่ะ สาธุๆๆ
     
  16. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    ระดับจิตของนักปฏิบัติ​

    คนเราก็ต้องอย่างนี้ก่อน ขั้นแรกก็เข้าถึงของหยาบก่อน ต่อเมื่อจิตละเอียดเข้า ก็จะละของหยาบลงได้ ทุกคนมีสภาพเหมือนกัน ของละเอียดเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก พวกเล่นพระ เป็นพวกที่มีจิตเป็นกุศลเหมือนกัน แต่เป็นขั้นกามาวจรสวรรค์ จะไปกะเกณฑ์ให้เข้าถึงธรรมละเอียดนั้นเห็นจะยังไม่ได้ก่อน จนกว่าจิตจะมีบารมีเข้าถึงปรมัตถบารมีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละเขาจึงจะเห็นธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม

    อารมณ์ของกามาวจรจิตนั้น ยังติดดีอยู่มาก คือต้องการให้คนอื่นเห็นตนว่าดี ว่าเด่น อย่างนี้เป็นอาการของกามาวจร ยังเข้าหาทางพ้นทุกข์ไม่ได้ สำหรับของรูปาวจรนั้น มีความประสงค์จะแสดงฤทธิ์ด้วยตนเอง อยากแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์ อย่างนี้ก็ยังเอาตัวรอดไม่ได้

    ต่อเมื่อไรจิตเข้าถึงปรมัตถธรรม คือ มีอารมณ์ละเอียด มุ่งเหตุ มุ่งผล เอาดีด้วยการรักษาอารมณ์ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ฮือตามเขา ถือกฏของกรรมเป็นใหญ่ เมื่อมีสุขก็ไม่ลำพองใจ คิดว่าในโลกไม่มีอะไรจริง สุขทุกข์ของโลกไม่มีความยั่งยืน เป็นอารมณ์หลอน เมื่อมีสุข ก็มองเห็นทุกข์ที่จะตามมาในระยะเดียวกัน พบวัตถุที่ให้ความสุข รู้ว่าทุกข์มันแฝงอยู่ในสุขนั้น เมื่อทุกข์เกิดก็เห็นเป็นของเด็กเล่น ไม่มีอะไรน่าวิตก​

    โอวาทธรรม
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ วัดท่าซุง — with นายอ๊อดคนเดิม เสมอ and สมคิด จันขุนทศ.


    https://www.facebook.com/photo.php?...005.1073741834.100001663212270&type=1&theater
     
  17. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]
     
  18. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]
     
  19. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    เกราะแก้วแห่งธรรม

    สิ่งที่นักปฏิบัติหน้าใหม่ (หรือเก่าด้วย) กลัวกันเป็นนักหนาคือ การ “จิ ต ต ก” มันเป็นอาการที่กำลังใจซึ่งทรงไว้ในด้านดี เกิดพลาดท่าพลาดทาง เลี้ยวกลับไปหาความเลวเก่า ๆ เอาดื้อ ๆ บางคนตั้งหลักไม่ทัน ทำใจให้ยอมรับไม่ได้ เกิดฟุ้งซ่านคิดมาก แทบจะฆ่าตัวตายประชดชีวิตไปเลยก็มี...!

    ความจริงอาการ “จิตตก” หรือ “กำลังใจตก” หรือ “สมาธิตก” เป็นของธรรมดาที่ผู้ปฏิบัติทุกคนต้องเจออยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องเสียอกเสียใจอะไร ก่อนนี้เราทำความเลวอยู่ มาตอนนี้หันมาทำความเลวใหม่ เพราะหลงกลพญามารที่มาล่อลวง ก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรเลย เพราะเรามาจากที่ต่ำ การย้อนกลับที่ต่ำคือเท่าทุน มิหนำซ้ำยังกำไรประสบการณ์อีกต่างหาก...!

    เมื่อรู้ตัวก็ตั้งหน้าทำดีใหม่ ระวังไว้ว่าคราวก่อนเราพลาดตรงไหน ถึงเวลาอย่าให้พลาดอีก...แต่ก็นั่นแหละ เล่ห์เหลี่ยมของมารนั้น ยากที่เราจะระวังป้องกัน ปิดจุดนี้มันตีจุดนั้น ตั้งป้อมรับจุดนั้น มันเข้าตีจุดโน้น...วนเวียนไปไม่รู้จบ จนกว่าเราจะประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พร้อมนั่นแหละ...มารจึงหลอกไม่ได้...

    อาตมาเองนั้น หกล้มหกลุกมานับครั้งไม่ถ้วน บางปีก็หลาย ๆ พันครั้ง อาการจิตตกของอาตมาส่วนใหญ่ เกิดจากกำลังสมาธิขาดตอน ทำให้นิวรณ์เข้าแทรก ชักนำจิตเข้าสู่ความรัก โลภ โกรธ หลง แรก ๆ ก็แย่เหมือนกัน ยิ่งคิดฟุ้งซ่านนิวรณ์ยิ่งซ้ำ กว่าจะทำใจได้ ก็ชอกช้ำทั้งกายและใจ...

    การ “จิ ต ต ก” บ่อย ๆ เท่ากับได้ ซ้ อ ม ค ว า ม คล่องตัวของกำลังใจ แรก ๆ ก็มืดไปเป็นเดือน ๆ มาตอนหลังชักจะชำนาญกับการยกจิตขึ้นสู่จุดเดิม ระยะเวลาของการพลาดไปคิดเลว พูดเลว ทำเลว ก็สั้นเข้าทุกที จนถึงระดับหนึ่ง กำลังใจเห็นความธรรมดาของอาการจิตตกคือ เริ่ม “ทำใจได้” คราวนี้ก็มีพื้นฐานรองรับ...!

    เมื่อเป็นเช่นนี้กำลังใจก็จะแน่นเข้า ถึงพลาดตกลงมา ก็จะไม่ตกเกินกว่าจุดพื้นฐานนี้ และจะ “ฟื้นตัว” เร็วมาก สามารถไปสู้กับกิเลสใหม่ ถึงโดนชกร่วงอีกกี่ครั้ง ก็สามารถลุกขึ้นก่อนที่จะถูกนับสิบ คราวนี้แหละคุณเอ๋ย...การประลองยุทธในสนามเพื่อเอาชนะกิเลสก็เริ่มสนุกสนาน เพราะชักจะมีลุ้นขึ้นมาบ้าง...!

    อาตมานั้น ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ถูกโจมตีด้วยกระบวนท่าเดียวบ่อย ๆ พลอยเกิดความชำนาญ สามารถทรงอารมณ์สมาธิ หนีนิวรณ์ได้ติดต่อกันโดยไม่ขาดตอนเป็นเวลาหลายเดือน แต่อารมณ์มันแน่นมาก ไม่อยากจะพูดจากับใครทั้งนั้น ซึ่ง “หลวงพ่อ” บอกว่า “ยังใช้ไม่ได้”

    ในเมื่อครูบาอาจารย์ท่านว่าอย่างนั้น ก็จำเป็นต้องพยายามกันใหม่ แต่แหม...อารมณ์ “ใช้ได้” ของ “หลวงพ่อ” มันยากอย่าบอกใคร ไอ้เรามันประเภทปรอท เทลงดินเป็นซึมหายวับ ถูกอารมณ์ทางโลกกลืนไปสนิท อารมณ์ที่ “หลวงพ่อ” ต้องการ จะต้องเหมือนกับน้ำบนใบบอน หมุนไปกับโลกทุกอย่าง แต่ไม่ติดในโลก...!

    งานเป่ายันต์เกราะเพชรของ “หลวงพ่อ” มักจะมีควบกับการกวนข้าวทิพย์ อาตมาช่วยงานกวนข้าวทิพย์มาตั้งแต่ครั้งแรก หน้าที่ประจำคือขูดมะพร้าวด้วยกระต่ายไฟฟ้า ไอ้กระต่ายมหาภัยนี้ใคร ๆ ก็กลัว เพราะพลาดนิดเดียวเป็นได้แผลเหวอะหวะ อาตมาเลยต้องเหมามาทุกงาน และเจ็บตัวทุกงานซิน่า...!

    โรงเรียนวัดในขณะนั้นยังเป็นโรงเรียนรัฐบาล ไม่ได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนราษฎร์อย่างทุกวันนี้ อาจารย์ที่คุมหอพักนำนักเรียนหญิงมาช่วยขูดมะพร้าวและคั้นกะทิ วงพิณพาทย์ตีเพลงมัน ๆ ให้จังหวะอย่างคึกคัก เป็นการช่วยให้ทำงานอย่างมีชีวิตชีวา และไม่เหน็ดเหนื่อย

    “อายุสิบห้าก็มาเป็นสาวรำวง มาใส่กระโปรงวับ ๆ แวม ๆ...” พอเขาขึ้นเพลงนี้เท่านั้นก็ได้เรื่อง...! บรรดานักเรียนทั้งหลาย ทั้งโห่ทั้งเฮ ส่งเสียงกรี๊ดกันเป็นที่สะใจ ที่ทนไม่ไหวก็ออกรำเฉิบ ๆ ไปตามจังหวะเพลงด้วยความมันสุดขีด การงานถูกทิ้งชั่วคราว หันมารำวงกันเป็นที่สนุกสนาน กองเชียร์ก็ตะเบ็งเสียงเชียร์กันสุดหัวใจ...!

    เด็กสาวอายุ ๑๕ – ๑๖ นับร้อย ๆ คน ตะเบ็งเสียงพร้อม ๆ กันนั้น มันจะแสบแก้วหูสุดทนขนาดไหนก็สุดที่จะบรรยายถูก จิตของอาตมาที่ชำนาญต่อการ “หนีโลก” ก็วูบเข้าสู่อารมณ์เคยชิน ละวางสิ่งต่าง ๆ ภายนอกทั้งปวง จดจ่ออยู่กับอารมณ์เดียวภายใน สรรพสำเนียงต่าง ๆ ขาดจากใจโดยสิ้นเชิง...!

    ประหลาดแท้...? ทุกครั้งพออารมณ์ถึงที่สุด จิตจะไม่รับรู้อารมณ์ภายนอกเลย แต่คราวนี้มันรู้ทุกอย่าง และถ้าอะไรจำเป็น จิตจะคลายออกมาเพื่องานนั้นโดยเฉพาะ พอเสร็จก็ดิ่งกลับจุดเดิม บังคับมันขึ้นได้ลงได้ดังใจ เหมือนกับการเปิดปิดประตูอย่างไรก็อย่างนั้น นี่กระมัง... น้ำกลิ้งบนใบบอน...?

    จับจิตตัวเองดู เห็นเป็นวงกลมใสสะอาดหมุนวนโดยรอบ เหมือนมีเกราะแก้วคุ้มจิตจากนิวรณ์ ถ้าจำเป็นก็เปิดเกราะออกมารับรู้โลกภายนอก ไม่จำเป็นก็ปิดเกราะกั้นนิวรณ์ไว้ ปล่อยกายวาจาทำหน้าที่ของโลกไปตามเรื่อง มีสติกำกับอยู่ตลอดเวลา อารมณ์หนักเบาจากภายนอกกระทบไม่ได้เลย...

    หลังจากฝึกซ้อมจนชำนาญอาตมาก็เข้าใจ มันเป็นสมาธิสำหรับใช้งานนั่นเอง สามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง โดยไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังทรงอารมณ์สมาธิอยู่...ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็ยังไม่ใช่ที่พึ่งของเรา เพราะอารมณ์โลกีย์ ประมาทเมื่อไรพังเมื่อนั้น... จงระวัง...จงระวัง...!

    ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  20. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    หลวงตาวัชรชัยเล่าเรื่อง "การสงเคราะห์ลูกหลานของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง"

    หลวงตาวัชรชัย เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) จ.สระบุรี
    ท่านเล่าให้ฟังว่า

    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ท่านจะละเอียดลออมาก
    หากเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์และการสงเคราะห์ผู้อื่น...
    เรื่องของการรักษากำลังใจนักปฏิบัติทั้งหลาย...
    ท่านจะทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ
    เพื่อให้ผู้คนทั้งหลายได้หลักในใจของตน
    เพื่อตั้งต้นเดินทางตามรอยเท้าท่านต่อไปได้ด้วยตัวเอง

    คราวหนึ่งที่หลวงพ่อท่านเดินทางไปรับแขกที่บ้านซอยสายลม
    สมัยนั้นหลวงตายังไม่ได้บวชเรียนพระธรรมวินัยกับพ่อ
    แต่ก็ได้รับใช้ใกล้ชิดติดตามท่าน
    ได้เรียนรู้ปฏิปทาของ "พ่อ" อยู่ตามโอกาส

    วันนั้นหลวงพ่อป่วยมาก
    พอรับแขกเสร็จก็รีบขึ้นพัก จะได้มีแรงลงมารับแขกต่อช่วงบ่าย
    หลวงตาก็ตามท่านขึ้นไปปรนนิบัติเหมือนปกติ
    พอหลวงพ่อท่านขึ้นห้องพักหย่อนกายลงบนเตียงนอนไม่ทันไร
    ก็เรียกหลวงตาให้ตามลงไปที่ห้องรับแขกด้านล่าง

    "พ่อกับลูก" พากันเดินลงไป
    เห็นเด็กนักศึกษานั่งหมอบกราบบนพื้นพรมหน้าที่นั่งของพ่อ
    พอเด็กคนนั้นเห็นหลวงพ่อลงมาก็ร้องไห้ยกใหญ่
    ดีใจที่หลวงพ่อลงมาโปรด
    ท่านสนทนาปราศรัยจนเด็กคนนั้นเธอลากลับไป
    หลวงพ่อก็เหนื่อยมาก

    ก่อนขึ้นไปพักหนหลังท่านหันมาบอกกับหลวงตาสมัยนั้น
    ซึ่งหลวงตาจำเป็นมรดกใจถ่ายทอดมายังผู้เขียนจนถึงทุกวันนี้

    หลวงพ่อบอกกับหลวงตาไว้ว่า
    "แกจำเอาไว้นะ
    ถ้าคนที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเขามาหาให้เราช่วย
    ถึงจะป่วยปางตายก็ต้องลุกขึ้นมาสงเคราะห์เขา
    มันเป็นงานของเราลูกพระ
    แต่ถ้าใครมันไม่เอาเรื่องเอาราว
    ต่อให้เอาเงินทองมากองตรงหน้า
    ก็อย่าไปเป็นขี้ข้ารับใช้เขา..."


    พระปลัดนิพพาน โชติธมฺโม
    จากหนังสือ เสียงจากถ้ำนารายณ์
    ฉบับที่ ๓๐ หน้า ๑๒ - ๑๓ "มรดกพระดี"
     

แชร์หน้านี้

Loading...