จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


     
  2. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  3. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]


    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    พรหมวิหาร 4
    (เป็นอาหารรักษาศีล สมาธิ ให้มีกำลังรักษาปัญญาให้คมกล้า)
    1.เมตตา-ความรัก
    2.กรุณา-ความสงสาร
    3.มุทิตา-มีจิตอ่อนโยนไม่ริษยา
    4.อุเบกขา-วางเฉย

    นิวรณ์ 5
    1.ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
    2.ความโกรธ ความพยาบาท
    3.ความง่วงเหงา หาวนอน
    4.อารมณ์ฟุ้งซ่าน
    5.สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า และผลของการปฏิบัติ

    อิทธิบาท 4
    1.ฉันทะ-มีความพอใจ
    2.วิริยะ-พากเพียรทำลายอุปสรรคไม่ถอย
    3.จิตตะ-สนใจในสิ่งนั้นไม่วางมือ
    4.วิมังสา-ใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจ

    ไตรลักษณ์
    1.อนิจจัง-ร่างกายและทุกอย่างในโลกไม่เที่ยง
    2.ทุกขัง-ถ้าไปยึดมั่นก็เป็นทุกข์
    3.อนัตตา-ในที่สุดก็พังทั้งหมด

    กรรมบถ 10
    1.ไม่ฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง ไม่ยุคนอื่น และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นฆ่า
    2.ไม่ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ให้มาเป็นของตน
    3.ไม่ละเมิดกามารมณ์ในบุตร ภรรยาผู้อื่น ไม่ยุคนอื่น และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำ
    4.ไม่พูดจาที่ไม่เป็นความจริง
    5.ไม่พูดวาจาหยาบคายให้ผู้ฟังสะเทือนใจ
    6.ไม่พูดจาส่อเสียดยุยงนินทา
    7.ไม่พูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหล
    8.ไม่คิดอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่น
    9.ไม่คิดจองล้างจองผลาญทุกกรณี
    10.มีความเห็นตรงต่อคำสอนพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตามจนมีผล

    จรณะ 15
    1.สีลสัมปทา-ถึงพร้อมด้วยศีล
    2.อินทรีย์สังวรณ์-สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    3.โภชเนมัตตัญญุตา-รู้ความพอดีในการกิน
    4.ชาคริยานุโยค-ประกอบความเพียรของผู้ตื่นอยู่
    5.ศรัทธา-มีความเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า
    6.หิริ-ความละอายต่อบาป
    7.โอตตัปปะ-ความเกรงกลัวต่อผลของความชั่ว
    8.พาหุสัจจะ-ความทรงจำของผู้มีสมาธิดีอยู่เป็นปรกติ
    9.วิริยะ-ความเพียรก็จะทรงตัว
    10.สติ-ก็จะทรงตัวอยู่เมอ
    11.ปัญญา-จะรอบรู้เพราะปัญญาเกิด โดยอาศัยกำลังของสมาธิเป็นสำคัญ
    12.ปฐมฌาณ-ฌานที่ 1
    13.ทุตินฌาณ-ฌาณที่ 2
    14.ตติยฌาณ-ฌาณที่ 3
    15.จตุตถฌาณ-ฌาณที่ 4

    บารมี 10
    1.ทาน-มีกำลังในพร้อมจะให้เสมอ ไม่ต้องการสิ่งของหรือคำชมตอบแทน
    2.ศีล-มีกำลังใจรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต
    3.เนกขัมมะ-ไม่นอกใจคู่ครอง พิจารณาอสุภไม่ให้เมากาม ลดความโกรธ
    4.ปัญญา-พิจารณาว่าการเกิดเป็นต้นเหตุของทุกข์
    5.วิริยะ-มีกำลังใจต้อสู้อุปสรรค ไม่ยอมแพ้แม้ตายก็ยอม
    6.ขันติ-อดทนต่ออุปสรรค สู้ให้ถึงที่สุดไม่ถอยหลัง
    7.สัจจะ-ทรงความจริงไว้ให้เป็นปกตินึกถึงความตายเสมอ
    8.อธิษฐาน-ตั้งใจไว้ว่าเราจะเป็นพระโสดาบันให้ได้ ไม่ถอยหลังรับพระนิพพานไว้เป็นอาภรณ์
    9.เมตตา-ตั้งใจให้มั่นว่าจะเมตตา คำว่าอมิตรจะไม่มีสำหรับเรา
    10.อุเบกขา-เฉยต่ออุปสรรค เช่น คำนินทา การเจ็บไข้

    ( Cr.น้องเล้ง ลูกหลวงปู่ฤาษีลิงดำ ได้แสดงไว้เพียงส่วนนี้ ผมเห็นว่า ยังไม่ครบถ้วน
    จึงได้เพิ่มเติม สังโยชน์๑๐ เพิ่มเติมต่อท้ายเข้าไป เพื่อให้สมบูรณ์ครบถ้วนมากขึ้น)


    สังโยชน์ 10 ละได้เข้าถึงนิพพาน

    สังโยชน์ คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี 10 อย่าง คือ

    ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้แก่

    1.สักกายทิฏฐิ มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา มีความยึดมั่นว่าขันธ์5 เป็นของเราเขา
    2.วิจิกิจฉา มีความลังเลสงสัยไม่แน่ใจในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    3.สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรตอย่างไม่จริงจัง โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย
    เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียง ด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น
    ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น
    การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น ซึ่งรวมถึงการหมดความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย
    4.กามราคะ มีความติดใจในกามคุณ
    5.ปฏิฆะ มีความกระทบกระทั่งแห่งจิต ได้แก่ความหงุดหงิดขุ่นมัว ด้วยอำนาจแห่งโทสะ
    ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง 5 ได้แก่

    6.รูปราคะ มีความติดยึดมั่นถือมั่นในรูปฌาน
    7.อรูปราคะ มีความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน
    8.มานะ มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือคุณสมบัติของตน
    9.อุทธัจจะ มีความฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ครุ่นคิดแต่ในอกุศล
    10.อวิชชา มีความไม่รู้จริงในอริยสัจจ์ธรรมทั้งสี่ ทำให้หลงคิดไปว่าทุกสิ่งในโลกนี้เป็นของเที่ยงแท้

    พระโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ข้อต้นได้คือ หมดสักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉาและสีลัพพตปรามาส
    พระสกิทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ 4 และ 5 คือ กามราคะและปฏิฆะ ให้เบาบางลงด้วย
    พระอนาคามี ละสังโยชน์ 5 ข้อต้นได้หมด
    พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อ

    **************************************

    หลักธรรม ที่สำคัญยิ่ง ที่นำไปใช้เป็นหลักในการปฏิบัติ ที่ได้รวบรวมนำมาไว้
    ในที่เดียวกัน เพื่อง่ายและสะดวกในการค้นหา

    ขอให้ทุกท่านโปรดนำไปพิจารณาและปฏิบัติตามที่หลวงพ่อฯได้แสดงไว้
    อย่าเอาแต่อ่านเพียงอย่างเดียว ท่านจะได้แค่เพียง "สมองจำได้" เท่านั้น
    แต่ขอให้นำเอาไปปฏิบัติพิจารณาเพื่อฝึกจิตให้สามารถก้าวผ่านไปสู่
    เป้าหมายสุดท้ายของชีวิต นั่นคือ "พระนิพพาน" ตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ท่านได้เมตตาเปิดทาง ชี้ทาง นำทางสว่างให้พวกเรา ที่เหลือ เราจะไปได้หรือไม่
    อยู่ที่ตัวเราเองเท่านั้น ขอให้พวกเราทั้งหลาย จงรีบทำไปเถิด ทำไป ทำไป ทำไป
    พิจารณาไปด้วยปัญญา และด้วยความรักและศรัทธาในพระรัตนตรัย อันมีท่านพ่อเป็นประธาน
    อย่างเต็มเปี่ยมและยิ่งยวดสุดชีวิต และเมื่อนั้น ท่านก็จะสามารถนำพาจิตของท่าน
    ก้าวไปสัมผัสถึง"พระนิพพาน" ได้ในที่สุด...สาธุ ขอเจริญในธรรม

    ด้วยจิตคารวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จบ.๑๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2014
  4. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]

    " วิธีพ้นภัยตนเอง "

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา
    ตรัสสอนไว้ ดังนี้

    ๑. อยู่ที่การหมั่นตรวจสอบจิต ให้มีอารมณ์ผ่องใสอยู่ในธรรมให้เสมอ ตั้งแต่เช้าลืมตาขึ้นมาพยายามตั้งอารมณ์ให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ และพยายามตั้งอยู่ให้มั่นคง ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งหลับตานอนหลับไป หากทำได้จิตจักผ่องใส เจริญอยู่ในธรรมตลอดเวลา เพราะอำนาจของพรหมวิหาร ๔ จักบังคับจิตไม่ให้เบียดเบียนตนเองเมื่อสิ้นความเบียดเบียนตนเองแล้ว คำว่าจักไปเบียดเบียนบุคคลอื่นนั้นย่อมไม่มี

    ๒. ภัยร้ายแรงที่สุดในการปฏิบัติธรรมเพื่อนำไปสู้ความพ้นทุกข์ ก็คือ ภัยจากอารมณ์จิตของตัวเราเองทำร้ายจิตของเราเอง ดังนั้น หากเราทรงอารมณ์ให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ ได้ครบทั้ง ๔ ประการได้มั่นคงตลอดเวลา จิตเราก็ผ่องใสตลอดเวลา เท่ากับสิ้นความเบียดเบียนตนเองแล้ว หรือพ้นภัยตนเองแล้วอย่างถาวร

    ๓. ในการปฏิบัติหากจิตมีอารมณ์คิด ก็ให้คิดใคร่ครวญอยู่ในธรรม แม้จักไม่มีคู่สนทนา ก็จงสนทนากับจิตตนเองคือ ใคร่ครวญในพระธรรมวินัย หรือใคร่ครวญในพระสูตรให้จิตตนเองฟัง และเจริญอยู่ในธรรมนั้น ๆ ทำได้เยี่ยงนี้จิตเจ้าจักผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ศีล สมาธิ ปัญญาจักเกิดขึ้นได้ด้วยการใคร่ครวญในธรรมนั้น ๆ และจักทำให้จิตจำพระธรรมคำสั่งสอนได้ดีพอสมควร ธรรมเหล่านี้จักเป็นผลพลอยได้ ซึ่งกาลต่อไปเจ้าจักมีโอกาสนำไปสงเคราะห์บอกต่อให้แก่ผู้อื่นได้ศึกษาและเข้าใจถึงธรรมนั้น ๆ ไปด้วย

    ๔. แต่อย่าลืมหลักสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการอย่าปฏิบัติเลื่อนลอยจักไม่ได้ผล แม้การแนะนำผู้อื่นก็เช่นกัน อย่าทิ้งหลักสังโยชน์ ๓ ประการเบื้องต้นเป็นอันขาด

    ๕. การแนะนำอย่ากระทำตนเป็นผู้รู้ ให้ถ่อมตนเข้าไว้ว่า ที่รู้นั้นรู้ตามพระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านสอนให้ตัดสังโยชน์ ๓ ประการเบื้องต้น เพื่อกันอบายภูมิ ๔ ไว้ก่อน เพราะการไปละเมิดศีล ๕ เข้าข้อใดข้อหนึ่ง กรรมนั้นก็จักถึงให้ตกนรก

    ๖. นรกขุมแรก สัญชีพนรก๙ ล้านปีของมนุษย์เท่ากับนรกขุมนี้ ๑ วันให้เกรงกลัวบาปเข้าไว้ แต่มิใช่คิดประมาทว่าเป็นไร เราจะพยายามไม่ละเมิดศีล แต่ไม่ต้องรักษาศีลก็แล้วกัน ถ้าบุคคลใดคิดเช่นนั้น ให้ดูตัวอย่าง อานันทเศรษฐี ผู้ไม่มีทั้งกรรมดี คือ ไม่ยอมให้ทานเลย แต่ก็ไม่มีกรรมชั่ว เพราะเขาไม่ได้รักษาศีล แต่ก็ไม่ได้ละเมิดศีล ผลของการไม่ให้ทานทำให้เกิดเป็นลูกขอทานผลที่เขาไม่ได้รักษาศีล ทำให้รูปร่างเขาเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น กฎของกรรมมันเป็นอย่างนี้

    ๗. และอย่าลืมว่าเรามิใช่เกิดมาแต่เพียงชาตินี้ คือปัจจุบันชาติเท่านั้น หากใช้ปัญญาพิจารณาถอยหลังไป คนแต่ละคนเกิดมาแล้วนับอสงไขยไม่ถ้วนในอดีตชาติที่ผ่านมาอย่างนับไม่ถ้วนนั้นทุกๆ คน ทำกรรมชั่วละเมิดศีล ๕ มาแล้วมากกว่าทำกรรมดีนี่เป็นสัจธรรม เพราะฉะนั้นทุกๆ คนย่อมมีบาปเก่า ๆ ท่วมทับใจอยู่ บาปเก่า ๆ เหล่านี้แหละที่จักสามารถดึงทุกท่านลงนรกได้ถ้า หากจิตไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า คือพระโสดาบันขึ้นไปเป็นอันดับเบื้องต้น เพราะฉะนั้น จุดนี้ทุกคนจึงไม่ควรจักประมาท ให้พยายามตัดสังโยชน์ ๓ เอาไว้ให้ดี ๆ เพื่อป้องกันการไปจุติยังอบายภูมิ ๔ อย่างเด็ดขาด

    ๘. การพูดต้องพูดตามนี้การปฏิบัติของพวกเจ้า จักต้องกำหนดรู้อยู่ที่สังโยชน์ ๔-๕ จักได้มีการระงับอารมณ์อันเป็นเหตุให้เกิดความพอใจ และไม่พอใจนี่จักต้องมีสติกำหนดรู้ไว้มิใช่ปล่อยให้กระเจิดกระเจิงไปตามอายตนะสัมผัส เหมือนดังที่ผ่านมานั้นใช้ไม่ได้

    ๙. เมื่อรู้ว่าพลาดก็จงตั้งต้นใหม่ เพียรต่อสู้เรื่อยไป อย่าท้อถอยมีกำลังใจตั้งมั่นไว้เสมอว่า บุคคลใดจักเข้าถึงพระนิพพานได้ บุคคลนั้นต้องตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการได้ จึงจักเข้าถึงได้เราเองก็จักต้องกระทำตามนั้น จักเดินทางอื่นเพื่อเข้าถึงพระนิพพานไม่ได้เลย

    ๑๐. การเอาชนะอารมณ์ที่เป็นกิเลสนี้ นี่แหละคืองานประจำ คืองานสำคัญที่เราจักต้องทำให้ได้ ถ้าปราศจากการกระทำงานนี้แล้ว การเข้าถึงพระนิพพานนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เตือนจิตตนเองไว้เยี่ยงนี้ให้ดี ๆ ปฏิปทาใดที่ครูบาอาจารย์สอนแล้ว จงหมั่นเดินตามทางนั้นด้วยกำลังใจที่ตั้งมั่นในความเพียรหนทางใดเป็นทางพ้นทุกข์ จงเดินตามทางนั้นหนทางใดที่ท่านสอนไว้ว่าเป็นทุกข์ ก็จงละอย่าเดินซึ่งทางนั้น

    ๑๑. ความโกรธ โลภ หลง นั้นไม่ดีทางนี้ทำให้จิตมีอารมณ์ของความทุกข์ จักต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่า อเนกชาติแล้วนะที่เราเดินมาตามทางแห่งความทุกข์นั้น ทุกข์เพราะความโกรธ โลภ หลง ทำให้จิตต้องเสวยทุกข์จุติไปตามอารมณ์เกาะทุกข์ เพราะความโกรธ โลภ หลงนั้นๆ

    ๑๒. เพลานี้พวกเจ้าได้พบแล้วซึ่งธรรมพ้นทุกข์ จงเดินตามมาเพื่อจักได้พ้นจากการจุติในวัฏฏสงสารให้ได้ก่อนตาย ร่างกายนี้ต้องตายแน่ จึงไม่ควรที่จักประมาทยอมแพ้เต้นตามกิเลสอยู่ร่ำไปขณะจิตนี้แพ้แล้วก็แพ้ไป ตั้งสติกำหนดรู้ แล้วรีบตั้งใจต่อสู้กับกิเลสใหม่ อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปโดยไร้ประโยชน์ ขอให้หมั่นเพียรจริงๆ เถิด คำว่าเกินวิสัยที่จักชนะกิเลสได้ย่อมไม่มี

    (Cr.Fb.องค์สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพล )

    ****************************************


    พระธรรมคำสอน จากสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดา พระพุทธสิกขีทศพล ที่๑
    พระองค์ท่านได้กล่าวไว้เพื่อเตือนสติ สอนใจ และให้นำไปเป็นข้อยึดถือปฏิบัติ
    อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการหลงทาง และเพื่อให้ทุกคนสามารถก้าวเข้าสู่พระนิพพาน ในที่สุด...สาธุ ขอเจริญในธรรม

    ด้วยจิตคารวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จบ.๑๔
     
  5. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    ขอให้ท่านทั้งหลาย สำรวจดูความสุขว่า ตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต ครั้นสำรวจดู
    แล้วมันก็แค่นั้นแหละ แค่ที่เราเคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น มากกว่านั้นไม่มี
    โลกนี้มีอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็ซ้ำๆ ซากๆ อยู่แค่นั้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ร่ำไปมันจึงน่าจะมี
    ความสุขชนิดพิเศษกว่า ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงสละ
    สุขส่วนน้อยนั้นเสีย เพื่อแสวงหาสุขอันเกิดจากความสงบกาย สงบจิต สงบกิเลส เป็นความ
    สุขที่ปลอดภัยหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย

    ....กราบนมัสการหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    FB : Nooboonsawan

    *-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

    สาธุค่ะน้องเป้ จากโพสท์ของเป้ ...

    หลวงปู่ดุลย์ท่านมารับรองสัจธรรมความจริง ที่เกิดขึ้นแก่จิตใจพี่อุ๋ยเมื่อวานนี้เลยค่ะ
    อ่านธรรมของท่านที่น้องเป้โพสท์ไว้ น้ำตามันก็เต็มตื้นขึ้นมาทันที
    ก็เมื่อวานนี้เองขณะที่กำลังล้างถ้วยชามตอนเย็น
    จิตพี่เขาก็บอกว่าเขาได้เจอความสุขแท้ในชีวิตแล้ว
    และมันเปรียบเทียบกับความสุขอะไรทางโลกๆนี้ไม่ได้เลย
    ค้นหาพิจารณาต่อไปก็พบว่า ตอนนี้ผู้คนเขาไคว่คว้าค้นหาความสุขกัน
    แล้วเราหล่ะค้นหาอะไร? ที่ทำๆอยู่นี่ก็ไม่ต้องการอะไรเลยในชีวิต
    ทำไปเพื่อให้ได่เลี้ยงธาตุขันธ์ให้มันอยู่ได้ตามสภาพของมัน ไม่ดิ้นรน เดือดร้อนอะไร
    ถ้ามันจะกลายสภาพแปรเปลี่ยนไปตามกฏของธรรมดาเลย ปล่อยให้มันเป็นไป
    ถ้ามันยังอยู่ก็ดูแลมันไปตามสภาพ ให้มันกิน ให้มันนอน ทำความสะอาดไปตามเรื่อง
    ลองค้นเข้าไปอีกลึกๆ ว่าตอนนี้หวังอะไรไหม มันก็ตอบว่าไม่หวังแล้ว
    ทุกอย่างมันเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ของมัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
    เราไปเปลี่ยนแปลงอะไรมันไม่ได้ ถ้าจะเปลี่ยนต้องเปลี่ยนที่จิตใจเราให้ยอมรับ
    เพื่อที่จะอยู่กับมันได้โดยไม่เป็นปัญหา
    คราวนี้นึกย้อนกลับคืนมาสู่ตัวเองอีกรอบก็เห็นแล้วอย่างชัดเจนว่า
    นี่แหละความสุขที่เราไข้วคว้ามานานแสนนานนับหลายอสงไขย
    ความสุขที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดยากแสนยากแต่มันนิ่ง ลุ่มลึกอยู่ภายใน
    ความสุขที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความมั่นคง ในการตัดสินใจทำอะไรโดยที่มีสติคอยตามรู้
    ไม่ว่าเราจะคิด พูด ทำสิ่งใด

    ขอโมทนา สาธุกับน้องเป้ค่ะที่ได้นำธรรมของหลวงปู่เข้ามาแชร์ สาธุ สาธุ
     
  6. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]

    " จะไปพระนิพพาน ต้องทำกำลังใจอย่างไร "


    ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )

    จงจำไว้ว่า จริยาที่เราจะต้องทรงใจมีดังนี้

    ๑. ยามปกติ เราจะไม่สนใจในจริยาของบุคคลอื่น
    ใครเขาจะดี ใครเขาจะเลวมันเรื่องเขาอย่าโอ้อวด
    อย่ายกตนข่มท่าน อย่าถือตัวเกินไป

    ๒. ไม่มีกังวล
    ๓. ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริม
    ... ให้บุคคลอื่นทำลายศีล ไม่ยินดี เมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว

    ๔. ระงับนิวรณ์ได้โดยฉับพลัน เมื่อเราต้องการ
    ความเป็นทิพย์ของจิต ขณะใดที่จิตต้องการสมาธิ
    ไอ้ความเป็นทิพย์นี่มาจากสมาธิ มีความตั้งใจ
    จิตสะอาด ถ้าต้องการจิตเป็นสุขหรือต้องการสมาธิ
    ต้องระงับนิวรณ์ได้ทันทีทันใด

    ๕. จิตทรงพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา คือเป็นปกติตลอดวัน
    ๖. และขอแถมอีกนิดหนึ่งคือ ใจยอมรับนับถือ
    ความดีของพระพุทธเจ้า ความดีของพระธรรม
    ความดีของพระสงฆ์ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย
    ถ้าตายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น


    ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททำได้อย่างนี้
    ฌานสมาบัติจะทรงตัว คำว่าเศร้าหมองไม่ผ่องใส
    กำลังใจไม่เสมอกันสว่างบ้างมืดบ้างจะไม่มี
    จะมีแต่คำว่าผ่องใสเรื่อยขึ้นไปตามลำดับ
    ขึ้นชื่อว่าการเกิดในอบายภูมิต่อไปไม่มีแน่
    จะเป็นการเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย
    เป็นสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ ไม่มีต่อไปอีก
    มีอย่างเดียวคือมุ่งหน้าไปนิพพาน




    Cr.Fb.องค์สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพล
    *****************************************



    พระธรรมคำสอน โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ พระราชพรหมยาน นั้น
    ท่านได้แสดงไว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เพื่อบอกทาง ชี้ทาง นำทาง
    ให้พวกเราได้ยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อก้าวไปให้ถึงเป้าหมาย
    นั่นคือ พระนิพพาน นั่นเอง

    เมื่อทุกท่านได้อ่านแล้ว โปรดนำไปฝึกปฏิบัติจริง ให้สำเร๊จให้ได้
    ตามที่หลวงพ่อฯท่านได้เมตตาชี้แนะแนวทางไว้ ถึงจะได้ชื่อว่า
    "เป็นลูกหลวงพ่อฯ"ที่แท้จริง.........

    แต่ถ้าหากบางท่านยังทำได้ไม่ครบ หรืออาจจะยังขาดตกบกพร่องบางข้อ
    ก็ขอให้พยายามปฏิบัติต่อไป อย่าเพิ่งท้อ ให้ทำไป ทำไป ด้วยใจที่มุ่งมั่น
    และศรัทธาอย่างเต็มร้อยต่อพระรัตนตรัย ต่อท่านพ่อฯ ต่อหลวงพ่อฯ
    แล้วไม่นาน จิตของท่านก็จะไปถึง และสัมผัสได้ ณ.สิ่งที่เรียกว่า "พระนิพพาน"
    ....สาธุ ขอเจริญในธรรม

    ด้วยจิตคารวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จบ.๑๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2014
  7. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขออนุญาตนำส่วนหนึ่งของการบ้านจิตบำเพ็ญอีกท่านหนึ่งมาให้ได้ร่วมโมทนาบุญในความเพียร และ การเป็นนักสู้กิเลสของท่านค่ะ ท่านเกาะพระติดได้เร็วมาก แต่จิตติดอยู่ที่สมถะเท่านั้น จิตท่านไม่ยอมออกมาวิปัสสนาเลยสักที การบ้านก็เขียนมาไม่กี่บรรทัด บอกเล่าแต่เรื่องเกาะพระ จนครูต้องแจกไม้หน้าสาม ไม้ตาย วัดกำลังใจกันไปเลยสักทีว่าตกลงจะฝึกต่อ หรือ จะหนี เพราะครูไม่อยากจะเลี้ยงไข้ไว้อีกต่อไปแล้ว มันเสียเวลากันทั้งสองฝ่ายค่ะ ขอเชิญติดตามอ่านกันได้ ณ บัดนาว สาธุ ​


    **************************************
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ (3 จบ)

    ลูกขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้ซึ่งห่างไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง...ลูกขอน้อมนำพระธรรมของพระองค์ท่านมาบอกกล่าวสอนต่อแก่ผู้ที่พอจะสอนได้เจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ

    ************************************** ​

    สวัสดีค่ะ คุณดา

    ที่บอกว่า เป็นทุกข์เพราะห่วงคนอื่นนั้น คนอื่นในที่นี้คือใครค่ะ แฟน สามี ลูก พี่สาว พี่ชาย

    ถ้าคุณดายังรายงานลงไม่ลึกถึงรายละเอียด ก็ยากที่จิตคุณดาจะสอบผ่านได้ง่ายๆ เพราะอัตตา มานะ ความถือตัวถือตน มันยังมีอยู่เยอะค่ะ

    ลูกศิษย์เราที่ผ่านมาแต่ละท่าน เค้าติดหนี้ที่ไหนยังไง เท่าไร สามีมีเมียน้อยยังไงที่ไหน เจ็บปวดทุกข์แค่ไหนเค้าเล่ามาให้ครูฟังหมดเปลือกค่ะ จริงๆ เรื่องทุกข์ เรื่องกรรมทั้งหลายแหล่ของแต่ละคนครูไม่อยากจะรู้หรอกค่ะ เพราะลำพังกรรมของตนก็พอแรงแล้วค่ะ แต่นี้คือ การฝึกจิต กรรมทุกอย่างที่เจอ ก็คือบททดสอบของจิตค่ะ

    การฝึกจิตแต่ละดวง ก็จะมีเรื่องเฉพาะของจิตนั้นๆ เพราะกรรมของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่ที่คุณดาเขียนรายงานมา มันเป็นเรื่องที่กว้างมาก ใครๆ ก็เขียนเข้ามาได้ค่ะ

    ยังไงจิตคุณก็จะได้แค่สมถะน่ะ จิตจะติดอยุ่ตรงนี้แหล่ะ ถ้าหากว่าตัวคุณดาเองไม่เปิดจิตรายงานการบ้านเข้ามาให้ชัดเจน ครูก็หมดหนทางที่จะชี้แนะต่อค่ะ

    แล้วเรื่องการตามดู รู้ เห็น การเคลื่อนไหวของร่างกาย ที่ครูให้ทำเป้นอย่างไรบ้างค่ะ ไม่เห้นรายงานเข้ามาเลย แต่ไปรายงานอะไรก็ไม่รู้ที่ครูยังไม่ได้ให้ทำเลย กลับไปทำก่อนซะแร๊ะ

    โมทนาสาธุ

    ครูเกษ
    ปล. กำลังใจของคนที่จะไปนิพพานมันไม่ธรรมดาน่ะ อินทรีย์ 5 ต้องแข็งแกร่ง บารมี10 ต้องเต็มน่ะ จะบอกให้ จะมาหน๋อมแหน๋มไปไม่ได้หรอกนิพพานหน่ะ

    ***************************************​

    อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องปัญญาเลยค่ะคุณดา ตอนนี้เอาแค่เรื่องสติก่อนน่ะ

    ถ้าคุณดาไม่เขียนรายงานการบ้านเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเข้ามา ว่าทำอะไรยังไงบ้าง มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง แล้วกระทบกับคุณดายังไง แล้วคุณดาจัดการกับมันยังไง ก็ยากน่ะ ที่จะเดินต่อให้ถูกทางได้

    ครูรอคอยให้คำชี้แนะที่ถูกต้องอยู่น่ะ ว่าจะต้องทำยังไง วิธิปฏิบัติมันมีมาเรื่อยๆ จากการบ้านที่คุณดารายงานเข้ามาน่ะ

    ระวังน่ะ เดินวนหาทางออกจากทุกข์ มุดหัวมุดตัวทำอยู่คนเดียว มันจะเป็นพายเรืออยู่ในอ่างหน่ะซิ ทำไม่ถูกทาง ขยันยังไง ก็เหนื่อยเปล่าเน้อ...

    สาธุ

    ครูเกษ

    *******************************************​


    ขอบคุณค่ะ ขอนำไปแก้ไขและปรับปรุงค่ะ
    อ่านเมล์ ของครู ยอมรับว่า เครียดเลยค่ะ เพราะไม่ได้เรื่องเลยทุกข้อ

    สวัสดีค่ะ ครูทุกท่าน

    เมื่อคืน ก่อนนอน สวดมนต์ ได้ไม่มาก เพราะครุ่นคิดกับกับการบ้านที่ส่งครู ว่าจะแก้ไขยังไงดี นั่งสมาธิ แผ่เมตตา อุทิศบุญ ตามปกติทุกวัน ก่อนนอนขอฝากจิตไว้กับสมเด็จองค์ปฐมค่ะ จนหลับค่ะ ตื่นขึ้นมาก็นึกถึงสมเด็จองค์ปฐมปกติ เข้าห้องน้ำเป็นอะไรที่ต้องคิดถึงพระตลอดไม่รู้เป็นอะไร ระหว่างทำกิจกรรมก็สลับกับการนึกพระ เสร็จแล้วไปวัดค่ะ ขอพระบารมีสมเด็จองค์ปฐม เปิดทางให้เตี่ยกับคุณแม่ มาร่วมอนุโมทนา ทำบุญใส่บาตร ด้วยกัน ตั้งใจอุทิศให้ เตี่ยกับคุณแม่ แต่ก็ยังคิดถึงการบ้านที่ผิดขึ้นมาอีก ว่าทำอย่างไรดี มาถึงที่ทำงานก็เอาคำสอนต่างๆ ที่ปริ้นมา นั่งอ่านทบทวนใหม่ แต่ในใจก็คิดถึงสมเด็จองค์ปฐม ว่า สมเด็จพ่อ เป็นกำลังใจให้ลูกด้วย ขอให้เดินให้ถูกทางด้วยเถิด มาถึงที่ทำงาน ก็คิดว่าจะเอาอย่างไรดี แต่คิดมาตั้งแต่เมื่อคืน จะถอยหรือสู้ สรุปสู้ แล้วมาดูว่ามันติดขัดตรงไหน นำมาแก้ไขตรงไหนบ้าง ทบทวนตำรา มานั่งอ่านหลายรอบ จึงได้มาเขียนการบ้านต่อค่ะ

    - เมื่อวานทั้งวัน ร่างกายมันป่วย แต่แอบดีใจนิดๆว่า ถ้ามันถึงเวลา คงได้ไปนิพพานแล้ว(เข้าข้างตัวเอง) เพราะไม่มีห่วงอะไรแล้ว สมบัติไม่ยึดติด ไม่ติดอะไรเลย

    - เมื่อวาน ตอนเย็นตามไปเยี่ยมยาย ที่รพ. อีก คราวนี้พี่สาวไปด้วย ซึ่งจิตได้ปลงแล้วเหมือนทุกวัน ที่มาเยี่ยม แต่คราวนี้พี่สาวร้องไห้ บอกยายว่า ให้ยายเข้มแข็งไว้นะ เดี๋ยวหายแล้วก็กลับบ้านเรานะ พร้อมกับร้องไห้ออกมา แรกๆ ร่างกายเราก็ไม่หวั่นไหว ซักพักจิตชักไหลตามพี่ไปซะแล้ว น้ำตาก็ไหลตามออกมาบ้าง คุมไม่อยู่แล้ว ใจคิดว่าไม่ได้แล้ว สติมานะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นะ ความไม่เที่ยง เกิดขึ้นกับทุกคนนะ แม้กระทั่งตัวเราเอง หากไหลตามจิตคนอื่นจะเกิดทุกข์นะ สติมา จึงกระซิบข้างหูยายอีกว่า ให้ยาย นึกถึงพระนะ พุทธโธ นะ

    - กลับบ้าน ตามดูการชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยความสกปรก น้ำลาย น้ำมูก ซักพักจิตคิดถึงยายขึ้นมาอีก แต่เราดูจิตของเราเท่านั้นนะ อย่าไปดูจิตของคนอื่น ก็ตามการอาบน้ำที่มีสบู่กระทบร่างกาย เนื้อหนัง ซึ่งพิจารณาดูแล้ว ไม่มีอะไรดีเลย มีแต่ความเสื่อมลงไปทุกวัน จนเสร็จ

    - ขึ้นไปสวดมนต์มีสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน อุทิศบุญ จนเสร็จ เข้านอน ก่อนนอน กราบขอพระบารมีสมเด็จองค์ปฐม ฝากจิตไว้กับพระองค์ ยามหลับ และนึกพระองค์จนหลับไป

    - เช้านี้ตื่นมาพร้อมกับจิตนึกถึงสมเด็จองค์ปฐม กราบขอพระบารมีให้ลูกมีสติ หลังจากนั้นได้ลุกตามดูร่างกายไปเข้าห้องน้ำ สลับกับนึกถึงพระตามปกติ พิจารณาดูตัวเอง มีแต่สิ่งสกปรก ในร่างกาย อุจาระ ปัสสาวะ น้ำลาย น้ำมูก ดูการอาบน้ำ นำสบู่มาชำระล้างกาย รู้สึกว่า ร่างกายเรานี่มันสกปรกมากนะ เราต้องทำความสะอาดให้ทุกวัน ไม่มีส่วนไหนที่ไม่สกปรกเลย ไม่มีไรดีเลย (จิตรู้สึกสกปรก เต็มๆ ครั้งแรก เพราะเกิดการพิจารณาร่างกายตั้งแต่หัวยันเท้า ) จนอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย หลังจากแต่งตัวดูกระจก มองหน้าตัวเองในกระจก เกิดมาทำไมเนีย มีแต่ทุกข์ ไม่เห็นมีสุขเลย ไม่เกิดอีกแล้วนะ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้รอพระมาบิณฑบาตร ด้วยจิตมีสมาธิขอสมเด็จองค์ปฐมมาเป็นประธานในการใส่บาตรด้วย และให้ คุณเตี่ย กับ คุณแม่ มาใส่บาตรด้วยกัน เพราะตั้งใจที่จะอุทิศบุญให้กับ คุณเตีย คุณแม่ ได้บอกท่านให้ท่านตั้งใจปฏิบัติธรรมที่ที่ท่านอยู่ ให้หลุดพ้นไปนิพพานในชาตินี้นะ ตามพระบารมีสมเด็จพ่อองค์ปฐม และด้วยผลบุญที่ลูกได้หนุนนำให้ทั้งหมดนี้ ไม่ต้องมาเกิดกันอีกแล้วนะ เกิดแก่เจ็บตาย ล้วนเป็นทุกข์ จนเรียบร้อย

    - ได้ขับรถไปทำงานตามหน้าที่ พร้อม ฟัง CD หลวงพ่อต่อ หลวงพ่อสอนเรื่องพระนิพพาน จิตคิดตามคำสอนของหลวงพ่อ อารมณ์พระโสดาบัน ตัดขันธ์5 ไม่สงสัยคำสอนของพระพุทธจ้า มีศีล 5 เราก็ครบแล้วนี่นา แต่เอ เมื่อเช้าลืมตัวตบยุง ไป 1 ตัว ไม่ครบอีกแล้ว แค่นี้เรายังทำไม่ได้ สมเด็จองค์ปฐม ท่านลำบากกว่าเราฝึกเองทุกอย่าง กว่าจะหลุดพ้น เรานี่มันเลวจริงๆ เหมือนที่หลวงพ่อสอน

    - ถึงที่ทำงาน เดินขึ้นบันได เห็นความเสื่อมของร่างกายอีกแล้ว ปวดเข่า ความไม่เที่ยง

    - เช้านี้ ได้คุยกับพี่สาว ซึ่งพี่สาวได้เกิดสงสารยายที่อยู่ รพ. ก็เลยบอกพี่ว่า ประมาณว่า อย่าเอาจิตคนอื่นมาทำให้ตนเองเป็นทุกข์นะ รับจิตทุกข์คนอื่นมาทำให้จิตเราเป็นทุกข์ ดูแลจิตตนเองดีกว่านะ พี่เขาก็คลายลงบ้าง เพราะว่าคนเรามันก็ต้องมี เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดานะ มันห้ามไม่ได้ แต่ทำให้ชะลอ ได้บ้าง

    - นั่งทำงาน ไปตามหน้าที่ ร่างกายทำงานไปแต่รู้สึกว่า เรามีสมาธิ เข้าใจรายละเอียดงานมากขึ้น ไม่ทำเพียงผ่านๆไปวันๆ แต่จิตก็คิดถึงคำสอนของหลวงพ่อในเรื่องๆ ต่างๆ ในเรื่องของจิตทำให้ตนเองต้องฝึกจิตของเราในทุกขณะ ไม่ให้หลง ให้มีสติ ตลอดเวลา ไม่ฟุ้ง ไม่ไหลตาม ฟังได้ แต่ไม่ไหลตามจิตคนอื่นนะ ดูเฉพาะจิตเรานะ ตามจิตคนอื่นไปไงล่ะ เรียบร้อย ตามพี่ ก็ร้องไห้ตามเขา เฮ้อ มีแต่ทุกข์จริงๆ คนเรา

    - ตอนเย็น กลับ บ้าน จิตนิ่งขึ้น เพราะมองเห็นว่า ทุกอย่าง เกิดขึ้นและก็ดับไป เป็นของธรรมดา กับพี่ชายที่เขาเคยโกรธเราที่เราเข้าใจเขาผิดเรื่องเงินหาย เราก็ไปคุยกับเขาก่อน ไม่ถือตัวถือตนเหมือนก่อน ลดทิฐิลงไปเยอะมาก เพราะเก็บไว้ไม่พูดกับเขา เราซิเป็นทุกข์ เราอยากพ้นทุกข์ ทิฐิ มีแต่เผาผลาญจิตใจให้เศร้าเปล่าๆ ดับไปทีละตัว

    - อาบน้ำ เห็นร่างกายที่สกปรกอีกแล้ว ต้องทำสะอาดให้ร่างกายอีกแล้ว พิจารณาดูแล้วร่างกายมันสกปรกทุกอณูของร่างกายเลยนะเนียะเรา นี่ภายนอกนะ ถ้าภายในล่ะ จนอาบน้ำเสร็จ ไปสวดมนต์ นั่งสมาธิก็คิดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา อุทิศบุญ เสร็จ จิตเป็นสมาธิค่ะ ในการสวดมนต์ ไม่ค่อยฟุ้ง จิต ระลึกถึงคุณบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐม ทรงเป็นประธานและ กว่าจะมีคำสั่งสอนออกมา ต้องทนทุกขกริยา มานับครั้งไม่ถ้วน

    -ก่อนนอน กราบคุณแม่ กราบพระ กราบหมอน กราบสมเด็จองค์ปฐม ขอฝากจิตไว้กับพระองค์ท่าน แล้วนึกถึงท่านจนหลับไป

    **************************************​

    - เช้าตื่นรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็นึกถึงสมเด็จองค์ปฐมปกติ ขอพระบารมีพระองค์ท่านให้ลูกมีสติ แต่เช้านี้รู้สึกเบื่อหน่ายในร่างกายตัวเองอีกแล้ว เพราะตามดูมาหลายวันแล้ว ร่างกายมีแต่ความสกปรก ไหนจะน้ำลาย น้ำมูก ขี้ฟัน ขี้หู ขี้ตา ต้องเข้าห้องน้ำเอาของสกปรก ในร่างกายออกอีก ทั้ง อุจาระ ปัสสาวะ ทั้งในและนอกเลยนะเนียะ เบื่อจริง ๆ คิดแล้วไม่มีอะไรดีเลยจริงๆ นะร่างกายเราเนียะ เราต้องลุกไปทำความสะอาด เวลาสกปรก ตั้งแต่ผมยันเท้า ผมก็ขี้หัว เนื้อหนังก็ขี้ไคล เล็บก็ขี้เล็บ ไรเนียะไม่มีตรงไหนดีเลยเนียะ มีแต่ขี้ ทั้งนั้น เบื่อจนอาบเสร็จ มาทาแป้ง เนื้อแป้งสัมผัสหน้า รู้สึกถึงเนื้อหนังที่หุ้มกระดูกเราไว้ จิตเริ่มวางอุเบกขา มากขี้น ไม่เก็บเรื่องทุกข์มาคิด

    - รอใส่บาตร ด้วยจิตเป็นสมาธิ ระลึกถึงสมเด็จองค์ปฐมทรงมาเป็นประธานในการใส่บาตร ในทุกครั้ง เหมือนทุกวัน ใส่เสร็จกรวดน้ำ ไปทำงาน

    - ขับรถไปพร้อมกับฟังธรรมหลวงพ่อทุกเช้า สบายใจดี คิดตามไปด้วย ถึงที่ทำงาน ด้วยจิตแจ่มใส ทำงานในหน้าที่ของตนเอง แต่ก็ต้องเจอความสกปรกของเสียในร่างกายภายในอีก ก็ต้องเข้าห้องน้ำเอาของเสียออก ร่างกายไม่ดีอีกแล้วนะ มีแต่ความสกปรก มีแต่ของเน่าเสีย ถ้าดีคงไม่ไปเอาออก จิตกระทบกับงาน แต่ไม่ยึดติดกับมันนะ มันมีขึ้น เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง ถ้ายึดนะเครียดทั้งวัน เราเริ่มวางอุเบกขามากขึ้นๆ เครียดไปทำไม ไม่ดับวันนี้วันอื่นก็ต้องดับ ปล่อย นั่งดูตัวเอง คันก็ต้องเกา ร่างกายไม่ดีอีกแล้วนะ นั่งหลับตา นึกไปถึง ตับไตไส้พุง โห มันไม่ดีเนอะ คงเหม็น กินอะไรไปมันคงไปเน่าเหม็นอยู่ในนั้น มันทำงานทุกวัน ย่อมเสื่อมลงเป็นธรรมดา ซักวันมันต้องหยุดการทำงาน จิตพร้อมตลอดเวลา ถ้ามันหยุดการทำงาน เพราะจิตเรามีแต่สมเด็จองค์ปฐม มุ่งตรงต่อพระนิพพานในชาตินี้ วันนี้จิตนิ่งดีนะ ไม่ตื่นกับสิ่งกระทบ พี่สาวบอกกระเป๋าลด40% ก็เฉย ไม่รู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย หรือไหลตามกระแสแล้ว เบื่อหน่าย

    กลับบ้านก่อนค่ะ

    ขอบพระคุณครูมากค่ะ
     
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขอบพระคุณครูทุกท่านค่ะ ที่สอนและคอยชี้แนะค่ะ

    - ที่ครูเกษ ให้ระลึกถึง คุณงามความดี ของสมเด็จองค์ปฐม ทุกวัน วันละหลายหนหรือตลอดเวลานั้น เดิม ก็ได้ระลึกถึง พระเมตตาของสมเด็จองค์ปฐมเฉพาะเวลานั่งสมาธิเท่านั้น บางครั้ง นึกถึงพระเมตตา ก็น้ำตาไหลค่ะ (อาจจะเป็นเพราะนั่งสมาธิแล้วจิตละเอียดขึ้น)

    ขอบคุณครูทุกท่านค่ะที่สละเวลามาตอบให้

    - เรื่อง พี่ชาย เขาก็พูดกับเราดีค่ะ แต่ยังคงเก๊กหน้าอยู่ แต่เราก็เฉยนะคะ ไม่ทุกข์ค่ะ ไม่เครียดด้วย พูดด้วยอาการที่ไม่ฝืน ธรรมชาติ ไม่เก็บเอากริยาของพี่ชายที่ยังไม่เต็ม 100% กับเรา มาคิด เพราะถือว่าเราเต็ม 100 ไปแล้วก็จบ

    - วันนี้ ตื่นนอน จิตระลึกถึงสมเด็จองค์ปฐมทันที กราบขอพระบารมี เหมือนเดิม รีบลุกขึ้นทันที (ทุกข์)เพราะร่างกายมีของเสียสกปรก ต้องไปชำระล้าง ตามดูไปเรื่อยๆ แต่รู้สึกเบื่อหน่าย เพราะว่า มันสกปรก ไปทั้งร่างกาย วันนี้ เพื่อนที่ทำงานนำเรื่องอีกคนมาเล่าให้ฟัง เราก็รับรู้นะจิตไม่ไหลตาม วางอุเบกขา พอเขาไปก็จบแค่ตรงนั้นปล่อยวาง

    - กลับไปบ้าน พี่สาวคนโต โวยวายใส่เรา เราก็ตั้งสตินะ ไม่เสียงดังตอบ ถ้าเป็นเมื่อก่อน สวนทันที ตอนนี้เรามีสติจากอารมณ์ที่มากระทบมากขึ้น เพราะรู้ถึงกฎธรรมดา ตั้งอยู่ เดี่ยวก็ดับไป เพราะหากเราเสียงดังกลับไปก็ทุกข์ทั้ง 2 คน เราก็พูดกับเขาไปธรรมดา อารมณ์เขาก็ดับไป ไม่มีไรเกิดขึ้น แต่ปกติบ้านเราไม่เคยเสียงดังใส่กันเลย หลังจากแม่เสียไปทุกอย่างเปลี่ยนไป นี่แหละ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้และแน่นอน เริ่มทำให้มองเห็นว่า คนก็คือ ธาตุทั้ง 4 มารวมตัวกัน

    - วันนี้ตามดูตัวเอง ก็นั่งนึกถึง สมเด็จองค์ปฐม ก็นั่งคิดคนเราเกิดมามีความสุขยิ่งยืนแท้จริงตรงไหน มันมีขึ้นมาเดี๋ยวมันก็ไป ตามกฎธรรมดา รู้สึกชีวิตมัน วนเวียน ซ้ำซาก ความไม่เที่ยง

    - ตื่นเช้า มา ระลึกถึงสมเด็จองค์ปฐมทันที กราบขอพระบารมีให้ลูกมีสติ และขอไปนิพพานชาตินี้ เช้ามานี้ ดูร่างกายกระวนกระวาย มากเพราะปวดท้อง (ทุกข์) ต้องรีบไปอย่างด่วน เพื่อปลดทุกข์ และก็ตามดู การอาบน้ำไป ร่างกายได้รับการฟอกสบู่ เพื่อชำระสิ่งสกปรกของร่างกาย (ทุกวัน) ซ้ำซาก (เบื่อ) จนเรียบร้อย แต่ก็ไม่ได้เก็บความเบื่อ ความซ้ำซาก มาเป็นทุกข์ แค่เห็นทุกข์ ของร่างกาย แต่งตัวไป ก็นั่ง
    มองกระจก นั่งทาครีม ไม่เห็นมีอะไรดีเลย เนื้อหนังมีแต่เสื่อมลงทุกวันๆ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แค่เห็นทุกข์แต่ไม่ทุกข์

    - ไปถึงที่ทำงานวันนี้รู้สึกเบื่อหน่าย เกิดขึ้นมาในจิต บอกไม่ถูก เลยนอนฟังหลวงพ่อต่อในรถอีก ประมาณ 15 นาที ให้จิตสบายก่อน ค่อยขึ้นไปทำงาน พอเดินขึ้นบันได รู้สึกแปรปที่หัวเข่าอีกแล้ว อันนี้เป็นทุกข์เกิดจากร่างกายที่มันไม่เที่ยง เสื่อมลงเป็นธรรมดา ก็เท่านั้นไม่ได้เก็บมาทุกข์ แค่เห็นทุกข์

    ขอบพระคุณมากค่ะ ครูเกษ ครูเกียรติ ครูหนุ่ม
     
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]

    " สัมมนาจิตเกาะพระ Exclusive ครั้งที่ 2 "
    วันที่ 1 -2 พ.ย. 2557
    ณ บ้านภูนรินทร์ รีสอร์ท
    เขาใหญ่ ปากช่อง นครราชสีมา ...


    วัตถุประสงค์ ของการจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ จัดขึ้น เพื่อพบปะพูดคุย สนทนาธรรมกัน
    เพื่อการต่อยอดพัฒนาการปฏิบัติ กันต่อไป
    ต่อไปนี้ กลุ่มจิตเกาะพระ จะต้องมีความสนิทสนม หรือพบปะกันมากขึ้น
    นอกจาก งานสัมมนาฯนอกพื้นที่เป็นครั้งคราวแล้ว แต่ยังมีการพูดคุยกันเสมอๆ
    เช่น จัดสัมมนาย่อยๆทางสไกป์ พูดคุยภาษาธรรมะบ่อยขึ้น
    อาจแยกเป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อเน้นให้ทั่วถึง จับกลุ่มกันเพื่อพัฒนาจิตกันและกัน เท่านั้น
    ทั้งนี้ เพื่อการพัฒนาจิตให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
    การจัดงานจะเป็นในรูปแบบ สบายๆ ฉันท์พี่น้อง เพื่อนกัลยาณมิตร สไตล์ จิตเกาะพระ
    นำทีม โดย... ท่าน อ.ภูทยานฌาน และ ครู จิตบุญ อีกหลายท่าน ...

    .....ขอเชิญ.....
    ๑. จิตบุญที่อยากพัฒนาจิตจริงๆ
    ๒. จิตบำเพ็ญ (ฝึกสติจนเกาะพระติดเป็นอัตโนมัติและกำลังเข้าโหมดวิปัสสนา)
    ๓. จิตเกาะพระ (ยังฝึกสติไม่ต่อเนื่อง เกาะพระยังไม่ติดเป็นอัตโนมัติ)


    มาดื่มด่ำธรรมะ และ สัมผัสธรรมชาติ แบบ เป็นกันเอง ได้ที่นี่...
    Ban Phu Narin Resort ... เขาใหญ่
    เตรียมตัว พบกับ ตัวจริง เสียงจริง ของ ท่านพี่ภู (ภูทยานฌาน) ...

    ๐ กรุณา สำรอง จองสิทธิ์ ของท่าน ไว้ตั้งแต่ เนิ่นๆ ...
    บัตรเข้าร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้ มีจำนวนจำกัด
    เพียง 20 ท่าน เท่านั้น (ไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด)

    *** ผู้สนใจ สมัครด่วน รับจำนวนจำกัด ลงชื่อ ได้ที่ ครูเกษ ทาง Inbox ***

    ๐ การจัดสัมมนา แบบ Exclusive พร้อมที่พัก อาหาร เครื่องดื่ม ดูแล ผู้เข้าร่วมสัมมนา ตลอดงาน
    ได้รับอภินันทนาการ จาก...
    คุณภูทยานฌาน และ คุณณัฐชยาวดี (Nat Natcha) ร่วมเป็นเจ้าภาพหลักตลอดงานสัมมนา

    ๐ ผู้เข้าร่วมสัมมนา จะได้รับ เสื้อสมาคมจิตเกาะพระ เป็น ของที่ระลึกอีกด้วย
    ได้รับ อภินันทนาการ จาก ...
    พี่อุ๋ย( Lady Lamb )จ.บ 140
    น้องเป้ (Nooboonsawan) จบ 141
    น้องกุ้ง (ชัญญา ขันวิชัย) จบ 144
    ร่วมกันเป็น เจ้าภาพ ในครั้งนี้

    ๐ อนึ่ง งานนี้ เป็นงานบุญงานกุศล จัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์สุขของพี่น้อง จิตบุญ จิตเกาะพระ
    ทั้งนี้ เพื่อพบปะพูดคุย สมานสามัคคี เพื่อพัฒนาจิต ให้เจริญในธรรม ยิ่งๆขึ้นไป


    ***ปล. ทางเจ้าภาพ ขอสงวนสิทธิ์
    เฉพาะ สมาชิก และผู้สนใจพัฒนาจิตในแนวทางจิตเกาะพระหรือพุทธานุสติ เท่านั้น

    หากท่านต้องการพาครอบครัวมาด้วยเพื่อการพักผ่อน กรุณาติดต่อ สำรองที่พัก
    เพิ่มเติมกับทางรีสอร์ท โดยตรงที่หมายเลข 089 6664565
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2014
  10. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]

    Ban Phu Narin : บ้านภูนรินทร์

    บ้านภูนรินทร์: 132 หมู่ 22 ต.วังกะทะ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 30310 โทร. 089-666-4565
     
  11. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  12. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พี่ภู ขอโมทนาบุญกับคุณดา ครูเกษและครูผู้อื่นด้วยครับ..สาธุ
    พี่ภู ขอเอาใจช่วยอีกคนนึง อย่าหยุดภาวนา พยายามเจริญสติให้ต่อเนื่อง
    หากสติเกิดอัตโนมัติหรือต่อเนื่องแล้ว เดี๋ยวปัญญาก็จะเกิดที่จิตของเรา
    หากจิตเรามีทั้งสติและปัญญาแล้ว เดี๋ยวความทุกข์ต่างๆก็จะค่อยบรรเทาลง
    คือทุกข์จะลดน้อยถอยลงไปทุกทีๆ จนกว่าทุกข์มันหายไปจากใจของเรา
    หยุดเจริญสติไม่ได้ โดยเฉพาะจิตบำเพ็ญ เจริญสติให้ต่อเนื่องแบบนี้ไปเรื่อยๆ
    หากหยุดเมื่อไหร่ เราก็ทุกข์เมื่อนั้น เพราะสติเกิดกิเลสจะหมอบชั่วคราว
    หากเราเผลอสติเมื่อไหร่ กิเลสก็จะโผล่ขึ้นมาทันที หากกิเลสโผล่ในขณะที่จิตเราไม่นิ่ง
    เรา(จิต)ก็จะวิ่งตามกิเลทันทีเลย วิ่งตามกิเลสเมื่อไหร่ เราก็ทุกข์เมื่อนั้น
    หากวิ่งตามบ่อย เราก็จะทุกข์มากเท่านั้น
    หากจิตเรานิ่ง ก็จะไม่ไหลตามกิเลส หรือวิ่งตามสิ่งที่กระทบจิตเรา
    ตรงนี้ ผู้ปฎิบัติก็พอจะทราบบ้างแล้ว รู้แล้วว่า ความทุกข์เกิดที่จิตใจ
    เรารู้วิธีดับทุกข์ได้ด้วยตนเองแล้ว แบบง่ายๆ ตามที่พระตถาคต..ผู้บอกทาง

    การปฎิบัติธรรมแนวจิตเกาะพระ ก็คือ พยายามระลึก นึกถึงพระหรือภาพพระที่ตนเลือก
    ในระหว่างที่เรากำลังระลึก นึกถึงพระอยู่นั้น แสดงว่าเรากำลังเจริญสติของตนเองแล้ว
    จิตเกาะพระนี้ ก็คือพุทธานุสสติกรรมฐาน+กสิณนั่นเอง

    ขอให้ครูเกษ ครูท่านอื่นๆ และศิษย์ท่านอื่นๆ เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป..สาธุ
    พี่ภู

     
  14. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    สวัสดีค่ะครูเกษ

    พรหายไปนานเลย วันนี้พรได้บอกกับคนที่มีกลิ่นเสื้ออับแล้วค่ะ
    เนื่องจากหัวหน้าและอีกหลายคนทนไม่ไหว แต่ไม่มีใครกล้าบอก
    พรสงสารเขาค่ะ ว่าทำไมไม่บอกเขา เขาต้องไปติดต่องาน
    คุยกันคนโน้นคนนี่ มันดูไม่ดีนะ พรเลยรับอาสารบอกเอง
    ผลปรากฎว่า เขาไม่พอใจโวยวายทั้งออฟฟิสเลย เรื่องใหญ่เลยค่ะ
    ทั้งที่เราก็บอกเขาเป็นการส่วนตัว พูดค่อยๆ แถมยกมือไหว้อีกตะหาก
    สมมุติเขาชื่อเอนะค่ะ

    "เอพี่ขอพูดอะไรหน่อยนะ อย่าโกรธนะ(ยกมือไหว้ขอโทษก่อนเลย)
    เสื้อเอมีกลิ่นอับนะ....."เท่านั้นแหละเขาเดินโวยทั่วออฟฟิสเลย
    เขาเอาเรื่องนี้เป็นประเด็น เจ้านายเรียกพนักงานออฟฟิสเข้าห้องประชุม
    วันนี้เลย งงค่ะ โดนตำหนิกันทั่วหน้า หัวหน้าพรโดนเยอะสุด
    พาลสืบสาวเรื่องราวในใจกัน เรื่องเก่าสมัยก่อนมาพูดอีก

    อุเบกขาค่ะ ใจพรเฉยตั้งแต่เขาโวยวายแล้ว จิตยิ้มๆ ไม่โกรธค่ะ

    อยากขอบคุณครูน่ะค่ะ ที่ทำให้พรมาได้ขนาดนี้
    พรยังระลึกถึงครูอยู่ทุกวันเลยค่ะ
    และที่สุดแล้ว บารมีของเสด็จพ่อที่อยู่ในจิด
    ดวงนี้เสมอ ท่านรักลูกทุกคนอย่างหาประมาณมิได้จริงๆ


    ทำให้คนๆนี้ทำทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจโดย
    ไม่หวังว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร โดนกระทบแรงๆก็เฉย จิตยังยิ้มอีกตะหาก
    ไม่งั้นตอนนี้คงวิตกจริตไปแล้ว

    จิตเกาะพระ สุดยอดดดด.......

    อนุโมทนา สาธุค่ะ _/|\_

    พร จบ.143
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2014
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เ รื่ อ ง เ ล่ า
    ของนักปฎิบัติธรรมท่านนึง ชื่อน้องเป้
    Nooboonsawan Siriharksopon

    มีรัยเล่าให้ฟัง
    วันนี้ หนูโดน หนังสือร้องเรียน ว่าทุจริต
    Nooboonsawan Siriharksopon
    7:42am
    Nooboonsawan Siriharksopon
    ส่งไปถึงอธิบดี ยัยบุญสวรรค์ ทุจริต สมรู้ร่วมคิดกับผู้ประกอบการ
    ป้าดดดด
    นายออกโรง ปกป้อง กันใหญ่ บอก เป้เนี่ยนะทุจริต
    ผู้ประกอบการ ให้ทอง มันยังไม่เอา เอาไปคืน ซะงั้น
    เค้าไม่รับคืน งั้นเอาไปหล่อพระ 555 ได้โมทนากันทั่วหน้า
    หนูขอดู หนังสือ ก็ไม่ให้ดู บอกกลัวหนูเสียใจ แถมดีดเรื่องกลับ ไม่มีมูล
    วุ้ยย จะเอาไปใส่กรอบซะหน่อย
    ขำจะตาย อยู่แล้วเนี้ยย หัวเราะ กับกุ้งทั้งวัน เลย
    พี่ภูช่วยขำหน่อยดิ ถ้าเป็นเมื่อก่อนร้องไห้ ขี้มูกโป่ง
    Nooboonsawan Siriharksopon
    7:57am
    Nooboonsawan Siriharksopon
    หนูรู้ว่าใคร คนทำบัญชีของบริษัท ที่ตรวจ โดนหนูประเมินภาษีไป แค่เกือบล้าน เอง
    คงจะโกรธ เพราะเค้าเองที่ผิด ที่คิดทุจริต แล้วเจอลูกสาวท่านพ่อตรวจหนัก ^^
    จิตหนูขำ กับ ให้อภัย อย่ามีเวรมีกรรมต่อกันเล้ยยยนน
    ป่านนี้เค้าคงคิดว่าหนูทุกข์หนัก ..ทำไงดี สงสารเค้า อโหสิกรรมให้ด้วยนะ
    แต่วันนี้ ทานข้าวฟรี นายพาไปเลี้ยง กลัวเสียใจ คริคริ
    แต่ทานได้แต่ผักเนี่ยดิ โอ้ยยย ขำๆๆๆๆๆ​
     
  16. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    ที่มา FB-ครองขวัญ งามคงคง
     
  17. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    น้อมจิตกราบท่านพ่อครับ งานสัมมนาขอบารมีท่านพ่อช่วยให้ผมมีโอกาสได้ไปสัมมนาด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ....ลูกขอน้อมจิต กราบทูลอาราธนาพระบารมีทั้ง 30 ทัศ
    ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ มี สมเด็จพ่อองค์ปฐม ทรงเป็นประธาน
    สมเด็จพ่อองค์ปัจจุบัน เป็นที่สุด ...พระธรรม ...และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
    มีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นที่สุด ...
    ได้โปรดเมตตาสงเคราะห์ เหล่าลูกหลาน ของพระองค์ท่าน และครูบาอาจารย์ทุกท่านทุกพระองค์
    ที่จะมารวมตัวกันในงาน

    สัมมนาจิตเกาะพระ Exclusive ครั้งที่2
    ในวันที่ 1-2 พฤศจิกายน 2557
    ณ บ้านภูนรินทร์ รีสอร์ท ...


    พวกเราเหล่าลูกหลาน มาพบปะกัน เพื่อสนทนาธรรม แลกเปลี่ยนความรู้ทางธรรมกัน
    ทั้งนี้ เพื่อการพัฒนาจิตให้เจริญในธรรม มุ่งสู่ความหลุดพ้น คือ พระนิพพาน ในชาตินี้ ...

    ขออำนาจพระบารมีทั้ง 30 ทัศ ซึ่งประกอบ ไปด้วย พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
    แผ่ครอบคลุมดวงจิต ของพวกเรา ทุกคน ที่จะไปในงานนี้ ให้มีแต่ความสว่างไสวด้วยปัญญา
    และขอให้การจัดงาน ราบรื่น เรียบร้อย ปราศจากอุปสรรคใดๆ
    ที่่จะมาขัดขวางด้วยประการทั้งปวง...
    ขอทุกดวงจิตเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป จนกว่าจะเข้าพระนิพพานเทอญ ...

    ลูกขอน้อมจิตก้มกราบแทบพระบาท ท่านพ่อ หลวงพ่อ ด้วยเศียรเกล้า

    ณัฐชยาวดี
    จบ.85
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2014
  19. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    *** การเจริญพระกรรมฐานที่จะให้ได้ดี ***

    "ไม่ใช่ว่าเราจะตั้งหน้าตั้งตาทำแต่สมาธิอย่างเดียว หรือว่าจะทำแต่วิปัสสนาญาณอย่างเดียว..
    ถ้า ทำแบบนี้ไม่มีผล การที่จะปฏิบัติให้มีผลจริงๆ นั่นก็คือ
    ต้องมีอารมณ์สำรวมอยู่เสมอ คำว่า "สำรวม" ก็ได้แก่ การระมัดระวัง คือ..

    หนึ่ง ระวังศีล อย่าให้บกพร่อง
    สอง ระวังสมาธิ อย่าให้เคลื่อน
    สาม ระวังปัญญา อย่าให้ใช้ไปในด้านของอกุศล

    ถ้าท่านทั้งหลายระวังอยู่อย่างนี้เป็นปรกติ...ผลแห่งการปฏิบัติไม่เป็นของยาก
    "​
    ธรรมโอวาท พระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
    ที่มา : http://<WBR> trisikkhameditationcenter.org​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2014
  20. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    มหัศจรรย์ของจิต

    จิต คือ ผู้รู้.

    มีผู้ถามว่า การที่จิตวิ่งออกมาไปจับตัวที่ถูกรู้ อาการเช่นนี้ ปฏิบัติได้หรือไม่?

    ในการปฏิบัตินั้น หากจิตมีการเคลื่อนออกมา นั้นคือ จิตวิ่งออกมาจากฐานมาเสวยอารมณ์อันเนื่องมาจากเผลอ สติไม่ทัน
    แบบนี้ละที่สายดูจิตอื่นพลาดไป เพราะไปตามอารมณ์แล้ว คิดว่านั้นคือ การดูจิต
    แต่ที่ถูกต้องแล้วหลวงพ่อ ท่านมีปกติสอนเสมอๆว่า จิตที่จะข้ามภพข้ามชาติได้นั้นจะต้องเป็นจิตหนึ่ง กล่าวคือ มีตัวรู้อยู่เป็นหนึ่งในอารมณ์เดียว ไม่เป็นสอง

    ปกติของปุถุชน มักจิตส่งออกนอก โดยไม่เคยรู้เนื้อรู้ตัวเลย
    แต่ผู้ที่ปฏิบัติมาบ้าง มักเผลอสติ ส่งจิตออกนอกโดยไม่ตั้งใจ เนื่องมาจากความไม่รู้นั่นเอง
    แท้จริงแล้ว สิ่งที่ถูกรู้นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเผลอสติ ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ
    นักปฏิบัติโดยมากมักขาดสติ จึงนิยมไปตามสิ่งที่ถูกรู้ จนลืมตัวผู้รู้

    แต่ในทางการปฏิบัตินั้น หลวงพ่อเยื้อน ท่านสอนลงรายละเอียดมากยิ่งกว่านั้น กล่าวคือ

    ทั้ง ตัวรู้ และถูกรู้ ก็ไม่หมายเอาทั้งคู่

    เพราะ ทั้งสองสิ่งนี้ ขนสัตว์โลก พาเวียนเกิดเวียนตายมาแล้ว นับภพนับชาติไม่ได้

    ธรรมข้อนี้ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยสอนแบบพิสดารว่า

    “ท่านเห็นกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
    ท่านเห็นตัวที่อยู่ในกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
    หลวงปู่ดูลย์ สรุปความเลยว่า ทั้งตัวที่เห็น และตัวที่ถูกเห็นในกระจก นี่ละตัวเกิด
    นิ พ พ า น อยู่ตรงกลาง ระหว่าง ตัวรู้ กับ ตัวถูกรู้ นั่นละ”

    ดังนั้น สิ่งที่ผู้สนใจปฏิบัติพึงมี คือ ควรพยายามทำจิตให้เป็นหนึ่งก่อนอันดับแรก เพื่อไม่หลงไหลไปตามสิ่งที่ถูกรู้ ปฏิบัติให้รู้จนมีสติเกิดขึ้นกับตัวรู้จนเด่นชัด ด้วยอำนาจของ ส ติ

    กล่าวสรุปคือ

    “หากผู้รู้อยู่ไหน ก็ให้มีสติตามไปที่นั้น”
    เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติจะพบทางว่า การเรียนรู้จากตัวจิต คือการเรียนรู้จากผู้รู้นี่เอง
    เป็นการเรียนลงไปในสิ่งที่เป็นสัจจะ คือของจริงที่มีประจำโลก ไม่เคยหายไปไหน
    ทั้งพระพุทธเจ้า และหมู่สัตว์ก็มีของจริง คือ จิตดวงนี้เสมอเหมือนกันทุกนาม

    การเรียนจากของจริงเช่นว่านั้น ไม่ใช่เรียนจากสิ่งจิตปรุงหลอก
    หรือที่บางท่านเรียกว่า เงาของจิต นั่นเอง

    เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ท่านผู้ปฏิบัติจะค้นพบสัจธรรมอันเป็นความจริงได้เองว่า

    ผู้รู้ก็คือ จิต นั่นเอง
    ผู้รู้อยู่ที่ใด นั่นก็เรียกได้ว่า จิตก็อยู่ที่นั้นละ


    หากเมื่อผุ้ปฏิบัติสามารถเข้าถึง จิตหนึ่งได้แล้ว
    ในขั้นนี้ จิตผู้รู้จะเริ่มทวนเข้าหาจิตเอง เนื่องจากอารมณ์ สังขาร สัญญา ภายนอกออกแล้ว
    จิตจะสามารถแยกขันธ์ ออกได้เองว่า สิ่งใดเป็น จิต สิ่งใดเป็นสิ่งที่จิตปรุงขึ้น
    แต่ขั้นนี้ เราอาจจะวางไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะจิตยังคงไม่มีกำลังในการพิจารณา
    และวางสิ่งเหล่านั้นลง แต่จิตจะเริ่มทวนกระแสเข้าไปรับรู้สิ่งต่างๆ โดยสักแต่ว่า รู้ เห็น แล้ว วาง

    จิตนั้นจะเริ่มเป็นปัจจุบัน เพราะ จะวางสิ่งที่พะรุงพะรัง ไม่กลับหวนนึกถึงอดีต
    และไม่มีความกังวลกับอนาคต แต่จิตจะดิ่งไปสู่ปัจจุบัน เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น โดยไม่ยึดถือ

    จิตจะวางเอง เพราะเห็นสิ่งที่เป็นจริงแล้ว
    สิ่งใดที่เป็นเงาของจิต เป็นอารมณ์ เป็นสัญญา เป็นสังขาร ที่รกรุงรัง จิตจะไม่ให้ความสนใจอีก

    ดังนั้น ที่ว่า ดูจิตๆ บางครั้งนักภาวนามักหลงเข้าไปไปดู อาการของจิต
    เช่น รู้ว่าโกรธ รู้ว่าฟุ้งซ่าน รู้ว่าดีใจ เสียใจ สิ่งเหล่านี้คือไปรู้สิ่งที่ถูกรู้
    เป็น อาการของจิต ทั้งสิ้น ไม่ใช่ จิต

    เหตุที่เราไปหลงดูเงาในกระจกแบบนี้ ก็เพราะขาดสตินั้นเอง

    หากจะกล่าวโดยธรรมดา ก็อาจจะกล่าวได้ว่า จิตเกิดสามารถเกิดนอกฐานที่ตั้งจิตก็ได้
    จะไปตั้งที่ไหนก็ได้ แต่เราไม่พึงปฏิบัติเช่นนั้น เพราะจิตเป็น นามธรรม
    จิตที่สามารถจรไปจรมา นั่นคือ จิตที่วุ่นวาย เร่ร่อน ไม่เป็นหลักเเหล่ง
    จิตแบบนี้เองที่ไม่มีกำลัง ไม่สามารถสงบเป็นสมาธิได้ เมื่อไม่มี สมาธิ เป็นฐาน ปัญญา ก็ไม่เคยเกิด

    เหตุที่ต้องสมมติฐานที่ตั้งของจิต ขึ้นมา ก็เพื่อให้ทราบตำแหน่งที่แน่นอนของจิตนั่นเอง
    แต่เหตุที่เราต้องสร้างฐานให้จิตอยู่ทีเดิม ก็เหมือนกับสร้างบ้านให้จิตอยู่ ก็เป็นเสมือนฐานที่ตั้งให้จิตมั่นคง เป็นการสร้างฐานกำลังของจิตที่เรียกว่า สมาธิ

    เมื่อเรามีบ้านอยู่หลักแหล่งแล้ว เราจึงสามารถเรียกให้ยาม คือ สติสัมปชัญญะ
    มาเฝ้ารักษาบ้านเราได้

    เมื่อจิตไม่เร่ร่อน จนมีความมั่นใจในความปลอดภัย

    เมื่อนั่น จิตจะตั้งใจมั่นเอง โดยไม่ต้องกำหนดใจให้เป็นสมาธิ นี่คือ สมาธิที่แท้จริง หรือ สัมมาสมาธิ

    สมาธิที่ต้องเข้าๆออกๆ ไม่ใช่ สัมมาสมาธิ

    สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่เกิดโดยธรรมชาติ ปราศจากความตั้งใจ

    แต่เป็นภาวะของจิตที่ตั้งมั่น มั่นคงด้วยสติ สติสัมปชัญญะ เป็นสมาธิโดยธรรมชาติ

    เหตุผลง่ายๆของการระลึกฐานที่ตั้งของจิต ก็เพื่อ สมมติให้จิตมีที่อยู่
    มีที่ตั้งแน่นอน และเป็นเครื่องหมายของการกำหนดสติของเราเท่านั้นเอง

    เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว จิตที่ตั้งมั่นอยุ่ในฐานที่ตั้งมั่นของจิต จิตจะมีสติกำหนดจิตอยู่ในฐานที่ตั้งดังกล่าว

    หากผู้รับฟังสัมผัสทางหู หูก็จะรับหน้าที่รับเสียงไป แต่จิตอยู่ในฐานไม่ออกมารับ
    หากตาเห็นรูป ตาก็มีหน้าที่รับภาพไป แต่จิตไม่ส่งออกมารับ

    ผู้ปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว จะค้นพบว่า จิตมันเหมือนมีชีวิต อีกชีวิตหนึ่งที่ไม่ข้องกับร่างกาย
    ร่ายกายทำไรๆทำไป แต่ใจก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่สนใจ


    เมื่อถึงตอนนี้ เราจะแยกออกได้แล้วว่า จิตนั้นมีหน้าที่รับรู้

    ส่วนของ สังขาร เค้าก็มีหน้าที่ปรุงแต่ง ส่วนของ สัญญา ก็มีหน้าที่จำได้หมายรู้

    ทุกอย่างทำงานปกติ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับจิต ต่างแยกหน้าที่กันทำ อยู่ด้วยกันแต่ไม่กระทบกัน
    ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากจะกล่าวการเริ่มต้น ก็คงไม่พ้น
    การกินน้ำเย็นตามแบบฉบับของหลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
    เพื่อให้นักปฏิบัติสามารถกำหนดฐานที่ตั้งของจิตให้ได้ แน่นหนามั่นคง
    จนกลายเป็นจิตหนึ่งนั่นเอง ส่วนที่เป็นรายละเอียดต่างๆ นั่น คือ
    ผลมาจากการที่ผู้รู้สอนเรานั่นเอง

    อัศจรรย์ของจิต ที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งท้าทายว่า...

    ท่านจงลองมาดูเถิด นับเป็นเวลากว่า 2556 แล้วบัดนี้
    ยังคงทรงพุทธานุภาพไม่เสื่อมสลายไปตามกาล
    ธรรมย่อมประจักษ์แจ้งแก่ผู้ลงมือปฏิบัติตตามมรรคผลเสมอ ไม่เสื่อมคลาย

    เขมปัญโญคฤหัสถ์

    Cr..Fb ลูกศิษย์หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
     

แชร์หน้านี้

Loading...