ช่วยแนะนำเทคนิคการในนึกนิมิตหน่อยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย saxford, 22 พฤษภาคม 2014.

  1. saxford

    saxford Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +78
    ผมนั่งสมาธิโดยการกำหนดนิมิตเป็นดวงจันทร์อะครับ
    แต่ไม่สามารถนึกได้นาน นึกได้แวบเดียวแล้วก็หายไป เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
    อยากทราบว่ามีเทคนิคอย่างที่จะช่วยให้นึกนิมิตได้แจ่มใสมากขึ้นบ้างไหมครับ

    2010_12_21 Full Moon 002.jpg
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มันก็อยู่ที่ จิตแยกองค์ธรรมออกหรือเปล่าระหว่าง

    " ปิติ "

    กับ

    " วิตก วิจาร "


    หากสังเกตดีๆ เวลาเราตั้งท่าจะปฏิบัติ จะเจตนาปฏิบัติ จะอาศัย ตัณหานำการปฏิบัติ
    จะอาศัย ธรรมฉันทะในการปฏิบัติ " เราจะระลึกจิตที่เป็นกุศล " อะไรก็ได้ ที่เป็นเชื้อ
    ในการ หน่วงเหนี่ยวแล้ว จิตก็แล่นไปใน อารมณ์กุศลด้วยอำนาจปัจจัยการ

    เป็นการ บิดกุญแจสตาร์ทเครื่อง บิดแล้วก็ปล่อย หากบิดจนเครื่องติด เกิดการเดิน
    เครื่องไปตามปัจจัยการแล้ว ยังทะลึ่ง บิดกุญแจค้างไว้ เขาจะเรียกว่า

    " เพ่งรูปมากเกินไป พิจารณามากเกินไป " วิตก วิจาร ไม่ดับ เครื่องมันก็ฟุตฟิต
    สตาร์ทติดแล้วยังปั่นไดสตารท์แช่


    ทีนี้ คนแต่ละคน เครื่องมัน สกปรก ลามก มาไม่เหมือนกัน บางคนสตาร์ทติดแล้ว
    เร่งเครื่องสองสามที่ เครื่องดับ

    อันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก อย่าบ่น อย่าขี้เกียจ อย่าน้ำมันหมด อย่าหมดไฟในแบ๊ตเตอรรี่
    เราก็ แชะ แชะ แชะ รถติดหน่อยสิพี่ ไปเรื่อยๆ เรียกว่า ทำซ้ำๆ ย้ำๆ ซึ่ง มันจะต้อง
    เพียรไปเรื่อยๆ ต่อให้ภาวนาสำเร็จสูงสุด ก็ต้อง มาสตาร์ทกันทุกวัน เพื่ออยู่สุข


    ทั้งหมดนั้น หากให้เขียนสั้นๆ ก็จะเขียนว่า

    ให้ทำอารมณ์สบายๆ นึกภาพแจ่มใสแล้ว หากมันหายไป ก็ทำอารมณ์สบายๆ นึกอีก

    ทำให้มากๆ ทำเนืองๆ ตามรู้ ความพอใจ ไม่พอใจ ที่เกิดขึ้น จากการเดี๋ยวก็ระลึกได้
    เดี๋ยวก็ระลึกไม่ได้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เอามาอบรมเป็น ปัญญา ซ่องเสพเวทนาที่เป็น
    กุศล พร้อมทั้ง รู้ปฏิปทาในการนำความพอใจในกุศลนั้นออกด้วย แต่ ไม่เลิกปฏิบัติ
    หากไม่สุกเอาเผากิน ฮานาก้า ใช้ความคิดทับผลการปฏิบัติ
     
  3. da2496

    da2496 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +106
    เมื่อวานนั่งสมาธิก่อนนอน ไม่ได้นึกอะไรเห็นดวงจันทร์เต็มดวงในมโน จะตามจับมาเพ่งสมาธิ กลับหายไป อยากรู้วิธีเหมือนกันคะ
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    เค้าให้ดู แล้วจำภาพ ครับ

    ไม่ใช่ มโน ไปเองนะ

    ว่าแต่ดวงจันทร์ นั้น กรรมฐานกองไหนหรอ ?


    .
     
  5. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,632
    จำไว้ในใจ ระลึกเห็นเป็นภาพติดใจ ไม่ใช่ภาพติดตา
    เหมือนที่เรานึกหน้าพ่อแม่ได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เห็นตัวจริง

    จะยากตรงประคองให้อยู่ได้นาน
     
  6. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    ภาพส่วนหนึ่ง

    อารมภ์อีกส่วนหนึ่ง

    ถ้า สะกดอารมภ์แห่งดวงจันทร์ นั้นได้ ภาพจะคงที่ และเด่นชัดขึ้น
    สำคัญที่อารมภ์ ตรงนั้น ตรงนั้น ตรงนั้น อารมมมมมมมมภ์
     
  7. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844

    เอารูปดวงจันทร์มาเพ่งดูนานๆแล้วหลับตา ทำซ้ำๆบ่อยๆ ต่อไปแทบจะไม่ต้องนึกเลยครับ พอหลับตาก็เห็นเลย
     
  8. หมูดิน1

    หมูดิน1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +863
    จิตคุณยังไม่นิ่ง ยังไหลไปนู้น นี่ นั่น สภาวะจิตคุณ ยังสองส่ายไปมา

    อยู่มาก

    พูดง่ายๆคุณยังไม่สามารถ ควบคุม อารมณ์ใจ

    ของตัวเองได้

    วิธืการง่ายๆ ดู มอง ลืมตา มองภาพ ท่ีคุณต้องการให้เกิดนิมิตรทางใจ


    นอนหลับก็เอามาดู มองอยู่อย่งานั้นละ ให้หลับไปกับภาพ ภาพนั้นเลย

    ผลเป็นไงมาคุยกันอีกทีครับ นี่ขั้นต้น เอาจิตให้อยู่ก่อน เอาเป็นขั้นเป็นตอนไปนะครับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010

    ค่อยๆอ่านดูคำแนะนำนะครับ..;)
    ไม่ว่า ดวงจันทร์ หลอดไฟสีขาว หรือ เปลวเทียนส่วนที่นิ่ง..
    นิมิตรวงกลมนั้นในระดับนี้เราเรียกว่าอุคหนิมิตรจะไม่แตกต่างกันครับ
    คือพอมองเห็นเป็นรูปร่างได้และมีชื่อเรียกลักษณะได้..
    และในทางปฏิบัติยังถือว่าเป็นนิมิตรที่ไม่มีประโยชน์อะไร
    สำหรับการสร้างกำลังจิตและการใช้งานครับเพราะกำลัง
    สมาธิยังไม่มากพอและยังอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวที่จะกลาย
    เป็นนิมิตรที่ให้โทษคือเลยจุดนี้ไปเล็กน้อยมันจะสามารถ
    ปรุงแต่งได้.และปรุงแต่งได้ทั้งดีและไม่ดี จริงและไม่จริงครับ
    เพราะฉนั้นอย่าไปให้ความสำคัญกับนิมิตรอื่นๆที่ไม่ใช่นิมิตร
    ที่เรากำลังฝึกอยู่จะป้องกันการหลงและเสียเวลาได้ครับ...


    ส่วนการที่จะเห็นนิมิตรได้นานขึ้นอยู่กับรูปแบบการฝึกว่าจะฝึกแบบลืมตา
    หรือว่าหลับตาครับ..แนะนำแบบหลับตาก่อนนะครับ..
    ถ้าหลับตาแล้วต้องการให้ภาพสามารถปรากฏได้ทุกครั้งในขณะลืมตานั้น
    และให้นานๆมากๆ.แม้ว่าจะลืมตาแล้วภาพก็ยังคงค้างอยู่ได้.
    หรือแค่นึกๆแล้วภาพก็ปรากฏได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะที่ไหนนั้น..


    มีความจำเป็นต้องสร้างทิพย์จักขุให้บังเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    กับเราก่อนครับ..วิธีทั่วๆไปก็คือการมองภาพนานๆแล้วจำภาพไว้.การจำ
    ภาพบ่อยๆ.จะเป็นกุศโลบายในการให้จิตจำภาพและสร้างภาพขึ้นมาได้เอง
    เพียงแค่นึกๆ.เรียกว่าเป็นการสัญญาให้กับจิตนั่นเองครับ.
    และต้องเข้าใจนะครับว่าการจำนี้ไม่ใช่การใช้สมองส่วนหน้าในการจำนะครับ.
    เป็นการมองเพื่อให้จิตมันจำเป็นสัญญาในจิตและสร้างภาพออกมาจุด
    จักระระหว่างคิ้วหรือบางคนเรียกว่าตาที่ ๓ นั้นหละครับ.
    .แต่การมองภาพบ่อยๆอย่างนี้ต้องอาศัยการทำบ่อยมากๆและค่อนข้าง
    จะเกิดผลช้าครับอาจใช้หลักปีและต่อยอดไปถึงในระดับที่จะใช้งานได้
    ก็ค่อนข้างยากครับ..
    .หากไม่กดสายตาให้ลงไปที่ลิ้นปี่
    ด้วยการใช้ลูกตามองไปที่ลิ้นปี่เพื่อบังคับให้จิตสร้างภาพ
    และในเวลาปกติก็ใช้ความรู้สึกจำภาพให้ลงไปที่จิตหรือ
    กลางลิ้นปี่เพื่อเป็นการตัดระบบความคิด
    ไม่ให้สมองส่วนหน้าทำงาน.
    เพราะเรามักจะเผลอใช้สมองในการจำ
    เนื่องจากความเคยชินครับ


    หรือ อีกกรณีก็คือการสร้างภาพให้จิตโดย
    การกดดวงตาทั้ง ๒ ข้างให้หลับลงคล้ายการมองลงต่ำหรือการนอนแล้ว
    สมมุติให้มีอีกดวงตา มองผ่านจุดที่อยู่เหนือระหว่างคิ้วแต่ต่ำกว่ากลางหน้า
    ฝากเล็กน้อยแล้วพยายามมองผ่านจุดนี้ออกไปเพื่อสร้างทิพย์จักขุเบื้องต้น
    ให้บังเกิดขึ้นก่อนครับ โดยที่ไม่ใช้ดวงตาทั้ง ๒ ข้างมองไม่ว่าเราจะหลับตานะครับ..
    วิธีนี้ถึงจะทำให้เกิดผลได้เร็ว
    ถ้าทำอย่างนี้และถ้าไม่มีพื้นฐานสมาธิมาก่อน หรือไม่มีของเก่าด้านทิพยจักขุมาก่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ก็อาจจะปวดศรีษะได้ให้เปลี่ยนไปตามลมหายใจก่อน
    แล้วสะสมกำลังสมาธิไปก่อนเรื่อยๆแล้วค่อยมาทำใหม่ต่อไปจะรู้สึก
    แค่ตึงๆเท่านั้นครับจะไม่ปวดศรีษะที่ลามจากด้านหน้าไปด้านหลังด้วยครับ...


    แรกๆนิมิตรจะขึ้นมาจะมีแต่แสงแบบไม่สว่างและ
    มันจะยังไม่รวมกันเป็นวงกลมคือมัน
    อาจจะหาขอบยังไม่ได้แต่ไม่ใช่ปัญหา.ซักพักนิมิตรจะรวมเป็นวงกลม
    และมองเห็นขอบได้ มองเป็นรูปร่างได้ชัดเจน คือเป็นวงกลมได้ก่อน
    แต่ว่าที่ขอบอาจเหมือนมีอีกสีเล็กๆเป็นขอบ..
    เราไม่ต้องสนใจว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่.ไม่ใช่ประเด็นหลักและ
    ก็จะปรากฏไม่นานและหายไป..
    .ถ้ามันหายไปให้เอาสติมาจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก
    ลากยาวๆไม่เกินครั้งที่ ๓ และ ๔ ภาพก็จะกลับมาได้
    และจะปรากฏขึ้นมาในตำแหน่งเดิมที่ภาพหายไปครับ.

    .
    ถ้าภาพปรากฏแว๊ปๆหาย
    แสดงว่าอารมย์เข้าขนิกสมาธิ.และถ้าปรากฏได้นานขึ้นจะเข้าอุปจารสมาธิ
    และช่วงนี้หลักสังเกตุคือภาพมันจะเคลื่อนที่ได้แต่รูปร่างคงลักษณะเดิม.
    ซึ่งในอารมย์ช่วงนี้ต้องระวังครับมันมักจะมีนิมิตรอื่นๆมาหลอกเราได้
    ไม่ว่านิมิตรกสิณกองอื่นๆ รูปภาพ สถานที่ คน สัตว์ สิ่งของ ภพภูมิ
    อย่างใดอย่างหนึ่ง.เพื่อให้เราสนใจและให้เราฝึกได้ช้า
    และหลงทางไปฝึกนั่นฝึกนี้ไปเรื่อย.
    เพราะฉนั้นช่วงนี้ต้องระวังอย่าไปตามนิมิตร
    อื่นๆที่ไม่ใช่นิมิตรที่เราฝึกและห้ามสนใจอย่างเด็ดขาดนะครับ ถ้าเผลอตามแล้ว
    บุคคลที่เพี้ยนๆและอารมย์หงุดหงิดได้
    ก็จะเพราะเหตุที่สนนิมิตรอื่นๆนี่หละครับ..
    ให้ตามนิมิตรเดิมของเราไปเรื่อยๆ เรียกว่ามันไปไหนเราไปด้วย..
    เด่วซักพักพอเราเริ่มมีกำลังสมาธิเพิ่มขึ้นมันจะนิ่งได้เอง..


    และถ้าเข้าถึงระดับฌาน ๑ ได้ภาพจะเป็นสีเดียวรวมทั้งขอบก็จะหายไป..
    และนิมิตรทั้งหมดจะหายไปในช่วงไต่ระดับจากฌาน ๑ ขึ้นไป
    และจะไปปรากฏอีกทีในระดับฌาน ๓ ปลายๆหรือฌาณ ๔ หยาบๆก็จะเป็นภาพที่มีแสงสว่างในตัวเอง.
    .ถ้าอยากได้กำลังจิตให้บังคับภาพให้ได้ในช่วงนี้ครับ.
    ถ้าอยากฝึกเรื่องความสามารถพิเศษให้ฝึกอฐิษฐานในช่วงนี้
    แต่ต้องเคยรักษาอารมย์เรื่องที่จะอฐิษฐานไว้นะครับไม่งั้น
    ถึงโหมดนี้มันจะนึกเรื่องที่จะอฐิษฐานไม่ออก.

    และในขณะที่เรากำลังอฐิษฐานอารมย์จะถอยสู่อุปจารสมาธิเอง
    อัตโนมัติและถ้าเรารักษาอารมย์ได้ต่อเนื่องซักพักผลที่อฐิษฐาน
    จะบังเกิดได้เองอัตโนมัติ(ทางด้าน ย้อนอดีต อนาคต หรือเรื่องราว
    ที่ต้องทราบต่างๆ)..แต่ถ้าจะอฐิษฐานเรื่องฤิทธิ์ทำเหมือนเดิมแต่
    ต้องรักษาอารมย์เพื่อกลับเข้าสู่อารมย์ภาพมีสว่างในตัวรอบที่ ๒
    ให้ได้ส่วนผลจะบังเกิดในขณะที่ภาพยังคงอยู่และหมดแสงสว่างครับ..
    ส่วนจะไปอรูปฌานต่อก็ต้องรู้เทคนิคในการส่งจิตออกไปที่ภาพครับ.
    .เอาแค่นี้เด่วค่อยว่ากันอีกทีเรื่องเทคนิคหรือถ้าจะฝึกแบบลืมตาครับ.
    .

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง...
     
  10. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    แทบทุกคน ฝึกสมาธิใหม่ จะค้นพบจิตนี้มีรัศมีเหมือนพระจันทร์

    เมื่อ ความอยากเข้ามาแทนที่ การปฏิบัติแบบไม่อยาก

    ผลปรากฏ จะไม่ได้พบกับ อาการจิตหนึ่งอีกเลย

    จนกว่าคุณจะสลัดความอยากออกไปได้ ภาวะของจิตหนึ่ง

    ก็ออกปรากฏอย่างเด่นชัด และสง่างามด้วย
     
  11. teww

    teww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +1,534
    ก่อนนั่งสมาธิก็ล้างใจให้สะอาดปราศจากกิเลสนิวรณ์เสียก่อน
    ด้วยการตั้งใจสวดการบูชาพระรัตนตรัย สวดอาราธนาศีล สวดบูชาพระกรรมฐาน สวดขอขมาพระรัตนตรัย
    สังกัดครูบาอาจารย์ท่านไหนก็สวดของท่านนั้นไป เช่นของวัดปากน้ำภาษีเจริญ ของวัดท่าซุง

    นิมิตเป็นของไม่เที่ยง เห็นแล้วก็หายได้ ไม่ต้องตามหา
    หายแล้วก็ลืมตามองดูดวงจันทร์ใหม่ จำภาพได้ แล้วก็หลับตา

    หลังนั่งสมาธิก็ต้องหมั่นนึกภาพดวงจันทร์ไว้ตลอดเวลาเสมอๆในทุกอิริยาบท
    ถ้ายังเป็นผู้เริ่มต้นฝึกสมาธิใหม่ๆ ก็อย่าพยายามพูดคุยกับผู้อื่นให้มาก
    เพราะมันจะฟุ้งแต่เรื่องที่ไปคุยกะเขานั่นแหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2014
  12. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    เพื่อนสมาชิกหลายๆท่าน ได้ให้ข้อคิดข้อเตือนสติ อันเป็นความรู้ ที่ดีเป็นอย่างยิ่งกับคุณแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอย้ำเตือนเอาไว้ว่า
    สิ่งที่คุณทำอยู่ ไม่ใช่ นิมิต
    คำว่า "นิมิต" มีหลายความหมาย แต่ละความหมาย ก็ย่อมมีการใช้ที่แตกต่างกันไป ถ้าหากเป็นการเกี่ยวข้องกับร่างกาย ไม่ควรใช้การกำหนด อย่างที่คุณทำอยู่ เพราะนั่นมันคือ การสรัางภาพหลอน ให้กับระบบการทำงานของร่างกาย ซึ่งจะส่งผลเสัย ต่อระบบประสาทของตัวคุณในอนาคต
    คำว่า "นิมิต"สำหรับบุคคลที่จะเกิดขึั้นนั้น จะเป็น "นิมิต"ที่เกิดขึ้นเอง โดยไม่ใช่การคิด ไม่ใช่การสร้างภาพ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ผู้ที่จะเห็นนิมิตได้ อันดับแรก ต้องมีบุญ ต้องทำบุญมามากพอสมควร และมีจิตที่ใฝ่หาทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร มีจิตใฝ่ทางธรรมะ และใฝ่ทางศาสนา ก็จะสามารถเห็นได้ (อันนี้อธิบายยากเหมือนกันขอรับ) และการเกิด นิมิต ของบุคคลที่ได้กล่าวไป ก็จะเกิดนิมิต แม้ขณะยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ หรือ อาจจะเกิด นิมิต ขณะนอนหลับ ซึ่ง นิมิต จะต่างจากความฝัน (อันนี้ก็อธิบายไม่ได้) อธิบายได้เท่าที่รู้ขอรับ และผู้ที่เกิดนิมิตนั้น ไม่ว่าผู้หญิง หรือ ผู้ชาย สามารถ เกิดนิมิต ได้เท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่ปัจจัยดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นขอรับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...