จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    พูดไปนํ้าลาย เอ้ย นํ้าตาจะไหล ยินดีกับน้องมากๆเลยอ่ะ พี่เป็นประเภททื่อมะลื่อ สัมผัสไรไม่มี คนอื่นรับพลังพุทธะกันแน่นอกแน่นใจขนลุกกราวเกรียว พีนี้นั่งกระพริบตาปริบๆกรอกไปกรอกมาว่าฉไหน เรานี้ช่างสุขภาพดีหนังหนาตราช้าง มิมีกระดุกกระดิกซู่ซ่า กะใครเขาเล้ย งั้นรอฟังจากน้องเกษละกันนะ ได้ทั้งความสำราญเอามาสำรวจตัวเองด้วย อย่าลืมนะตะเอง มีคนรออยู่ อย่าให้คอยเก้อเน้อ(กดดัน ไปมั้ยเนี่ยะ อิอิ).
     
  2. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ................................................................................
    สวัสดีค่ะพี่พอใจ ระลึกถึงเสมอค่ะ ได้ข่าวว่าเป็นอาม่าแล้ว ยินดีด้วยค่ะ ลินดาก็เป็นย่าเล็กแล้ว คราวก่อนกลับเมืองไทย มีเด็กเรียกย่า สะดุ้งเยย( ลูกของลูกชายพี่สาว) ฮ่ะๆ
     
  3. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    จุใจ..และประทับใจเพลงมากเลยค่ะ น้องครูเกษ
    น่ารัก ใจดีจังฮู้ ๆ ...

    ขอบคุณ คุณย่าเล็ก ลินดา ค่ะ..
    ช่วงนี้พี่พอใจ กำลังเคลียร์งานต่าง ๆ เพื่อเตรียมพักผ่อน และพร้อมจะเป็น grandmother อย่างเต็มตัว..คงได้มีเวลาว่าง พอที่จะศึกษาธรรมได้อย่างที่ตั้งใจ
    อยากรวบรวมตำราต่าง ๆ ทั้งทฤษฎี และปฏิบัติ โดยเฉพาะด้าน
    "จิตเกาะพระ" ที่เราได้รับเมตตาจากคุณครู ๆ และเพื่อน ๆ กัลยาณมิตรทั้งหลาย ๆ ... ช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้ด้วยนะคะ

    พอใจ
    จบ.80
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 เมษายน 2014
  4. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    สัพเพสังขาราอนิจจา
    สัพเพสังขาราทุกขา
    สัพเพธัมมาอนัตตาติ


    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม เห็นธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ พระอริยสาวกองค์แรก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อฟังธรรมจักรกัปปวัตนสูตร แล้วก็ดวงตาเห็นธรรม คือ มีความเห็นถูกต้องว่า

    "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา"

    นี่คือความเห็นถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ พระอัญญาโกณฑัญญะเห็นพระพุทธเจ้าจริงๆ เพราะฉะนั้น เมื่อเรานั่งอยู่ ณ ที่ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ กายของเราก็นั่งใกล้ๆ พระพุทธเจ้าอยู่แล้ว แต่จิตใจของเราก็จำเป็นต้องเข้ามาใกล้ๆ เช่นกัน ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เมื่อจะเข้าถึงพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้วก็จะเป็นที่จะต้องดวงตาเห็นธรรม ...
     
  5. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    .
    .
    .เป็นอย่างผมเลย (แต่ผมคงหนักกว่าคุณลินดา)
    ..คิดถึงบ้านหลังนี้เลยมาแวะนั่งเล่นอ่านเรื่องคนอื่นๆด้วย
    ..อ่านแล้วก็สบายใจดี..
    ..
    ..
     
  6. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2014
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    การปฎิบัติธรรม
    ทำให้นึกถึงงานฝีมือช่างไม้หรือหินอ่อน
    เผื่อจะทำให้ผิวไม้หรือผินอ่อนราบเรียบได้นั้นก็ต้องใช้เวลา

    โดยเฉพาะเรื่องการ ล ะ ป ล่ อ ย ว า ง กับกิเลสตัวใด ตัวหนึ่ง
    กิเลสหยาบ กลาง ละเอียด
    ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน เช่น การสร้างสติตนเอง
    และจะต้องสร้างให้ได้อย่างต่อเนื่องด้วย
    จึงจะได้มาซึ่งสมาธิและปัญญา
    เพราะสองธรรมนี้แหล่ะ จะเป็นเสบียงจิตของเรา ต่อไปฯ
    เราจะเจริญในธรรมหรือไม่ ก็อยู่ที่ธรรมเหล่านี้แหล่ะ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    หากผู้ใด ถูกจริตธรรมหลวงปู่มั่นฯ
    ก็แสดงว่า เป็นคนจิตเข้ม มีบุญวาสนามาก
    คอยสังเกตธรรมของหลวงปู่มั่นกันให้ดี
    หากเปรียบเสมือนนักฆ่า ต้องยิงแสกหน้าอย่างเดียว คือโป้งเดียวจอด
    เพราะฉะนั้น คือไม่ต้องไปสงสัยหลวงปู่มันเลยว่า
    ทำไม ธรรมวัตร ปฎิปทาหรือการปฎิบัติธรรมของท่านถึงขั้นอุกฤษฏ์นัก
    ก็เพราะว่า กำลังใจของหลวงปู่ฯ นั่นไง
    หากกำลังใจของผู้ปฎิบัติมีน้อยเกินไป ก็จะแพ้กิเลสตัณหาฯตนเองง่าย

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม ดั่งหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตด้วยเทอญ..สาธุ
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 เมษายน 2014
  10. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
     
  11. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    น้อมกราบพระธรรม คำสอนของครูบาอาจารย์พระอรหันต์สาวก
    ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ที่ได้เดินตามพระองค์ท่าน
    จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ บรรลุธรรมอันเป็นที่สุด คือ อรหัตตผล
    ทุกท่าน ทุกองค์ ต่างกล่าว ถึงธรรมอันเดียวกันหมด ...

    คำกล่าวนี้ " อย่าไปสนใจ จิตผู้อื่น จงสนใจแต่จิตของตน "
    ทำไม หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ...ที่ท่านปฏิบัติถึงแล้ว บรรลุธรรม แล้ว
    ถึงได้ เน้นนัก เน้นหนา เรื่อง ที่ให้พวกเรา สนใจ แต่เรื่อง ของ " จิต "
    และจะต้องเป็น... จิตของเรา ด้วยนะ...มิใช่ จิตผู้อื่น...
    ก็เพราะ นี่คือ แก่น ... มิใช่ เปลือก มิใช่ กระพี้ ...

    ถ้ามุ่งหวัง บรรลุธรรม สำเร็จผล หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร เหมือนอย่างท่าน
    แล้วล่ะก้อ ท่านทำอย่่างไร ? ท่านปฏิบัติ ท่าน เน้นตรงไหน ? ทำตามท่านสิ...
    จะสังเกตุได้ว่า ทุกท่าน เน้น แต่เรื่อง จิต ...เพราะจิตเท่านั้น เป็นผู้ไป
    ไปยัง ภพภูมิต่างๆ ก็จิตนี่แหละ เป็นผู้ไป มิใช่กาย ...

    แต่ถ้าจิตที่กำลังอาศัยกายนี้อยู่ยังเต็มไปด้วย กิเลส ตัณหา อุปาทาน และ อกุศลกรรม
    จิตดวงนี้ ก็ยังคงต้อง เวียนว่าย ตาย เกิด อีกนับภพชาติไม่ถ้วน
    ไม่รู้ เมื่อไหร่ จะหาทางออกได้ ...หากพบแสงสว่างแห่งธรรม ของพระพุทธเจ้าแล้ว
    ไม่รีบปฏิบัติ เอาจิตมาเดินมรรค ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้า ท่านปูทางเดินไว้ให้แล้ว
    หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ เดินแล้ว ทำให้ดูแล้ว แล้วเมื่อไหร่จิตดวงนี้จะ ละ อวิชชา
    ออกจากจิต ได้ล่ะ? เมื่อไหร่? เห็นทีจะไม่มีหวัง แล้ว สำหรับนิพพานชาตินี้ ...

    ปรารถนาพระนิพพานชาตินี้ ...แล้วลงทุนอะไรบ้าง? ...รู้มั้ย?
    กว่าที่พระพุทธเจ้า ท่านทรงค้นพบ พระธรรม อันเป็น โมกขธรรม
    หรือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น มาให้พวกเรา เดินตาม ท่านทรงแลกด้วยอะไรมา
    กว่าที่ พระอรหันต์เจ้า ทั้งหลาย ท่านปฏิบัติสำเร็จ เดินถึงฝั่งมรรคผลนิพพาน
    ท่านทั้งหลาย ทุ่มเท แลกกันด้วยชีวิต ทั้งนั้น ธรรมนั่นอยู่ฝากตาย ...
    แล้วพวกเรา ล่ะ ทำกัน ปฏิบัติกันแบบไหน? ...
    หวังการไม่กลับมาเกิด ก็ต้องลงทุนกันหน่อย ...

    นิพพานชาตินี้ ...มิใช่แค่ท่อง แค่คิดเฉยๆ แล้วจะไปได้ ปฏิทาการปฏิบัติต่างหาก
    ที่ต้องสำรวจ และ สำรวม กาย วาจา ใจ ดูว่าเราเดินตรงทางไหม? ทุ่มเทมากพอหรือยัง?
    อย่าลืม บวก ลบ คูณ หาร กับเวลาที่มีอยู่ในชาตินี้ ด้วยนะ ...
    เพราะ ทุกคนมีเงื่อนไขเหมือนกันหมด ไม่ว่าใคร นั่นคือ เวลา
    สิ่งที่ยุติ เวลา ของทุกคน นั่นคือ ความตาย
    (Time's up!!!...That's it ..Finished)
    ฉะนั้น รีบๆกันหน่อย พี่ น้อง ผองเพื่อน ...
    นิพพานอยู่ไม่ไกลเลย ก็อยู่ที่จิตเราเอง นั่นล่ะ...สาธุ

    สาธุธรรม ...
    เขียนเพื่อเตือนตนเองและเผื่อแผ่เพื่อนกัลยาณมิตรทั้งหลาย
    ด้วยความรักและปรารถนาดี ต่อทุกดวงจิต

    ณัฐชยาวดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 เมษายน 2014
  12. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    อนุโมทนา และขอเป็นกำลังใจให้คุณพี่พอใจค่ะ (k)
     
  13. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    สวัสดีค่ะ คุณ thipong มีโอกาสเจอและทักทายกันแล้ว ก็ใคร่ขอเชิญมาพัฒนาจิตในแนว จิตเกาะพระด้วยกันค่ะ เรื่องสัมผัสหรืออาการปิติทางร่างกายลินดาก็เล่าไปอย่างที่เป็น ไม่ได้ให้ความสำคัญหรือไปยึดกะเรื่องนั้นหรอกค่ะ มันไม่ได้สำคัญลินดา สิ่งที่สำคัญจิตที่ได้รับการดูแลขัดเกลาและพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆต่างหากที่ลินดาให้ความสำคัญ ในกระทู้นี้ คุณภูและท่านอื่นๆก็ได้ให้ธรรมมะที่อ่านเข้าใจง่ายไว้มากมาย หากคุณ thipong อ่านแล้วชื่นใจมีความสุขนั่นแสดงว่าคุณ thipong มีจิตที่ละเอียด พร้อมจะพัฒนาให้จิตของคุณให้ผ่องใสยิ่งๆขึ้นไป มาพัฒนาจิตด้วยกันนะคะ จะรอค่ะ(f)(f)
     
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    คิดถึงพ่อ...

    มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในใจลูก
    จิตพันผูกนานเนิ่นอสงไขย
    ตั้งแต่ต้นพุทธบาทอันนานไกล
    องค์ปฐมนั้นไซร้พระอัยกา

    พระบิดาอุ้มชูอยู่ไม่ห่าง
    ลูกลูกต่างทราบซึ้งใจนักหนา
    แม้พ่อจักนิพพานเนิ่นนานมา
    แต่ห่วงหาลูกรักมิห่างไกล

    ลูกจะขอทดแทนพระคุณท่าน
    ทุกข์เนิ่นนานเพียงไหนมิย่อท้อ
    จักสืบทอดปณิธานมิรั้งรอ
    ช่วยสืบต่อศาสนาพระทรงชัย

    แม้เลือดเนื้อชีวาวันจะลาลับ
    ชีพแดกดับดวงฤทัยสูญสลาย
    ลูกจะขอมอบให้ทั้งใจกาย
    เพื่อถวายแทนคุณพระบิดร

    *-*-*-*-*-*-*-
    ประพันธ์โดย สุรศักดิ์ ภู่ทอง
    Cr..Fb Buddhasattha



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2014
  16. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    การมีชีวิตด้วยจิตว่าง.

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ZC_Tcimg0pw]การมีชีวิตด้วยจิตว่าง. - YouTube[/ame]
     
  17. Nooboonsawan

    Nooboonsawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +189
    ~~อนัตตา~~
    คือ สภาวะของทุกสรรพสิ่ง จิตเดิมแท้ มันไม่มีอะไรอยู่เลย มันมีแต่ธรรม ที่ว่างเปล่า สภาวะของมันเป็น อย่างนั้น สิ่งใดที่มี เกิด มี ดับ จึงอยู่นอกจิต เมื่ออวิชชา ทำลายสิ้น สภาวะเดิมแท้ของจิต จึงปรากฏชัด ผู้รู้ทั้งหลาย เขาไม่ข้องแล้ว เขาจึง ปล่อยให้มันเกิด มันดับ ของมันไปเอง เป็น ธรรมชาติ ของมัน
    จิต มันก็เลยว่าง เพราะ จิตไม่ยึดเกาะเกี่ยว กับ สิ่งนอกจิต เหล่านั้น มันปล่อยหมด จิตที่ไม่มีอวิชชา ปกคลุม อีกต่อไป ก็จะเข้าถึงสภาวะดั่งเดิมแท้ของมัน นั่นเอง เราเกิิดมาหลายภพชาติ แต่ละชาติ ก็สะสมพอกพูน อวิชชา ปกคลุมจิตไว้ ยึดเอาเข้ามา ว่า เป็นเราเป็นของเรา พอมาวันนี้ กระเทาะความ โง่ เหล่านั้น ออกไป จิตดวงเดิม แรกเริ่มเดิมที จึงปรากฏ สว่างไสว ในตัวของมันเอง มันเห็นชัดแจ้งแล้วว่า ที่มีอยู่เป็นอยู่ ความจริงคือ ไม่มีอะไรเลย ภาพลวงตาทั้งนั้น ...
    ลูกขอน้อมกราบแทบเท้า หลวงปู่ทวด ด้วยเศียรเกล้า
    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา

    [​IMG]



    พุทธะ อยู่ในกายมนุษย์
    อีกจุดหนึ่งที่มนุษย์ไม่ยอมสนใจ คือไม่สนใจค้นในกายของตนเอง สิ่งหนึ่งที่เรียกว่า พุทธะ นั้นอยู่ในกาย ถ้าจิตของผู้นั้นสามารถค้นเข้าไปถึงกายในกายอันบริสุทธิ์ สิ่งนี้ภาษาทางโลกเรียกว่า พลัง ชนิดหนึ่งที่ยอดเยี่ยมอยู่ในตัวเรา แต่เราไม่รู้จักค้นออกมาใช้ เพราะอะไรเล่า ทำไมเราจึงถามว่าเหตุใดองค์สมณะโคดมจึงสามารถระลึกชาติได้ เพราะมีบุพเพนิาสานุสติกญาณ มีอนาคตญาณ หรือมีญาณอะไร สิ่งเหล่านี้เราไม่ต้องไปรับรู้ เราไม่ต้องยุ่ง เราไม่ต้องไปคิดถึงว่าเราจะได้ฌานโน้นฌานนี้ หลักของการปฏิบัติอันหนึ่งมีอยู่ว่า เราจะยึดอะไรเป็นสรณะของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
    คำว่า กรรมฐาน นั้นหมายถึงการกำหนดจิตของเราให้จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อรวมพลังจิตไม่ให้ฟุ้ง เมื่อรวมพลังจิตอันนั้นไม่ให้ฟุ้งแล้ว รวมอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง รวมจนได้อารมณ์แห่งปีติ คือนิ่งเฉยแห่งจุดนั้น เมื่อนั้นให้ขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนาคือให้พิจารณาในทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นอนัตตา อนัตตาคือการเดินทางไปสู่โลกแห่งนิพพาน โลกแห่งอรหันต์ โลกแห่งโพธิสัตว์ โลกแห่งอนาคา อนาคามี โลกเรานี้เป็นโลกแห่งอัตตา ทำอย่างไรเราถึงจะไปสู่จุดแห่งการเป็นอนัตตาได้
     
  18. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    .
    ..
    .ขอบคุณมากๆครับ สาธุๆๆครับคุณลินดา

    .ตอนที่ครูเกษสอนใหม่ๆ
    .ผมจำได้ว่าครูบอก ทำบุญไม่ให้เกาะบุญ
    .ผมก็คิดว่า แล้วเราไม่มีบุญเราจะไปนิพพานได้ไงนะ
    .เพราะนิพพานก็คงไม่ต่างจากไปสวรรค์ เพียงแต่มีข้อปลีกย่อยกันไป
    ..หนึ่งในนั้นก็ต้องมีบุญไปด้วย..
    .
    .ทุกวันนี้เข้าใจแระว่า

    .เกาะบุญ เราไปสวรรค์

    .เกาะฌาน ไปเป็นพรหม

    .ไม่เกาะอะไรได้ไปนิพพาน

    .เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราชอบ เราไม่ชอบอะไร
    .เราจะกลับมาหาทุกข์ทำไมอีก
    .
    .อันนี้ผมตีเอง พร้อมกับฟังหลวงพ่อท่านสอนมาด้วย
    .เลยพอจะตีความหมายครูเกษได้เท่านี้
    ..
    .อีกอย่าง เมื่อก่อนก็อยากได้ฝึกมโนฯให้ได้
    .
    .แต่ตอนนี้เฉยๆ (พอดีมันไม่ได้มั้งก็เลยเฉย+555)
    .แต่ก็มีความรู้สึกได้เลยว่า
    .ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เ เพราะว่าไม่ใช่จุดหมายของเรา
    .จุดหมายเราคือนิพพาน
    .ไม่รู้ได้หรือไม่ได้ แต่ขอตั้งไว้ก่อน.
    .ใจเรารักนิพพานเป็นพอ (ทั้งที่ไม่เคยเห็นกับเค้าเรย อิอิ)
    .แต่ก็รู้สึกชอบ เพราะไม่อยากเกิด
    ..
    ..
    .เข้ามาที่กระทู้นี้ก็จะรู้สึกเย็นๆ สบายใจดีครับ
    .ที่ผมยังไม่ไปไหนอีกอย่าง
    .คงเป็นกรรมให้ผลหนักกว่าชาวบ้านเขา
    .การฝึกเลยไม่พัฒนา
    .แต่ยังไงผมก็ยังทำต่อไป
    .เพราะผมชอบจับภาพพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว
    .ส่วนศีลผมก็พยาายามรักษาให้ดีขึ้นทั้ง 5 ข้อ.
    ..ขอขมากรรมกับพระพุทธเจ้า
    ..และเจ้ากรรมนายเวรด้วย
    ..แต่ครูเกษบอกว่าให้หมั่นขอขมากรรมบ่อยๆ
    ..แต่ผมก็ทำเพียงเช้าหรือเย็น
    ..
    ..คือผมเกร็งว่า ภาพพระพุทธเจ้าที่ผมจับภาพท่านไว้ทั้งวันนั้น..
    .ทั้งวันนี้หมายถึง ได้มั่งไม่ได้มั่งอะไรงี้ครับ
    .แล้วจะมีบุญให้เจ้ากรรมนายเวรท่านหรือเปล่า..
    ..
    .ถ้าหากว่าผมจะใช้ว่า
    ..ขออนิสงฆ์ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้จับภาพพระในวันนี้
    ..จงเป็นผลบุญเพื่ออุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร
    ..ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ในครั้งนี้ด้วยเถอด
    ..ผลบุญนี้ จะทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขเพียงใด
    .ก็ขอให้ท่านได้รับเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะได้รับด้วยเถอด
    ...
    ...
    ..ขออความรู้ตรงนี้หน่อยนะครับ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กำลังกาย
    กำลังใจ

    สองคำนี้ มันต่างกันราวฟ้ากับเหว

    พูดถึงความร้อนหรือความเย็นภายในกายหรือจิตใจของคนเรา
    หากเราไม่ฝึกจิตของตนเลย
    ความร้อน ความเย็น มีทั้งภายนอกและภายใน
    ภายนอก เช่น ไปตามสภาวะอากาศที่เปลี่ยนไป
    ส่วนภายใน เช่น ความร้อนภายในเกิดจากการเผาผลาญพลังงานภายในร่างกายเอง
    หรือการออกกำลังกาย ส่วนความเย็นภายในกายนั้น จะหมายถึงจิตใจของคนนั้นเอง
    เช่น ไปทำบุญกุศลมา เป็นต้น

    หากเราฝึกจิตมาดีแล้ว
    ความร้อนหรือความเย็นที่เกิดขึ้น ทั้งภายนอกหรือภายในกาย-ใจ
    ไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่ เพราะจิตเราไม่ไปสนใจกับสิ่งภายนอก
    แต่จะสนใจเฉพาะ ภายในเท่านั้น เช่น ภายในกาย-ใจ
    เพราะผู้ที่ฝึกจิตมาดี น่าจะหมายถึง การดูเฉพาะกายและใจของตนเองเท่านั้น
    ซึ่งมิให้ไปสนใจอย่างอื่น และก็อยู่เฉพาะคำว่าบุญกุศลในปัจจุบันของตนให้ได้ต่อเนื่องด้วย
    สิ่งที่จะทำให้จิตใจของเราอยู่เฉพาะบุญกุศลปัจจุบันได้ นั่นก็คือ สติของเราเอง
    หากฝึกจิตมาดีแล้ว ดีหรือไม่ดี เราดูง่ายๆก็คือ ดูที่ตัวสติหรือสมาธิจิตตนเป็นหลัก
    หากฝึกจิตมาดี สติธรรมดาๆย่อมเกิดสัมปชัญญะ คือสติระดับเข้ม
    หากสติเราเข้มหรือตั้งมั่นหรือแข็งแรง จะมีผลต่อสมาธิจิตตนโดยตรง

    ตรงนี้แหล่ะ สำคัญมากสำหรับนักภาวนา ก็คือฐานของจิต(สมาธิจิต) นี่เอง
    หากสมาธิจิตของนักภาวนาไม่เข้มข้น ไม่แข็งแรงพอ
    คำว่า เจริญในธรรม ย่อมไม่เกิดขึ้นกับจิตผู้นั้นแน่
    ผลของสมาธิจิต ก็คือ กำลังใจแห่งตน นั่นเอง
    เหมือนร่างกายของคนเรา จะให้แข็งแรงก็ต้องพาออกกำลังกาย
    แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ก็เลยออกกำลังกายแค่กายหยาบเท่านั้น
    ไม่หัดหรือไม่ฝึกจิตให้เข้มหรือแข็งแรงกันเลย
    ส่วนฝึกจิตจะไม่เหมือนกับการออกกำลังกาย
    แต่ฝึกจิตจะต้องอาศัยการเข้าหาหรือเข้าไปให้ถึง คำว่า สงบสุข สงัด ปลีกเวก
    นั่นก็หมายความว่า การทำจิตใจของตนให้นิ่งให้เป็นสมาธิหรือสำรวมจิตเป็นปรกตินั่นเอง
    เพราะหลังความนิ่งหรือหลังสมาธิจิตนั้น ก็คือ ปัญญา
    ปัญญานี้เอง จิตจะนำไปวิปัสสนาญาณ หรือนำไปพิจารณาธรรมต่างๆเอง
    ไม่ใช่ ปัญญาที่เกิดจากการคิดนึงเอาเอง (วิปัสสนึก)
    ปัญญาแบบนี้ไม่มีประสิทธิภาพ หรือไม่มีกำลังในการ ล ะ ป ล่ อ ย ว า ง
    ถามว่าปัญญาแบบไหนหรือ ที่มีกำลัง โดยเฉพาะเรื่องการละปล่อยวาง
    ตอบว่า ปัญญาที่ได้จากการภาวนา(ภาวนามยปัญญา) นั่นไง

    เพราะฉะนั้น คำว่า ปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรม จึงต่างกัน ด้วยเหตุผลนี้เอง
    เกิดเป็นคน เกิดเป็นสัตว์ประเสริฐ จะต้องเข้าใจหรือพัฒนาสิ่งที่ถูกต้องด้วย
    มิใช่มุ่งเน้นแต่เฉพาะ การพัฒนาร่างกาย วัตถุหรือสิ่งภายนอกอย่างเดียว
    แต่อยากให้มุ่งเน้นการพัฒนาจิตใจหรือจิตวิญญาณมากกว่า หรือควบคู่ตามไปด้วยกัน

    และผลลัพธ์นั่นก็คือ ทุกคนสงบสุข ผาสุขแน่นอน เพราะไม่มีผู้ใดจะไปเบียดเบียนกัน
    แค่คิดนึกว่าจะไปเบียดเบียนกันและกัน จึงไม่มี
    นี่ยังไม่ทันพูดออกมากหรือลงมือกระทำเลย
    โลกจิตวิญญาณของมนุษย์เราเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก คนทั่วๆไปยากที่จะเข้าใจ
    ในเมื่อทุกคนมีความสงบสงัดภายในจิตใจของตนแล้ว
    ตรงนี้เรียกว่า เขตบุญกุศลของตนเองแล้ว
    บางคนยังไม่ค่อยเข้าใจว่า เขตบุญกุศล คือสถานที่ใด สถานที่หนึ่ง
    แต่ความจริงแล้ว กลับไม่ใช่ ทำไมเป็นเช่นนั้น
    เพราะความจริงของคำว่า บุญ หรือ คำว่า ต้นบุญ นั่นก็คือ
    ต้นกำเนิดแห่งบุญกุศลของคนเราจริงๆนั้น ก็คือ จิตใจของตนเอง
    เพราะทุกคนรู้แล้ว ทั้งความสุข ทั้งความทุกข์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน
    หากมิใช่..จิตใจ
    คำว่า บุญ ก็แปลว่า ความสบายใจ นั่นเอง
    เวลาเราทำบุญเสร็จใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นบุญเล็กน้อย(ทำทาน)
    หรือบุญใหญ่หลวง(เจริญกรรมฐาน) ให้เรารีบแผ่บุญหรืออุทิศบุญกุศลทันทีทันใดเลย
    เพราะว่า ในขณะที่จิตกำลังนิ่งมากๆอยู่นั้น มีกำลังใจมาก จิตมีบุญกุศลมาก คือมีความเบิกบานใจดีมาก
    เพราะฉะนั้นอย่าพลาดโอกาสนาทีทอง คือให้เรารีบแผ่บุญกุศลออกไปไวๆ
    การแผ่บุญกุศลไปได้ไกลหรือไม่ ถึงหรือไม่ถึงนั้น ก็อยู่ที่กำลังจิต กำลังใจของเรานี่เอง
    หาใช่อยู่ที่สถานที่ หรือเงินทองสิ่งของต่างๆ ที่เรานำมาทำบุญ

    คนชอบทำบุญ คนที่มุ่งเน้นทำแต่บุญ โดยเฉพาะบุญนอกจิตตนเอง
    ก็เลยเข้าใจผิดหมดเลย แต่ก็พอเข้าใจกันอยู่ เพราะเป็นไปตามขั้นบันไดบุญ
    กำลังใจหรือบุญกุศล หรือทุนเดิมของคนเราทำมาไม่เท่ากัน
    การทำบุญด้วยเงินทองหรือสิ่งของ หรือบุญอามิสบูชา จึงเป็นบุญเล็กน้อย
    บุญเกิดจากเงินทองสิ่งของภายนอก ซึ่งบุญที่เกิดขึ้นภายในจิต จึงมีไม่มากนัก
    เพราะฉะนั้น ทำไม บุคคลสองประเภท เวลาแผ่อุทิศบุญกุศลได้ผลผิดกัน
    เช่น จิตปุถุชนหรือคนธรรมดา กับพระอรหันต์ เป็นต้น
    เห็นแล้วใช่ไหม พอเห็นคำตอบกันหรือยัง เพราะ บุญจะมากหรือน้อย
    บุญที่เรากำลังส่งหรือแผ่ไปให้วิญญาณเหล่านั้น เป็นบุญแบบไหนด้วย
    หากเราเคยล่วงเกินหรือไปปรามาส โโยเฉพาะเคยเข่นฆ่าเอาชีวิตเขา
    แค่บุญภายนอกหรือบุญที่ได้จากการทำทานนั้น ไม่พอแน่
    แต่จะต้องเป็นบุญใหญ่ นั่นก็คือ บุญที่ทำด้วยใจ หมายถึง บุญจากกรรมฐาน
    กรรมฐานกองใด กองหนึ่ง หรือทำจิตเกาะพระก็ได้ หากทำแล้วจิตใจของตนสงบสุข
    นี่ก็คือ บุญกุศลใหญ่ของตนเองแล้ว
    เวลาแผ่ก็ให้แผ่ในขณะที่จิตยังมีกำลังใจมากๆ แต่อย่านานนัก
    เพราะหากแผ่บุญฯ ในขณะที่กำลังใจหรือกำลังบุญอ่อนแรง
    อาจจะไร้ค่า เพราะเราส่งไปไม่ถึงผู้รับ อะไรประมาณนั้น

    แหม๊ธรรมตรงนี้ดันไปตรงกับคุณอะไรนะ ที่กำลังถามเรื่อง การแผ่บุญยังไงให้ได้ผลดี
    เหมือนพระให้มาบอก ให้เราตื่นตีสองตีสาม ลงธรรมะเรื่องนี้พอดีเลย
     
  20. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825



    [​IMG]


    เจ้ากรรมนายเวรที่ท่านผูกพันเหนี่ยวแน่นมากที่สุดคือ ขันธ์ 5 (ตัวท่านเอง)
    ปล่อยวางภาระที่เกิดจากขันธ์ทั้ง 5 นี้เสียได้ ก็หมดกันซะที...ห ม ด ก ร ร ม !!


    โมทนาสาธุค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...