จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    ขออนุโมทนาครับท่านอาจารย์ภู
     
  2. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    สู้ๆนะครับเคาะกิเลสออกไปให้หมดจากจิตครูจิตเกาะพระ
    เก่งๆกันทุกท่านครับกว่าผมจะมาถึงตรงนี้ได้ทำเอาครูเกษปวดเศียรเวียนเกล้า555
    อย่าจิตดื้อเหมือนผมนะครับ ^^ผมกำลังกำหลาบจิตตัวเองอยู่ด้วยสติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2014
  3. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
    เบื่อหน่ายแล้วหรือลูก”
    เบื่อหน่ายในความเกิดแล้วใช่ไหม
    จิตใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้วใช่ไหม​



    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    พ่อสอนเรื่อง... "ดูใจของลูกให้มันเป็นแก้วใส ตลอดเวลา"

    แต่ว่าเรื่องของเรา เราต้องรู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร อะไรมันดี อะไรมันชั่ว
    มันอยู่ที่ตัวของเรา อย่าไปสนใจเขา เรื่องใจของเราเท่านั้นเป็นสำคัญ
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษความผิด จิตของเราไว้เสมอ"

    "ดูใจของลูกให้มันเป็นแก้วใส ตลอดเวลา"
    "เวลารับคำชม ใจเราก็เป็นแก้ว ตั้งอยู่ในอุเบกขา"
    "เวลารับเสียด่า ใจเราก็เป็นแก้ว ตั้งอยู่ในอุเบกขา"
    "ใจยิ้ม พร้อมจะยิ้มรับคำด่าของเขาได้ ชื่อว่าใจเป็นสุข"

    เวลานี้ใจของลูก พ่อทราบว่า ไม่มีใครหวังในการเกิด
    “เบื่อหน่ายแล้วหรือลูก” เบื่อหน่ายในความเกิดแล้วใช่ไหม
    จิตใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้วใช่ไหม


    ลูกทุกคนเงียบสงัด เพราะกำลังอยู่ในสมาธิ พ่อพอใจ แต่พ่อก็ทราบว่าจิตใจของลูกเวลานี้ ​
    จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีความเบื่อหน่ายในสภาวะการเกิดการตาย

    คำสั่งของพ่อ จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2014
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำว่า มรรค ผล นิพพาน

    ไม่มี คำว่า บังเอิญ โชคช่วย
    ไม่มี คำว่า ได้มาง่ายๆ ไม่มีหรอก
    คือเราจะต้องสร้างเหตุ สร้างปัจจัย หรือทำขึ้นมาเอง เท่านั้น

    ในครั้งพุทธกาล สมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิต
    ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังเทศน์ ฟังธรรมจาก...พุ ท ธ ว จ น
    คือฟังธรรมจากพระโอษฐ์ ของพระพุทธองค์
    บางท่านจิตเป็นสมาธิมาก จิตก็จะละเอียดมาก ก็จะรับธรรมะอันละเอียด ลึกซึ้งจากพระโอษฐ์ง่าย
    คือในณขณะที่พระพุทธองค์กำลังแสดงธรรม ผู้ที่กำลังนั่งฟังอย่างมีสติ มีสมาธิมาก
    จึงมีความเข้าใจง่าย เข้าถึงธรรมง่าย

    โดยเฉพาะผู้ที่เคยเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์มาครั้งเก่าก่อนด้วยแล้ว
    เมื่อฟังธรรมะหรือคำสอนที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธองค์แล้ว
    บางท่านถึงกับเกิดปิติสุขมากมาย มีอาการขนลุกพอง สยองเกล้า ฯลฯ
    บางท่านถึงกับบรรลุเป็นพระโสดาบัน อนาคามี หรือผู้ที่มีบุญบารมีมากอยู่ก่อนแล้ว
    ถึงกับบรรลุธรรมขั้นสูง กลายเป็นพระอรหันต์ไปเลย ก็มีเยอะ ในสมัยพุทธกาลโน้น

    แต่พอมาสมัยนี้ คงยาก
    เพราะยิ่งโลกมีความเจริญรุ่งเรืองมากเท่าใด จิตใจมนุษย์ก็ยิ่งถูกชักจูงให้ลงต่ำง่าย
    อย่าลืมนะว่า ความเจริญ ความรุ่งเรืองต่างๆนั้น ใครเป็นผู้คิด ใครเป็นผู้ที่สร้างกันขึ้นมา
    ถ้ามิใช่ มนุษย์ โดยเฉพาะ คนโลภมาก คนเก่งมาก คือคนที่มีปัญญาทางโลกมากหรือฉลาดทางโลก
    เก่งทางโลกอย่างเดียวมันไม่พอ เพราะถ้าคนเก่งทางโลก แต่ไร้ศีลธรรม
    ทุกอย่างที่ทำลงไปในโลกมนุษย์นั้น ก็ไร้ความหมายสิ้นดี เพราะหารู้ไม่ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้น
    เห็นเจริญแต่วัตถุอย่างเดียว แต่ถูกมองข้ามจิตตนและผู้อื่น โดยปริยาย จึงเรียกได้ว่า สวนทางกันสิ้นดี
    ทางโลกกับทางธรรม ก็เพราะด้วยเหตุผลนี้นี่เอง
    ยิ่งสมัย ย้อนไปยังครั้งพุทธกาลโน้น โลกยังไม่มีความเจริญเข้ามามาก
    แต่สมัยนี้ มุ่งแต่พัฒนาวัตถุหรือสิ่งภายนอกมากกว่าจะพัฒนาภายในคือ จิตวิญญาณ
    ทุกวันนี้ ทุกคนนี้ ไม่ต้องไปสงสัยกันเลยว่า ทำไม โลกยิ่งเจริญมากเท่าใด มนุษย์เราก็ยิ่งมีทุกข์ทวีคูณ
    วิ่งตามไม่ทันหรอก เหมือนรถยนต์ เราจะไปตามซื้อ ตามเปลี่ยนรุ่นที่ออกมาใหม่ เราตามไม่ไหวหรอก
    ถึงตามทันก็เท่ากับเป้นเหยื่อกิเลสของคนอื่นเปล่า แค่ตามใจกิเลสตนนั้น ยังตามไม่หวาดไม่ไหวเลย

    เพราะฉะนั้น ใครจะตามโลก ตามความเจริญของโลก หรือตามนวัตกรรมต่างๆ ฏ้ตามไป
    แต่ผมไม่ตาม หยุดแล้ว มีก็สักแต่มี เป็นก็สักแต่เป็น พอแล้ว ไม่หาเพิ่ม หาเท่าที่จำเป็นๆพอ
    เครื่องประดับกายตัดทิ้งหมด นาฬิกา ทุกวันนี้ก็ไม่ใส่แล้ว มีแต่เก็บไว้ในกระเป๋า
    ถามว่าเครื่องประดับใจ มีไหม เมื่อก่อนมีนะ แต่เดี๋ยว ตอบได้คำเดียวว่า ไม่มี
    เครื่องประดับใจในที่นี้ หมายถึง ความรัก ความยึดติดอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
    ความคิดถึงแบบโลกมนุษย์ หรือชอบอะไรที่เป็นมนุษย์ที่เขามีกัน ตอนนี้มันหดหายจางไปเกือบไม่มีแล้ว
    ทานอะไรอร่อยหรือไม่อร่อย ถูกปากหรือไม่ถูกปาก ไม่บ่นไม่คิด เพียงสักแต่ว่า...
    อร่อยก็สักแต่ว่า..อร่อย ไม่อร่อยก็สักว่า..ไม่อร่อย จะไปคิดหรือปรุงแต่ง ไม่มีแล้ว
    ทุกอริยบถก็เช่นกัน ไม่ต้องมาเดินเยื้องๆเคี้ยงเอื้องเหมือนกวางกลัวเสือจะมากินแล้ว
    หรือเดินจงกรรมเหมือนคนที่ฝึกหัดใหม่ๆ อันนี้มิได้ว่า ผู้ที่กำลังปฎิบัติแบบนั้นอยู่นะ
    พูดถึงการแชร์การปฎิบัติของตนเอง เมื่อก่อนกับตอนนี้ ไม่พูดให้ฟังแล้วจะรู้กันไหม
    พูดไป ถึงจะมีคนตำหนิช่างเขาประไร นี่พูดธรรมะ มิได้พูดถึงคนอื่นเลลย
    เวลาเดินก็เดินตามปกติ จะเดินช้า เดินเร็วหรือวิ่ง ไม่ต้องมาเสียเวลาสร้างจังหวะ
    คนที่กำลังหัดหรือเดินจงกรมนั้น จะต้องเดินช้าๆเพื่อสร้างสมาธิ
    เพราะสติเรายังตามไม่ทันกายใจของตนเอง นั่นเอง
    แต่ถ้าเราฝึกจิตมาดีแล้ว การสนใจมิด้อยู่ที่ท่วงท่า แต่มันอยู่ที่จิตมีสมาธิไหมมากกว่า
    ท่าทางจึงเป็นส่วนประกอบเท่านั้น พอใครทำเก่งแล้ว เอาจิตตนเองอยู่แล้ว
    หรือเรียกว่า เราได้กรรมฐานกองแรกแล้ว คือสมถกรรมฐาน เดี๋ยวจิตจะเคลื่อนไปทำกรรมฐานกองสูงต่อไป
    นั่นก็คือ วิปัสสนา พอจิตผู้ใดทำวิปัสสนาได้คล่องตัวแล้ว คำว่า วิปัสสนาญาณก็จะเกิดกับผู้นั้นเอง
    แต่จะช้าหรือเร็ว ตอบตรงๆว่า ขึ้นอยู่กับ อินทรีย์๕ ของตนเอง ว่าแกร่งกล้าแค่ไหน
    นอกจากมีความศรัทธา มีความเพียรแล้ว สำหรับผู้ปฎิบัติมันยังไม่พอ
    โดยเฉพาะ การเริ่มต้นของการปฎิบัติธรรมนั้น เราจะต้องเริ่มต้นคำว่าสติก่อนอื่น
    ถ้าสติของเรามีมากจนกลายเป็นสติเข้ม คือสติระดับสัมปชัญญะ นั่นเอง
    พอสติเรากลายเป็นสัมปชัญญะแล้ว คำว่า สมาธิก็จะเกิดแล้ว
    พอสมาธิจิตเรามีแล้ว ทว่ามีมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
    เพราะ คำว่า สมาธิจิตนั้น ถือว่าสำคัญมาก สำหรับการภาวนาเหมือนกัน
    เพราะสมาธิจะเป็นฐาน คำว่า ปัญญาของตนจะมากหรือน้อย ก็อยู่ที่มาธิตนเข้มหรือไม่
    สรุปแล้ว สมาธิเข้ม ปัญญาก็เข้มตาม นั่นเอง
    มีแต่...สมาธิจะเข้มหรือไม่เข้ม ก็ขึ้นอยู่ที่เราสร้างสติมีสติระดับใด
    แต่ถ้าสติธรรมดาๆ สมาธิก็น้อย ปัญญาแทบมองไม่เห็น
    เพราะนักภาวนาต้องการปัญญาไปพิจารณาธรรมต่างๆได้นั้น หรือ
    สมาธิ ปัญญาที่เหมาะสมในการพิจารณาธรรมนั้นก็คือ สติระดับเข้ม คือสติสัมปชัญญะ นั่นเอง

    จะพูดได้ทั้งวันเรื่องสติกับจิตนี่นะ หากินได้ตลอดทั้งวันคืน ธรรมะสองตัวนี่นะ
    ถ้าพูดเรื่องการปฎิบัติ ก่อนจะลงมือปฎิบัติ เรื่องศีลสำคัญสุด แรกสุดเลย
    เอาความตั้งใจที่จะปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบก่อนเลย เมื่อศีล๕เป็นอย่างต่ำ เอาเจตนาเป็นหลักก่อนนะ
    เมื่อศีลของเราครบแล้วสตาร์ท ปฎิบัติเดินมรรคต่อไปเลย
    คราวนี้แหล่ะ พอเริ่มจะสตาร์หรืออกเดินทางแห่งมรรคผลนิพพานของตนแล้ว
    คำว่า สติ สำคัญที่สุด ในระหว่างเดินทาง
    เมื่อสติของเรามีครบ ยิ่งทำต่อเนื่อง คำว่า สมาธิและปัญญา จักตามมาหรือเป็นไปตามลำดับ
    ตรงนี้อยากให้นักภาวนาเน้นเรื่องความต่อเนื่อง
    นับตั้งแต่ เจริญสติให้ต่อเนื่อง เมื่อสติเราเจริญอย่างต่อเนื่องแล้ว
    สมาธิจิตเราก็จะเกิดต่อเนื่องตามไปด้วย และถ้าสมาธิเราเกิดต่อเนื่อง
    ปัญญาก็จะเกิดอย่างต่อเนื่อง มันเป็นลูกโซ่อย่างนี้ เวลาปฎิบัติกันจริงก็ต้องให้ได้อย่างนี้ด้วยนะ
    อย่าขาด พยายามเดินให้ตลอดสาย และตรงนี้นี่แหล่ะ คำว่า เจริญในธรรมของเรานั้น
    จะเจริญในธรรมหรือไม่นั้น คำตอบมันก็อยู่ตรงนี้ สำคัญมาก สำหรับคนที่อ่านมาถึงนี่
    พยายามอ่านด้วยจิตเป็นสมาธิแล้วจะสัมผัสในคำพูด ความหมายที่กำลังสื่อได้
    ยกเว้น กำลังใจยังไม่ถึง สมาธิก็จะสั้นตาม คนที่มิได้ฝึกสติเท่ากับมิได้ฝึกจิต
    จิตจึงเร็วกว่าสติมาก ยิ่งจิตไวมากก็ยิ่งเป็นผลเสียกับผู้นั้นมากมายนัก จะเสียหายมากนัก
    พูดถึงกรรมไม่ดีด้วยแล้ว ยิ่งจิตใครไวกว่าสติมาก หรือสติห่างจิตมาก เช่น คนใจร้อน
    ปกติคนธรรมดา หมายถึงไม่ได้ฝึกสติฝึกจิต มักใจร้อน โกรธง่ายกันทุกคนแหล่ะ
    เพราะฉะนั้นก็อย่าไปตำหนิกัน ว่ากันให้เสียเวลาเลย
    โดยเฉพาะคนที่เห็นต่างกับเรา เกลียดเรา ไม่ชอบขี้หน้า นึกเสีย เมื่อคนเราหลงมาเกิดกันแล้ว
    ไม่มีใครหนีพ้น คำว่า โลกธรรม๘ ไปได้หรอก แม้นกระทั่ง พระพุทธเจ้า หรือในหลวงของปวงชนชาวไทย
    พระองค์ท่าน ก็ยังหนีไม่พ้น ยังมีคนอุตส่าห์กล้่าปรามาส กล้าตำหนิ นินทาเสียหายเลย
    แล้วคนธรรมดาๆ อย่างเราๆ ท่านๆ จะไปเหลือเล๊อะ โดนๆ
    แต่ถ้าเรายิ่งไปสนใจเท่าไหร่ โลกธรรม๘ มาก ปล่อยวางไม่เป็น เอ็งว่าข้า ตำหนิข้า อยู่อย่างนี้
    อย่าไปโทษหลงไปโทษแต่คนอื่นหรือโลก ที่มาทำร้าย ทำลาย วุ่นวาย ทำให้เราเดือดร้อน ทำให้เราทุกข์หรอก
    แต่ให้รีบหันกลับมาดูที่กายใจของตนไวๆ สิ่งกระทบไม่ว่ามาจากอายตนะภายนอกหรือใน(ธรรมารมณ์ต่างๆ)
    ให้กลับมาดูที่จิตตนเป็นหลัก แต่คนไม่ปฎิบัติ หรือปฎิบัติ แต่ยังไม่ได้คำว่า มรรคผลนั้น ย่อมตามไม่ทัน ทำไม่ได้แน่
    คือไม่ต้องพูดถึงคำว่า ปล่อยวางหรอก เพราะตามก็ยังตามไม่ค่อยจะทัน พิจารณาแค่รูปหรอภายนอกให้รอดก่อน
    เมื่อรอดแล้วจึงค่อยมาพิจารณาเรื่องปล่อยวางเรื่องนามหรือกิเลสละเอียดของตนต่อไป

    พร่ำต่อ...

    ผู้ที่เกิดมาทันกัน หรือมีความสัมพันธ์กัน ไม่ว่าสมัยไหน
    เพราะทุกคนมีกรรมของตนเองนำมาเกิดกันทั้งนั้น
    เพราะฉะนั้น ที่พวกเราเกิดมาและพบเจอกัน ก็มิใช่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่อย่างใด
    แต่อาจจะมีกรรมที่ดีบ้าง มีกรรมไม่ดีต่อกันบ้าง อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
    อย่าไปให้ความสำคัญมากนัก โดยเฉพาะ สัญญา หรือ กรรมเก่า
    ขอให้มีแต่กรรมในปัจจุบันเท่านั้น อดีตก็ยังมาไม่ถึง ยิ่งไม่ต้องสนใจใหญ่เลย
    เพราะกรรมอนาคตของเราจะดีหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่ที่กรรมปัจจุบันของตนเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น เราควรทำเหตุ ทำปัจจัยของตนให้ดี
    คือละบาป ทำดี ทำภาวนาเป็นนิจก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะเป็นบุญใหญ่หลวงของตน
    และสุดท้าย ทำจิตใจของตนเองให้ผ่องใสเสมอ
    อาจจะไม่บริสุทธิ์หรือผ่องใสเท่าพระอรหันต์ก็ไม่เป็นไร
    ถ้าไม่ใช่ ขอให้ใกล้เคียง ก็แล้วกัน

    สำหรับการเดินทางของเหล่าบรรดานักภาวนา ก็คือ จิตกับสติเท่านั้น
    อย่างอื่นไม่ค่อยสำคัญ ไม่ต้องตระเตรียมอะไรมากนัก
    ถ้าเมื่อใด สติห่างจิต ถึงจิตผู้นั้นจะไวขนาดไหน ก็ไม่มีประโยชน์
    เพราะตกม้าตาย ตายน้ำตื้นมาเยอะแล้ว
    เพราะ นอกจากตัวสติจะเป็นพี่เลี้ยงจิตแล้ว ยังเป็นผู้เตือนจิตที่ดี
    โดยเฉพาะ จะคอยช่วยจิตแยกแยะความผิด-ถูก

    แค่นี้ก่อนงานทางโลกเข้าฯ

    ภูทยานฌาน


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มีนาคม 2014
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ตายแล้วไปไหน


    พอดีวันนี้เห็นมีคนแชร์ ธรรมะ บน Facebook แต่ไม่ใช่แบบคำสอนทั่วไป เป็นบทสนทนา ของพระกับญาติโยม เรื่องถามตอบ พวกนี้ เราอ่านไปแล้วรู้สึกว่า ได้คิด แล้วก็เข้าใจง่ายกว่า ที่จะบอก หรือ สอนว่า ต้องทำอะไร เลยหาข้อมูลเพิ่ม และ ขอนำมาให้ทุกคน ได้อ่านกันคะ

    ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา (หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี) เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่?

    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?
    ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?
    ผู้ถาม : เชื่อ
    ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ……คุณก็โง่
    ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?
    ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ? ถ้าเชื่อ……คุณโง่หรือฉลาด?

    หลวงพ่อชา
    [​IMG]

    แล้วท่านจึงสอนต่อไปว่า หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม?
    ถ้าเชื่อคุณก็โง่ เพราะอะไร? ก็เพราะมันไม่มีหลักฐาน-พยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อ เพราะ คุณเชื่อตามเขา
    คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป

    ที่นี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิด หรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามี พาผมไปดูหน่อยได้ไหม?
    เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด

    ที่นี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม?
    อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม?
    ถ้ามีพาไปดูได้ไหม?
    อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้
    ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น
    ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี
    แต่สิ่งนี้เป็นของที่จะหยิบยกเอามาเป็น วัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้

    ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น
    ไม่ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีหรือไม่มี
    ไม่ต้องไปถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด
    อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา
    หน้าที่ของเรา คือ เราจะต้องรู้จักเรื่องราวของตัวเองในปัจจุบัน
    เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม?
    ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร?
    นี้คือสิ่งที่เราจะต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย​

    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรา ถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง
    เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือ
    ถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้
    นี่เรียกว่าอนาคต คือ พรุ่งนี้
    มันจะมีได้ก็เพราะ วันนี้เป็นเหตุ
    ทีนี้ อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า
    ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวาน นี้เสียแล้ว
    นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่

    หลวงพ่อชา
    [​IMG]

    ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน
    เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี
    อนาคตมันก็จะดีด้วย
    อดีต คือ วันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย
    และที่สำคัญที่สุด คือ
    ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว
    อนาคต คือ ชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง
    คนหนึ่งพูดว่า : กลัวว่าชาติหน้าจะไม่ได้เกิด
    ท่านอาจารย์ชา : นั่นแหละยิ่งดี กลัวมันจะเกิดเสียด้วยซ้ำไป​

    ในครั้งพุทธกาล สมัยที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ มีพราหมณ์คนหนึ่งมีความสงสัยว่าคน ตายแล้วไปไหน? คนตายแล้วเกิดหรือไม่?

    ถ้าพระองค์ตอบได้ ก็จะมาบวชด้วย
    แต่ถ้าตอบไม่ได้ หรือไม่ตอบ แกก็จะไม่บวช แกว่าของแกอย่างนั้น
    พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า
    มันเป็นเรื่องอะไรของฉันเล่า
    พราหมณ์จะบวชหรือไม่บวช นั่นเป็นเรื่องของพราหมณ์
    ไม่ใช่เรื่องของฉัน
    พระองค์ตรัสว่า
    ถ้าตราบใดที่พราหมณ์ยังมีความเห็นว่า มีคนเกิด หรือมีคนตาย
    คนตายแล้วเกิด หรือคนตายแล้วไม่เกิด
    ถ้าพราหม์ยังมีความเห็นอยู่อย่างนี้
    พราหมณ์ก็จะเป็นทุกข์ทรมานอยู่อีกหลายกัลป์

    ทางที่ถูกนั้น พราหมณ์จะต้องถอนลูกศรออกเสียบัดนี้
    พระพุทธเจ้าท่านว่า
    ความจริงแล้วไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย
    พราหมณ์คนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง และ
    จนกว่าแกจะได้เรียนรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เข้าใจถ่องแท้เสียแล้วนั่นแหละ จึงจะเข้าใจคำพูดของพระองค์ได้ นั่นจึงจะเรียกว่า
    การรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา เป็นการเชื่อด้วยปัญญา
    พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้
    ไม่ได้สอนว่า ให้เชื่อว่าคนตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด
    ชาติหน้ามีหรือไม่มี
    อย่างนั่นไม่ใช่เรื่องเชื่อ หรือไม่เชื่อ​

    จะถือเอาเป็นประมาณไม่ได้ จะถือเอาเป็นหลักเกณฑ์ไม่ได้
    ดังนั้น ที่คุณถามว่า ชาติหน้ามีไหมนั้น
    อาตมาจึงถามคุณว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม?
    ถ้าเชื่อ โง่หรือฉลาด?
    อย่างนี้เข้าใจไหม?
    ให้เอาไปคิดดูเป็นการบ้านนะ

    ปล. ขอโทษด้วย ลืมแหล่งที่มา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มีนาคม 2014
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พระอาจารย์ทูล ขิปปปัญโญ - YouTube

    ปัญหา มาจากอัตตาของตนเองทั้งนั้น
    ก็เลยแพ้ไม่เป็น ยอมคนอื่นไม่เป็น สุดท้ายก็พากันเดือดร้อนกันไปหมด
    โมทนาสาธุ คำสอนของพระอาจารย์ทูลฯด้วยครับ สาธุๆๆ

    ถ้าพุทธบริษัท ปราศจากศีลและธรรมแล้ว ก็ยากจะหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย
    ตนเองก็อยู่ไม่เป็นสุข แถมนำพาคนอื่นๆเป็นทุกข์เข้าไปอีก
    ส่วนคนที่ถูกชักจูงง่าย ก็เพราะว่า ปัญญา(ทางธรรม) ไม่มี นั่นเอง
    เสียหายมากๆ สำหรับผู้ที่ไม่ยอมลงมือปฎิบัติธรรมสักที
    จะเป็นด้วยเหตุผลอะไร ก็แล้วแต่
    อยากให้พวกเราพากันปฎิบัติธรรม พากันว่ายทวนกระแสกิเลสแห่งตน
    ถ้าเรายังคบค้าสมาคมกับคาบมนุษย์ของตนอยู่ หรือ อัตตาอันละเอียด
    ก็ยากจะหาความสงบสุข หาความร่มเย็น มิได้เลย สาธุ
     
  7. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]


    พระอริยเจ้าเบื้องต้น

    สมัยพระพุทธเจ้าท่านแนะนำไม่ยาก แต่มาสมัยเราหนังสือเรียนมากเกินไป
    โดยมากคนที่จะเป็นพระอริยเจ้าเขามีเครื่องวัดอยู่ ๑๐ ข้อ ที่เรียกว่า สังโยชน์ คือคนที่จะเป็นพระโสดาบัน
    หรือพระสกิทาคามี ละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

    สักกายทิฏฐิ เห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

    วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์

    สีลัพพตปรามาส ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์

    การตัดสักกายทิฏฐิ ถ้าตัดเบา ๆ ก็เป็นพระโสดาบัน ละเอียดอีกนิดหนึ่งก็เป็นสกิทาคามี
    ละเอียดมากเป็นอนาคามี ตัดได้หมดเป็นอรหันต์ เขาตัดตัวเดียวนะกิเลสน่ะ

    สำหรับพระโสดาบันแบ่งเป็น ๓ ขั้นคือ เอกพีชี, โกลังโกละ สัตตักขัตตุง

    เอกพีชี เป็นพระโสดาบันขั้นอารมณ์จิตละเอียด เราจะต้องเกิดเป็นมนุษย์อีก ๑ ชาติ แล้วจึงจะถึงอรหันต์
    เรื่องอบายภูมิหมดกัน ไอ้กรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมดมันจะให้ผลแค่เพียงเศษในเมื่อเรามีขันธ์ ๕ เป็นมนุษย์

    ถ้าเป็นพระโสดาบัน จิตอันดับกลาง คือ โกลังโกละ ก็เกิดเป็นมนุษย์อีก ๓ ชาติ ๓ ชาตินี้ก็รับแต่เศษกรรม

    ถ้าเป็นพระโสดาบัน ขั้นอ่อน มีจิตอ่อน คือ สัตตักขัตตุง ก็เป็นมนุษย์อีก ๗ ชาติ
    จึงเป็นอรหันต์ นี่เราก็ลำบากแค่มนุษย์ไม่เหมือนไฟไหม้ในนรก ใช่ไหม........

    สำหรับสกิทาคามีก็ต้องเกิดมาเป็น มนุษย์อีก ๑ ชาติ อย่างเลวที่สุดชาตินี้เราควรเป็นอนาคามี
    ถ้าตายจากความเป็นคนจะเกิดเป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี ก็ตัดกิเลสเป็นอรหันต์เลยไม่ต้องลงมาเกิดอีก สบายกว่าเยอะ

    บาลีอีกตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระโสดาบันและพระสกิทาคามี เป็นผู้มีสมาธิเล็กน้อย เป็นผู้มีปัญญาเล็กน้อย แต่ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ เท่านั้นเอง

    แล้วก็อีกตอนหนึ่งท่านตรัสว่า พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเป็นผู้ทรงอธิศีล พระอนาคามีเป็นผู้ทรงอธิจิต พระอรหันต์เป็นผู้ทรง อธิปัญญา

    แล้วก็ไปดูองค์ของพระโสดาบัน คำว่าองค์ก็หมายความว่า คนที่เขาเป็นพระโสดาบันแล้ว เขาจะทรงปฏิปทาตามนั้น องค์ของพระโสดาบันมี ๓ คือ

    ๑. เคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์จริง

    ๒. มีศีล ๕ บริสุทธิ์จริง และ

    ๓. จิตต้องการนิพพานเป็นอารมณ์ เท่านี้เอง

    พระโสดาบันกับสกิทาคามี คือชาวบ้านชั้นดี ข้อสำคัญที่สุดคือ ศีล ๕ บริสุทธิ์ แต่ว่าถ้ามีศีล ๕ บริสุทธิ์
    มีความเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง แต่ว่าจิตไม่มุ่งพระนิพพาน เขาก็ไม่เรียกพระโสดาบัน
    เขาถือว่าเป็นผู้เข้าถึง ไตรสรณคมน์ ยังเป็น อนิยตบุคคล อยู่ คือยังไม่แน่ คือจิตจะต้องปักมั่นโดยเฉพาะว่า
    เราต้องการพระนิพพาน อันนี้จึงจะเรียกว่า พระโสดาบัน และ สกิทาคามี

    โอวาทธรรม
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ

    Cr. Fb.ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ



    ขอเจริญในธรรม ด้วยจิตคารวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จบ.๑๔
     
  8. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    พึ ง ร ะ วั ง !!

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2014
  9. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  10. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  11. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  12. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  13. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    แวะมาทักทาย อ.ภู ครูแนท และทุก ๆ ท่านค่ะ
    ได้อ่านธรรมะในเวป อ.ภูแล้วรู้สึกได้พลังชีวิตกลับคืนมา
    การสัมผัสงานทางโลกบางทีทำให้เหนื่อยและท้อบ้างค่ะ..

    .........................................................

    อ้างอิง..
    พระอาจารย์ทูล ขิปปปัญโญ - YouTube

    ปัญหา มาจากอัตตาของตนเองทั้งนั้น
    ก็เลยแพ้ไม่เป็น ยอมคนอื่นไม่เป็น สุดท้ายก็พากันเดือดร้อนกันไปหมด
    โมทนาสาธุ คำสอนของพระอาจารย์ทูลฯด้วยครับ สาธุๆๆ

    ถ้าพุทธบริษัท ปราศจากศีลและธรรมแล้ว ก็ยากจะหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย
    ตนเองก็อยู่ไม่เป็นสุข แถมนำพาคนอื่นๆเป็นทุกข์เข้าไปอีก
    ส่วนคนที่ถูกชักจูงง่าย ก็เพราะว่า ปัญญา(ทางธรรม) ไม่มี นั่นเอง
    เสียหายมากๆ สำหรับผู้ที่ไม่ยอมลงมือปฎิบัติธรรมสักที
    จะเป็นด้วยเหตุผลอะไร ก็แล้วแต่
    อยากให้พวกเราพากันปฎิบัติธรรม พากันว่ายทวนกระแสกิเลสแห่งตน
    ถ้าเรายังคบค้าสมาคมกับคาบมนุษย์ของตนอยู่ หรือ อัตตาอันละเอียด
    ก็ยากจะหาความสงบสุข หาความร่มเย็น มิได้เลย สาธุ...
     
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    จงมองหาความเลวของตัวเอง

    "ถ้ายังปรารภคนอื่นว่าดีหรือชั่ว แสดงว่าเรายังเลวมาก ถ้าเราไม่เลว เราก็ไม่เห็นความเลวของบุคคลอื่นหรอก
    ถ้าเราเห็นความเลวของบุคคลอื่นมากเพียงไร แสดงว่าเราเลวมากเพียงนั้น
    ต้องไปดูพระพุทธเจ้า ท่านตำหนิใครบ้าง มีไหม เจอไหม ไม่มี
    เพราะคนทุกคนเกิดมาต้องการดีหมด ไม่มีใครต้องการความชั่ว และทำไมถึงได้ทำความชั่ว
    เพราะไอ้กรรมที่ติดตามเรามา เราไม่สามารถจะต้านทานมันได้

    เราเกิดมาเราต้องรับผล ๒ อย่าง คือกรรมที่เป็นกุศลอย่างหนึ่ง กรรมที่เป็นอกุศลอย่างหนึ่ง
    ขณะใดกรรมที่เป็นอกุศลครอบงำ จิตไม่มีทางจะทำความดีได้เลย ความเลวมันจะครอบงำจิต เห็นผิดเป็นชอบ
    ถ้าอกุศลมันถอยไป กุศลกรรมเดิมมันเข้ามาสนอง จะรู้เลยว่าที่ทำครั้งเก่ามามันเลวมาก มันก็ไม่ทำ"



    จากหนังสือ "คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๖
    "​
     
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    พยายามหาความเลวที่ตนเอง
    อย่าไปพยายามหาที่อื่น หรือ บุคคลอื่น​




    นักภาวนา หรือ นักปฎิบัติธรรม ถ้าหากปฎิบัติกันได้ คือมีปัญญาระดับหนึ่ง เป็นของตนเอง
    โดยเฉพาะ ผู้ที่พยายามละอัตตาอันละเอียดของตน แต่การปล่อยวางกันตรงนี้
    ใจเราเองเท่านั้น ที่รู้ จะเป็นผู้บอกตนเอง มิใช่ใครที่ไหน

    การปฎิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน หรือเพื่อหลุดพ้น
    เมื่อถึงจุดๆหนึ่งแล้ว ผู้ปฎิบัติจักต้องตอบตนเองได้
    เมื่อตนตอบตนเองได้ เราก็ต้องตอบกับผู้อื่นได้ด้วย
    ปัญญาทางธรรมนั้น ซึ่งมีศักยภาพมากกว่าปัญญาทางโลกเป็นไหน
    ถ้าคนเข้าถึงจริงๆนะ ถึงจะรู้ชัด

    มิใช่ เอาแต่ถามผู้รู้ ผู้อื่นอยู่ร่ำไป
    เพราะสุดท้ายแล้ว ตนจะต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน
    พยายามช่วยตนเองให้มากก่อน ปฎิบัติให้มาก นั่นเอง
    ถามมาก ปฎิบัติน้อย ไร้ประโยชน์ เพราะจิตยังหยาบ ยังอยู่ทางโลกมาก
    แล้วจิตใจเราจะเข้าถึงเขตแดนแห่งธรรมได้อย่างไร

    เอาง่ายๆ พวกเราลองดูจิตของพระพุทธเจ้า หรือ จิตพระอรหันต์ท่านสิ
    เหมือนจิตปุถุชนไหม เหมือนจิตเราๆท่านๆไหม
    แล้วหันกลับมาดู มาพิจารณาที่จิตตนเองเป็นหลัก
    เพราะผู้ที่เข้าถึงธรรม สภาวธรรม นั่นก็คือ จิต มิใช่อย่างอื่น
    เพราะฉะนั้น ขอยืนยัน นั่งยัน และก็นอนยัน ว่า..

    การปฎิบัติธรรมนั้น ไม่ยากที่ทุกคนคิดกัน แค่เตรียมสติกับจิตเท่านั้น
    แต่ถ้าใหม่จะยังไม่เห็นจิต ก็ไม่เป็นไร อย่าท้อ
    ภาวนาไป เจริญสติไป ฝึกสติของตนไปเรื่อยๆก่อน เดี๋ยวรู้เอง
    ของพรรนี้ ปัจจัตตังของใครของมัน จะรู้เท่ากัน มิได้ อยู่ที่กำลังใจ อยู่ที่บุญบารมีของผู้นั้นเอง

    สรุป การไร้อัตตาซึ่งตัวตนแล้ว ต่อไป ขันธ์๕ก็มิใช่เรา มิใช่ของๆเราแล้ว
    ดูสิว่า จะมีอะไรเป็นของตนอีกไหม เวลาใครตำหนิ ด่าว่า ดูสิว่า มันจะเอาอะไรไปโกรธเขาอีก
    เพราะในเมื่อ เราเป็นผู้ที่ไม่มีอะไรจริงๆ ว่าไหม


    ดีเหมือนกันนะ ฝึกไว้ ๆกำหนดไว้ๆ ว่า ในโลกนี้ ไม่ีอะไรเป็นของเราจริงๆเลย
    ที่มีอยู่เป็นกันทุกวันนี้ อันนั้นพระเรียกว่า ของจริงในสมมุติแทบทั้งสิ้นเลย
    ถ้าเราพิจารณากันให้ดีๆ คือทำจิตนิ่งๆ จะได้เห็นธรรมดั่งพระอรหันต์
    เพราะทุกวันนี้ จิตมนุษย์หรือคนทางโลก จิตมันไวกว่าไหนๆ ไวกว่าทุกสิ่ง
    อาจจะไวกว่าเวลา ไวกว่าแสงซะอีก

    นี่ไงเล่า สำนักไหน สำนักนั้น ถึงให้เราเดินจงกรม คือการสร้างจังหวะ คือการสร้างสติ
    คือการระลึกรู้สึกตัวมากๆ พอฝึกบ่อย สติก็เริ่มเกิดมากขึ้นตามลำดับ
    ไปจนถึงทำสมาธิได้ แสดงว่าจิตใจนิ่งได้ระดับนึงแล้ว
    เคยสังเกตกันไหม โดยเฉพาะผู้ที่เคยได้ฌาน รู้เลย เข้าใจเลยว่า
    เวลาจิตนิ่งสงบฌแกเช่นฌานสมาบัตินั้น เวลาออกฌานแล้ว ถึงรู้ว่า เวลาเราหายไปไหน
    ยิ่งฌานลึกมากก็ยิ่งหายไปนานเท่านั้น แต่ความจริง เวลาหรือเข็มนาฬิกาก็เดินเท่าเดิม

    นี่แหล่ะ เหตุผลใหญ่ เหตุผลหลักๆ เพราะจิตปุถุชนหรือคนธรรมดา ไม่เคยปฎิบัติย่อมไม่รู้
    เอาแต่อ่าน เอาแต่ฟัง เอาแต่นินทาคนอื่น รู้ไหม เรากำลังหลงเดินทางการปฎิบัติ
    หรือหย่อนยานการปฎิบัติ เพราะการเดินมรรคหรือปฎิบัตินั้น เขาฝึกสร้างสติให้มากๆ

    สติกับจิต ถ้าเป็นไปได้ แทบไม่ให้ห่างกันเลย อย่าให้มีช่องว่าง
    แต่ถ้ามีช่องว่าง เมื่อไหร่ กิเลสมารเข้ามาแทรก มาสิง มาทำงานแทนทันที
    เพราะกิเลสตนเปรียบเสมือนมาร หรือฝ่ายบาป ฝ่ายอกุศล
    ส่วนสติ สมาธิ ปัญญานั้น เป็นฝ่ายดี เป็นฝ่ายบุญกุศล
    เพราะฉะนั้น ให้เราเลือกเอากันเอง ทำเหตุตรงนี้กันเอง


    มองไป มองไป มองรอบๆตัวเรา หันมามองดูกายใจของตนกันสิว่า
    ยังมีอะไรเป็นของตนๆบ้าง มองไป มองจนกว่าไม่มีอะไร หรือมองลึกจนดับไม่เหลือ
    มองทุกสิ่งทุกอย่างไป ทั้งรูปทั้งนาม มีอะไรบ้าง เป็นเรา เป็นของๆเรา
    เห็นไตรลักษณ์ไหม โดยเฉพาะ อนัตตา

    เห็นอริยสัจไหม โดยเฉพาะ กองทุกข์ คือขันธ์๕ คือร่างกายตน มันมีตรงไหนดีมั่ง
    มองลึกเข้าไปอีก คือ มรรค มองเห็นความหลุดพ้นรำไรๆของตนไหม
    ผู้ใด เดินตามมรรคมีองค์๘นี้ จักเป็นผู้ไม่หลง แต่หลายคนเดินยังไงไม่รู้ หลงกันเป็นแถว
    ไม่เป็นไร เวลาเดิน บางคนตั้งจิตตั้งใจเดิน แต่มีหลายคนเดินแบบใจลอย
    เหมือนคนที่ไม่ตั้งใจเรียน ตัวอยู่ที่ห้องเรียน แต่ใจอยู่ไหน หูไปฟังอะไร ตาไปสนใจอะไร
    แล้วจะเรียนรู้เรื่องไหม ผู้ปฎิบัตอก็เมือนกัน ก้าวแรก ตกม้าตายกันเยอะ เพราะเจริญสติกันไม่ได้
    ตกไปดิ ตกบ่อย เหมือนคนเรียนซ้ำชั้น อันนี้อายเพื่อน แต่การปฎิบัติธรรม ไม่มีใครสนใจใคร

    ไม่มีใครสมนำหน้า ไม่มีคนซ้ำเติมหรอก มีแต่ให้ คือให้อภัย
    แต่การตกของผู้ปฎิบัตินั้น มีหลายแบบ ใครนึกไม่ออก ให้นึกถึงคนตกต้นไม้
    บางคนตก เอาก้นลง แต่บางคนตก เอาหัวลง อันไหน มันเจ็บกว่ากัน บางทีตายเลย
    เอาใหม่นะ สอบตก ไม่เสียตังค์หรอก แค่เสียความรู้สึกนิดนึง ถามว่า ความรู้สึกของเรา
    มันเป็นเรา มันเป็นของเราไหม คิดใหม่ทำใหม่ ปฎิบัติใหม่เลย อย่าเสียเวลา
    ตกก็รู้ว่าตก เอาใหม่ๆ รีบทำไวๆ ลมหายใจใกล้หมดแล้ว

    ที่พร่ำมาทั้งหมดนี้ ก็แค่ อยากให้พวกเรา ถามในใจตนเองดูสิว่า
    อัตตาหรือมานะ เรายังมีไหม พยายามหาความเลวที่ตนเอง
    อย่าไปพยายามหาความเลวที่อื่น หรือคนอื่นๆ


    คนที่กำลังพร่ำ ก็พยายามตามหาอยู่เหมือนกัน
    เมื่อพบเจอแล้ว พยายามอยู่เหนือมันให้ได้นะ
    โมทนาสาธุ ขอให้ทุกๆท่าน เจริญในธรรม

    ภูทยานฌาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2014
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ;aa18 สวัสดีค่ะ คุณพี่พอใจ ชื่นใจจังเลย คุณพี่คนสวย เสียงไพเราะเสนาะจิต แวะเวียนมาเยื่ยมเยียนกัน มาบ่อยๆนะคะ พร้อมเสียงเพลงด้วยน๊า วันหยุดก็ได้จ้ะ hp_day
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089

    [​IMG]

    อุปกิเลส

    จงอย่าสนใจจริยาของบุคคลอื่น
    และการเจริญสมาธิจงอย่าทำเพื่อโอ้อวด
    การเจริญสมาธิที่จะทำให้ดีได้ ให้ถือใจความของพระพุทธเจ้าว่า
    ใครเขาจะมีกินมาก ใครเขาจะมีกินน้อย ใครเขาอ้วนมาก ใครเขาอ้วนน้อย
    ใครเขาจะมีสาวกมาก ใครเขาจะมีสาวกน้อย คนนั้นมีสมบัติมาก คนนั้นมีสมบัติน้อย
    คนนั้นเจริญสมาธิจิตวิปัสสนาญาณยังแต่ตัวสวย ยังผัดหน้าทาแป้ง
    ใครเขาจะดีจะชั่วอย่างไรเป็นเรื่องของเขา จงอย่าไปสนใจ
    เราจะนั่งสมาธิก็จงอย่านั่งให้บุคคลอื่นเห็น ถ้าหากไปทำอย่างนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า ยังมีอุปกิเลสอยู่มาก

    หนังสือคำสอน "ทางสายเอก"
    โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    แม้นกระทั่ง หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ หรือพระอริยเจ้า ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน

    อย่าไปสนใจผู้อื่น โดยเฉพาะ นักปฎิบัติธรรม
    ปักที่กลางใจ กลางจิตของตนเองนี่ อย่าไปเดินมรรคในใจใครเขา
    คือปฎิบัติดูกาย ดูใจของตนเอง เท่านั้น
    มันจะเจริญในธรรมได้อย่างไรกัน
    แทนที่จะเจริญในธรรม กลับมาเจริญในกรรมแทน สาธุ
     
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สาธุขออนุโมทนากับทุกๆท่านนะคะ ที่นำธรรมะดี ๆมาเป็นธรรมทาน

    ขอกล่าวคำว่าสวัสดีทุกๆท่านค่ะ เพราะว่าหายจากกระทู้ไปหนึ่งแค่หนึ่งอาทิตย์ เพราะ

    ว่าความชะรามัน มาเตือนแล้ว มันมาทีเดียว สามแบบ สามอย่างเลย ๑. ปวดหัว

    ๒. ตาฝ้าฟาง ๓. ปวดในลูกตา เหมือนกับตาจะทะลุออกจากเบ้าตา ในตัวเรานี้มีครบ

    ๓๒. พึ่งมาเตือนสามอย่างเหลืออีกตั้งยี่สิบเก้าที่กำลังจะตามมา ที่ไม่ได้มาทักทายใน

    กระทู้ก็เพราะสังขานธ์ นี่เอง วันนี้รู้สึกว่าไม่ไหวแล้วมัวมารออยู่ไม่รู้ว่า เพื่อนๆ นั้น ไป

    ถึงไหนแล้ว พอเข้ามาจึงรู้นี่แหละว่ามีธรรมะดี ๆ ที่ทุกๆท่านนำมาเป็นธรรมทาน จึงนำสิ่งที่

    เกิดขึ้นกับตนเองที่เขาเตือนมาแล้วมาเล่าสู่กันฟังเพราะเราทุกคนนั้นต้องเจอแน่ แต่ จะ

    เมื่อไหร่ไม่รู้ นี่แหละสังขานธ์ ทักทายเท่านี้ก่อนนะคะ ขอกราบอนุโมทนากับทุกๆท่านค่ะ

    ....สาธุ สาธุ สาธุ ในธรรมะธรรมทานค่ะ.....อนุโมทามิ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2014
  20. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ข้อคิด...สะกิดใจ !​


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...