จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ...............
    ขออนุญาตนำโพสต์บางส่วนของคุณภูมาลง ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตือนสติของข้าพเจ้าเองด้วย อนุโมทนากับคุณภูในทุกๆธรรมทานค่ะ

    ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
    เอกัคคตารมณ์

    การทีจะทำสมาธิให้ได้ต้องกำจัดปัจจัยอันเป็นตัวขัดขวางการเข้าสู่สมาธิ คือนิวรณ์๕
    นิวรณ์ คือ อกุศลธรรมที่ทำให้จิตเศร้าหมองบั่นทอนปัญญา เป็นเครื่องกีดกั้นขัดขวางการทำงานและความดีงามของจิต
    ตัวทำลายคุณภาพของจิตไม่ให้สามารถเข้าสู่สมาธิ เป็นศัตรูของสมาธิ ต้องกำจัดเสียจึงจะมีสมาธิ หรือใช้สมาธิกำจัดเสีย
    มี5อย่างคือ

    ๑.กามฉันท์ คือโลภะและโมหะ ความอยากและหลงในกามคุณทั้ง 5 รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
    ๒.พยาบาทคือโทสะ ความขัดเคืองแค้นใจ ความโกรธ อาฆาต จองเวร
    ๓.ถีนมิทธะ ความหดหู่ เซื่องซึม ท้อแท้ เหงาหงอย
    ๔.อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน กลุ้มใจ วุ่นวายใจ รำคาญใจ
    ๕.วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย ในธรรม ไม่มีศรัทธา ไม่เชื่อ หรืออวิชชา

    โดยสรุปก็คือ โลภะ โทสะ โมหะ ความหดหู่ของจิต ความฟุ้งซ่านของจิต และความลังเลสงสัยในธรรม

    นิวรณ์ทั้งห้านี้เป็นสิ่งที่ทำให้จิตไม่สามารถดิ่งลงไปสู่สมาธิ
    ทำให้ไม่สามารถใช้งานจิตไปสู่ขั้นวิปัสสนาการ ซึ่งก็คือการใช้งานทางปัญญา
    กำจัดนิวรณ์โดยโยนิโสมนัสสิการ การคิดพิจารณาอย่างแยบคายรอบคอบ
    ในนิวรณ์ทั้ง๕และธรรมต่างๆ ว่ามีเหตุปัจจัยอย่างไร ดำเนินอย่างไร มีผลอย่างไร

    การโยนิโสย่อมกำจัดนิวรณ์และส่งเสริมให้เกิด โพชฌงค์๗ คือ


    ๑.
    สติ
    การกุมจิตไว้ให้แนบสนิทกับอารมณ์ที่ตั้งมั่น เช่นลมหายใจในอานาปานสติ
    ๒.
    ธรรมวิจัย
    การสอบสวนพิจารณาในอารมณ์คือลมหายใจในขั้นทำสมาธิ และธรรมที่สตินำมาให้จิตพิจารณาในขั้นวิปัสสนา
    ๓.
    วิริยะ
    ความเพียร พยายาม มานะบากบั่นในการฝึกฝน
    ๔.
    ปิติ
    ความอิ่มเอิบ ซาบซึ้ง ปลาบปลื้ม ดื่มด่าของจิต
    ๕.
    ปัสสัทธิ
    ความผ่อนคลาย ความสงบทั้งกายและใจ
    ๖.
    สมาธิ
    ความตั้งมั่น ความมีจิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอไม่วอกแวก ไม่สัดส่ายฟุ้งซ่าน
    ๗.
    อุเบกขา
    ความวางนิ่งเฉยเป็นกลาง ไม่มีการปรุงแต่งอารมณ์เมื่อนำมาพิจารณาในขั้นวิปัสสนา

    โพชฌงค์๗ นี้เป็นสภาวะที่เหมาะสมของจิตในการที่จะทำสมาธิและวิปัสสนา

    สภาวะของจิตที่เป็นสมาธิจะมีลักษณะ


    ๑.มีความแข็งแรงมีพลังมาก ไหลพุ่งไปในทิศทางที่ควบคุมไว้อย่างแรง มิใช่การแพร่กระจาย
    ๒.ราบเรียบ สงบนิ่ง ไม่มีสิ่งใดมารบกวนให้กระเพื่อมไหว ไม่มีอารมณ์ใดๆเข้ามาแทรกแซง
    ๓.ใสกระจ่าง มองเห็นอะไรคิดพิจารณาอะไรได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
    ๔.นุ่มนวลอ่อนโยน ไม่วุ่นวาย เร่าร้อน สับสน กระวนกระวาย

    ซึ่งเรียกสภาวะนี้ว่า
    เอกัคคตา เป็นสภาวะจิตที่ประกอบไปด้วยองค์๘คือ ตั้งมั่น บริสุทธิ์ ผ่องใส ปลอดโปร่ง โล่ง เกลี้ยงเกลา
    ปราศจากสิ่งมัวหมอง นุ่มนวล ควรแก่งาน อยู่ตัวคงที่ไม่วอกแวกหวั่นไหว เป็นสภาวะที่เหมาะแก่การใช้งานด้านปัญญาวิปัสสนา
    เพื่อให้เกิดการรู้แจ้งหรือใช้ในการงานด้านพลังจิตอภิญญาสมบัติต่อไป

    สภาวะของอารมณ์ที่ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องการให้เข้าถึง คือ เอกัคคตารมณ์ ...
    เมื่อเข้าถึงอารมณ์นี้แล้ว จะเปรียบเสมือน ฐานที่ตั้งมั่นของการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญา
    จิตจะอยู่ใน สภาวะที่สำรวมจิต ตลอดเวลา ตรงจุดนีเอง ที่ท่านภูทยานฌาน แนะนำหลายต่อหลายครั้ง...

    หมั่นฝึกจิต ให้สามารถเข้าถึง เอกัคคตารมณ์ ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยอิริยาบถ กายเคลื่อนไหว ลืมตา ทำภารกิจต่างๆ
    จะมีประโยชน์มาก เพราะเปรียบเสมือน เราสามารถปฏิบัติธรรมเข้าสมาธิ ได้ตลอด 24 ชม โดยที่ไม่ต้องไปรอเวลา กายนิ่ง สถานที่เงียบ สงบสงัดแล้วจึงเริ่ม นั่งสมาธิวิปัสสนา อย่างนั้น คงไม่ทันกินแน่ ถ้ามุ่งหวังที่จะ หลุดพ้น เข้านิพพาน ต้องปฏิบัติธรรมแบบลืมตาควบคู่ไปกับภารกิจทางโลก ดีที่สุด

    วันนี้จึงอยากมาขอขยายธรรมตรงนี้เพิ่มเติมให้ละเอียดขึ้น และเป็นการทบทวนธรรมไปด้วยในตัวด้วย
    เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ปฏิบัติท่านอื่นบ้าง ...ถึงแม้ว่า หลายๆท่านคงอาจจะรู้แล้ว ก็ให้ผ่านไปก็แล้วกัน...


    ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
    อย่าไปคบค้าสมาคมกับอารมณ์จิตตน
    (อตร.)​



    พวกเธอทั้งหลายฯ...จงพึงสังวรณ์ พากันระมัดระวัง
    โดยเฉพาะเรื่องสังขารขันธ์ หรือเจตสิก
    หรือธรรมารมณ์ต่างๆ หรือความคิด ความปรุงแต่งจิต
    หรืออาการ อารมณ์ของจิตตนเองให้มาก

    เพราะทุกวันนี้ ทุกข์คนเราสาหัสมาก ก็มาจากตัวนี้ รู้ตัวกันบ้างไหม
    เมื่อจิตไหลไปกระทบ หรือมีสิ่งใดไหลมากระทบจิต เป็นอันต้องเป๋ คือไปตามนั้น
    เจ้าตัวดี(วิญญาณขันธ์) พร้อมคราบมนุษย์(สังขารปรุงแต่งจิต)
    ช่วยยำจิตคือรับทุกข์โดยไม่รู้ตัว...
    เพราะจิตหลง จิตปราศจากสติปัญญา ยากแท้หยั่งถึง สรุปว่าจิตตามไม่ทันสังขารตน
    ความทุกข์ก็มาเยือนทุกที ความสุขก็ได้แต่รอๆๆ เห่อ ...
    ความสุขแค่เอื้อม แต่ความทุกข์เรา...มันวิ่งชนะได้เหรียญทองทุกทีไปนะ

    ตราบใด คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรักษาศีล
    ก็จะไปตามหาความสุขจากที่ใดเล่า...
    เพราะความสุขที่แท้จริงนั้นก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล นั่นคือภายในจิตตนนั้นแลฯ

    เมื่อชาวพุทธ นับถือศาสนา แต่ไม่ยอมปฎิบัติ ไม่ยอมเดินตามคำสอนของพระพุทธองค์
    สุดท้ายชาวพุทธตามทะเบียนราษฎร์ ต้องพบแต่ความทุกข์ ความระทม ความขมขื่น
    เป็นธรรมดา รับไปนะ


    เห็นคนส่วนใหญ่ที่ยังวิ่งตามพระอริยสงฆ์เพราะเหตุใด
    ก็เพราะว่า ยังไม่มีกำลังใจอยากปฎิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น
    จึงมีกำลังใจกันแค่อามิสบูชา เพราะกำลังใจยังไม่ถึงธรรมปฎิบัติบูชา
    อย่าไปโทษว่าตนไม่มีกำลังใจแบบนั้น เพราะปัจจุบันไม่ยอมทำบุญทำทานกันบ่อยๆ
    เพราะบุญที่เรากำลังทำวันนนี้ หรือสวดมนตืไหว้พระ ก็เป็นการสร้างบุญอย่างนึงเช่นกัน
    แต่ก้ไม่ยอมทำกัน แล้วจะให้ทำกันยังไง
    พอคนรักจากไป ครอบครัวพลัดพรากน่าเวทนานัก ร้องไห้เสียอกเสียใจว่า
    เราจากกันทำไม...

    แต่ถ้าจิตผู้ใดเข้าถึงธรรม ย่อมเข้าใจสภาวะธรรม
    เข้าใจคำว่าสัทธรรมนั้นมีอยู่จริง ตามพระพุทธองค์ทรงค้นพบให้เราปฎิบัติตาม
    แต่ไม่ทำตามกันเอง จิตจึงพากันหลง จึงพากันทุกข์
    จึงพากันเวียนวายตายเกิดกันเท่านั้นเอง


    เพราะฉะนั้น พึงสำรวมให้ดี จงมีสติสัมปชัญญะ เจริญปัญญาให้ต่อเนื่อง
    หรือพยายามทรงสมาธิอันเข้มแข็ง อันได้แก่ ทรงเอกัคคตารมณ์... (ที่แนะนำไปแล้ว)
    บุคลลใด สำรวมจิตแบบพระอริยสงฆ์ก็นับว่า เป็นบุญอันใหญ่หลวง
    เพราะมีเพียงแค่ สติปัญญาของตนเท่านั้น ที่(พอ)จะตามทันมันได้
    แค่ปัญญาธรรมดาๆก็หาทางออกได้ไม่ ปัญญาญาณเท่านั้น จึงจะพารอด

    ตราบใดยังละนามอันละเอียดไม่ได้ ดังที่เคยกล่าวไปแล้วอยู่บ่อยๆ นั่นก็คือ...
    ตัววิญญาณขันธ์และสังขารขันธ์ของตนเอง ...
    คอยหมั่นเจริญสติปัญญาให้ต่อเนื่อง และอย่าไปถามว่า เมื่อไหร่ เราจึงจะทิ้งได้
    ขอตอบตามตรงว่า ความเพียรของตนเองมีเท่าใด หรือกำลังใจของตนมีเท่าใด
    เราเอาจริงเอาจัง หรือปฎิบัติกันจริงจังหรือยัง ขอให้ถามตนเองบ่อย
    เพราะไม่มีผู้ใดช่วยกันได้ เราจำเป็นจักต้องช่วยตนเองให้มาก


    โดยเฉพาะทิ้งนามตัวละเอียดยิ๊บๆที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
    ทำไปๆ บุญบารมีถึงพร้อมเมื่อใด เดี๋ยวจักออกมาได้เองแร๊ะ...
    อย่าสนใจอย่างอื่น ที่มิใช่เรื่องจิตตนเอง
    แต่ถ้าเราไปสนใจอย่างอื่นเสียแล้ว ก็ยาก ที่จะออกกันมาได้
    ข้ามภพข้ามชาติ มิใช่เรื่องง่าย แต่ก้ไม่ยากสำหรับผู้ที่ทำได้
    หรือไม่เหนือบากกว่าแรงที่มนุษย์ทุกคนจะทำได้ อย่าไปอ้างบารมีตนไม่ถึง
    แต่สิ่งสำคัญนั้นก็อยู่ที่กำลังใจในปัจจุบันของเราเอง...​


    ภูทยานฌาน

    ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
    <TABLE id=post8659754 class="tborder vbseo_like_postbit" cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0> <TBODY> <TR vAlign=top> <TD class=alt2 style="BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid" width=175> ทยานฌาน2 <SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_8659754", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Mar 2012
    ข้อความ: 2,949
    Groans: 0
    Groaned at 14 Times in 14 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 11,798
    ได้รับอนุโมทนา 55,908 ครั้ง ใน 2,955 โพส
    พลังการให้คะแนน: 3138 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD> <TD id=td_post_8659754 class=alt1 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"> <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0> <TBODY> <TR> <TD>
    </TD> <TD> permalink
    </TD></TR></TBODY></TABLE> <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1> มารู้จักตัวสังขารฯตนกันสักนิด

    ผู้ปฎิบัติท่านใด ที่ยังตามไม่รู้เท่าทันตัวสังขารฯตน
    เท่ากับเราวิ่งตาม ไหลตาม ยึดตัวสังขารฯเป็นตน เป็นของตนเรียบร้อยแล้ว
    ส่วนผลจะเป็นยังไง ทุกท่านก็ทราบกันดีแล้ว ใช่ไหม
    พอเรามีสติ มีปัญญา ก็จะรู้เท่าทันตัวสังขารฯตนสักทีนึง
    หรือมองเห็นการเกิด ตั้งอยู่ และดับไปของตัวสังขารฯตน สักทีนึง

    จิตปัญญาเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์รู้เท่าทันการเกิด-ดับอารมณ์ของจิต
    ในขณะจิตเกิดปัญญา จิตก็จะรู้เท่าทันอารมณ์ของจิตตนเองทีนึง
    และเราก็ไม่ค่อยจะรู้สึกว่า ตนเป็นทุกข์
    แต่ถ้าเราเผลอสติหรือจิตขาดปัญญา เมื่อใด ก็จะรู้สึกทุกข์ขึ้นมาทันที

    ตราบใด ปัญญาญาณยังไม่เกิดกับจิตตน ผู้นั้นจักต้องพึ่งสติตนตลอดไป
    เพราะเหตุใด ก็เพราะว่า ผู้ปฎิบัติละรูปนามยังไม่เด็ดขาด นั่นเอง

    ธรรมตรงนี้ ผู้ปฎิบัติที่เข้าถึงความละเอียดแห่งจิตของตนเองแล้ว
    จงพิจารณาธรรมตรงนี้ให้ถี่ถ้วน เพราะนามธรรมอันละเอียดของตน
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ปรารถนานิพพาน จะต้องผ่านพ้นไปให้ได้

    สำหรับผู้ปฎิบัติที่สามารถเข้าถึงสมถะหรือความสงบแห่งจิตตนแล้ว
    จงอย่าหยุด อย่าติดสุขจากสมาธิหรือฌาน เพราะตรงนี้ มิใช่ เขตโลกุตระ
    คือผู้ที่ยังไม่พ้นโลกจริงๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น ขอให้ปฎิบัติต่อไป
    คือเจริญปัญญาให้ต่อเนื่อง จิตจึงวิปัสสนาญาณหรือวิปัสสนาให้ขาด
    จริงอยู่ จิตพระโสดาบันนั้น สามารถเข้าเขตคำว่า โลกกุตระไปแล้วก็ตาม
    แต่จิตจะต้องเดินมรรคต่อไป จนกว่าจะถึงคำว่า วิมุตติ
    ซึ่งเป็นเขตทุกท่านเข้าใจกันว่า ไม่ต้องกลับมาเกิดกันอีก ต่อไป

    ถ้าวันนี้ ท่านใดยังไม่เก็ต ยังไม่เข้าใจธรรมที่กล่าวมานี้ ก็ไม่เป็นไร
    เพราะสักวันนึง ท่านจักต้องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเป็นแน่
    ถ้าท่านยังไม่ละหรือหยุดความเพียรหรือบำเพ็ญเพียรบารมีของตนก่อนนะ
    ท่านต้องซึ้งในรสธรรมเป็นแน่ ข้าฯมั่นใจ

    ปล.พากันบวชจิตกันเยอะๆ เหตุผลก็เพราะว่า จิตไม่สูญคือจิตต้องเดินทางต่อ
    ส่วนกายหยาบนั้น พอหมดลมก็หมดความหมาย
    สำหรับผู้ที่แยกกาย แยกจิตชัด หรือ แยกจิตออกจากกายได้แล้ว
    เพียรต่อไป อย่าหยุด แล้วท่านจะเข้าใจว่า จิตก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป
    เราท่องจำ เอาสมองเรียนธรรมแทนจิตกันมามากแล้ว
    ต่อไป ถึงเวลาจิตที่จะเป็นฝ่ายพูด เป็นฝ่ายละ ปล่อย วางได้ จริงๆ



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นิพพานไปง่าย ... ง่ายกว่าไปนรก

    นิพพานเป็นของไม่ยาก ไปนิพพานนี่ไปง่าย ง่ายกว่าไปนรก หรือว่าไง ไปนรกก็ต้องลงทุนลงแรง เราจะไปฆ่าคน จะไปฆ่าสัตว์ เราจะไปฆ่าเขาก็ต้องหาอาวุธมาเพื่อทุ่นกำลังกาย ใช้กำลังคิดก่อนว่าจะวางแผนแบบไหน ทำร้ายเขาได้จะไปลักขโมยก็ต้องไปนั่งจ้องมองว่าเจ้าของมันจะเผลอหรือไม่เผลอหรือเปล่า ใช่ไหม ไอ้จะไปแย่งคนรักเขาก็ต้องระวังแข้งด้วย อีตรงนี้หนักหน่อยนะ (หัวเราะ) ไอ้จะโกหกเขาก็ต้องมองหน้าก่อนว่าจะโกหกจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไอ้จะกินเหล้าก็ต้องลงทุนไปหาสตางค์มาก่อน นี่มันหนักนะ

    จะไปนิพพานเป็นเรานอนมุ้งเราก็ไปได้ เอ้าก็นั่งพิจารณาร่างกายไม่ใช่เรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้ามันไม่เข้าใจก็โยงท้ายตอนท้ายใน มหาสติปัฎฐานสูตร ทุกข้อ พระพุทธเจ้าบอกอย่าสนใจกายภายใน ในร่างกายเราเอง อย่าสนใจในร่างกายของคนอื่น อย่าสนใจวัตถุธาตุใดๆ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีสภาพไม่เที่ยงและเป็นอนัตตาในที่สุด ใช่ไหม พอหมดอายุขัยร่างกายมันก็พัง ร่างกายคนอื่นก็พัง วัตถุธาตุที่เราหาได้มา เราก็ไม่สามารถจะแบกไปได้ แล้วจะเอามาทำไม ไอ้เพื่อนระยำ ระยำแบบนี้ แล้วก็แล้วกันไปใช่ไหม ที่เราต้องนำมาสัมผัสต้องมี เพราะว่าเราหมดภารกิจ คือกิเลส เวลานี้เรารู้แล้วว่าสิ่งนี้มันเป็นทุกข์ เราก็ไม่ต้องการมัน จุดที่เราต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน แค่นี้ก็ไปนิพพานได้แล้ว นอนมุ้งไม่ต้องลงทุนมาก เห็นไหม เออ ไปง่ายกว่านรกตั้งเยอะ แต่ความจริงนรกไปยากๆ พูดถึงไม่อยากไป เคยไปมาหลายเที่ยวแล้ว ไอ้คนเกิดมาไม่เคยตกนรกมีที่ไหนล่ะ

    อันดับแรกก็ต้องเป็นผู้ชำนาญการในเมืองนรกก่อน จะได้รู้ว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร ต่อไปก็ย่องไปสวรรค์ ไอ้เมืองสวรรค์ก็อยู่ไม่นานมันไม่สนุกเหมือนนรก นรกลงบ่อยหน่อย ดีครื้อเครงดี ที่นั้นไม่ต้องเสียน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ต้องซื้อเวลานี้น้ำมันแพง ไม่งั้นนรกต้องเสียค่าไป เฮ้อ อ่อนใจ นึกถึงนรกแล้วมันก็แย่ นึกถึงเมืองมนุษย์มันก็ไม่ไหว ไปดูพรหมกับเทวดาก็ไม่เป็นเรื่อง หาที่ไปไม่ได้ ไปๆมาๆก็นั่งอยู่ที่นี่ก่อน (หัวเราะ) ถ้ามันยังตายเราก็อยู่นี่ ถ้าตายแล้วลงเลยใช่ไหมอารมณ์จิตของคนก็อาจจะรู้จักพระนิพพานดี ก็ต้องบำเพ็ญบารมีมา ถ้าเป็นสาวกภูมิตามอัตราก็เป็นอสงไขยกับแสนกัป อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ นับไม่ถ้วน กับแถมอีกแสนกัป ถ้าเรานับการเกิด กัปหนึ่งเราก็เกิดมานับไม่ถ้วน ไอ้นับไม่ถ้วนน่ะ ไม่ได้นับ

    อย่างกัปนี้เราเกิดมาแล้วกี่ครั้ง คนที่เกิดมาทันกัปนี้แล้วจะลงนรกก็ถือว่ามีบุญมาก ก็กัปนี้ทรงพระพุทธเจ้าได้ถึง 10 องค์ บางกัป สุญญกัป อันตรากัป อันนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า ใช่ไหม บางกัปก็มีพระพุทธเจ้าเพียง 1 องค์บ้าง อย่างกัปนี้มีพระพุทธเจ้า 10 องค์ ถ้ายังลงนรกอยู่ เราก็ต้องโมทนากับเขาด้วย แต่เราไม่ไปกับเขาหรอก เราส่งแค่ใจโมทนาอย่างเดียว เนอะขึ้นไปเดี๋ยวไม่ได้กลับ แต่ว่าเราจะไปเกณ์เอาคนทุกคนจะไปสวรรค์ จะไปพรหม จะไปนิพพาน หรือก็ไม่ได้ ถ้าหากเขาสั่งสมบารมีมายังไม่ดีพอ แล้วเมื่อกี้นี้เขายังไม่เลิก เสียงก้อกแก๊กๆ นี่ลงนรกกันเป็นแถวไม่ต้องห่วง โดยปรกติโดยมรรยาทเขาก็ไม่ทำกันแล้ว ธรรมดาไม่ต้องถึงเจริญกรรมฐาน คนที่เขายังนั่งสงบอยู่ก่อน ถ้าเสียงก๊อกแก๊ก ๆ ลืมตามาดู ไอ้พวกนี้นรกกันเป็นแถว เอ้อ ดีโมทนาด้วย พระยายม ท่านก็มาบอก อย่างนี้ ไม่พลาด

    ไอ้เรื่องอย่างนี้มันเรื่องธรรมดาก็รู้กันอยู่แล้วไม่ต้องไปสอนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่เขาสงบอยู่เฉยๆ นี่ เราไปส่งเสียงมันก็เลวเต็มทีแล้ว แล้วยิ่งเขาเจริญกรรมฐานแล้วยังไม่รู้นี่ จะไปไหนกัน ถ้าไม่ไปนรก แล้วจะไปไหน แล้วก็บาปนี่เป็นบาปที่หนักที่สุด เพราะว่าเขากำลังทำจิตเพื่อความดีเบื้องสูง ในการจะทำแบบนั้น ถ้าคนที่เขากำลังจะไปได้ จิตสมาธิเขายังไม่ดีพอ เขาได้ยินเสียงเข้าจิตก็ตก ถ้าทำเขาตกแก้ไม่ไหว ไอ้คนนั้นเขาไม่เป็นไร เขายังไม่ได้ เขาจะได้ความดี เขาก็ยังไม่ได้ ก็ทำดีไม่ได้เพราะเราทำให้เขาเสีย ถ้าเราทำให้เขาเสียด้านความดี ไอ้ความดีนี้เป็นความดีสูงสุดจริงๆ เป็นปรมัตปฏิบัติ ในด้านบารมีก็เป็นปรมัตถบารมี ถ้าหากผลที่จะพึงได้รับโทษก็คือ ปรมัตถโทษ

    ---------------------
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพระราชพรหมยาน เล่ม 8 หน้า 451 - 453

    ถ้าใครปฎิบัติธรรม ยังไม่ได้
    คือยังเข้าไปไม่ถึงความดี ยังเข้าไม่ถึงจิต
    คือยังเข้าไม่ถึงความสงบสุขของตนเอง

    ณ สถานการณ์บ้านเมืองของเรา ยิ่งเป็นอย่างนี้ด้วยแล้ว
    พยายามหาอ่านธรรมะ ฟังเทศน์ฟังธรรม
    แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ก็ต้องหันหน้าเข้าหาธรรมจะดีกว่า
    เพราะทุกวันนี้ มีพลังลบ หรือ อกุศลจิตมันเยอะ

    ถ้าผู้ที่ไม่ปฎิบัติธรรม หรือ ปฎิบัติแล้ว
    แต่ยังไม่สามารถนำจิตของตนออกมาจากอกุศลกรรมนั้นได้
    ยกเว้น ผู้ปฎิบัติธรรม สามารถเข้าถึงความดีคือความสงบสุข
    หรือนำจิตเข้าสู่ฝ่ายที่เรียกว่า บุญหรือกุศลได้เองแล้ว
    จิตสามารถแยกแยะความถูกผิดชัดเจน จึงไม่มีผู้ใดจะมาชักจูงไปในทางที่เสียได้
    จิตผู้นั้น จึงจะรอดได้ พ้นได้ ถึงเหตุการณ์บ้านเมืองไม่สงบสุข หรือต่อทางโลกมันจะยุ่งเพียงไร
    ก็ไม่สามารถจะทำให้จิตใจของเรามันทุกข์ได้เลย

    เพราะฉะนั้นผู้ปฎิบัติทุกท่าน จงปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริงๆ
    คือการปฎิบัติเพื่อละ ปล่อย วาง กิเลส ตัณหาและอุปาทานของตนเอง
    คือมุ่งหน้าละขันธ์๕ของตนเป็นหลัก
    คือจะต้องไม่เอาทั้งสุขและทั้งทุกข์ ก็หมายความว่า ให้เราอยู่เหนือธรรมารมณ์
    หรืออารมณ์ต่างๆของเราเอง
    แล้วทำได้อย่างไร ก็ต้องลงมือปฎิบัติธรรม คือนำจิตมาเดินตามมรรคมีองค์๘
    คือศีล สมาธิ ปัญญา นี่ไง ทุกคนก็ทราบเป็นอย่างดี รู้ดีทุกคนแล้ว
    เพียงแต่ยังไม่ยอมลงมือปฎิบัติธรรมกันเอง มัวแต่อ้างโน้นนี่กัน
    พอดีหมดเวลาทำภาวนา คือความดี คือบุญกุศลของตน
    อย่าลืมตัวนะว่า โลกทิพย์ คือโลกหลังความตายนั้น ไม่มีอะไรติดตัวเราไปเลยสักอย่างเดียว
    เห็นมีแต่คำว่า บุญหรือบาป เท่านั้น
    ผู้ที่มัวติดความลังเลหรือสงสัย ก็ทำให้ผู้นั้น เข้าถึงธรรมยาก ไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร
    ทำไมคนอื่นเขาทำได้ ต้องหันกลับมาดูตนเอง โดยเฉพาะดูจิต คือดูอารมณ์จิตตนมากๆ
    ยิ่งอารมณ์จิตนี้ ปกติคนธรรมดา มักมองไม่ค่อยจะเห็น พอจิตนิ่งมีสมาธิเข้ามาหน่อย จึงรู้ทีละหน่อย แค่นั้นเอง
    รู้แค่นั้นมันไม่เพียงพอ พระถึงพยายามบอก พยายามเตือนว่า ให้พวกเราทำภาวนาบ่อยๆ
    สำหรับคนขี้เกียจ ทำภาวนาหรือดูจิต ดูอารมณ์ตนเอง เพียงแค่สองสามครั้งเท่านั้น
    แล้วจะมาหวังในมรรคผล น่าจะยาก
    การปฎิบัติธรรมนั้น ไม่ยาก ขอยกตัวอย่าง ผู้ที่กำลังฝึกหัดขี่จักรยาน
    เราจะมาฝึกขี่จักรยานกันไม่กี่ครั้ง แล้วจะชำนาญเท่าผู้ที่ขี่มานานได้อย่างไร
    นี่คือ ความจริง!
    ว่าจะพร่ำนิดเดียว ไง๊ ยาวเลย..จบ


     
  3. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  4. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  5. iamprateep

    iamprateep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,685
    สาธุ สาธุ สาธุ
    ขออนุโมทนาท่าน Pugsley ที่นำธรรมะดีๆมาฝากกันเสมอครับ

    ... ^_^ ...
     
  6. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะคุณประทีป
    สิ่งดีๆ มีไว้แบ่งปันซึ่งกันและกันเสมอ
    เพื่อตนเองได้เรียนรู้และพัฒนาตนอย่างต่อเนื่อง
    และเผื่อประโยชน์มาถึงเพื่อนกัลยาณมิตร
    ให้ได้ก่อเกิดเป็นกำลังใจในการปฏิบัติให้ถึงที่สุดของการหมดสิ้นไปแห่งทุกข์ !

    ว่าแต่...คุณประทีปสุขกาย สบายใจดี ใช่มั้ยค่ะ?
    ตัดสินใจที่จะมาร่วมเดินทางกลับบ้านไปพร้อมๆกับพี่น้องในนี้หรือยังค่ะ ?
     
  7. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    "พยายามตามดูจิตของเรา รักษาจิตของเราให้ปกติให้มาก
    ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา
    ไม่ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำผิด ทำถูก ดูแต่ตัวเรา ระวังความรูสึก ระวังอารมณ์ของเรามากๆ
    พยายามแก้ไข พัฒนาตัวเรานั้นแหละ ดูใจเรานั้นแหละ
    ทำใจเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ หัด-ฝึกปล่อยวาง นั้นเอง ไม่มีอะไรสำคัญมากกว่า
    การตามรักษาจิตของเราหรอก”

    โอวาทธรรม
    หลวงปู่ชา สุภัทโท
     
  8. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นตาย
    สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
    สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
    ผู้ใดเห็นอนัตตา ผู้นั้นเห็นพระนิพพาน

    โอวาทธรรม
    หลวงปู่ขาว อนาลโย ​
     
  9. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  10. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  11. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    รู้ แล้ว วาง...เป็นการสร้าง ส ติ ไม่ให้หลุดไปลุ่มหลง !!

    ผู้ปฏิบัติที่จิตเข้าสู่ความบริสุทธิ์สว่างใส
    มีสภาพอ่อนนุ่มดุจสายลมที่เคลื่อนไหวไปมา
    ส่งกระแสความเย็นชื่นใจ ดุจได้สัมผัสลมปะทะที่กาย
    จิตที่บริสุทธิ์เคลื่อนไหวด้วยอิสระ ดุจนกน้อยที่บินโต้ลมเล่นอย่างเย็นใจ
    แม้อยู่ท่ามกลางสายลมที่พัดไปมา รับรู้ความเบา ความแรงของสายลมนั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน
    มีแต่ความเบิกบานสำราญใจ
    ผู้มีจิตขั้นนั้นก็เช่นกัน สัมผัสได้ถึงธาตุของอารมณ์
    ใน..ความรัก เมตตา และ ปรารถนาดีของบุคคลที่ได้หยิบยื่นมาให้เราได้
    แม้ไม่มีคำพูดใดๆ ก็ตาม
    แค่ภาพที่มองเห็นการกระทำของเขาผู้นั้นที่แสดงออกมา
    จิตจะสัมผัสเห็นเป็นคลื่นของกระแสความเย็น ดุจสายลมที่พัดอ่อนๆรอบๆจิตเรา
    สัมผัสได้ถึงความเย็น และ อ่อนนุ่ม
    เห็นจิตล่องลอยอยู่ในกระแสอ่อนนุ่มอันมากมาย
    นี้เป็นเหตุที่ต้อง มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ มิเช่นนั้นแล้ว
    จิตจะหลงอยู่ในวังวนของกระแสอ่อนนุ่มนี้ได้
    นี้เป็นความมหัศจรรย์ของจิตที่มาจากการปฏิบัติ.
    (โดย : ท่านป้าพุทธะ)



    [​IMG]

    Cr FB : ธรรมะชยันโต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2014
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ล้มให้รีบลุก​


    เป็นปกติของผู้ปฏิบัติธรรม ช่วงใดเวลาใดที่สามารถปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้า จิตใจสงบเย็นเป็นสมาธิได้ง่าย สามารถพิจารณาอรรถธรรมให้ผ่านทะลุจิตใจได้โดยตลอดสาย ช่วงดังกล่าวมักจะต้องมีปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามาไม่ในรูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง เพื่อมาขวางกั้นการปฏิบัติธรรมของผู้ปฏิบัติคนนั้นๆ ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมไม่สามารถเตรียมใจรับกับสถานการณ์นั้นๆ ได้ ธรรมที่กำลังพิจารณาดีๆ ก็ต้องโอนเอนไปมา หรือล้มลุกคลุกคลานอีกได้

    เคยมีคนกราบเรียนให้หลวงปู่ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคที่กำลังประสบอยู่

    หลวงปู่ท่านจึงสอนว่า "พอล้มให้รีบลุก รู้ตัวว่าล้มแล้วต้องรีบลุก แล้วตั้งหลักใหม่ จะไปยอมมันไม่ได้ "

    ท่านเมตตาสอนต่อว่า "ก็เหมือนกับตอนที่แกเป็นเด็กคลอดออกมา กว่าจะเดินเป็น แกก็ต้องหัดเดิน จนเดินได้ แกต้องล้มกี่ทีเคยนับไหม พอล้มแกก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ใช่ไหม ค่อยๆ ทำไป"

    หลวงปู่เพ่งสายตามาที่ลูกศิษย์แล้วสอนต่ออีกว่า "ของข้าเสียมากกว่าอายุแกซะอีก ไม่เป็นไรตั้งมันกลับไป"

    ลูกศิษย์ "แล้วจะมีวิธีป้องกันไม่ให้ล้มบ่อยได้อย่างไร"

    หลวงปู่ "ต้องปฏิบัติธรรมให้มาก ถ้ารู้ว่าใจเรายังแข็งแกร่งไม่พอ ถูกโลกเล่นงานง่ายๆ แกต้องทำให้ใจแกแข็งแกร่งให้ได้ แกถึงจะสู้กับมันได้"

    เพื่อเป็นการเพิ่มกำลังใจของนักปฏิบัติ ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้งก็ตาม แต่ทุกๆ ครั้งเราจะได้บทเรียน ได้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป ให้น้อมนำสิ่งที่เราเผชิญมาเป็นครู เป็นอุทาหรณ์สอนใจของเราเอง เตรียมใจของเราให้พร้อมอีกครั้ง ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก

    เรียบเรียงจาก คติธรรมคำสอนของ
    หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ
     
  13. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ....กันหรือยัง เรามาเร่งสร้างบุญบารมีกันเถิด...

    [​IMG]



    “บุญกิริยาวัตถุ ๑๐”

    อย่าหลงบุญ

    "ธรรมของพระพุทธเจ้า
    เป็นอกาลิโก อยู่เหนือกาลเวลา"

    บุญ ที่ถูกต้อง คืออย่าหลงบุญ ชาวพุทธเราส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องของ “บุญ” …คิดว่าการทำบุญก็คือเฉพาะ การตักบาตร, การถวายทรัพย์, ปัจจัย, การถวายสังฆทาน ฯลฯ เพียงเท่านี้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดีและควรทำอยู่เสมอก็จริงในฐานะชาวพุทธ แต่การสร้างบุญนั้นยังมีมากกว่านี้ เพราะเมื่อสร้างบุญเบื้องต้นพื้นฐานแล้ว ก็ต้องรู้จักต่อยอดสร้างบุญที่ละเอียดยิ่งขึ้น โดยไม่หลงอยู่กับบุญเพียงบางประเภทโดยไม่รู้จักต่อยอดจากฐานที่ควรทำประจำขึ้นไปเลย ยิ่งบางพุทธพาณิชย์ เน้นสอนให้บริจาคทรัพย์ หรือร่วมสร้างความยิ่งใหญ่อลังการเข้าวัดจนเกินตัว มียอดบริจาคมากเท่าไหร่ถือว่ายิ่งได้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ รวยล้นฟ้าไม่รู้เรื่อง…


    แท้จริงแล้ว “บุญ” หรือ “ปุญญ” แปลว่า “ชำระ” หมายถึง การทำให้หมดจดจากมลทิน เครื่องเศร้าหมอง อันได้แก่ โลภะ โทสะ และ โมหะ

    ตามพระไตรปิฎก เราสามารถสร้าง “บุญ” ได้ ๓ อย่าง คือ ทาน ศีล ภาวนา

    ๑. ทาน คือ การให้ เช่นที่กล่าวมาแล้ว คือ การตักบาตร บริจาคทรัพย์ ถวายสังฆทาน สร้างวิหาร หล่อพระ เป็นต้น ถือเป็น จาคะ หรือ การให้นับเป็น บุญอย่างหนึ่ง นับเป็นบุญที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จะส่งเสริมบารมีบุญด้านอื่นๆไปด้วยกัน แต่มีการให้บางประการที่ไม่นับเป็นบุญ เช่น สุรา มหรสพ ให้สิ่งเพื่อกามคุณ เป็นต้น
    ๒. ศีล คือ ความประพฤติที่ไม่ละเมิด หรือรักษาความสำรวมทางกาย วาจา การรักษาศีลสำหรับฆราวาส ได้แก่ ศีล ๕ และอุโบสถศีล (มี ๘ ข้อ)
    ๓. ภาวนา คือ การอบรมจิตทางสมถะและทางวิปัสสนา การนั่งสมาธิ เรียกว่า สมถะภาวนา ส่วนการนั่งวิปัสสนา (สติรู้ถึงรูป–นาม) เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา

    “บุญ” ยังมีอีก ๗ อย่าง ตามคัมภีร์อรรถกถา หรือข้อปลีกย่อยที่อธิบายความจากพระไตรปิฎก นับถัดไปเป็นลำดับที่ ๔ ดังนี้

    ๔. อปจายนะ ความเป็นผู้นอบน้อม ต่อผู้ที่ควรนอบน้อม
    ๕. เวยยาวัจจะ ความขวนขวายในกิจ หรืองานที่ควรกระทำ
    ๖. ปัตติทาน การให้บุญที่ตนถึงแล้วแก่คนอื่น
    เช่น การอุทิศส่วนกุศล การกรวดน้ำ
    ๗. ปัตตานุโมทนา คือการยินดีในบุญที่ผู้อื่นถึงพร้อมแล้ว เช่น เห็นผู้อื่นทำบุญตักบาตร เมื่อเราพลอยปลื้มปิติยินดี กล่าวอนุโมทนา
    เพียงเท่านี้ ก็ได้บุญแล้ว
    ๘. ธัมมัสสวนะ หรือการฟังธรรม ไม่ว่าจะฟังธรรมโดยตรง
    หรือจากสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ
    ๙. ธัมมเทศนา หรือการแสดงธรรมเมื่อได้ศึกษาธรรมะ
    แล้วถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่น นับเป็นบุญประการหนึ่งด้วย
    ๑๐. ทิฏฐุชุกรรม คือการกระทำความเห็นให้ตรง
    หรือ สัมมาทิฏฐิ นั่นเอง (เช่น เชื่อว่า บาป-บุญมี ,นรก-สวรรค์มี ,ชาตินี้-ชาติหน้ามี , เชื่อหลักไตรลักษณ์ อนิจจัง-ทุกข์ขัง-อนัตตา)

    บุญทั้ง ๑๐ ประการนี้ บางที่เรียกกันว่า “บุญกิริยาวัตถุ ๑๐” จะเห็นว่าบุญทำได้ถึง ๑๐ อย่าง มีเพียงข้อแรกเท่านั้นที่ต้องใช้ทรัพย์ อีก ๙ ข้อล้วนไม่ต้องใช้ทรัพย์ . . .

    Cr.Fb. วัดพุทธพรหมปัญโญ : วัดถ้ำเมืองนะ



    ขอเจริญในธรรม.....ด้วยจิตคารวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จบ.๑๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2014
  14. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แก้ที่ใจเรา..
    อย่าไปแก้ที่อื่นหรือคนอื่น หลวงพ่อสอนลูกหลานฯ

    "...คนที่มีความวุ่นวายติโน่นตินี่ ไอ้โน่นไม่ดี ไอ้นี่เสีย
    คนประเภทนี้ ก็คือคนที่ไม่รู้จักธรรมดา
    พูดภาษาไทยๆ เขาเรียกว่า..
    กิเลสมันยังเลยหัวอยู่....ปลดอารมณ์นั้นเสีย

    ถ้าจิตของเรายอมรับ นับถือกฎของธรรมดา
    อะไรมันจะมา ก็ถือว่าเป็นเรื่องของมันอย่างนั้น ไม่ต้องไปติ
    สิ่งใดที่แก้ไขไม่ได้ อย่าไปแก้มัน
    อย่าไปแก้ที่วัตถุ อย่าไปแก้ที่บุคคล มาแก้ที่ใจเรา

    ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นธรรมดา
    ทำไมเราจึงต้องเดือดร้อน ทำไมเราจึงจะต้องดิ้นรน
    อย่าเป็นคนช่างติ ถ้าจะติ ก็ติตัวเรา

    ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า...
    อัตตนา โจทยัตตานัง

    จงกล่าวโทษ โจทก์ความชั่วของตัวเอง ให้เป็นปกติ...."

    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
     
  16. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    น่าร๊ากกกกกกกกกมากกคร๊าบบบบบ จุ๊บๆๆ555555
     
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ส่วนหนึ่งจากการบ้านของผู้กำลังปฏิบัติ จิตเกาะพระ

    พี่แนทคะ.. หนูเริ่มเห็นแล้วว่าเมื่อจิตทรงฌาน แม้แต่ฌานต่ำ และเมื่อเราไม่ขาดสติด้วยนี่ ทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาพิจารณาเป็นธรรม ได้หมด ...ตราบเท่าที่ สติ เราเร็วพอ และจิตจะยอมวางด้วย เหมือนตามข้อ1 นี่ถ้าฌานสูงจะขนาดไหน คงพิจารณาแหลกราญอย่างที่พี่แนทว่า... และอีกไม่นานหนูจะทำได้ (จิตบอกมา)

    ตอบข้อ 1.+ ข้อ2

    สติ ...คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติธรรม นะคะ ...ดังนั้นเราจึงต้องฝึก สติ เราให้ เกิดขึ้น ถี่ๆ บ่อยๆ มากๆเข้าจนหมุนรอบตัวกลายเป็น มหาสติ เหมือนดั่งพระอรหันต์เจ้า ท่านนั่นแหละ ท่านต่างจากเรา ก็ตรงที่ ท่านมีสติที่สมบูรณ์ ไม่มีช่องว่างให้ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และ อกุศลกรรม มาแทรก ได้เลย ...แต่เราผู้ ปฏิบัติ กำลังเดิน อยู่ หากเรา เผลอ ปล่อยสติไม่อยู่กับจิตอย่างแนบแน่น ล่ะก้อ เสร็จเจ้า กิเลส แน่ๆ จ้า ...แล้วที่นี้ กิเลสมันก็จะเป็น เจ้านายเรา คอยสั่งให้้เรา ทำโน่นทำนี่ แบบโลกๆ ทันที เมือนั้น ปัญญาเหรอ ไม่ต้องพูดถึง มาไม่ทันไม่ว่า ยังจะถูกบดบัง ด้วยกิเลสคลุมจิต ซะงั้น ที่นี้ ผลคือ จิตไม่โปร่ง ไม่สบาย เศร้าหมอง ...แล้วถ้าตอนนั้น อกุศลกรรมต่างๆ ที่มันคอยจ้อง เล่นงานเราทีเผลอ มันก็จะมาดึง จิตเรา ให้วุ่นวาย ให้ฟุ้งซ่าน ทำสมาธิ ก็ไม่ได้ ... โอ๊ย สารพัด จะเสียหาย เยอะ

    ดังนั้น ทั้งหมดทั้งมวล เราห้ามประมาท อย่างเด็ดขาด ถึงได้ ต้องขออาราธนาพระบารมี ของพระพุทธเจ้า มาครอบจิตเราไว้ไง เพราะลำพัง กำลังบารมีของเราน่ะเหรอ จะไปต้านแรง กิเลส ตัณหา อุปทาน และ อุกุศลกรรม ได้ ไม่มีทาง ... เวลามันมากันที มันมาเป็นชุด แล้วไหนจะมี สิ่งกระทบ ที่เข้ามา ทางอายตนะ ทั้ง 5 + 1 คือ ใจ(ธรรมารมณ์) อีกล่ะ ....เราจะไปต้านมันยังไงไหว ...

    เนี่ยเราถึงต้องครอบจิต เราด้วย บารมีพระพุทธคุณนะ สังเกตุเวลา ที่จิตเริ่มโปร่ง เบา สบาย ทำสมาธิได้ ทิพจักขุญาน เกิด นั่นคือ เวลาของกุศลให้ผล เรารีบใช้โอกาส ช่วงนี้ ทำสมาธิจิต ให้สูง เจริญปัญญาต่อเนื่อง เพราะ จิตต้องการปัญญา ยิ่งเรารู้มากเท่าไรยิ่งดี แต่ต้องเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้านะ ไม่ใช่ความรู้ของเรา มาใส่ในจิตแทนไอ้ความรู้โง่ๆของตนเอง ที่สะสมมาด้วยกิเลสนอนเนืองมาหลายชาติ ... รีบสะสมความรู้ให้จิตมีปัญญา อย่างต่อเนื่อง ในช่วงโอกาสทอง ที่เราทำได้ ก็เพื่อ เวลาที่เราพลาด ตัวปัญญาในจิตนี้แหละ จะมาสอนจิต อีกที ได้ทันเวลา

    ถ้าเราทำบ่อยๆ จนเกิด เป็นปัญญาญาน ที่นี้ เราก็สบาย เดินตกร่องเมือไหร่ ปัญญาญาน มาดึงขี้นทันที ไม่กระเทือนถึง จิต นี่ไง ที่พระอรหันต์ ท่านต่างจากเราๆ ก็ตรงที่ท่านมี สติ เป็น มหาสติ มีสมาธิ เป็น มหาสมาธิ และ มีปัญญา เป็น มหาปัญญา
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุโมทนาบุญ ทั้งครู ทั้งศิษย์ด้วยครับ..สาธุ
    พวกเธอทั้งหลาย กำลังนำพาจิตใจกันและกัน เจริญดีแล้วๆ ทำให้มากยิ่งๆขึ้นไป
    ต่างก็พยายามปฎิบัติตามพระธรรมหรือคำสอนของพระองค์ คือพากันเดินมรรค
    เหมือนพระพุทธเจ้า สอนพระอริยเจ้าให้เป็นพระอรหันต์
    เหมือนพระอรหันต์ สอนให้เราปฎิบัติตามท่าน ให้มีดวงตาเห็นธรรมเหมือนท่าน
    เหมือนครูกำลังสอนศิษย์ เหมือนพี่สอนน้อง เหมือนแม่ปูสอนลูกปู
    แต่ไม่ต้องเดินเหมือนปู มิใช่ จับปูใส่กระด้งกันนะ
    เพราะจิตใหม่ ที่ยังมิได้ฝึกฝนนั้น เสมือนเด็ก เสมือนลิง เหมือนจับปูใส่กระด้ง ยังไงยังงั้นเลย
    ถึงว่า ทำไม ภาวนากันยากเย็นนัก แค่ทำให้จิตมันนิ่งเท่านั้นเอง
    เพราะถ้าจิตคนเราไม่นิ่ง คำว่า วิปัสสนาก็ไม่เกิด
    แต่จะเกิด วิปัสสนึกแทน คือ กูคิดเอาเอง ออเออห่อหมกเอาเอง เป็นต้น

    ขอให้เจริญในธรรม ทั้งครู ทั้งลูกศิษย์ด้วยเทอญ..สาธุ
    ผู้ปฎิบัติธรรม มีได้กับได้ ไม่มี คำว่า เสีย
    ถึงจะปฎิบัติไม่ได้ผล ตามที่ตนตั้งเป้าไว้ตั้งแต่แรกก็ไม่เป็นไร
    อาจจะเป็นเหตุใดมาตัดรอน มิให้เราเข้าถึงจิตเข้าถึงความดี เข้าถึงความสงบสุขแห่งจิตตนเองก็ตาม
    ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยที่สุด บุญภายในที่กำลังสร้างกันอยู่นั้น
    เหมือนจะไปช่วยตัดรอน คือตัดกรรมไปในตัว
    คือทำกรรมดี ทำบุญหนีกรรมไม่ดี หนีบาป นั่นเอง
    แต่ถ้าความดีหรือบุญกุศลมาก จะส่งผลให้เราเสวยสุขเอง
    ไม่วันใดก็วันนึงอย่างแน่นอน
    ขอให้พวกเรามั่นใจในมรรคผลตนเอง โดยเฉพาะรักเคารพพระรัตนตรัยอย่างจริงใจ
    ธรรมตรงนี้ถือว่าสำคัญมากๆ นักภาวนาทุกท่าน โปรดอย่าลืมเด็ดขาด
    อย่าเอาพระธรรมหรือคำสอนฯมาปฎิบัติ เพื่อเอาแต่ธรรมอย่างเดียว
    แต่เรื่องจิตสำคัญกว่า เพราะฉะนั้น ถ้านักภาวนาสามารถเข้าถึงพระรัตนตรัย
    หรือพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ในแก้วสามประการนี้แล้ว
    ย่อมเห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตตนเองแน่นอน คือมีกำลังใจมาก
    กำลังใจนี้เพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นเป็นที่สุด นั่นเอง สาธุ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอแจ้งข่าวบุญ!

    ข้าพเจ้าได้ทำบุญ ค่า Hosting หรือค่า Server ของเวปพลังจิต
    จำนวน $ 309 USD.
    ขอให้พวกเราจงร่วมอนุโมทนาบุญโดยทั่วถึงกัน มิได้มีเจตนาเพื่อแจ้งบุญเอาหน้า
    เพราะที่ผ่านมา จิตเกาะพระ ได้ใช้พื้นที่ในเวปพลังจิตนี้ เพื่อเผยแพร่ธรรมะ
    หรือการปฎิบัติธรรมในแนว..จิตเกาะพระ
    เป็นเวลาร่วมเกือบจะ ๒ ปีเต็มในเดือนหน้านี้แล้ว

    นับตั้งแต่เปิดกระทู้มา..
    (ตามที่อ้างอิงหน้าแรกของกระทู้ จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ)
    05-04-2012, 06:20 PM

    ซึ่งมีทั้งราบรื่น มีทั้งขวากหนาม แต่เราไม่ย่อท้อ
    เพราะเรามั่นใจในสิ่งที่กระทำความดี เกลือย่อมเป็นเกลือ
    ความดีอาจจะไม่เท่าหรือใกล้เคียงกับพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ก็ตาม
    แต่เราก็พยายามทำจิตใจ หรือ...ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน...ให้ได้
    ถือเป็นสิ่งที่ดี มีความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ที่หลงมาเกิดด้วยกัน
    รวมไปถึงผู้ที่เห็นต่างกับเรา เรายึดธรรม ยึดคำสอนที่พระมาสื่อในจิต ว่า..

    "จงเข้าใจบนความไม่เข้าใจของผู้อื่นด้วยเถิด"

    คำสอนในจิต ยังไม่เคยลืมหรือเลือนหายไปจากจิตของตนเลย แต่ยังคงดังก้องกังวานทุกนาที ทุกลมหายใจ

    เรา มิใช่ คนดี คนประเสริฐอะไรมากนัก หรือดีไปกว่าเราๆ ท่านๆ เลย
    แต่ความตั้งใจจริง ที่ออกมาจากภายในนั้น ยากที่จะอธิบายให้ทุกท่านทราบได้
    เพราะยิ่งเล่า ยิ่งพูด ความดีของตนเองมากๆ มิใช่เป็นของดี
    เพราะมนุษย์โลกของเรานั้น ไม่ยอมรับความดีของคนอื่นโดยง่าย
    แต่จะยอมรับให้เฉพาะคนอื่นยกย่อง สรรเสริญการกระทำความดีของตนมากกว่า

    เพราะฉะนั้น พระในจิต ธรรมในจิต ท่านสอนไว้ว่า

    ...อย่าพูดให้มนุษย์ด้วยกันฟัง แต่จงทำให้มนุษย์เขาเห็น...

    เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว จะกลายเป็นปรามาสกันเสียเปล่าๆ
    เราเผลอไปทำกรรมที่ไม่ดี โดยที่เรา มิได้ตั้งใจไปหยิบยื่นให้กันและกันเลย
    ธรรมตรงนี้ ละเอียดมาก คนส่วนใหญ่ยากที่จะเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น มาถึงตอนนี้ เราไม่มีความจำเป็นที่จะไปตอบคำถามหรือไปแก้ข่าวใดๆทั้งสิ้น
    เสียเวลาเปล่า พระบอกว่า อย่าพยายามไปแก้ไข
    โดยเฉพาะสิ่งภายนอกจิต หรือบุคคลอื่นๆ
    แต่สิ่งที่พอจะแก้ไขได้นั้น ก็คือ จิตของตนเอง เท่านั้น

    แต่ถ้าผู้ใดกระทำไปดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เห็นมีแต่จะทุกข์เท่านั้นเอง
    เพราะเราไปฝืนกฎธรรมชาติ
    อะไรก็ตาม ที่ฝืนจิต เท่ากับฝืนธรรมชาติ หลงบงการ หลงไปบังคับอะไรก็ตาม
    ย่อมไม่ดีทั้งนั้น

    สรุป เรามีดวงตาเห็นธรรมได้ในวันนี้ นอกจากผู้ที่ให้กำเนิด คือพ่อแม่ของเราแล้ว
    เราไม่เคยลืมครูสอนธรรมะเลย นั่นก็คือ ครูเพ็ญ(เชียงใหม่) คือผู้จุดประกายให้เห็นธรรม
    เพราะก่อนหน้านั้น เคยตั้งอธิษฐานจิตไว้กับพระ กับเบื้องบน ว่า
    ขอให้พบเจอครูที่สามารถสอนสั่งเราได้หรือถูกจริตกัน มีความศรัทธาท่าน
    ต่อมาก็ได้พบจริงตามนั้น นอกจากข้าพเจ้าตามอ่าน ตามฟังธรรมะของครูบาอาจารย์มาหลายท่าน
    แต่มาพบ มาถูกจริตตน ก็คือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ นั่นเอง
    และท้ายที่สุด ก็มีโอกาสพบเจอกับสมเด็จพ่อองค์ปฐม
    (เห็นในจิต คือตาในเห็น มิใช่ตาเนื้อเห็น)

    อ่านธรรมะท่านไป ฟังเทศน์ของท่านไปพร้อมๆกับการปฎิบัติตามครูเพ็ญแนะนำ
    สุดท้าย ครูสอนแนะนำข้าพเจ้าไปเรียนธรรมะกับพระพุทธเจ้าโดยตรง
    ป๊าดด คราวนี้แหล่ะ ถึงเป็นเรื่อง เป็นราว นำพาหลายดวงจิตมายุ่งเกี่ยว
    คือพากันปฎิบัติ พากันล้ม พากันลุก เรือแตก เรือล่มกันเป็นแถว
    ไม่มีผู้ใดผิด ไม่มีผู้ใดถูกจริงๆหรอก มีแต่ผู้ที่พยายามปรับปรุง แก้ไขไปในทิศทางที่ดีมากกว่า
    ถ้าเราปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นกันจริงๆนะ ไม่มีใครอยากเลวหรือชั่วจริงๆหรอก
    จะมีแต่เฉพาะผู้ที่ชอบเผลอสติ คือคนที่ไม่สนใจจิตตนเอง
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตกอยู่ในความประมาทแห่งตน ย่อมทุกข์ร้อนใจเป็นธรรมดา
    กิเลสพาจน พาทุกข์ ธรรมะของพระพุทธองค์นั้น พาแจ้ง พาเห็นความสว่างภายในจิตของตนเอง

    ลองผิดลองถูก แต่ก็พยายามปรับปรุง แก้ไข โดยเฉพาะมุ่งเน้นที่จิตตนเป็นหลัก
    โดยเริ่มต้นที่ตนเอง จิตตนเองก่อน แต่ก็มีเหตุจนได้ การพบย่อมมีการพลัดพรากจากกันไปเป็นธรรมดา
    เหมือนพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเรามา และสุดท้าย ท่านทั้งสองต้องมาตายจากหนีหายไปหมด
    ยังคงเหลือแต่ตนเองเท่านั้น ครูบาอาจารย์ของเราๆท่านๆก็เหมือนกัน
    แม้นกระทั่ง พระอานนท์ ผู้เป็นพระอุปฐากพระพุทธเจ้า แต่ในที่สุดพระพุทธเจ้าถึงกาลดับขันธปรินิพพานไป
    นั่นเป็นธรรมดา นั่นเป็นธรรม ธรรมตรงนี้ ซึ่งก็มีอยู่ก่อนแล้ว
    มีก่อนที่พระพุทธเจ้าจุติในโลกนี้

    และนี่คือ ที่มา ที่ไปของ คำว่า จิตเกาะพระ
    และที่มีวันนี้ของข้าพเจ้าได้ นอกจาก พ่อแม่คือผู้ให้กำเนิดทางโลก
    แต่ยังมีครูเพ็ญ ถือว่าเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดในทางธรรม มีดวงตาเห็นธรรม
    ยังมีสมเด็จพ่อองค์ปฐมและหลวงพ่อฤาษีฯ เป็นผู้ให้เห็นธรรมชัดเจนขึ้นไปตามลำดับจิต

    และพวกเราจะลืมเวปพลังจิตนี้ มิได้เลย ถ้าไม่มีเวปฯนี้
    แล้วเราจะได้มีโอกาสพบเจอเพื่อนธรรม เพื่อนกัลยาณมิตรกันไหม

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ...สาธุ

    ปล. ขออานิสงส์ผลบุญนี้ ขอยกให้กับทุกๆท่านด้วยเทอญ สาธุ
    โดยเฉพาะครูแนท ผู้แนะนำข้าพเจ้าให้ช่วยบริจาคเงินให้กับทางเวปพลังจิตนี้
    เงินที่มาสนับสนุนหรือทำกิจกรรม เพราะทางเวปมีค่าใช้จ่ายมาก
    ขอโมทนาสาธุกับคุณแนทมา ณ ที่นี้ด้วย สาธุ
    ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้นึกถึงตรงนี้เลย ขอโทษทางเวปพลังจิตที

    ภูทยานฌาน


     
  20. ladylamb

    ladylamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +200
    ขอแจ้งข่าวบุญ!

    ข้าพเจ้าได้ทำบุญ ค่า Hosting หรือค่า Server ของเวปพลังจิต
    จำนวน $ 309 USD.
    ขอให้พวกเราจงร่วมอนุโมทนาบุญโดยทั่วถึงกัน มิได้มีเจตนาเพื่อแจ้งบุญเอาหน้า
    เพราะที่ผ่านมา จิตเกาะพระ ได้ใช้พื้นที่ในเวปพลังจิตนี้ เพื่อเผยแพร่ธรรมะ
    หรือการปฎิบัติธรรมในแนว..จิตเกาะพระ
    เป็นเวลาร่วมเกือบจะ ๒ ปีเต็มในเดือนหน้านี้แล้ว

    นับตั้งแต่เปิดกระทู้มา..
    (ตามที่อ้างอิงหน้าแรกของกระทู้ จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ)
    05-04-2012, 06:20 PM

    ซึ่งมีทั้งราบรื่น มีทั้งขวากหนาม แต่เราไม่ย่อท้อ
    เพราะเรามั่นใจในสิ่งที่กระทำความดี เกลือย่อมเป็นเกลือ
    ความดีอาจจะไม่เท่าหรือใกล้เคียงกับพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ก็ตาม
    แต่เราก็พยายามทำจิตใจ หรือ...ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน...ให้ได้
    ถือเป็นสิ่งที่ดี มีความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ที่หลงมาเกิดด้วยกัน
    รวมไปถึงผู้ที่เห็นต่างกับเรา เรายึดธรรม ยึดคำสอนที่พระมาสื่อในจิต ว่า..

    "จงเข้าใจบนความไม่เข้าใจของผู้อื่นด้วยเถิด"

    คำสอนในจิต ยังไม่เคยลืมหรือเลือนหายไปจากจิตของตนเลย แต่ยังคงดังก้องกังวานทุกนาที ทุกลมหายใจ

    เรา มิใช่ คนดี คนประเสริฐอะไรมากนัก หรือดีไปกว่าเราๆ ท่านๆ เลย
    แต่ความตั้งใจจริง ที่ออกมาจากภายในนั้น ยากที่จะอธิบายให้ทุกท่านทราบได้
    เพราะยิ่งเล่า ยิ่งพูด ความดีของตนเองมากๆ มิใช่เป็นของดี
    เพราะมนุษย์โลกของเรานั้น ไม่ยอมรับความดีของคนอื่นโดยง่าย
    แต่จะยอมรับให้เฉพาะคนอื่นยกย่อง สรรเสริญการกระทำความดีของตนมากกว่า

    เพราะฉะนั้น พระในจิต ธรรมในจิต ท่านสอนไว้ว่า

    ...อย่าพูดให้มนุษย์ด้วยกันฟัง แต่จงทำให้มนุษย์เขาเห็น...

    เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว จะกลายเป็นปรามาสกันเสียเปล่าๆ
    เราเผลอไปทำกรรมที่ไม่ดี โดยที่เรา มิได้ตั้งใจไปหยิบยื่นให้กันและกันเลย
    ธรรมตรงนี้ ละเอียดมาก คนส่วนใหญ่ยากที่จะเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น มาถึงตอนนี้ เราไม่มีความจำเป็นที่จะไปตอบคำถามหรือไปแก้ข่าวใดๆทั้งสิ้น
    เสียเวลาเปล่า พระบอกว่า อย่าพยายามไปแก้ไข
    โดยเฉพาะสิ่งภายนอกจิต หรือบุคคลอื่นๆ
    แต่สิ่งที่พอจะแก้ไขได้นั้น ก็คือ จิตของตนเอง เท่านั้น

    แต่ถ้าผู้ใดกระทำไปดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เห็นมีแต่จะทุกข์เท่านั้นเอง
    เพราะเราไปฝืนกฎธรรมชาติ
    อะไรก็ตาม ที่ฝืนจิต เท่ากับฝืนธรรมชาติ หลงบงการ หลงไปบังคับอะไรก็ตาม
    ย่อมไม่ดีทั้งนั้น

    สรุป เรามีดวงตาเห็นธรรมได้ในวันนี้ นอกจากผู้ที่ให้กำเนิด คือพ่อแม่ของเราแล้ว
    เราไม่เคยลืมครูสอนธรรมะเลย นั่นก็คือ ครูเพ็ญ(เชียงใหม่) คือผู้จุดประกายให้เห็นธรรม
    เพราะก่อนหน้านั้น เคยตั้งอธิษฐานจิตไว้กับพระ กับเบื้องบน ว่า
    ขอให้พบเจอครูที่สามารถสอนสั่งเราได้หรือถูกจริตกัน มีความศรัทธาท่าน
    ต่อมาก็ได้พบจริงตามนั้น นอกจากข้าพเจ้าตามอ่าน ตามฟังธรรมะของครูบาอาจารย์มาหลายท่าน
    แต่มาพบ มาถูกจริตตน ก็คือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ นั่นเอง
    และท้ายที่สุด ก็มีโอกาสพบเจอกับสมเด็จพ่อองค์ปฐม
    (เห็นในจิต คือตาในเห็น มิใช่ตาเนื้อเห็น)

    อ่านธรรมะท่านไป ฟังเทศน์ของท่านไปพร้อมๆกับการปฎิบัติตามครูเพ็ญแนะนำ
    สุดท้าย ครูสอนแนะนำข้าพเจ้าไปเรียนธรรมะกับพระพุทธเจ้าโดยตรง
    ป๊าดด คราวนี้แหล่ะ ถึงเป็นเรื่อง เป็นราว นำพาหลายดวงจิตมายุ่งเกี่ยว
    คือพากันปฎิบัติ พากันล้ม พากันลุก เรือแตก เรือล่มกันเป็นแถว
    ไม่มีผู้ใดผิด ไม่มีผู้ใดถูกจริงๆหรอก มีแต่ผู้ที่พยายามปรับปรุง แก้ไขไปในทิศทางที่ดีมากกว่า
    ถ้าเราปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นกันจริงๆนะ ไม่มีใครอยากเลวหรือชั่วจริงๆหรอก
    จะมีแต่เฉพาะผู้ที่ชอบเผลอสติ คือคนที่ไม่สนใจจิตตนเอง
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตกอยู่ในความประมาทแห่งตน ย่อมทุกข์ร้อนใจเป็นธรรมดา
    กิเลสพาจน พาทุกข์ ธรรมะของพระพุทธองค์นั้น พาแจ้ง พาเห็นความสว่างภายในจิตของตนเอง

    ลองผิดลองถูก แต่ก็พยายามปรับปรุง แก้ไข โดยเฉพาะมุ่งเน้นที่จิตตนเป็นหลัก
    โดยเริ่มต้นที่ตนเอง จิตตนเองก่อน แต่ก็มีเหตุจนได้ การพบย่อมมีการพลัดพรากจากกันไปเป็นธรรมดา
    เหมือนพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเรามา และสุดท้าย ท่านทั้งสองต้องมาตายจากหนีหายไปหมด
    ยังคงเหลือแต่ตนเองเท่านั้น ครูบาอาจารย์ของเราๆท่านๆก็เหมือนกัน
    แม้นกระทั่ง พระอานนท์ ผู้เป็นพระอุปฐากพระพุทธเจ้า แต่ในที่สุดพระพุทธเจ้าถึงกาลดับขันธปรินิพพานไป
    นั่นเป็นธรรมดา นั่นเป็นธรรม ธรรมตรงนี้ ซึ่งก็มีอยู่ก่อนแล้ว
    มีก่อนที่พระพุทธเจ้าจุติในโลกนี้

    และนี่คือ ที่มา ที่ไปของ คำว่า จิตเกาะพระ
    และที่มีวันนี้ของข้าพเจ้าได้ นอกจาก พ่อแม่คือผู้ให้กำเนิดทางโลก
    แต่ยังมีครูเพ็ญ ถือว่าเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดในทางธรรม มีดวงตาเห็นธรรม
    ยังมีสมเด็จพ่อองค์ปฐมและหลวงพ่อฤาษีฯ เป็นผู้ให้เห็นธรรมชัดเจนขึ้นไปตามลำดับจิต

    และพวกเราจะลืมเวปพลังจิตนี้ มิได้เลย ถ้าไม่มีเวปฯนี้
    แล้วเราจะได้มีโอกาสพบเจอเพื่อนธรรม เพื่อนกัลยาณมิตรกันไหม

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ...สาธุ

    ปล. ขออานิสงส์ผลบุญนี้ ขอยกให้กับทุกๆท่านด้วยเทอญ สาธุ
    โดยเฉพาะครูแนท ผู้แนะนำข้าพเจ้าให้ช่วยบริจาคเงินให้กับทางเวปพลังจิตนี้
    เงินที่มาสนับสนุนหรือทำกิจกรรม เพราะทางเวปมีค่าใช้จ่ายมาก
    ขอโมทนาสาธุกับคุณแนทมา ณ ที่นี้ด้วย สาธุ
    ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้นึกถึงตรงนี้เลย ขอโทษทางเวปพลังจิตที

    ภูทยานฌาน
    โมทนา สาธุในคุณความดีทั้งหลายทั้งมวลทีคุณครูท่านพี่ภู และคุณครูพี่แนท
    ได้ตั้งใจกระทำเพื่อประโยชน์สุขของพวกเราชาวจิตเกาะพระและส่วนรวมโดยแท้
    จะหาผู้ที่มีจิตอันบริสุทธิ์ให้ได้ดั่งท่านก็ยากยิ่งนัก
    ขอให้กุศลผลบุญนี้ได้เป็นปัจจัยให้ท่านทั้งสองได้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
    ขอพวกเราท่านทั้งหลายจงได้พร้อมใจกันกล่าวโมทนาสาธุการในกาลครั้งนี้
    ด้วยกันทุกท่านทุกคนเถิด

    สาธุ สาธุ สาธุ
    อุ๋ยUK
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...