ปิดรับบริจาค ประมวลภาพพิธีเททอง"หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์"/วางศิลาฤกษ์เจดีย์องค์ปฐมหน้า 14

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย ศิษปู่ใหญ่, 13 กันยายน 2013.

  1. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    คนดียินดีทำทาน คนอันธพาลระรานทำลาย
    ผู้ใหญ่หลงลืมตัว น่ากลัวกว่าเด็กดื้อ
    แมลงวันชอบของเน่า คนโง่เขลาชอบทำบาป
     
  2. หนึ่ง1

    หนึ่ง1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,638
    วันงานเจอกันนัดพี่หนูไว้ด้วย...เดี๋ยวซื้อกระหรี่ฟั๊บที่มวกเหล็กไปฝาก
     
  3. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    ขอบคุณครับดีใจมากๆครับจะได้เจอพี่หนูเเละพี่หนึ่ง อิอิอิ:boo::boo::boo:
     
  4. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    ."ถ้าเป็นเรื่องจริง" เมื่อถึงเวลาที่ควรติก็ต้องติ
    เมื่อถึงเวลาที่ควรชมก็ต้องชม
    แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็ไม่ควรพูดแท้
    และแม้เป็นเรื่องจริง หากไม่ถึงเวลาที่ควรติหรือชม
    ก็อย่าไปติหรือชม นิ่งเสียดีกว่า
    ฉะนั้นความมีกาลัญญุตาในที่นั้นๆจึงเป็นหลักสำคัญ
    คือเวลาที่ควรนิ่งก็นิ่ง เวลาที่ควรพูดก็พูด
    หรือเวลาที่ควรอุเบกขา ก็วางอุเบกขา
    เวลาที่ไม่ควรอุเบกขา ก็พูดออกไป
    สุดแต่ว่าเวลาไหน จะควรติ หรือชม
    สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
  5. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    " นะโมวิมุตตานัง นะโมวิมุตติยา" .... ความนอบน้อมของข้าฯ จงมีแด่ท่านผู้พ้นแล้วทั้งหลาย...
    .... ความนอบน้อมของข้าฯ จงมีแด่วิมุตติธรรม...
     
  6. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    ธรรมคุ้มครองโลก" หมายถึง ธรรมที่ช่วยคุ้มครองทั้งมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ให้อยู่ด้วยกันอย่างปกติสุข โลกร่มเย็น ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย เพราะมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายไม่เบียดเบียนกัน มีเมตตากรุณาต่อกัน ต่างไว้วางใจกันและกันในเรื่องต่าง ๆ เช่นชีวิต ทรัพย์สิน และของรักของหวง

    เป็นคุณธรรมที่สนับสนุนหลักมนุษยธรรมให้เป็นไปด้วยดี โดยชักนำจิตใจของบุคคลให้เกิดความละอายต่อความชั่วและความเกรงกลัวต่อความ ประพฤติชั่วและผลของความชั่วที่จะติดตามมาทั้งยังป้องกันไม่ให้กระทำความชั่วทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    เป็นหลักธรรมสนับสนุนให้บุคคลมีสามัญสำนึกในการละเว้นความชั่วทุจริต เป็นการเบียดเบียนตนและผู้อื่นให้เดือดร้อนภายหลัง

    ธรรมคุ้มครองโลก มี 2 ประการ คือ หิริ และโอตตัปปะ

    2.โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อผลของความชั่ว มีลักษณะหวาดสะดุ้งกลัวต่อผลที่จะเกิดจากการทำบาปทุจริต คือ การประพฤติผิดทั้งทางกาย วาจา และใจ โดยพิจารณาเห็นชัดว่าสัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน ทำกรรมใดไว้ต้องรับผลกรรมของนั้น จึงมีความหวาดกลัวสะดุ้งต่อผลของกรรมชั่ว ไม่กล้าทำแม้ความผิดเล็กน้อย

    เหตุที่ทำให้เกิดความกลัวต่อความชั่ว คือ

    - เพราะกลัวต้องติเตียนตัวเอง

    - เพราะกลัวผู้อื่นจะติเตียน

    - เพราะกลัวถูกลงโทษ ถูกลงอาญา

    - เพราะกลัวความทุกข์จะส่งผลในภายหน้า

    เมื่อคนเรามาพิจารณาคำนึงถึงเหตุนี้ข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ความกลัวต่อความชั่วย่อมเกิดขึ้น

    ผู้มีความสะดุ้งกลัวต่อผลของบาปทุจริตเปรียบเหมือนคนที่มีนิสัยหวาดกลัวเป็นนิจเห็นอสรพิษแม้ตัวเล็ก ๆ เกิดสะดุ้งกลัว ไม่อยากเข้าใกล้ พยายามหลีกหนีให้ห่างไกล

    ฉะนั้น ความกลัวที่จัดว่าเป็นโอตตัปปะแท้จริงนั้น ต้องเป็นความกลัวต่อผลของความชั่วบาป หรือทุจริตเท่านั้น ในกรณีที่คนเรากำลังเดินอยู่กลางป่า บังเอิญไปพบเสือโคร่งเข้าพอดี ย่อมเกิดความกลัวอันตรายที่จะได้รับ

    ความกลัวเช่นนี้ไม่จัดว่าเป็นความกลัวด้วยโอตตัปปะ หากแต่เป็นความกลัวตามสัญชาตญาณของมนุษย์และสัตว์ เพราะไม่ใช้ความกลัวต่อความชั่ว

    ลักษณะของผู้มีหิริโอตตัปปะนั้นคือ "อายชั่ว กลัวบาป" บุคคลผู้ฝึกจิตใจให้อายชั่วกลัวบาปได้ดีแล้วเท่านั้น จึงจะไม่ทำความผิดทั้งต่อหน้าและลับหลัง ดังนั้น หิริโอตตัปปะจึงเป็นธรรมคุ้มครองโลก

    คือมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินนี้ให้อยู่เย็นเป็นสุข
     
  7. กึกก้อง

    กึกก้อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2009
    โพสต์:
    609
    ค่าพลัง:
    +3,478
    คุณน้อย แซ่จิ้วและคณะร่วมบุญ ๘๐๐.- โอนวันนี้เวลา ๙.๒๐ น. แล้วครับ
     
  8. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    อนุโมทนาครับ
     
  9. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล ข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป
    ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
    เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้
    ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม
    หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่
    อาหารเก่า (มันสมอง) ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ
    มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร

    เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
    ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
    เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น
    ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติฯ

    พระพุทธพจน์
     
  10. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    คำว่า พุทโธ นี้ ผีเกรงกลัวที่สุด เพราะอานุภาพของ พุทโธ และจิตที่เป็นสมาธิ พวกภูตผีต่างๆ จึงไม่อาจทำอันตรายใดๆ แก่เราได้ และเมื่อเราแผ่เมตตาให้ พวกนั้นก็น้อมรับในส่วนบุญ กลายเป็นมิตรไปกับเราเสียอีก ถ้าหากท่านผู้ใดกลัวผีก็ขอให้ภาวนา พุทโธ พุทโธ จนจิตเป็นสมาธิ ความกลัวจักหายไปเอง โอวาทหลวงปู่ตื้อ
     
  11. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    ถือเป็นงานบุญใหญ่ที่สำคัญวาระหนึ่งของสวนพุทธธรรมหลวงปู่ใหญ่ครับ
     
  12. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    กฎแห่งกรรม โดยเจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ

    ในสมัยพุทธกาล พระที่ใกล้จะสำเร็จอรหันต์มักจะได้รับเคราะห์กรรมแปลก ๆ อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะท่านก็ได้บำเพ็ญแต่ความดีมา ไม่น่าจะได้เคราะห์กรรมอีก

    ในเรื่องนี้ได้มีอธิบายไว้ว่า เพราะใกล้จะสำเร็จพระอรหันต์ จึงต้องได้รับกรรมให้หมดไป เรียกว่าสิ้นกรรมกัน

    ท่านธมฺมวิตกฺโกก็เช่นกัน ท่านจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ หรือไม่ผมไม่ทราบ เพราะผมไม่มีคุณธรรมใดจะไปหยั่งรู้ได้

    แต่ท่านไม่น่าจะถูกคางคกไฟกัด ซึ่งไม่เคยปรากฏว่ามีในนครหลวง มีแต่ทางปักษ์ได้ แต่ท่านก็บอกว่า

    ลักษณะเป็นคางคกไฟและมากัดท่านจนบวมไปทั้งขา ทั้งที่ท่านก็ไม่ได้ไปไหน เดินจากกฏิไปทำวัตรแล้วก็กลับ ตอนขากลับก็ปรากฏว่าคางคกรอท่านอยู่แล้ว และกัดท่านพอดี

    ในบั้นปลายของชีวิต ท่านธมฺมวิตกฺโก อาพาธด้วยมะเร็งที่ลำคอ การอาพาธของท่านนี้พูดตามที่บุคคลธรรมดาพึงเห็น

    แต่สำหรับท่านธมฺมวิตกฺโกแล้ว ท่านเป็นปกติธรรมดาไม่เคยแสดงอาการใดว่าท่านได้อาพาธ ท่านปกติธรรมดาจนทุกคนที่พบเห็นท่าน คล้ายจะลืมว่าท่านอาพาธ ถ้ามีใครถามถึง ท่านจะเล่าให้ฟังว่า

    ตั้งแต่เริ่มเป็น เมื่อปี พ.ศ. 2509 มีขนาดเท่าไข่จิ้งจก และโต ต่อมาเรื่อย ๆ จนมีขนาดเท่าลูกพุทรา เท่าไข่เต่า และท่านจะบอกว่าตอนนี้เท่าไข่เป็ดแล้ว

    เมื่อถามถึงความเจ็บปวด ท่านจะบอกว่าไม่เจ็บปวดมากนัก จะมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผมคิดว่าถ้าเป็นอย่างเราก็คงจะลุกเดินไม่ไหวเพราะความเจ็บปวดแล้ว แต่ท่านธมฺมวิตกฺโกท่านกลับเป็นปกติทุกอย่าง สมมติว่าแผลมะเร็งนี้เกิดขึ้นกับอวัยวะภายใน ไม่มีใครมองเห็นแล้ว ก็จะไม่มีใครรู้ว่าท่านอาพาธเลย

    ท่านเล่าว่า เมื่อก่อนจะเป็น ท่านมีความรู้สึกว่าจะเป็นที่ตับ เพราะมีอาการบางอย่างที่นั่น ท่านเล่าว่าเหมือนกับมีอะไรวิ่งกันอยู่เป็นริ้ว ๆ ที่บริเวณนั้น ท่านได้อธิษฐานว่าหากจะป่วยเป็นโรคใดแล้วขอให้ปรากฏออกมา ขอให้เป็นภายนอกเถิดจะได้มองเห็นและเป็นตัวอย่างให้ศึกษา

    หลังจากท่านอธิษฐานแล้ว ท่านรู้สึกว่าสิ่งที่วิ่งกันอยู่นั้นได้ย้ายวิ่งมาที่ลำคอและปรากฏเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ที่แรงอธิษฐานของท่านเป็นไปตามที่ท่านอธิษฐาน เห็นจะเป็นด้วยบุญบารมีที่ท่านบำเพ็ญมา

    และท่านจะยกเอาอาการอาพาธของท่านเป็นตัวอย่างสอนคนที่ไปพบท่านว่า ร่างกายเป็นรังของโรค ต้องป่วยเจ็บอยู่เสมอเป็นธรรมดา เป็นเรื่องของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่าเศร้าหมองตามการป่วยเจ็บนั้น ทำใจให้ปลอดโปร่ง

    และให้นึกเสมอว่า การเจ็บ การตายไม่แน่นอน จะมาถึงเมื่อใดก็ได้ อย่าประมาท อย่ารั้งรอต่อการทำความดี ในขณะที่ยังมีโอกาสทำความดี จะได้ไม่ต้องเสียใจ แม้ความตายจะมาถึงในวินาทีใดก็ตาม...

    คำสอนโดยเจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ
     
  13. กันตสีโล

    กันตสีโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2007
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +783
    ขออนุญาต ขออภัย ยังมีการรับบริจาคอยู่หรือไม่ ภารกิจบุญตามภารกิจนี้เสร็จแล้วหรือยัง รอ
    คำตอบอยู่ครับ
     
  14. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    ยังรับครับ วันงานวันที่ 30 มีนาคม 2557 กำหนดการชัดเจนตามโพสต์เเรกเลยครับ
     
  15. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    :::ความเป็นมาของคาถาเงินล้าน:::

    หลวงพ่อ
    ก่อนที่อยู่วัดท่าซุงนะฉันอยู่กระต๊อบ เงินร้อยก็หายากสำหรับเงินทำบุญ “คาถาวิระทะโย” ก็ทำเรื่อยๆ ไป ต่อมาท่านก็มาหา ก็บอกว่า คาถาบทนี้นะ ที่เขาทำพระวัดพนัญเชิงองค์แรก มีเจ้าอาวาสองค์แรกท่านไปนั่งกรรมฐาน และเสกด้วยคาถาบทนี้ ๓ ปี ท่านให้ดูตัวอย่างวัดพนัญเชิงเงินขาดไหม…ฉันก็ทำมาเรื่อย
    มาอีกปีหนึ่ง กำลังบวงสรวง ท่านบอกว่า "คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินแสนนะ" ก็ใช้คาถาบทนั้น มาประมาณครึ่งปี คนมาทอดกฐินผ้าป่าได้เงินเป็นแสน นี่เห็นชัดนะ
    แล้วต่อมา อีกปีหนึ่ง ท่านบอกว่า "คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินล้านนะ" ให้ว่าต่อเนื่องกันไป แล้วไปลง "คาถาวิระทะโย" ต่อมาก็จริง ๆ เพราะปี ๒๕๒๗ ก็ใช้เงินล้านเป็นเดือน ซึ่งไอ้อย่างนี้เราก็คิดไม่ออก ต้องค่อย ๆใจเย็น ๆ

    เวลาว่าไป อย่าไปว่าหวังเอาลาภ คือ ต้องภาวนาด้วยนะ ถ้าทางที่ดี เวลาภาวนากรรมฐาน พอจิตสบายน่ะ ต่อเลย เพราะเวลากรรมฐานนี่จิตเป็นฌานใช่ไหม เอาอย่างนี้ดีกว่า เวลาฝึกมโนมยิทธิออกไปให้ได้นั้นออกไปเดี๋ยวเดียวก็ได้ ออกไปได้นี่ จิตเป็นฌาณ ๔ เข้าเขตพระนิพพาน ได้จิตสะอาด ถึงที่สุด กลับลงมาด้วยคาถาบทนี้เลย มากน้อยก็ช่างให้หลับไปเลย คือ ถ้าจิตสะอาดมากผลก็เกิดเร็ว

    ก็สงสัยเหมือนกันนะ เมื่อปี ๒๕๒๖ ท่านบอกว่า ปี ๒๕๒๗ มีอะไรบ้างก็ตุน ๆ ไว้บ้างนะ ปี ๒๕๒๘ จะเครียดมาก การค้าของใคร ถ้าทรงตัวได้ก็ถือว่า ดีไว้ก่อน อันนี้ท่านบอกว่า "ถ้าลูกเราจะจนก็จนไม่เท่าเขา"
     
  16. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    หลวงพ่อชา สอนอริยสัจ4 แบบชาวบ้านว่า
    หลวงพ่อ : โยมเคยเลี้ยงควายไหม
    ชาวบ้าน : เคยครับ
    หลวงพ่อ : เวลาจูงควายไป แล้วเชือกของโยมไปคล้องที่ตอ
    โยมยุ่งหัวใจไหม
    ชาวบ้าน : ยุ่งครับ
    หลวงพ่อ : ทุกข์ แล้วจะทำยังไงมันถึงจะแกะเชือกออก
    ชาวบ้าน : เราก็ต้องสาวเชือกไปซิครับ ว่ามันติดอยู่ที่ตรงไหน
    หลวงพ่อ : นั่นคือ สมุทัย ตามไปแล้วพอเจอว่ามันติดตรงไหน
    ทำยังไง
    ชาวบ้าน : มีสองอย่าง ถ้าไม่คลายปม ก็เอามีดตัดที่เชือก
    หลวงพ่อ : นั่น นิโรธ และทีนี้ตัดเชือกออกได้แล้ว เป็นยังไง
    โล่งไหม
    ชาวบ้าน : โล่งครับ
    หลวงพ่อ : ตัดเชือกได้เพราะอะไร ก็น้ำมือโยมนั่นแหละ
    นี่คือ มรรค

    ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจ4 หนทางดับทุกข์
     
  17. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทาน

    เรื่องของ "ทาน" ตั้งแต่ตอนนี้ไป จะรวบรวมปัญหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง"ทาน" ซึ่งมีผู้เรียนถาม ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อพระมหาวีระถาวโร ) แห่งวัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี มาเสนอการตอบของหลวงพ่อพระมหาวีระ ท่านจะตอบด้วยถ้อยคำ สำนวนแบบชาวบ้าน เข้าใจง่ายๆ...เชิญติดตามได้เลยครับ

    ผู้ถาม "หลวงพ่อครับ กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ ?"

    หลวงพ่อ "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ......การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานซีคุณ หนังสือเรียนของเด็ก หนังสือเรียนของผู้ใหญ่หนังสือเรียนของพระหนังสือธรรมะต่างๆ ดูตัวอย่างพระสารีบุตร ให้ปัญญากับประชาชนทั้งหลาย เพราะอานิสงส์ได้เคยสร้างพระธรรม ซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ถวายพระพุทธเจ้า เกิดมาชาติหลังสุด จึงทำให้เป็นพระที่มีปัญญามาก อย่างเงินที่เขาถวายฉันไว้นี่ พอกลับไปถึงวัดก็เรียบร้อย เลี้ยงอาหารพระบ้าง ค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ค่าก่อสร้างบ้าง รวมความว่า ที่ท่านตั้งใจนี่มีผล ๔ อย่าง

    ๑. สร้างพระพุทธรูป
    ๒. วิหารทาน
    ๓. สังฆทาน
    ๔. ธรรมทาน

    ทั้งหมดนี้ ใช้ทุนไม่ต้องมากก็ได้ เอาสัก ๕๐ สตางค์ เป็นอันว่า การทำบุญเอาแค่พอสมควร แต่ให้มันเป็นบุญใหญ่ เขามุ่งแบบนั้นนะ คือเราเอาไปผสมกับเขาก็แล้วกันไม่ต้องสร้างทั้งหลัง"

    ผู้ถาม "กระผมสงสัยเรื่องการทำบุญ บางคนก็ทำช้า บางคนก็ทำไว อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า การทำบุญช้าบ้าง เร็วบ้าง ยืดยาดบ้าง อานิสงส์ จะต่างกันหรือไม่ขอรับ ?"

    หลวงพ่อ "ต่างกัน คือได้ช้า ได้เร็ว ต่างกันก็เหมือนท่าน จูเฬกสาฎก ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ตั้งใจถวายทานตั้งแต่ยามต้น และยามที่ ๒ จิตเป็นห่วงยายที่บ้าน ไม่มีโอกาสจะฟังเทศน์ เพราะไม่มีผ้าห่ม พอยามที่ ๓ ใกล้สว่าง จึงตัดสินใจถวาย แล้วประกาศว่า

    "ชิตัง เม ชิตัง เม" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยิน ก็ทราบว่า ชนะความตระหนี่ จึงนำผ้าสาฎก และทรัพย์สินต่างๆมาให้ มีฐานะเป็นคหบดีคนหนึ่งต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าพราหมณ์นี้ถวายในยามต้น จะได้เป็นมหาเศรษฐีถ้าถวายยามที่ ๒ จะได้เป็นอนุเศรษฐี ยามที่ ๓ จะได้เป็นคหบดีใหญ่ที่ได้น้อย เพราะถวายช้าเกินไป พระองค์จึงตรัสว่า การบำเพ็ญกุศลผล ความดีในศาสนาของเรานี้ จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง คือเร็วๆ ไวๆ"

    ขอบคุณที่มา กฏแห่งกรรม: มีนาคม 2013
     
  18. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    การบวชจิต - บวชใน

    หลวงปู่ดู่ปรารภว่า...

    จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีศีล
    รักในการปฏิบัติจิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด
    ย่อมมีโอกาสเป็นพระกันได้ทุกๆ คนมีโอกาสที่จะบรรลุมรรค ผล นิพพาน
    ได้เท่าเทียมกันทุกคนไม่เลือกเพศ เลือกวัย หรือฐานะ แต่อย่างใด

    ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำเร็จได้ นอกจากใจของผู้ปฏิบัติเอง
    ท่านได้แนะเคล็ดในการบวชจิตว่า.....

    " ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น
    คำกล่าวว่า

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา

    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ...
    ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์

    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ...
    ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี
    มีความยินดีในการบวช

    ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ
    หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี

    อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก
    จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว"
     
  19. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    บทเรียนราคาแพง

    โยม : หลวงปู่ครับ ทำไมผมยิ่งทำบุญ ยิ่งปฏิบัติธรรม ยิ่งทำสมาธิก็เหมือน ยิ่งทุกข์เหลือเกินครับ ทั้งปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการเงิน ไม่รู้อะไรประดังประเดเข้ามาตลอดครับผมหลวงปู่

    หลวงปู่ : เวลาคุณทำบุญ เวลาคุณปฏิบัติ มันกระทบกับเงินทองหรือเวลาปกติของคุณหรือเปล่า

    โยม : เปล่าครับผม เวลาผมทำบุญผมก็ไม่ได้ลำบาก เงินทองก็เป็นส่วนเหลือจากการเก็บการดูแลครอบครัวแล้ว การปฏิบัติของผมก็กระทำโดยไม่กระทบกระเทือนใคร พ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมียก็อนุโมทนา แต่มันก็มีปัญหาเรื่องอื่นๆเข้ามาไม่ขาด

    หลวงปู่ : คุณ เวลาคุณปฏิบัติคุณก็ต้องการพระนิพพานใช่หรือเปล่า นิพพานก็ต้องหนีโลก ต้องเบื่อโลก ถ้ามันไม่มีปัญหาเข้ามาคุณจะหนีโลกได้อย่างไร ถ้าคุณยังหวังสุขในโลกนี้ นิพพานของคุณก็เป็นนิพพานหลอกตัวเองหล่ะสิ โลกเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดปัญหาที่เข้ามาคือบทเรียน มารทั้งหลายคือครูของเรา เมื่อคุณปฏิบัติสูงๆขึ้นไป ปัญหามันก็จะสูงขึ้นไปด้วย ปัญญาคุณแค่อนุบาลปัญหามันก็อนุบาล บทเรียนก็อนุบาล ครูก็ครูสอนอนุบาล แต่เมื่อคุณเรียนปริญญา ปัญญาระดับปริญญา ปัญหามันก็ต้องปริญญา บทเรียนก็บทเรียนปริญญา ครูก็ครูสอนปริญญา คุณเรียนปริญาจะเอาข้อสอบเด็กน้อยอนุบาลมาสอบคุณมันจะสมกับภูมิปัญญาคุณหรือปฏิบัติเพื่อแสวงหาปัญญา เมื่อปัญญาเราสูงขึ้น ปัญหามันก็สูงขึ้น บทเรียนมันก็ยากขึ้น มารมันก็เก่งขึ้น คุณสอบตกจะหาว่าครูออกข้อสอบยากหรือ หรือจะโทษว่าตนเองเตรียมตัวสอบไม่ดี คุณเอ้ยโลกมันสอนเรา บางทีก็สนุกสำราญ บางทีก็เศร้าโศก บางทีก็ทารุณโหดร้าย คุณต้องได้เรียนทุกบท คุณจะบอกว่าไม่ชอบวิชานี้ไม่เรียนมันไม่ได้ เราชอบสุขเราเกลียดทุกข์ แต่เราก็ต้องเรียนทั้งสองอย่าง เมื่อคุณผ่านการสอบหนึ่งครั้ง คุณก็จะพัฒนาไปอีกขั้นบทเรียนบางบทมันอาจจะแพงไปสักหน่อยต้องแลกมาด้วยเงินทอง อวัยวะหรือแม้แต่ชีวิต แต่คุณอย่าลืมนะวิชาดีราคามันต้องแพง โลกสอนให้คุณรู้จักโลกในทุกรูปแบบทุกรสชาติ คุณจะได้เบื่อโลกหน่ายโลกอย่างแท้จริง นิพพานของคุณก็จะเป็นนิพพานจริงๆ อย่าพึ่งลาออกจากโรงเรียนกลางคันก็แล้วกัน คุณเชื่อเถอะว่าถนนเส้นนี้ผู้ปฏิบัติล้วนผ่านมาแล้วทุกคน ท่านเหล่านั้นก็เคยทุกข์อย่างคุณท่านยังผ่านไปได้ ให้เชื่อมั่นในคุณพระพุทธเจ้าพระธรรมคำสั่งสอนและพระอริยะสงฆ์ที่ท่านผ่านไปก่อน ให้เชื่อว่าท่านเหล่านั้นไม่หลอกเราแน่ เข้าใจนะ

    หลวงปู่หา สุภโร (หลวงปู่ไดโนเสาร์)
     
  20. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    อยากรู้ว่าพระแท้หรือเปล่า ?

    ถาม : ผมมีพระ อยากรู้ว่าแท้หรือเปล่าครับ ?

    ตอบ : ถามอย่างนี้ปลอมหมด..! เพราะตัวเรายังขาดความมั่นใจ ต่อให้ได้ของแท้มาก็เท่ากับของปลอม

    ถาม : แท้จริงๆ อยู่ที่ใจใช่ไหมครับ ?

    ตอบ : ใช่...ถ้าไม่เชื่อมั่น ไม่ยึดมั่น มัวแต่ไปคิดว่าพระปลอม แล้วอีกกี่ชาติถึงจะได้ดี ขนาดทหารเขาออกรบ กำลังตีกันให้มั่วไปหมด ทีนี้ทำพระหล่น คว้ามาได้ก็ยัดใส่ปากใหม่ ที่ไหนได้กลายเป็นลูกเขียดไม่ใช่พระ เขียดที่โดนอมอยู่ในปากก็ดิ้นใหญ่ เขาก็มีกำลังใจ “หลวงพ่อไม่ต้องช่วย ผมไหว” ลุยกระจาย ตกลงอมลูกเขียดยังชนะเลย อย่าว่าแต่พระ..!

    ถ้าเรามั่นใจว่าพระพุทธคุณมีเต็มเปี่ยมอยู่ในทุกที่ทุกสถานแล้ว ไม่ต้องไปกังวล จะไปตัวเปล่าก็ยังไหว

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕
     

แชร์หน้านี้

Loading...