จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    กิเลส​


    พูดถึงกิเลสของคนเรา มันแยบยลยิ่งนัก มันเก่งกว่าเราหลายเท่า ถ้ากิเลสไม่เก่งจริง ไม่งั้นไม่พาเราเกิดตาย ตายเกิดนับอสงไขยไม่ถ้วนแล้ว ยิ่งเราปฎิบัติธรรม เพื่อหนีกิเลสหรือกำลังก้าวข้ามกิเลสทั้งปวงของตนด้วยแล้ว กิเลสก็จะกลายเป็นกิเลสเนียนสุดๆ จนปัญญาธรรมดาๆก็ไม่สามารถจะมองเห็นกิเลสละเอียดยิ๊บๆของตนได้เลย เช่น นามสองตัวสุดท้ายของขันธ๕นั้น เป็นต้น

    กิเลสตัณหาฯที่เป็นฝ่ายนำพาเราให้พบกับความทุกข์จนได้แหล่ะ ถ้าเราประมาณ ไม่พยายามสร้างสติปัญญาของตนไว้เสมอๆ เพราะกิเลสมันฉลาดกว่าเราหลายร้อยเท่านัก

    พวกเราเคยรู้กันบ้างไหมว่า กิเลสตัณหาฯของตนมันกำลังนำพาให้เรานั้น ทำอะไบ้าง และสิ่งที่เรากำลังทำตามกิเลสแห่งตนอยู่นั้น มันไม่ได้มีสาระอะไรเลย มันติดไปยังภพหน้าไหม ไม่มีเลยหามิได้ ไม่เหมือนบาปกับบุญ ใช่ไหม

    พยายาม คิด พูด ทำ ทั้ง ๓ กิริยานี้ ให้เป็นแค่เฉพาะฝ่ายบุญกุศลเท่านั้น เป็นพอ

    ศีล ไม่มีใครพึงระวังให้กันและกันได้ เราเท่านั้นที่คอยระวังเอง ส่วนธรรมจะเจริญในธรรมหรือไม่ เราอีกที่พึงกระทำเองทั้งนั้น พยายามทำเหตุให้ดี สำรวจจิตให้ดี เผลอไม่ได้ เราฝึกจิตไม่ให้เผลอ มิใช่ฝึกเผลอกัน

    ภาวนา พยายามระลึกให้ดี ว่าตอนนี้เราลืมการภาวนาหรือเปล่า พยายามดูลมหายใจ ดูจิต เราคือ ดูอารมณ์จิตของตนนั่นเอง ผู้ที่ตามดูจิตตลอดสายนั้นก็เป็นบุญยิ่งนัก คือได้บุญตลอดในขณะที่เราไม่เผลอใจเท่ากับไม่เผลอกายไปด้วยกัน
    ภาวนามีอยู่หลายอย่าง ก็ขึ้นที่เราถนัด ตามโอกาสนั้นๆ ทำเบาๆได้บุญเบาๆ ไม่ต้องทำบุญหนักไป เดี๋ยวจิตเราไม่สบาย เวลาทำกรรมฐานเราต้องเน้นให้จิตสบายก่อนนะ ตามดูจิต ดูอารมณ์จิต มักจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่เคยซ้ำแต่ละวัน บางวันถึงไม่มีสิ่งใดมากระทบจิตเราเลย เจตสิกคืออารมณ์จิตเราก็เปลี่ยนได้เองอีก ที่ให้เรามีสติตามดูนี้ก็เพื่อ ให้มองเห็นถึงความไม่มีอะไรเที่ยง มันเป็นทุกข์นะ ทุกข์ยังไงก็ตามดูไปให้ตลอดสายจึงรู้ และก็ไม่มีอะไรที่เราจะไปบังคับมันได้เลยนั่นก็คือ อนัตตา คือความไม่เหลือเหลือ ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ

    พระพุทธเจ้าทรงค้นพบธรรมชาตินี้มีอยู่จริง นั่นก็คือ กฎธรรมดาหรือกฎไตรลักษณ์ พระองค์ตามดูจิตจนพบกฎไตรลักษณ์ พบอริยสัจจ์นี่ไง จึงมาสอนสั่งกับบบุคคลรุ่นหลังๆได้เห็นตามพระองค์ท่าน

    การพบธรรมะ ก็คือพบธรรมชาติแห่งจิตของตน แต่การไปพบนั้นก็คือ จิตเราเอง เพียงแต่จิตที่ฝึกมาดีเยี่ยมแล้วเท่านั้น จึงจะพบสัทธธรรมที่พระพุทธองค์ได้ตรัสมาแล้วนั้น

    แต่จู่คนเราจะให้จิตไปพบธรรมตามที่พระพุทธตรัสไปนั้น ไม่ได้ แต่เราตองตามหาสติคือตามหาจิตของตนให้พบเจอก่อน สตินี่เองเป็นตัวเชื่อมตัวแรกสุด ถ้าเราคอยมีสติอยู่ตลอดเวลา ในขณะตามดูจิตคือตามดูอารมณ์จิตของตนนี่เอง

    ในขณะที่เราตามดูจิตตัวเดียวนี้เอง เราก็พบธรรมหลายตัวมากเหมือนกัน ดูจิตสลับดูกายเคลื่อนไหวไป ดูความเปลี่ยนแปลงกายใจของเราไปตลอดสาย เราจะเห็นธรรมคือความจริงภายในกายใจของเรานี่เอง ดูสิว่ามีธรรมอะไรที่พ้นกฎธรรมดา พ้นกฎไตรลักษณ์นี้ไปได้ไหม ไม่มี ตามดูความเปลี่ยนแปลงนี้ไป จนกลายเป็นเกิดกับดับจนธรรมดา จนจิตเราเข้าอนัตตาไปเองโดยปริยาย อันนี้ดีมากเลย คือไม่มีกรรมอันใดมาขัดขวางมิให้เรา(จิต)เข้าถึงความดีหรือหลุดพ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง

    วันนี้เราถือโอกาสมาสนทนาธรรมกันนะ อย่าไปคิดเป็นอย่างอื่น อย่าให้สังขารขันธ์ของตนมันนำหน้านะ พยายามเอาสตินำหน้า มีธรรมนำชีวิต ทุกอย่างจะราบรื่นไปเอง

    ถ้าเราแก้ไขต้นเหตุคือจิตของตนเองแล้ว อย่างอื่นคือสิ่งที่มิใช่จิตหรือสิ่งที่อยู่ข้างนอกจิต จะดูวุ่นงายแค่ไหน แต่ภายในของเราคือจิตเรา สงบสุขซะอย่างเดียว อย่างอื่นๆก็จะหมดความหมายทันที สาธุ

    เพราะฉะนั้น จะทำอะไรก็ทำไปเถิด ขอให้พวกเราเอาจิตตนเองพ้นก่อน รอดก่อน พอรอดแล้ว พ้นแล้ว ยามอยู่(มีชีวิต)ก็ดี ยามไป(ตาย)ก็ดี เห็นไหม นิพพานบนดินนั้น มีจริงๆ อย่าไปรอให้เราหมดลมก่อนจึงจะไปนิพพาน หมดสิทธิ์แล้ว

    เห่อๆ ขำตนเอง มานั่งพร่ำธรรมที่นี่อยู่คนเดียว ใครทุกข์ฉันไม่รุ๊ ใครสุขฉันไม่รุ๊ แต่ที่แน่ๆ ข้าไม่เอาแล้ว อารมณ์ทั้งสุขและทุกข์ เราฝึกอยู่เหนืออารมณ์ทั้งสองนี้กันให้จงได้ โดยเฉพาะผู้ที่ปรารถนาพระนิพพาน จำเป็นต้องฝึกให้อยู่เหนือทั้งรูปและนามของตนเอง สาธุ

    ขอโทษนะ ธรรมดูอาจจะเข้มไปหน่อย เพราะกำลังใจมันมาก ไม่มีที่ไปที่อื่นแล้ว นอกจาก พระนิพพาน ที่เดี่ยว ส่วนจะได้ไปหรือไม่นั้น ไม่สำคัญ สำคัญอารมณ์พระนิพพานปัจจุบันของเราทรงได้ไหม มากกว่านะ

    เหตุนี้เองทำไม หลวงพ่อฤาษีฯพยายามบอกกับพวกเราว่า พยายามทรงให้ได้สักวันละ สิบนาที สำหรับผมว่ามันไม่เพียงพอหรอกนะ แค่นั้นน่ะ แหม๊จะไปนิพพานทั้งที ลงทุนกันแค่เนี๊ย แต่ถ้าไม่ให้ความสำคัญกับจิตตนเอง เท่ากับไม่ให้ความสำคัญคำว่า พระนิพพานกันเลย ก็อย่าไปเลย ดูไม่น่าจริงใจ ทำแบบสบายๆแบบเดิมๆไปเห่อ กำลังใจคนเรามัน ต่างกันก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ

    ภูทยานฌาน
    ๐๘.๐๒.๒๕๕๗
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2014
  2. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วไม่ได้หายไปไหนพระพุทธบารมียังปก

    ป้องรักษาโลกอยู่...คนในโลกยังรับพระพุทธบารมีได้ มิได้แตกต่างไปจากเมื่อยังทรงดำ

    รงพระชนย์อยู่ เพียงแต่ว่าจำเป็นต้องเปิดใจออกรับ มิฉนั้นก็จะรับไม่ได้...พระพุทธเจ้า

    เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว...ไม่ทรงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารอีกต่อไป พระพุทธ

    บารมียังพรั่งพร้อม.....

    พระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่าเมื่อท่านปฏิบัติเพื่อความหลุด

    พ้นอยู่ในป่าดงพงพีนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงสอนท่านด้วยพระพุทธบารมีเสมอ

    แล้วท่านพระอาจารย์องค์นั้น ต่อมาก็เป็นที่ศรัทธาเคารพของพระพุทธศาสนาสนิกชนจำ

    นวนมาก ที่เชื่อมั่นว่าท่านปฏิบัติถึงจุดหมายปลายทางแล้ว.....

    "พระพุทธเจ้าเมื่อเสด็นดับขันธปรินิพพานแล้ว ด้วยพระพุทธบารมีได้เสด็จทรง

    แสดงธรรมโปรดพระอาจารย์องค์สำคัญให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ไม่มีอะไรให้สงสัยว่า

    เป็นสิ่งสุดวิสัย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องของท่านพระโมคคัลลาน์เป็เครื่องให้ความเขัา

    ใจ อย่างกระจ่างแจ่มชัดว่า...พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี แม้จะดับขันธปรินิพพาน

    แล้วท่านก็เพียงไม่มีร่างเหลืออยู่เท่านั้น บารมีและคุณธรรมทั้งปวงของท่าน......ยัง

    พร้อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง"...คำสั่งสอนของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช.

    ...น้อมกราบพระธรรมของพระพุทธเจ้า และน้อมกราบสมเด็จพระญาณสังวรเจ้าค่ะกราบๆๆๆ
     
  4. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]

    ในขณะที่เราอยู่กับคนเยอะๆ
    เรากำหนดปล่อยวาง ปล่อยวาง
    เห็นอยู่ แต่เราไม่ยึด
    ทำจิตของเรา โปร่งๆ ว่างๆ ไปเรื่อยๆ
    อย่าไปคิดว่าเราจะทำกลางคืน หรือตอนเช้า
    อย่าคิดอย่างนั้น

    คิดสิว่า กิเลสมันทำงานกับเรา ไม่เลือกเวลา
    มันมาเวลาไหน ขอให้พยายามสกัดมันไปเรื่อยๆ
    ปล่อยวางเรื่อยๆ ทำให้ชำนิชำนาญ
    ต่อไป เห็นอะไร ผัสสะอะไร ก็เฉยๆ
    ถ้าทำได้อย่างนี้ จิตเราก็สบายไปเรื่อย

    พอเวลาไปนั่งพัก ทำสมาธิ มันก็ลงง่าย
    เพ่งไปสู่ความเกิด ความดับ ทำงานไปเรื่อยๆ
    อย่าไปรอว่าจะต้องตอนเช้า ตอนค่ำ
    เมื่อเรารู้ว่าอะไรเข้ามาสู่ใจ ก็ปฏิบัติตอนนั้น
    สลัดมันออก สลัดมันทิ้ง ตอนนั้นเลย

    มันจะสงบของมันเอง
    ไม่มีอะไรในโลก โปร่ง ว่าง
    เพียงแต่พออะไรเข้ามา เราก็รู้ และรู้สึกไว
    เหมือนผ้าขาว อะไรเปื้อนนิด มันก็รู้แล้ว

    จงฝึกจิตให้หัดปล่อยวางมากๆ นะ
    ไม่ใช่เอาแต่ความสงบอย่างเดียว


    ===============
    หลวงพ่อวิชัย เขมิโย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2014
  5. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

    วันแห่งความรัก
    ของ...
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    มาฆบูชา...ความรักของพุทธะ

    ย้อนสู่อดีตกาล เมื่อสองพันห้าร้อยปีก่อนในสมัยพุทธกาล ณ.ดินแดนชมพูทวีป ในวันที่พระจันทร์เต็มดวงซึ่งตรงกับขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสาม ได้เกิดเหตุการณ์ที่ชาวพุทธเรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต” ทำให้วันมาฆบูชาได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก พร้อมด้วยสิ่งสำคัญและมหัศจรรย์สี่ประการ คือ

    ๑. การที่พระภิกษุจำนวนหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูปซึ่งจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่างๆ ได้เดินทางกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ เวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธซึ่งถือเป็นการมาประชุมรวมกันโดยมิได้นัดหมาย

    ๒. พระภิกษุทั้งหมดล้วนบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วทั้งสิ้น

    ๓. พระภิกษุเหล่านั้น ล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือพระพุทธเจ้าบวชให้

    ๔. พระจันทร์กำลังเสวยฤกษ์มาฆะ เป็นวันพระจันทร์เต็มดวงในเดือนสาม ซึ่งถือว่าเป็นเวลาดีที่สุด เพราะเป็นเวลากลางคืนซึ่งอากาศไม่ร้อน พระจันทร์สว่าง ท้องฟ้าแจ่มใส เหมาะอย่างยิ่งแก่การสดับพระธรรมเทศนา

    ด้วยองค์ประกอบที่เหมาะสมและสัมพันธ์กันดังกล่าว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้กระทำพิธีสันนิบาตสาวก "ประกาศอุดมการณ์" เพื่อให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาสืบต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อประโยชน์สุขสูงสุดแก่ชาวโลก ทรงกระทำวิสุทธิอุโบสถ คือทรงแสดงพระโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาท่ามกลางพระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ทั้งปวง ซึ่งโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระบรมศาสดาได้แสดงไว้และเปรียบดังพระธรรมนูญแห่งพระพุทธศาสนานี้ หากพระสงฆ์สาวกและพุทธศาสนิกชนนำมาประพฤติปฏิบัติตามก็จะนำมาซึ่งการพ้นจากทุกข์ สู่ความสงบสุขอย่างแท้จริง

    ใจความสำคัญของคำสอนนี้ประกอบด้วย

    ๑. สัพพปาปัสส อกรณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง

    ๒. กุสลัสสูปสัมปทา การทำความดีให้ถึงพร้อม

    ๓. สจิตต ปริโยทปนัง การชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เอตังพุทธานสาสนัง นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า...


    แม้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วเนิ่นนาน แต่หากพุทธบริษัทนำเอาพระธรรมคำสอนมาประพฤติปฏิบัติ ก็เหมือนเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ต่อไป ดังพระพุทธดำรัสที่ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” และถ้าเรานำคำสอนดังกล่าวมาตีความอย่างลึกซึ้ง ก็จะพบว่า เป็นแนวทางที่สร้างสรรค์และกอปรด้วย “ความรัก ความดี และความปรารถนาดี” อย่างแท้จริงเพราะการไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ทั้งกาย วาจา ใจ การคิดดี พูดดี ทำดี มองโลกในแง่ดี มีจิตใจที่บริสุทธิ์สะอาด ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เกิดความสุข ความเป็นมงคล ทั้งต่อบุคคล สังคมย่อย จนถึงสังคมโลก ที่สำคัญ แนวทางนี้ เป็น “สัจธรรม” ที่ยังคงใช้ได้ดี ไม่ว่าในยุคไหนสมัยใดก็ตาม

    มิใช่เพียงเนื้อพระธรรมแห่งพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สะท้อนให้เห็นความหมายในแง่ของความรักที่บริสุทธิ์ สร้างสรรค์และงดงาม หากพินิจถึงพุทธจริยวัตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะพบว่าเด่นชัดเช่นกัน ภายหลังจากทรงตรัสรู้ พระองค์ทรงเหนื่อยยากพระวรกายตลอดมา ด้วยความรักที่บริสุทธิ์สูงส่ง หวังให้ชาวโลกได้หลุดพ้นจากกองทุกข์นานาประการ อาจเรียกได้ว่าเป็นความรักที่อยู่บนพื้นฐานของความเมตตา ปราศจากพรมแดนขีดคั่นของชาติชั้นวรรณะ เป็นรักแท้ที่เท่าเทียมและมีความเป็นสากลอย่างแท้จริง

    การชุมนุมกันของเหล่าพระอรหันต์ในวัน มาฆปุรณมีบูชาสมัยบรรพกาลก็แสดงให้เห็นถึงความรักในอีกแง่หนึ่ง คือเป็นความรักที่มีความสามัคคี เข้าใจกัน และเห็นพ้องต้องกันในการเผยแผ่พระธรรมคำสอน ประกาศหลักธรรมความดีและโปรดสรรพสัตว์ทั้งมวล ผ่านยุค ผ่านสมัย พระสงฆ์ผู้อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ทั้งหลายก็ยังปฏิบัติภารกิจนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง

    ทำความเข้าใจวันมาฆบูชา ด้วยมุมมองของความรัก ผ่านความคิดและวุฒิปัญญา ก็จะเห็นว่า วันมาฆบูชา สมควรที่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นวันแห่งความรักที่ “แท้จริง” เพราะเป็นความรักที่ปราศจากเล่ห์หลงกลลวง ปราศจากผลประโยชน์ความเห็นแก่ตัว มีแต่ความเมตตา ปรารถนาดี และความรักชนิดนี้ ก็ยังเป็นความรักที่ “ยิ่งใหญ่” ด้วย เพราะไม่มีกำแพงของชนชั้นวรรณะ ภาษาเชื้อชาติมาขวางกั้น ที่สำคัญ แม้กลไกแห่งเวลาก็ไม่อาจเปลี่ยนความรักนี้ได้ ด้วยว่าเป็นรักที่เป็นสัจธรรม และเป็นอมตะ ไม่ตายไปตามคน ไม่จบไปตามสมัย และจะยังคงดำเนินต่อไปได้ตราบเท่าที่เรายัง “รู้จักที่จะรัก และรักษาความรัก” นี้

    การรักษาความรัก การรักษาความดี และการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ดูราวว่าจะสอดคล้อง เป็นไปในทำนองเดียวกัน เราในฐานะพุทธศาสนิกชน เมื่อรู้จักและเข้าใจถึงความรักนี้แล้ว ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะทำหน้าที่ธำรงความรักให้ต่อเนื่องยืนนาน มิใช่เพียงการทำบุญทำทาน และสรรหาอามิสบูชามาถนอมรักษาความรักเท่านั้น แต่การ “ปฏิบัติบูชา” ดำรงตนให้อยู่ในครรลองของศีลธรรม ดำเนินตามโอวาทปาติโมกข์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาก็ยิ่งนับว่าเป็นสิ่งจำเป็น ปลูกดอกบัวในหัวใจของตนเอง และเผื่อแผ่มอบให้สู่หัวใจคนอื่นๆ ...ก็จะทำให้สังคมที่ล้อมด้วยความรักที่แท้จริงและยิ่งใหญ่นี้ มีความสงบสุขน่าอยู่...มากขึ้นและมากขึ้น

    วันมาฆบูชาเป็นวันสำคัญของชาวพุทธ เป็นวันแห่งความรักอันบริสุทธิ์ และเป็นวันกตัญญูแห่งชาติ นับแต่ครั้งพุทธกาลเป็นวันที่ชาวพุทธทั้งหลายถือเป็นวันสำคัญยิ่งอีกวันหนึ่ง โดยชาวพุทธทำการบูชาอย่างมีสติ มีปัญญาเป็นการบูชาเพื่อระลึกถึงอุดมการณ์หลักการและวิธีการในการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระอรหันต์ ด้วยความรัก ความเมตตา ทุ่มเท อุทิศตนอย่างไม่มีประมาณไม่มีขอบเขต ไม่เลือกชาติ ชั้นวรรณะ เพื่อให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายได้ดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้งเห็นจริง อิสระหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง จึงเป็นวันแห่งความรัก เมตตา กรุณา ที่สะอาด สว่าง สงบ สันติอย่างแท้จริง

    สำหรับประเทศไทยสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงจัดให้เป็นวันสำคัญทางพระศาสนาอย่างเป็นทางการสำหรับชาวพุทธนับแต่นั้นเป็นต้นมา

    ขอขอบคุณ http://www.tpa.or.th/writer/read_this_book_topic.php?
    bookID=500&read=true&count=true

    Cr.. Fb Nooboonsawan
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    ฤทธิ์เดชของความรัก
    ถึงกับทำให้ "ต า บ อ ด "

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความสุขสมบูรณ์ทางเพศของมหาวิทยาลัยลาโยลาแห่งสหรัฐฯ
    ได้วาดภาพให้เห็นอานุภาพของความรักว่า
    ผู้ที่ถูกศรรักปักอก นั้น จะรู้สึกหายอกหายใจไม่เต็มท้อง ส่วนหัวใจก็ รู้สึกเต้นตูมตาม

    เขาบรรยายว่า
    “ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงรักเหวลึกนั้น ร่างกายจะปล่อยสารเคมีที่ทำให้รู้สึกเป็นสุข จุดชนวนปฏิกิริยาต่างๆขึ้นในตัว สารทั้ง 3 ชนิดได้แก่ สารโดปามีน สารอะดรีนาลิน และสารนอรีไพน์ฟรีน มันจะถีบตัวขึ้นสูงสุดขีด ภายในตัวคนสองคนที่รักชอบกัน สารโดปามีนจะบันดาลให้มีความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ส่วนสารอีกสองอย่าง จะทำให้หัวใจเต้นโครมคราม ตัวร้อนผ่าวราวกับไฟ พร้อมที่จะปล่อยตัวปล่อยใจลื่นไหลไปกับความรัก”

    ด้วยการใช้เครื่องถ่ายภาพสมองด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า ได้พบว่าอานุภาพแห่งความรัก ได้ไปทำให้สมองที่เป็นศูนย์กลางของความสุขจุดสว่างขึ้น เนื่องจากเลือดจะไหลไปคั่งกันอยู่ และมันเป็นสมองส่วนเดียวกับที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกย้ำคิดย้ำทำขึ้นด้วย ซึ่งมันทำให้เกิดความคิดผูกพัน ติดอยู่กับคนคนเดียวเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม เขาได้บอกเตือนเป็นเชิงให้คิดว่า ความหลงใหลในตัวคนรักอย่างเลิศลอย อาจเป็นข้อเสียได้
    “เหมือนอย่างที่กล่าวไว้ว่า ความรักทำให้ตาบอด เพราะมันจะทำให้เรามองเห็นคนที่เราหลงใหลแต่ส่วนที่ดีเท่านั้นในช่วงแรกรักนี้”

    โดย: ไทยรัฐออนไลน์
     
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ทุกวันนี้คนเราเกิดความ รัก โลภ หลง กันก็มีมากมาย

    ซึ่งหวังแต่ความสุขชั่วคูชั่วยาม บางคนสุขจนลืมนึกไปว่ายังมีพ่อและแม่เป็นห่วงนอนไม่

    หลับรอลูกกลับบ้านด้วยความที่พ่อแม่เป็นแต่ลูกซิหาทางกลับบ้านไม่ถูกหลงทางไปทั้ง

    กายและใจมารู้ตัวเอาก็ต่อเมื่อเจอทุกข์เข้า คู่ที่ทำให้เรามีความสุขนั้นไม่ได้อยู่กับเราแล้วทิ้ง

    ทุกข์ไว้ให้เสียแล้วเขากวาดเอาของไปจนหมดตัว นี่แหล่ะเขาเรียกกันว่าสุขชั่วคู่ชั่วยามเท่านั้น...

    ...ยังไม่พอ ยังมีสิ่งที่ทุกข์ใจอีกว่า คู่สุขของเรานั้นเอาทุกข์มาให้หรือเปล่า? เพราะความสุข

    นั้นเกิดขึ้นโดยความประมาทมันถึงเป็นสุขชั่วคู่ชั่วยามมันจะบอดทั้งตาทั้งใจรวมไปถึงคน

    ที่รักใคร่ห่วงใยเรา...ความรักที่แท้จริงนั้นคือความรักของพ่อแม่ที่รักเราจริงๆ

    "จะกล่าวถึงวันสำคัญอีกวันหนึ่งคือความสำคัญของวันมาฆบูชา วันนี้พระองค์ท่าน

    ก็มีความห่วงใยสัตว์โลกทั้งหลาย จึงมีวันนี้เพื่อมิให้สัตว์โลกอย่างเราๆต้องมาสร้างบาปสร้าง

    กรรมกันต่ออีก ท่านจึงอบรมสั่งสอนให้พวกเราได้รู้จักกับคำว่า ลด ละ โลภ หลง โกรธ ออกไป

    และให้ฝึกตัวเราเองให้มีศีลประจำใจ จะทำอะไรก็ให้มีสติ มีปัญญาไตรตรองก่อนที่จะทำเสียก่อน

    ...คนเราทุกคนถ้ารู้จักฝึกฝนตนเอง เอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตลอดถึงพ่อแม่

    ครูอาจารย์มาประพฤติปฏิบัติแล้วเราจะไม่กล้าแม้แต่จะคิดทำในสิ่งผิดๆ เพราะเรามีคำสั่ง

    สอนของพระองค์ท่านมาคอยเตือนเราอยู่เสมอให้รู้ว่าสิงไหนผิด สิ่งไหนถูก เพื่อที่เราจะได้ไม่ประ

    มาท ในการกระทำต่างของเรา และในชึวิตประจำวันเราก็จะพบแต่ความสุข และไม่ทำให้ผู้อื่น

    เป็นทุกข์ ...อย่างไรก็ตามความสุข กับความทุกข์นั้นมันเป็นของคู่กันมา มันอยู่ที่ตัวเรานี่เอง

    ว่าจะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ หรือทำให้ตนเองนั้นเป็นสุข ก็ขึ้นอยู่ที่เราว่าจะปล่อยและวาง

    ได้ไหม? ทุกอย่าง มี มืดก็ต้องมีสว่าง มีอาทิตย์ก็ต้องมีดวงจันทร์ มีเกิดก็ต้องมีตายนี่แหละ

    แน่นอนขอให้จำไว้ไม่มีอะไรแน่นอนเท่ากับความตาย ขอให้อย่าประมาททำความดีเอาไว้

    เดี๋ยวจะไม่ทันได้ทำ เพราะไม่มีใครรู้ว่าวันไหนเราจะตาย เกิดนะรู้ กำหนดเวลาได้ แต่...

    ความตายไม่บอกเวลาไว้ล่วงหน้า...ขอบพระคุณที่ติดตามอ่านค่ะ หวังว่าคงมีประโยชน์

    บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ขอให้ผู้อ่านทุกๆท่านมีความสุขตลอดไปค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2014
  8. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    คุณของพระรัตนตรัย

    *-*-*-*-*-*-*-*-*

    คุณทั้งสามประการของพระรัตนตรัย

    ให้มั่นใจในพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ปัญหาใดๆ ถ้าหากไม่เกินวิสัยในกฎของกรรม
    ให้ขอบารมีพุทธคุณ-ธรรมคุณ-สังฆคุณ ย่อมขจัดปัดเป่าแก้ไขได้
    พุทธคุณ คือคุณของผู้รู้ อันหมายถึงพระตถาคตเจ้า เป็นผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน
    ดังนั้น บุคคลใดไม่ลืมพุทธคุณ ก็พึงกระทำตามให้ถึงซึ่งพุทธคุณด้วย
    ธรรมคุณ คุณของพระธรรม อันหมายถึงทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค
    นั่นแหละ บุคคลผู้ปฏิบัติถึงซึ่งพุทธคุณและธรรมคุณ อย่างไม่ขาดตกบกพร่องด้วยกำลังใจเต็ม ก็ได้ชื่อว่าถึงซึ่ง
    สังฆคุณใน ๔ ระดับ คือ พระโสดาบัน-พระสกิทาคา-พระอนาคา-พระอรหันต์


    คุณทั้งสามประการของพระรัตนตรัยในบวรพระพุทธศาสนานี้
    ผู้ใดถึงแล้ว ผู้นั้นย่อมมีความสุข และจักสุขยิ่งๆ ขึ้นไป
    จนกระทั่งเข้าถึงซึ่งแดนเอกันตบรมสุข คือพระนิพพานเป็นที่ไปนั่นแหละ
    ให้มองดูจิต-ดูกายของตนนั่นแหละเป็นสำคัญ
    ถ้ามุ่งต้องการปฏิบัติให้พ้นทุกข์ได้จริง อย่าเพ่งโทษในจริยาของผู้อื่น

    ให้เห็นความร้อนในจิตของตนเองให้มาก และเห็นโทษของความร้อนในจิตนั้น
    ก็จักปฏิบัติฝึกจิตของตนให้พ้นไปจากความร้อนได้ในที่สุด

    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ ธรรมาทานของคุณแนทด้วยครับ
    ถ้าใครเบื่อทางโลก เพราะทางโลกมีแต่วังวน มีแต่เดินย่ำต๊อก ไม่ไปหน้าไปหลัง
    มีทางเลือกอยู่อีกหนึ่งทาง นั่นก็คือ นำจิตไปยึดพระรัตนตรัย
    ดีกว่าไปยึดกับทางโลก เห็นมีแต่เติมกิเลสตัณหาฯของตนเพิ่มเข้าไปอีก
    ผู้ใดนิยมตามกิเลสตน เห็นปลายทางกันไหม มีแต่ทุกข์
    ไม่เชื่อก็ลองตามไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็ทุกข์
    รักเคารพพระรัตนตรัยเพียงอย่างเดียว ไม่พอ ต้องนำจิตตนมาเดินมรรค
    เราจึงจะรู้และเข้าใจธรรมเสียก่อน เราจึงพอจะพ้นทุกข์
    ถ้าใครอยากพัฒนาจิตใจตนให้สูงขึ้น ต้องด้วยพระกรรมฐาน
    แต่ตามหาให้เจอ คือหากองกรรมฐานที่ถูกจริตตน
    โมทนาสาธุกับผู้ที่กำลังปฎิบัติ เพื่อความหลุดพ้น สาธุ
     
  10. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]

    ไม่เจริญวิปัสสนา ปัญญาจะเกิดอย่างไรได้
    เมื่อปัญญาไม่มีจะเห็นอริยสัจทั้ง 4 อย่างไรได้
    ผู้ปฏิบัติผิด แม้ประพฤติเคร่งครัดทำตนให้ลำบากสักเพียงไร
    ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ซึ่ง มรรค ผล นิพพานได้


    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  11. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  12. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ผู้ปฏิบัติธรรม

    คนดี คนเก่ง และผู้กำลังเจริญสติภาวนา ทั้งหลายฯ
    จงคอยหมั่นพิจารณาธรรมแต่กาย แต่ใจของตนเท่านั้น
    นี่แหล่ะ ถึงจะเรียกว่า ผู้ปฎิบัติธรรม
    นี่แหล่ะ คือ ธรรมของตนเอง

    เส้นทาง หนทางในการเดินมรรคผลนิพพานของตนนั้น
    จักต้องมีอุปสรรค์ทั้งหลาย ทั้งปวง อย่างแน่นอนอยู่แล้ว
    อุปสรรคของผู้ปฎิบัติทั้งหลาย ทั้งปวง เหล่านั้น ก็คือ นิวรณ์ หรือกิเลสของตน
    ไม่เกี่ยวกับกิเลสของผู้ใดเลย ผู้ปฎิบัติจงใช้สติปัญญาลึกๆเข้าไปตรวจดูแล้วจะเห็นชัดเลย

    ในระหว่างทางเดินมรรคนั้น อาจมีหลงบ้าง เผลอบ้าง ก็ไม่เป็นไร
    มิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ผู้ปฎิบัติจักต้องมีการสำรวมจิต
    ทำจิตของตนให้นิ่ง ให้สำรวมอย่างไรอย่าไขว้เขว อย่าวอกแวก
    อย่าสนใจอย่างอื่น สนใจแต่จิตของตนเอง เท่านั้น
    เมื่อมีสิ่งใดผิดปกติภายใน หรือมีสิ่งมากระทบจิต ก็อย่าเพิ่งไปโทษผู้อื่น
    หรือแม้นกระทั่งตนเอง แต่สิ่งแรกสุด ที่จะต้องกลับไปดูนั่นก็คือ จิตตนเอง
    เพราะผู้ปฎิบัติธรรมกันจริงๆ เอาแบบจริงกันนะ

    อย่าลืมนะว่า ในระหว่างเส้นทางแห่งมรรค ผล นิพพานนี้
    ผู้ปฎิบัติธรรมจักต้องคอยมีสติ ปัญญา ปัญญาณของตนเอง
    ในระหว่างทางเดินมรรคานี้ จิตก็ค่อยๆปล่อยวางไปเรื่อยๆ ไปทีอย่าง
    ตั้งแต่กิเลสหยาบ(รูป) ไปจนถึงกิเลสละเอียด(นามทั้งหลาย)
    เพราะท้ายที่สุดก็คือ ปลายทางโน้น หมายถึง พระนิพพาน
    เรา จักต้องไม่มีอะไร สิ่งใด หลงเหลือ หรือติดค้างภายในจิตใจของตนเองเลย

    เพราะพวกเธอทั้งหลาย ผู้ปฎิบัติธรรมทั้งหลาย
    จักต้องรู้ว่า ในสุดท้ายที่พวกเราพยายามปฎิบัติกันอยู่นี้
    ท้ายที่สุด ทั้งความรู้สึก ทั้งความนึกคิด ทั้งบุญ ทั้งสุขจากฌาน ก็ไม่เอาไปนิพพานด้วย
    จนกว่าเราแน่ใจ มั่นใจ ตอบตนเองได้และก็ต้องตอบคำถามผู้อื่นได้ด้วย เช่นกัน
    แม้นกระทั่งตัวถูกรู้ ตัวรู้หรือว่าของจิตตนเอง มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา(จริงๆไหม)

    คนที่พอที่จะมองเห็นธรรมของตนเองได้นั้น ประการแรกสุด
    คือจะต้องเริ่มต้นที่ตัวสติของเราก่อน ที่เหลือก็จะเป็นหน้าที่ของจิตเอง
    คือจิตจะนำตัวปัญญาที่สติคอยสร้างไว้ให้ แล้วนำไปพิจารณาธรรมของจิตเขาเอง
    ไม่เกี่ยวกับผู้ใด คือไม่เกี่ยวกับตนเอง หรือสติตนเอง
    เพราะการละ-ปล่อย-วางนั้น เป็นหน้าที่โดยตรงของจิตเขา
    แต่จิตเราจะละ ปล่อย วางนั้นก็ด้วยปัญญาเท่านั้น


    เรื่องภายนอกเป็นหน้าที่ของสติ แต่เรื่องภายในนั้นเป็นหน้าที่หลักของจิต
    แยกกันให้ออกอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้น เรื่องทางธรรมกับทางโลก
    อย่านำมาปะปนกัน เดี๋ยวจะมั่วไปใหญ่ สรุปแล้ว พยายามแยกกาย แยกจิตให้ชัดเจน

    เรื่องการปล่อยวางของจิตของคนเรานั้น ปล่อยวางได้เฉพาะ กิเลสบางตัวเท่านั้น
    แต่จะให้ปล่อยวางแบบพระอรหันต์นั้น เราจักต้องอาศัยญาณ เท่านั้น
    อันได้แก่ ปัญญาญาณ หรือ วิปัสสนาญาณ๙
    หรือ ตามลำดับญาณหยั่งรู้ของตน ที่เกิดในระหว่างจิตที่กำลังเดินมรรค
    หรือในการปฎิบัติธรรม นั่นเอง

    อีกเรื่องนึงที่สำคัญสำหรับผู้ปฎิบัติ โดยเฉพาะ จิตบุญ นั่นก็คือ อิทธิบาท๔
    คือหมั่นคอยทบทวนมรรคผลของตนเองอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะสังโยชน์๑๐ประการ
    ว่าเรายังอ่อนข้อใด ให้เอาสติปัญญาคอยตรวจสอบบ่อย เดี๋ยวก็สอบผ่านเอง

    รู้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องปฎิบัติมากๆ หมายถึง เจริญตัวปัญญาต่อเนื่อง
    ตามที่ท่านพ่อแนะมาให้ ก็คือ ทำจิตใจให้สบายก่อนนะลูกเวลาปฎิบัติภาวนา
    แล้วเจริญภาวนาให้ได้ต่อเนื่อง
    คำว่าต่อเนื่องนี้ก็จะหมายถึงว่า...
    เราเองจักต้องมีทั้งสมถะและก็วิปัสสสนาไปพร้อมๆกัน
    แต่ถ้าจิตเราไม่เกิดสมถะต่อเนื่องแล้ว ปัญญาก็จะไม่เกิด ผลก็คือ จิตไม่วิปัสสนา
    ก็เลยได้วิปัสสนึกเอง คือกูนึกคิดเอาเอง

    โมทนาสาธุ

    ภูทยานฌาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2014
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
    ขันธ์ห้า

    คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่มี

    มันมีก็เหมือนว่ามันไม่มี คือ..มันไม่มีการทรงตัว หาอะไรทรงตัวไม่ได้...


    มีแล้วเดี๋ยวก็พัง มีความเกิดในเบื้องต้น มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง แล้วมีความสลายตัวไปในที่สุด

    "รูปมันก็ปรากฏขึ้นเดี๋ยวเดียว ท่านบอกว่า.. ชีวิตเหมือนความฝัน รูปโฉมโนมพรรณเหมือนดอกไม้ ชีวิตของเราที่ทรงอยู่นี้มันก็เหมือนความฝัน มันมีอยู่แล้วไม่ช้ามันก็สลายตัวไป รูปโฉมโนมพรรณเหมือนดอกไม้ ดอกไม้เมื่อแรกยังตูม ต่อมามันก็แย้มที่ละน้อยๆ ในที่สุดก็พังไป สภาวะของรูปมันก็เป็นเช่นเดียวกัน เสียง กลิ่น รส และสัมผัสมันก็เหมือนกัน
    ท่านบอกว่าทุกสิ่งทั้งหมดนี้
    จงรักษาอารมณ์ให้เป็น เอกัคคตารมณ์ ว่ามันไม่มี คำว่า ไม่มี ความจริงมันมีแล้ว มันก็ไม่มี เพราะต่อไปมันจะพัง..."

    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2014
  15. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]


    เกณฑ์วัด..ศีล สมาธิ ปัญญาของพระอริยบุคคล
    โสดาบัน๑ สกทาคามี๑ อนาคามี๑ อรหัตผล๑


    ภิกษุทั้งหลาย! สิกขาบทร้อยห้าสิบสิกขาบทนี้
    ย่อมมาสู่อุทเทส (การยกขึ้นแสดงท่ามกลางสงฆ์)
    ทุกกึ่งแห่งเดือนตามลาดับ อันกุลบุตรผู้ปรารถนา
    ประโยชน์พากันศึกษาอยู่ในสิกขาบทเหล่านั้น.

    ภิกษุทั้งหลาย! สิกขาบทสามอย่าง เหล่านี้ มีอยู่
    อันเป็นที่ประชุมลงของสิกขาบททั้งปวงนั้น.
    สิกขาสามอย่างนั้น เป็นอย่างไรเล่า? คือ
    อธิสีลสิกขา๑ อธิจิตตสิกขา๑ อธิปัญญาสิกขา.๑
    ภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้แล สิกขาสามอย่าง
    อันเป็นที่ประชุมลงแห่งสิกขาบททั้งปวงนั้น.

    โสดาบัน...
    ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ทำให้
    ...บริบูรณ์ในศีล
    ...ทำพอประมาณในสมาธิ
    ...ทำพอประมาณในปัญญา.
    ...เธอยังล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง
    ...และต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านั้นบ้าง.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า..
    "ไม่มีผู้รู้ ใดๆ กล่าวความอาภัพต่อการบรรลุ
    โลกุตรธรรม จักเกิดขึ้นเพราะเหตุสักว่า..
    การล่วงสิกขาบทเล็กน้อย และการต้องออก
    จากอาบัติเล็กน้อยเหล่านี้. .
    ส่วนสิกขาบทเหล่าใด.. ที่เป็น
    ...เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์
    ...ที่เหมาะสมแก่พรหมจรรย์,
    ...เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคงในสิกขาบท
    เหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย.
    ภิกษุนั้น,เพราะความสิ้นไปรอบแห่ง"สังโยชน์สาม"
    เป็น "โสดาบัน" เป็นผู้มีอันไม่ตกต่าเป็นธรรมดา
    เป็นผู้เที่ยงต่อ.พระนิพพาน. มีการ.ตรัสรู้.พร้อมใน
    เบื้องหน้า.ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่ง
    สังโยชน์สาม เป็น "ผู้สัตตักขัตตุปรมะ" ยังต้องท่อง
    เที่ยวไปในภพแห่ง...เทวดาและมนุษย์. .อีก
    ..เจ็ดครั้ง.. เป็นอย่างมาก แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่ง
    ทุกข์ได้.
    (หรือว่า) ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่ง
    สังโยชน์สาม เป็น "ผู้โกลังโกละ" จักต้องท่องเที่ยว
    ไปสู่..สกุลสองหรือสามครั้ง.. แล้วย่อมกระทำที่สุด
    แห่งทุกข์ได้.
    (หรือว่า) ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่ง
    สังโยชน์สาม เป็น "ผู้เอกพีชี" คือจักเกิดในภพ
    ..มนุษย์..หนเดียว..เท่านั้น แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่ง
    ทุกข์ได้.

    สกทาคามี...
    ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ทำให้
    ...บริบูรณ์ในศีล
    ...ทำพอประมาณในสมาธิ
    ...ทำพอประมาณในปัญญา.
    ...เธอยังล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง
    ...และต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านั้นบ้าง..
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า...
    "ไม่มีผู้รู้ใดๆ กล่าวความอาภัพต่อการบรรลุ
    โลกุตรธรรม จักเกิดขึ้นเพราะเหตุสักว่า...
    การล่วงสิกขาบทเล็กน้อย และการต้องออก
    จากอาบัติเล็กน้อยเหล่านี้.
    ส่วนสิกขาบทเหล่าใด...
    ...ที่เป็นเบื้องต้น แห่งพรหมจรรย์
    ...ที่เหมาะสมแก่พรหมจรรย์,
    ...เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคง ในสิกขาบท
    เหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย.
    ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์สาม
    และเพราะความที่
    ...ราคะ ...โทสะ... โมหะ ก็..เบาบางน้อยลง...
    เป็น " สกทาคามี" ยังจะมาสู่โลกนี้อีก..ครั้งเดียว..
    เท่านั้น แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.

    โอปปาติกอนาคามี...
    ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ทำให้
    ...บริบูรณ์ในศีล
    ...ทำพอประมาณในสมาธิ
    ...ทำพอประมาณในปัญญา.
    ...เธอยังล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง
    ...และต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านั้นบ้าง.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า....
    "ไม่มีผู้รู้ ใดๆ กล่าวความอาภัพต่อการบรรลุ
    โลกุตรธรรม จักเกิดขึ้นเพราะเหตุสักว่า...
    การล่วงสิกขาบทเล็กน้อย และการต้องออกจาก
    อาบัติเล็กน้อยเหล่านี้.
    ส่วนสิกขาบทเหล่าใด.. ที่เป็น
    ...เบื้องต้น แห่งพรหมจรรย์
    ...ที่เหมาะสมแก่พรหมจรรย์,
    ...เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคง ในสิกขาบท
    เหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย.
    ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่ง...
    "สังโยชน์เบื้องต่ำห้า" เป็น..โอปปาติกอนาคามี...
    ผู้อุบัติขึ้นในทันที มีการปรินิพพานในภพนั้นๆ
    ไม่เวียนกลับจากโลกนั้น เป็นธรรมดา.
    ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์
    เบื้องต่ำห้า เป็น "อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี"
    ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปถึง..อกนิฏฐภพ...
    (หรือว่า) ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่ง
    สังโยชน์เบื้องต่ำห้า เป็น "สสังขารปรินิพพายี"
    ผู้ปรินิพพานด้วยต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง.
    (หรือว่า) ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่ง
    สังโยชน์เบื้องต่าห้า เป็น"อสังขารปรินิพพายี"
    ผู้ปรินิพพานด้วยไม่ต้องใช้ความเพียรเรี่ยวแรง.
    (หรือว่า) ภิกษุนั้น, เพราะความสิ้นไปรอบแห่ง
    สังโยชน์เบื้องต่าห้า เป็น "อุปหัจจปรินิพพายี"
    ผู้ปรินิพพานในระหว่างอายุยังไม่ทันถึงกึ่ง.

    อรหัตผล..
    ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ทำให้
    ...บริบูรณ์ในศีล
    ...ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ
    ...ทำให้บริบูรณ์ในปัญญา.
    ...เธอยังล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง
    ...และต้องออกจากอาบัติเล็กน้อยเหล่านั้นบ้าง.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า
    ...ไม่มีผู้รู้ ใดๆ กล่าวความอาภัพต่อการบรรลุ
    โลกุตรธรรม จักเกิดขึ้นเพราะเหตุสักว่า...
    การล่วงสิกขาบทเล็กน้อย และการต้องออกจาก
    อาบัติเล็กน้อยเหล่านี้.
    ส่วนสิกขาบทเหล่าใด... ที่เป็น
    ...เบื้องต้น แห่งพรหมจรรย์
    ...ที่เหมาะสมแก่พรหมจรรย์,
    ...เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน มีศีลมั่นคง ในสิกขาบท
    เหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย.
    ภิกษุนั้น ได้กระทำให้แจ้งซึ่ง
    ...เจโตวิมุตติ..ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
    เพราะความสิ้นไปแห่ง..อาสวะทั้งหลาย...
    ด้วย..ปัญญา..อันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึง
    แล้วแลอยู่.
    ภิกษุทั้งหลาย!
    ...ผู้กระทำเพียงบางส่วน ย่อมทำให้สำเร็จได้บางส่วน,
    ...ผู้กระทำให้บริบูรณ์ ก็ย่อมทำให้สำเร็จได้บริบูรณ์;
    ดังนั้น เราจึงกล่าวว่า...
    สิกขาบททั้งหลาย ย่อมไม่เป็นหมันเลย, ดังนี้แล.
    อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น หน้า ๕๖๑

    Cr.FB ก้าวย่างอย่างพุทธะ สงบแต่ร่าเริง

    ***************************************

    ด้วยจิตคารวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จบ.๑๔​
     
  16. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]


    เกณฑ์วัด..ศีล สมาธิ ปัญญาของพระอริยบุคคล
    โสดาบัน๑ สกทาคามี๑ อนาคามี๑ อรหัตผล๑



    อธิบายความโดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
    จากพระดำรัสอันนี้ เราจะได้แง่มุมในหลายๆแง่มุม เราจะ
    ได้ทราบว่า บทปาติโมกข์นั้น จริงๆแล้วมี๑๕๐ สิกขาบท
    ที่ยกขึ้นแสดงทุกๆเดือน แต่เราก็ได้ประพฤติตามกันมาคือ
    สวด ๒๒๗ ข้อ ซึ่งจริงๆถ้าเราจะทำให้ตรงกับพุทธวัจนะ
    เราก็ควรจะสวดแค่ ๑๕๐ ข้อคือไม่มี อนิยต ๒ ข้อ และ
    เสขิยวัตร ๗๕ ข้อ ซึ่งเป็นส่วนของอภิสมาจาร ซึ่งนำมา
    สวดในระบบของปาติโมกข์ โดยที่พระองค์ไม่อนุญาต
    ให้สวดไว้
    จากนั้นเราจะได้ทราบการแบ่งระดับของอริยบุคคล
    โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และอรหัตผล พระพุทธเจ้า
    ก็มีนัยหนึ่งที่บอกไว้ ก็คือการใช้ตัว ศีล สมาธิ ปัญญา
    เป็นเกณฑ์ ว่ามีความบริบูรณ์ในศีล มีความบริบูรณ์หรือ
    พอประมาณในสมาธิ หรือว่า ความบริบูรณ์หรือพอประมาณ
    ในปัญญา อันนี้ก็จะเป็นเครื่องวัดความเป็นอริยบุคคลได้
    อีกอย่างหนึ่ง
    นัยในการแบ่งความเป็นอริยบุคคลก็มีหลายนัย แบ่งด้วย
    สังโยชน์ สังโยชน์ ๑๐ ผู้ใดละสังโยชน์ได้ ๓ ข้อแรก
    สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ก็ได้เป็นโสดาบัน
    บุคคล สกทาคามี ถ้าละได้อีก ๒ คือ กามราคะ ปฏิฆะ
    ก็จะได้เป็นอริยุคคลขั้นอนาคามี ส่วนพระอรหันต์ก็ละ
    สังโยชน์ ๕ เบื้องสูงที่เหลือ ก็คือ รูปราคะ อรูปราคะ
    มานะ อุทธัจจะกุกกุจจะและอวิชชา
    ลำดับขั้นอย่างอื่น เช่น ความรู้สึกในเรื่องของปฏิกูล นี่อย่าง
    หนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง ท่านบอกในเรื่องของการทิ้งอารมณ์พอใจ
    ไม่พอใจ ได้รวดเร็วไหม ถ้ารวดเร็วเท่ากระพริบตา ท่านก็จัดว่า
    เป็นอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ การจัดความเป็นพระโสดาบัน
    อีกอย่างหนึ่งคือการละ ความยึดถือปรารภขันธ์ในเบื้องต้น
    เบื้องปลาย โสดาบันไม่อยากไปสนใจขันธ์ในอดีตในอนาคต
    จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยไปตามเหตุปัจจัยของมัน อันนี้เป็นนัยที่
    กล่าวไว้ ใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดสอบความเป็นอริยบุคคล
    อีกอย่างเราได้ทราบว่า ถึงแม้จะเป็นอริยบุคคล ขั้นโสดาบัน
    สกทาคามี อนาคามี หรือถึงเป็นพระอรหันต์ก็ตาม ก็ยังมี
    ข้อบกพร่อง ยังจะมีข้อบกพร่องในเรื่องของสิกขาบทใน
    ส่วนอภิสมาจารได้ ซึ่งท่านบอกว่าไม่มีผู้รู้ใดๆกล่าวความ
    อาภัพต่อการบรรลุโลกุตรธรรมด้วยเพราะเหตุสักว่า
    แสดงว่าอริยบุคคลตั้งแต่ขั้นต้นถึงขั้นปลายก็ยังมีโอกาสที่
    จะบกพร่องศีลได้ในส่วนอภิสมาจาร
    แต่ศีลในส่วนของปาติโมกข์ศีล อันนั้นพระองค์บอกว่า
    เขาเป็นผู้มีศีลมั่นคง มีศีลยั่งยืน เพราะฉะนั้นอริยบุคคล
    ตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นปลายนั้น มั่นคงในศีลอันเป็นเบื้องต้น
    แห่งพรหมจรรย์คือศีลในระบบปาติโมกข์ ส่วนศีลในระบบ
    อภิสมาจารก็อาจจะบกพร่องได้ เพราะว่าในระดับของสาวก
    ไม่ได้มีความรอบรู้แตกฉานเท่ากับพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา
    ท่านจึงว่าเมื่อเขามาบวชแล้ว ใครจะศึกษาหรือไม่ศึกษาก็ตาม
    ให้เราตั้งจิตว่า เราจะศึกษา ศึกษาคำสอนของพระผู้มีพระภาค
    เจ้านั่นเอง ให้รอบรู้ให้มากที่สุดตามกำลังของเรา
    เพื่อประโยชน์อีกอย่างคือการทรงไว้ซึ่งพระสัทธรรม เพื่อถ่าย
    ทอดกันไปรุ่นต่อรุ่น พระศาสนาจะได้มีอายุยืนยาว มั่นคงตั้ง
    อยู่ได้นาน
    อันนี้ถ้าเราศึกษาและฟังคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ให้
    พยายามแกะแง่มุมต่างๆออกมาให้ได้ เราจะได้ประโยชน์
    จากคำสอนของพระองค์ค่อนข้างมาก และนำมาใช้ในชีวิต
    ประจำวันของเรา นำมาใช้ในการปฏิบัติภาวนา
    เพราะคำสอนของท่านทั้งหมด ถ้าไม่มีประโยชน์ท่านจะไม่พูด
    สิ่งที่ท่านพูดมาต้องมีแง่มุมที่เป็นประโยชน์.
    อนุโมทนาสาธุร่วมกัน...


    ด้วยจิตคาระวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จบ.๑๔​
     
  17. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ปัจฉิมโอวาท หลวงพ่อปาน วัดบาวนมโค

    "จากรวมคำสอน หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง"

    ลูกรัก วันพรุ่งนี้พ่อจะต้องไปกรุงเทพ. ท่านพูดเหมือนคนไม่ป่วย ท่านบกอกว่าเขา

    จะเอาพ่อไปรักษา แต่ประโยชน์มันไม่มีหรอกลูกรัก เพราะปีนี้มันเป็นวาระสุดท้ายใน

    ชีวิตของพ่อ...พวกเธอทั้งหลายมีความสนใจ ในด้านการเจริญกรรมฐานวิปัสสนากรรม

    ฐานกันดีมากสิ่งทั้งหลายเหล่านีี้ล่ะบรรดาลูกรัก ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นที่จะช่วยตัวเรา

    ได้ ขึ้นชื่อว่าทรัพสินทั้งหลายภายนอกอันเป็นโลกียทรัพไม่มีทางที่จะช่วยเราได้เลย

    ...บรรดาลูกทั้งหลาย จงมองดู พ่อสร้างวัดกี่วัดสมบัติของสงฆ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

    ที่วัดบางนมโคเอาเฉพาะของใช้ ถ้าชาวบ้านจะทำงานคราวเดียวกัน ๔ รายก็จะใช้กัน

    อย่างฟุ่มเฟีอย ของจะไม่ขาดแคลนแต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดที่พ่อทำไว้ก็ดีที่วัด

    นี้ก็ตามวัดอื่นก็ตาม เวลานี้พ่อป่วยไข้ไม่สบายมันช่วยอะไรพ่อได้บ้าง ทรัพสมบัติทั้ง

    หลายไม่สามรถจะช่วยทุกขเวทนาได้ ขอลูกทั้งหลายจงจำไว้...แล้วเมื่อเวลาพ่อจะตาย

    มีทรัพสินส่วนไหนบ้างที่มันจะพยุงกายพ่อไม่ให้ตายได้ นี่พ่อสร้างความดีมากมาย แต่ขันธ์ ๕

    มันก็ไม่เคยตามใจพ่อ พ่อเคย คิดว่ามันยังไม่ควรจะแก่ มันยังไม่ควรจะทรุดโทรมถึง

    ขนาดนี้ แต่ว่ามันรอพ่อเมื่อไหร่ล่ะ มันไม่ได้รับคำสั่ง มันไม่ได้ฟังคำสั่ง มันปฏิบัติตาม

    หน้าที่ของมัน...นี่กฏธรรมดาของมัน ของขันธ์ ๕ นะลูกรัก จำไว้ให้ดี.....

    ...กราบน้อมรับพระธรรม ของหลวงพ่อปาน และท่านพ่อฤาษี และจะจดจำนำมา

    ปฏิบัติตามเจ้าค่ะ น้อมกราบหลวงพ่อปาน และหลวงพ่อฤาษีด้วยเศียรเก้ลากราบๆๆๆ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2014
  18. Maneetree

    Maneetree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +122
    พุ ท ธ ะ นำ ท า ง ....!!

    ○ ผ่านกี่ความ เจ็บปวด ในความทุกข์
    จะพบเพียง แค่สุข ชั่วขณะ
    แปลกที่เห็น และยินยอม มิพร้อมละ
    กิเลสลาก ยึดมานะ ถลาเอา

    ○ ปิดตาใน ใจก็ดำ มืดสนิท
    มองไม่พิศ เห็นแล้วชื่น หลงชมนั้น
    และวันใด กรรมปะทะ อัตตาสั่น
    ดูสิมัน สุดเร่าร้อน ไฟลุกโชน

    ○ โดนทำร้าย ทำลายหวัง จนพังยับ
    น้ำตาแห่ง ความแค้นจับ เผาแผดไหม้
    ระทมทั่ว ตัวชอกช้ำ เกินห้ามใจ
    ตกนรก ก่อนจะตาย จงรีบดู

    ○ ยิ้มกลางใจ ทุ่งทิวพบ สงบเฉย
    ธรรมรำเพย จึงสัมผัส ละถือสา
    หยุดยึดถือ ความอยากมี อยากได้มา
    รู้แล้วว่า ทุกข์เมื่อหวัง สุขมินาน

    ○ เวลาของ ลมหายใจ ใกล้หมดวัน
    จึงรีบหัน กลับรู้สึก สำนึกได้
    พุทธะหนอ ลูกขอวาง ณ กลางใจ
    เดินสู่มรรค อันสดใส ไปนิพพาน
    ........สาธุ

    มณต.อุลตร้า
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับกลอนแม่พลอยด้วยครับ
    แหม๊ อุส่าห์เสียเวลามาลงให้ที่นี่ ขอบใจจริงๆ
    ขอฝากลิ้งค์ ให้ผู้ที่ชอบกลอนไพเราะ เพราะพริ้ง กลอนแฝงธรรมะของคุณมณต.อุลตร้า
    https://www.facebook.com/maneeporn.tree
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ดีหรือชั่วมันอยู่ที่การควบคุมกำลังใจ
    ถ้าใจของเราบริสุทธิ์ ผุดผ่องเสียอย่างเดียว
    ใครจะว่าดีหรือชั่วไม่มีความสำคัญ
    เขาจะประณามเราว่าเลวมันก็เลวไม่ได้ มันก็ต้องดีอยู่ตลอดเวลา
    ถ้าจิตของเราชั่วเขาจะสรรเสริญว่าดี มันก็ดีไม่ได้เหมือนกัน
    นี่เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าให้ทรงรักษากำลังใจเป็นสำคัญว่า
    ควบคุมกำลังใจให้ดีไว้แล้วมันก็จะดีเอง ไม่ต้องไปฟังคำชาวบ้านเขา
    การที่เราจะต้องดี เพราะรอให้ชาวบ้านสรรเสริญ นั่นมันเป็นอารมณ์ของความชั่ว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดท่าซุง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กุมภาพันธ์ 2014

แชร์หน้านี้

Loading...