ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

phudit999 · 8 กุมภาพันธ์ 2014

เมื่อไม่รู้จักธรรมชาติ จึงไม่สามารถที่จะระบาย ของเสีย ออก จากตนเองได้

เมื่อไม่สามารถระบายออกได้ (คงรู้น่ะว่า ของเสียไม่ระบายจะเกิดภาวะอย่างไร)

เมื่อมีของเสีย ของเน่า อยู่ภายในมาก การแสดงออก เพียงเพื่อไล่

ออกจากกระทู้ นี่ก็คือการแสดงออก สิ่งที่อยู่ภายในตนเอง

นี่ล่ะ แมน ๆ แล้ว .... เพราะฉันกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง

เธอ(อจิตตะ)ไม่รับฟัง นั่นเป็นเรื่องที่ เธอต้องไปดู ภาวะภายในใจของเธอ

เอาเอง ถึงขนาดต้องกล่าว ขับไล่ ออกมา

หาก คำว่า แมนๆ หมายถึงการ แสดงความกล้าขับไล่ ออก มา

นั่นเป็น อุปนิสัย ของ อจิตตะ เอง เพราะ มีอะไร บันทึกอยู่ภายใน

มองไม่เห็น เหรอ ....

อจิตตะ · 8 กุมภาพันธ์ 2014

phudit999 said: ↑

ก่ เห็นเก่งกันจัง ไง ให้ยืม ซัดคนเก่ง ระบาดไปทั่วไป
ซัดเสร็จแล้ว ก็หมดหน้าที่

เพราะบางที คนเก่ง ไม่ได้เก่งจริงอย่างบริสุทธิ์
เมื่อไม่บริสุทธิ์ ย่อมหมายถึง มีผลกระทบที่ไม่สมดุล
เมื่อไม่สมดุลผิดปกติ ต้องประคองกลับ ให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง

การทำลายไม่ได้หมายถึงทำลายเพื่อดับสูญ
แต่เพื่อกำเนิดสิ่งใหม่ ที่ดีกว่า

ทำลายเพราะต้องพัฒนาให้เจริญขึ้น เหมือนมนุษย์
จากกายพลังงาน เป็นกายทิพย์ เป็นกายเนื้อ และเป็นกายหยาบ

ดังนั้น หากจะทำลาย นั้นเป็นสิทธิ์ของใคร เล่า... นกโกรธ
ไม่ใช่ สิทธิ์ของ ภูดิศ กายหยาบดอก

ภูดิศ แค่ให้ยืม .... เพื่ออะไร น่าจะรู้แนวทาง...

สิทธิ์ของผู้นั้น ได้มอบหมาย ให้หนึ่ง นารีขี่ม้าขาว ... (แต่มาเป็น lot)
เป็นผู้ชี้ทางให้รอด ... และทำให้รอด (ตามหาเอาเอง)

กระทู้นี้ มีบางส่วน ที่ ดี กว่า ตำราโบราณ กล่าว
แต่ วนเวียน ไม่รู้จบ เหมือนกับรอในสิ่งที่ ไม่เป็นจริง

ทำให้เสียคุณค่า ในสิ่งที่ถูกต้องจนกระทั่ง กลายเป็นผลเสีย

เพราะอะไร เพราะ อยู่ในภาวะของความนิ่ง ไม่ลื่นไหล
ปลดออก .....

เพราะ อะไร หนึ่ง คือ ความไม่นอบน้อม ของผู้แสดง

เมื่อผู้แสดงไม่นอบน้อม ในสิ่งที่ควร ผู้แสดงตนนั้น จึง ไม่ออกจากวังวน

-----
พระผู้สร้าง มี ตำราโบราณ ไม่กล่าว เพราะอะไร

พระมารดาของโลก มี ตำราโบราณ กล่าว แต่ เหยียดย่ำ เป็นเพียงแค่ อรหันต์ อันไม่สมศักดิ์ของ องค์ท่าน

และองค์อื่นๆ อีก หลาย

---------

เหมือนอะไร คนที่ จะก้าวหน้า ต่อไปได้ ควรทำอย่างไร

ออ .... ควรกระนั่นหรือ ว่า ต้องบอกว่า ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องสอน

ออ .... ควรกระนั่นหรือ ว่า เอาสิ่งที่ ภูดิศ สอน ไปสอนตัวเอง

ออ .... ควรกระนั่นหรือว่า สิ่งที่ ภูดิศ กล่าว ไม่เป็นจริง ไม่รู้เห็น ด้วยดอก

ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่บทกล่าว

ความสำคัญของมนุษย์ คือ การนอบน้อม

ภูดิศ ไม่สนใจจะให้ใครมา รับฟัง ในสิ่งที่เล่า ที่บอกกล่าว

แต่ เมื่อนอบน้อมให้ถูก ธรรมชาติ จะสร้างให้คนๆ นั้น เดินทางในทิศทาง

ที่ถูกต้องเอง .... (555)

(ไม่ได้ต้องการ นอบน้อมต่อภูดิศ ดอก.... ตอบแทน เหล่า อสูร)

ผู้นอบน้อม ในทุกๆสิ่ง จะรู้เอง ว่า เมื่อนอบน้อมได้จริง

ระดับความเป็น อิสระในใจ

จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องฝึกพลัง ไม่ต้องอาศัยพลัง

ไม่ต้องมีเสียงก่อพลัง ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องมีน้ำ ไม่ต้องมีดิน

ไม่ต้องมีลม ไม่ต้องมีไฟ ไม่ต้องมีอสุภะ

ไม่ต้องปรุงแต่ง ....
Click to expand...

ดูตัวแดงทั้งหมดของตน....
แล้วเมื่อไหร่ที่คุณเองจะนอบน้อมซะที...คุณภูดิศ...
หรือตอนนี้คุณคิดว่าคุณนอบน้อมแล้ว...
และพร้อมจะออกจากวังวนของกระทู้นี้
และกลับไปกระทู้ที่นอบน้อมของคุณ?...

คืองี้นะ...คุณภูดิศ...คุยแบบง่ายๆ เผื่อคุณจะเข้าใจได้ดีขึ้น...
ที่คุณเตือนหรือสอนมานี่...จริงอยู่คุณอาจยังทำไม่ได้ หรือ ไม่เคยทำ
หรืออาจได้ยินได้ฟังได้อ่านได้รู้มาจากไหนสักแห่ง...
(ดีไม่ดีคุณอาจรู้มาจากต่างมิติก็อาจเป็นได้...หรือเปล่า)
ดังนั้น เมื่อคุณต้องการที่จะสื่อข้อความของคุณให้เพื่อนๆได้รู้
มันต้องอยู่ในลักษณะที่ "จะบอกให้นะ"...
ไม่ใช่ "ต้องฟังฉันนะ"...แล้วถ้าไม่ฟังไม่ทำ...เธอจะต้องเป็นไปตามนั้น...
นี่....มันติดอยู่แค่นี้...
...ผู้คนส่วนมากอ่านมาก ฟังมาก เลยคิดว่าตนเก่งละ(เจอมามากๆๆๆ)
นำสำเนาเอกสารที่ตนไม่ได้เขียนไม่คิดมาคุยกัน จนทะเลาะกัน
ที่เห็นๆอยู่ในขณะนี้...
แต่ถามว่าที่ทะเลาะกันนี่...เป้าหมายอยู่ที่ไหน...ต่างคนต่างต้องการอะไรกัน...
ให้อีกคนเชื่ออีกคนหรือ...ให้อีกคนกด like ให้อีกคนหรือ...แค่นั้นหรือ
...หากอยากสอน อยากสื่อ...อยากให้คนเขารู้ว่าเรารู้อะไร ก็ต้องหาวิธีให้ดี...
แล้วหากเขามีความเห็นที่มันมาแบบมิตร ก็ต้องยอมรับความเห็นเขาเหมือนกัน...
แลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกันอย่างมิตร...
ไม่ใช่สื่อมาให้ขัดกับงานของ จขกท...เพื่ออะไร...ต่างคนต่างได้อะไร
มองแล้วเหมือนคุณเข้ามาร่วมวงเพื่อหาเพื่อนร่วมคิด...ยังงั้นหรือ...
(เพราะกระทู้นี้ดูเหมือนเคลื่อนไหวมากที่สุด โดยเฉพาะปีใหม่มานี้...
หลายคนได้ทำให้กระทู้นี้สลับสีทุกชั่วโมงยังกับตลาดหุ้นเลย...)

อีกอย่าง...ถึงฉันจะเป็นผู้หญิง...ฉันขอร้องล่ะ...
จะสื่อกับฉัน...พิมพ์ชื่อมาเลย...แมนๆ ฉันยินดีเสมอ..
เพราะนิสัยฉัน...ตรงไปตรงไป ไม่เวียนไปใช้ชื่อใครอ้อมไปมาแทะใครเล่นๆ
เสียเวลาทั้งสองฝ่าย...
และไม่ต้องเกรงใจ จขกท...เพราะฉันเคยขออนุญาตเขาล่วงหน้าไว้ก่อนนานแล้ว...
หากถึงคิวฉัน...จะไม่ขออนุญาตนะ...จะเดินหน้าไปเลย...

คุณเป็นคนหนึ่งที่ฉันต้องขอบใจ "คุณภูดิศ"...
หากไม่มีคุณ...สมองฉันคงไม่ได้ฉิวขนาดนี้
เพราะทุกตัวอักษรที่สื่อไป...มันมาจากสมองของฉันทั้งสิ้น
หากไม่มีคุณมากระตุ้น...อยู่ๆฉันคงสื่อข้อความเหล่านี้ไม่ได้...

ขอบใจนะ...
ขอให้โชคดี
อจิตตะ...

โปเย · 8 กุมภาพันธ์ 2014

เทพอภิบาล said: ↑

ประเด็นของพุทธศาสนานั้น ก็เพื่อที่จะชำแรกให้พ้นจากความไม่รู้และก็ตื่นขึ้นจากห้วงของความฝัน กล่าวก็คือแทนที่จะหนีสังสารวัฏ เพื่อบรรลุพระนิพพาน ก็คือต้องประจักษ์แจ้งสังสารวัฏ เมื่อประจักษ์แจ้งสังสารวัฏเมื่อนั้นมันก็คือนิรวาณ เพราะมันเป็นนิรวาณมาตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกับที่ว่าเมื่อประจักษ์แจ้งในกิเลส เมื่อนั้นกิเลสก็เผยให้เราเห็นโพธิ (สิ่งนี้จำเป็นต้องอาศัยการภาวนาเป็นอุบายวิธีให้เห้นแจ้งในความจริงนี้) นี้แลคือรากเหง้าของพุทธธรรม การแยกกิเลสไปทางโพธิไปทางแบบ นิพพานไปทางสังสารวัฏไปทางแบบไม่เกี่ยวข้องกัน นั้นชื่อว่าไปผิดทาง เพราะความคิดที่ว่ามีพระนิพพานหรือโพธิว่าเป็นจุดที่สมบูรณ์ที่สุดนั้น ก็เป็นเพียงแค่การสร้างมโนคติขึ้นมาเพื่อให้เราเห็นสาระบางอย่างคือเห็นภัยของสังสารวัฏของกิเลส เพื่อจะได้ละสิ่งเหล่านี้ ในเบื้องต้น แต่ถึงที่สุดแล้วก็คือการเห็นว่าทั้งสังสารวัฏ -นิพพาน กิเลส- โพธิ ก็สักแต่ว่าเป็นเพียงมโนคติไม่ใช่ความจริงแท้คือมีตัวตนที่แท้จริงทั้งคู่ เป็นเพียงกระแสของเหตุปัจจัย ความคิดว่ามีนิพพาน(วิสังขาร)ย่อมเกิดจากความคิดว่ามีสังสารวัฏ(สังขาร) ทั้งที่ทั้งสองคือเหตุปัจจัยแก่กันและกัน เมื่อเป็นไปตามเหตุปัจจัยก็เลยไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง หรือมีตัวตนที่แท้จริงอยู่ได้โดยตัวมันเอง ทั้งคู่ จึ่งเป็นอนัตตา หรือว่าว่าง สักแต่ว่าเป็นเพียงบัญญัติขึ้นมาเท่านั้นแต่ผู้ไม่รู้เท่าทันก็ไปยึดเอาว่าจริงเป็นจริงไปเสีย เช่นนิพพานบัญญัติขึ้นมาเพื่อให้จิตพ้นไปจากสังสารวัฏหรือความข้องอยู่ เป็นอุปายะ จักถือว่าอุปายะเป็นเป้าหมายเป็นตัวตนให้ลุถึงนั้นไม่ได้ กลายเป็นฝันซ้อนฝันไปเสีย มนุษย์มักจะเอามโนคติมาเป็นตัวตนอยู่เรื่อยแล้วก็หลับหูหลับตาไขว้คว้าปลุกปล้ำกับมันกับมโนคติเหล่านี้ ทั้งนี้เมื่อคนติดอยู่ในห้วงสังสารวัฎแล้ว ไม่รู้จักสังสารวัฏตามที่เป็นจริง ก็จะสร้างพระนิพพานขึ้นมา แล้วพยายามที่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ เพื่อเข้าสู่พระนิพพานประดุจคนขาเสียก็ฝันถึงขาดี ดังนั้นในความฝันนั้นเป็นการไม่รู้จักตื่น ทั้งที่ตัวธรรมชาติเดิมแท้ของตนนั้นอยู่นอกเหนืออุดมคติอยู่แล้วกลับไม่ถูกรู้ถูกเห็น

อันที่จริงสาระตรงนี้ หาใช่เป็นแต่ของฝ่ายมหายานไม่ แต่เป็นคติดั้งเดิมของพุทธศาสนาเลยทีเดียวการก็คือเมื่อ เวลาผ่านไป ความเข้าใจเริ่มผิดเพี้ยน จึ่งเกิดผู้รู้ใหม่ขึ้นมาเพื่อวิพากษ์แนวทางที่ผิดเพี้ยนนี้แล้วคือสู่สาระที่แท้ ในแง่ประวัติศาสตร์ก็คือนาคารชุน นาคารชุนหาได้ต้องการที่จะตั้งนิกายใหม่ แต่เขาถามว่าอะไรคือสาระที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เขาศึกษาพระสูตร แล้วรจนามูลมัธยามิกการิกา ขึ้น ซึ่งมีคาถาหนึ่ง ว่า "โกฏิ(ขอบเขต)ของนิพพานไม่ต่างจากสังสารวัฏ และ โกฏิ(ขอบเขต)ของสังสารวัฏไม่ต่างจากนิพพาน” (คาถานี้แหละที่ถูกจับมาขยายจนกลายเป็นเซน เป็นวัชรยาน ในยุคต่อมา เช่น ภาษิตเซนที่ว่าฉันผ่าฝืน ฉันตักน้ำ ก็คือการปฏิบัติธรรม ก็ชี้ว่า การกระทำแบบโลกๆๆที่ใครเขาก็ทำกันนี่แหละคือการปฏิบัติธรรม การอยู่ในสังสารวัฏหรือโลกที่เป็นจริงด้วยอำนาจของความตื่นรู้ก็ประดุจดังการเข้าถึงพุทธเกษตร พุทธเกษตรหรือแดนบริสุทธิ์ก็หาได้ในโลกอันแปดเปลื้อนนี่เอง มันไม่ใช่แค่การไปนั่งสมาธิจึ่งจะเป็นซาเซน ความคิดเช่นนี้นำพาไปสู่ทวิลักษณ์คือนี่คือการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ใช่ เซนถือว่าเป็นเรื่องเพี้ยนไป ซาเซนนั้นเป็นอะไรก็ได้ที่คุณทำถ้าทำไปด้วยอำนาจของความตื่นรู้ ) ทีนี้ในสมัยนั้นกลุ่มชาวพุทธที่ตื่นตัวตามแนวทางนี้ก็เรียกตัวเองว่ามหายาน จนกระทั้งเป็นกลุ่มหลักไป ก่อนจะเสื่อมทรามลง แลทุกสิ่งจะเหลือทิ้งไว้เพียงความรุ่นโรจน์ในอดีต กับมาที่ฝ่ายเถรวาท มีตัวอย่างมากมายที่สะท้อนให้เห็นความเข้าใจอันลึกซึ้งนี้ของชาวพุทธเถรวาทโบราณ เช่น ในวรรณกรรมพื้นบ้าน เช่นนางสิบสอง แก้วหน้าม้า สุวรรณสิรสาชาดก สีหนาทชาดก นางอุทัยเทวี สังฆทอง และอื่นๆๆ(ส่วนใหญ่เอามาแต่ชาดก) ในลักษณะรหัสยนัยทางธรรม ที่เสื่อมสูญไปจนกระทั้งคนยุคนี้หาได้เข้าถึงไม่

ยกตัวอย่างนางสิบสอง นางสิบสองนั้นเล่าเป็นตัวแทนของปฏิจจสมุปบาทธรรมทั้ง12 รู้ได้อย่างไร คือนางมี12คนแลนางทั้ง12ตอนที่ถูกนางยักษ์สันทมารเอาไปขังก็กินลูกเสียหมด หมายถึงความเป็นปัจจัยการต่อกันของสิ่งต่างๆๆ คืออิงกัน ขึ้นอยู่ต่อกัน เป็นอาหารกัน แลนางยักษ์สันทมารแทนตัญหา อันคลอดลูกออกมาเป็นนันทิหรือนางเมรี แลการที่นางสิบสองตาบอดแทนอวิชชาคือเมื่อไม่รู้จักไม่รู้เท่าทันตัญหา ก็ตาบอดคือต้องอำนาจอวิชชาเสีย ทีนี้นางน้องคนสุดท้องตาบอดข้างเดียวคือแทนว่าไม่ว่าจะมือบอดแค่ไหนก็ยังมีแสงสว่างอยู่เสมอ ทีนี้ที่ว่า ประเด็นการไม่แบ่งแยกออกเป็นสองนี้ สะท้อนอยู่อย่างไร ก็สะท้อนอยู่ในตัวรถเสน รถเสนนั้นแลคือโพธิจิต หรือจิตที่ประจักษ์แจ้งหรือมุ่งประจักษ์แจ้งซึ่งสุญญตาธรรม ดังนั้นในนิทานกวีโบราณ ท่านจึ่งใบ้ด้วยคำกล่าวของตัวรถเสนเองที่ว่า "แม่จ้า ธรรมชาติที่แท้ของหนูนั้นไม่เป็นสอง(อทไวตธรรม)" แล้วเมื่อรถเสนไปเอายามารักษาแม่และป้า ก็มีการเลือกม้าวิเศษ อันแสดงถึงสติปัฏฐานธรรม พระฤาษีแปลงสารคือเคล็ดการปฏิบัติธรรม คือไม่ใช่พยายามผลักไสกิเลสออกไปแต่ข้าร่วมกันมันจนประจักษ์แจ้งในมัน เมื่อนั้นก็ขึ้นอยู่เหนือได้ การหนีจากมัน(อย่างหนีไปหาอุดมคติเรื่องบรรลุนิพพาน) นั้นยิ่งทำให้มันรัดแน่นยิ่งขึ้น อุปมาดั่งพระฤาษีแปลงสารให้นางเมรีแต่งงานกับรถเสนแทนที่จะหลอกไปฆ่า จากนั้นนางเมรีจึ่งเปิดประตูรอรับรถเสนตามสารที่ถูกแปลงมา อุปมาดั่งกิเลสเปิดประตูหรือเปิดมรรคไปสู่โพธิ(หรือการตรัสรู้ รถเสนคือโพธิจิตหรือก็คือจิตที่มุ่งสู่การตรัสรู้ ) หรือกิเลสทำให้ได้โพธิ คนโบราณท่านว่ามารบ่มี บารมีบ่แก่ มารไม่ใช่ศัตรูของพุทธแต่เป็นยอดกัลยาณมิตร อย่าเข้าใจผิดว่ามารเป็นศัตรู เหมือนมารในศาสนายิวนั้นไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นเทวทูตของพระเจ้าให้มาทดสอบมนุษย์(แต่ต่อมาความคิดเรื่องมารนั้นเปลี่ยนไปเป็นหลังมือทีเดียว) เหมือนพระพุทธเจ้าท่านบอกพระอานนท์ว่าพระเทวทัตคือยอดกัลยาณมิตร คือส่งเสริมขันติ ความกรุณา อุเบกขา(วางเฉยต่ออคติ)ให้ท่าน การที่รถเสนแต่งงานกับเมรี ก็คือการเข้าร่วมกับกิลสเพื่อประจักษ์แจ้งในกิเลสและพ้นจากบ่วงของกิเลสอันแสดงในรูปของนันทิ อันนี้เป็นเคล็ดการภาวนากล่าวคือ เราเจริญสติให้มีอำนาจพอที่จะเห็นความโกรธ ความโลภทำนองนี้แล้วก็ตัดกระแสความคิด(ไม่ได้เกิดจากเจตนานะ) ก็การเห็นนั้นแลที่ทำให้เกิดความเข้าใจ ไม่ใช่นึกและวิเคราะห์เอา แล้วมันก็จะตัดกระแสควมคิดนั้นได้(ไม่ใช่หยุดความคิด)ถ้าไม่เห็นก็ไม่รู้ไม่เกิดปัญญานั้นก็เป็นความหลง คือไม่รู้จิตรู้ใจตัวเอง ทีนี้ แลในเรื่องก็อุปมาได้เมื่อรถเสนกำลังเพลินอยู่กับนางเมรีแล้วกิดระลึกได้(เพราะคำเตือนของพี่ม้าหรือสติ-สมาธิ)ถึงแม่และน้า คือระลึกได้ถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม ก็หย่าขาดจากนันทิ หรือนางเมรีได้

ก็ได้ผลของต้นพุทธคีรีบุคนาค(แทนอรหันต์ผล)มาครองในบัดนั้น อันแสดงถึงการได้มาซึ่งการตรัสรู้อันเลิศ การที่นางเมรีตามสามีแล้วถูกของวิเศษเจ็ดอย่างของรถเสนขวางทางไว้ อุปมาของวิเศษนี้คือโพชฌงค์เจ็ด หรือองค์ธรรมทั้งเจ็ดเกิดขึ้นมาเพื่อหนุนการตรัสรู้ จิตก็เป็นอิสระไม่ยึดถือในอารมณ์ใดๆๆมโนคติใดๆๆที่มากระทบคือสักแต่รู้ ในควารู้นั้นไม่มีโกรธไม่มีโลภ แม่รู้ก็เป็นวิชชา ก็ก้าวร่วงจากอำนาจของนันทิได้อย่างบริบรูณ์ อุปมาดั่งการที่นางเมรีตายไป แล้วทำให้นางสันทมารตายตาม คือเมื่อไม่เพลิดเพลินมั่วเมาในอารมณ์ใดที่มากระทบ แม้แต่มโนคติอันสูงส่งอย่างนิพพาน ความทะยานอยาก(นางสันทมาร)ก็สิ้นตาม รถเสนก็กลับเมืองไปแล้วก็ขึ้นครองเมืองเฉลิมฉลองก็คือความรื่นรมย์ที่เกิดขึ้นจากการเห็นสัจธรรม

ส่วนเรื่องเจตจำนงเสรีนั้นเล่าก็เป็นเพียงปัญหาทางปรัชญาซึ่งเขาเถียงกันมาหลายปีดีดัก ไปดูปรัชญาฝ่ายตะวันตกเถิด
แลพุทธศาสนาหาได้สนใจไม่ เพราะจะว่ามีก็ไม่ถูก จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ว่าพุทธศาสนามีทัศนะไหลไปไหลมาแต่เราวางทัศนะเราบนทางสายกลาง ซึ้งถ้าจะให้คุยก็ต้องว่าแน่แหละทำให้เราต่างจากศาสนาอื่นอีกมาก (หัวเราะ) ยกตัวอย่างฝ่ายศาสนาเทวนิยมนั้นก็อ้างว่ามนุษย์ไม่มีเจตจำนงเสรีเพราะถ้ามีก็หมายความว่าพระเจ้าไม่มีอำนาจควบคุมชีวิตมนุษย์ความรอดจะมาถึงเมื่อพระเจ้าพอใจ แนวคิดนี้ก็คล้ายกับคนที่เชื่อเรื่องกรรมเก่า โชคชะตาราศี นั้นแลคือมีอำนาจบางอย่างที่กำหนดความเป็นไปของมนุษย์ การตัดสินใจต่างๆๆก็เกิดจากอำนาจเหล่านี้ ในแง่จริยธรรมก็จะกลายเป็นว่าถ้ามนุษย์ฆ่าใครตายสักคนการเอาเขาติดคุกหาใช่สิ่งที่ควรไม่เพราะ เขาไม่ใช่คนที่เลือก (หัวเราะ) แนวทางฝ่ายพันธุกรรมสุดโต่งก็เช่นกัน นักคิดเหล่านี้ไม่เชื่อเรื่องอำนาจลึกลบ แต่เชื่อว่าทุกความคิดทุกการกระทำของเราถูกรหัสมาแล้วในยีน แม้แต่ความชอบอาหาร เขามีการทดลองผสมงูซึ่งมีความชอบอาหารต่างกัน ผลปรากฏว่าลูกของงูกินอาหารได้ทั้งสองอย่างทั้งที่งูทั้งสองกลุ่มหรือสายพันธ์นี้จะไม่กินอาหารที่อีกฝ่ายชอบกินเด็จขาด แต่ลูกผสมกับกินได้ทั้งสองอย่าง ก็หมายความว่าความชอบแม้แต่อาหารถูกกำหนดมาจากยีนของทั้งสองฝ่าย เขาเชื่อว่าพฤติกรรมอีกหลายแบบเป็นแบบนี้และก็เกิดผลตามนี้จริงๆๆก็เลยเชื่อแบบนี้ ในมนุษย์มีเด็กแฝดจากไข่กับสเปริ์มเดียวกัน ทีนี้ทั้งสองมีแม่เป็นฆาตกร ต่อมาเด็กทั้งสองก็แยกกัน คนหนึ่งอยู่กับแม่ที่เป็นฆาตกร อีกคนให้อยู่กับครอบครัวปกติโดยเด็กก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกใคร เมื่อทั้งสองโตขึ้นก็ปรากฏอาการก่อคดีฆาตกรเหมือนแม่ทั้งคู่ทั้งที่อยู่กันคนล่ะครอบครัว เขาก็สืบจนรู้ว่าเห้ยสองคนนี้เป็นแฝดและมีพฟติกรรมเหมือนกนแถมมีคนในครอบครัวมีพฤติกรรมแบบนี้อีก นี่ก็หมายความว่าบางอย่างได้กำหนดผลไว้แล้วว่าเด็กทั้งสองจะป่วยจากคนจิตดีๆๆสู่จิตที่เสื่อม(เป็นฆาตกร) ฝ่ายไม่เชื่อก็อ้างว่าเจตจำนงเสรีนั้นมีอยู่มนุษย์มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าเราควรจะไปทางไหนไม่มีอำนาจเหนือกว่าใดๆๆในการกำหนดพฤติกรรมและการตัดสินใจเราทั้งนั้นทั้งมดมาจากตัวเราเองเป็นผู้เลือก ดังนั้นเราต้องรับผิดชอบผลการกระทำนั้นเอง ฝ่ายนี้ก็ได้แตก่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ นักปรัชญาบางกลุ่ม หรอศาสนาอเทวนิยมทั้งหลาย

วัฒนธรรมจีนโบราณในอี้จิง ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าเป็นคัมภีร์เสี่ยงทางดวงชะตาซึ่งไม่ใช่ อี้จิ้งนั้นไม่ได้ปฏิเสธว่าฟ้า-ดิน หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์(ไม่ใช่เทพ) นั้นมีอำนาจบงการมนุษย์กำหนดแบบแผนพฤติกรรม แต่อี้จิ้งก็หาได้ยอมรับไม่ อี้จิ้งชี้ว่าเราสามารถสร้างปัจจัยขึ้นมาเปลี่ยนชะตาได้ไม่ว่าชะตาจักถูกกำหนดมาว่าอย่างไร จะมีผลอย่างไร ดั้งนั้นอี้จิงจึ่งยอมรับในแง่หนึ่งว่ามีอำนาจบางอย่างกำหนดมนุษย์คือฟ้าและดิน แต่มนุษย์ก็เป็นอีกอำนาจหนึ่งที่ส่งผลต่อฟ้าและดิน หรือชะตาได้ อำนาจเหล่านี้ย่อมดุลกันส่งเสริมหรือตรงข้ามกันก่อให้เกิดการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปของผลลัพธ์ ดังนั้นอีจิ้ง จึงได้เชื่อว่าเป้นคัมภีร์แห่งความเปลี่ยนแปลงไม่ใช้คัมภีร์ทำนายดวง

ทีนี้ฝ่ายพุทธศาสนานั้นเล่าย่อมแสดงออกแต่เพียงกลางๆๆ คือขึ้นกับปัจจัย ถ้าคุณว่าการตัดสินใจในสิ่งหนึ่งหรือพฤติกรรมหรืออะไรทำนองนั้น เป็นสิ่งที่เกิดจากเจตจำนงเสรีคืออำนาจของคุณเองในขณะนี้ คุณก็ละเลยปัจจัยบางอย่างซึ่งอาจจะมาตั้งแต่ในอดีต ซึ่งมีอิทธิผลกับความคิดการตัดสินใจของคุณไปเสีย อย่างเช่นประสบการณ์ในอดีตอาจจะไม่ต้องโยงไปถึงเรื่องชาติที่แล้วหรืออำนาจเหนือธรรมชาติอย่างพระเจ้าดวงดาวก็ได้เอาแค่อิทธิผลของครอบครัว ที่มีผลต่อความคิดความเข้าใจและการตัดสินใจของเราโดยเราอาจจะไม่รู้ตัว ดังนั้นการตัดสินใจของเราอาจจะไม่ใช่แค่การที่เราเลือกเองเท่านั้น แต่มันถูกกำหนดมาตั้งแต่พันธุกรรม อิทธิผลของครอบครัว สังคม และอื่นๆๆให้เราคิดเราเชื่อเราตัดสินใจไปอย่างงั้น(ในการภาวนาเราจะสืบค้นไปให้เห็นสิ่งนี้ เรียกว่าบุพเพนิวาสานุสสติญาณ อุปมาคือญาณที่ระลึกชาติคือขณะหนึ่งที่ล่วงไปแล้วสืบต่อเป็นสันตติตั้งแต่เบื้องต้นอันไม่ปรากฏในรูปกระแสปัจจัย ขณะหนึ่งก็ชาติหนึ่ง) แต่ถ้าจะว่าเราไม่มีเจตจำนงเสรีก็ไม่ถูกอีก เพราะนั้นหมายความว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกที่จะพัฒนาตัวเราเองขึ้นมาได้ที่สร้างเหตุปัจจัยใหม่ๆๆขึ้นมาและกำหนดผลชะตาของชีวิตเรา แนวคิดเช่นนี้ย่อมนำไปสู่ลัทธิปล่อยให้เป็นไปอะไรจะเกิดก็แล้วแต่มันเถิดเราไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ถ้าเราถูกกำหนดให้รวยเดี๋ยวเราก็คงจะเดินไปเจอเงินวางไว้ตรงนั้น ทำนองนี้ ก็หมายความว่ามีบางสิ่งที่ตายตัวอยู่แล้วในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นี่ก็จะขัดกับกฏปัจจัยการ ดังนั้นศาสนาพุทธจึ่งไม่สนับสนุนความคิดที่โต่งไปทั้งมีและไม่มี เพราะเราสอนให้พ้นจากมีและไม่มี(จะอะไรก็ตามแม้แต่เจตจำนงเสรี)ทั้งมีและไม่มีก็สักแต่เป็นสองหน้าบนเหรียญเดียวกัน เราไม่ได้เสนอแนวทางเพื่ออธิบายความจริงใดๆๆ เพราะไม่ว่าจะว่าอย่างไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้น
Click to expand...

ผมไม่สามารถไปทำพิธีไหว้ครูไ้ด้ด้วยตัวเอง
ขออนุญาติ ทำพิธีโดยไม่ยึดพิธี แค่พอเป็นพิธี
เท่าที่สามารถทำได้นะครับ

เมื่อผมได้รับธรรมนี้แล้ว ก็ขออนุญาตินับถือตาม
ธรรมนี้เป็นครู ไว้เป็นเบื้องต้นนะครับ

"ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน น้อมบนถวายภาพ
มาลัยและเพลงเพื่อบูชาครู บูชาธรรมนี้ ขอท่าน
ทั้งหลายจงเป็นพยาน ทราบไว้ว่า ข้าพเ้จ้าได้รับ
ธรรมนั้นจากครูอาจารย์ผู้นี้แล้วยังความเจริญให้แก่
ข้าพเจ้า ด้วยผลนั้นยังให้เกิดความเคารพนับถือซึ่ง
ข้าพเจ้ามีต่อครู "เทพอภิบาล" ...

หากข้าพเจ้าได้กระทำล่วงเกินอันใดไป โปรดให้อภัย
ที่ข้าพเจ้าไม่ทราบ และเมื่อข้าพเจ้าได้ทราบแล้ว จะได้
งด จะได้ละเว้น ไม่ปฏิบัติผิดพลาดเช่นนั้นซ้ำอีกด้วยเถิด"

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=yhRj5JSzfvc"]http://www.youtube.com/watch?v=yhRj5JSzfvc[/ame]
[ame="http://www.youtube.com/watch?v=iXQmphlM5WU"]http://www.youtube.com/watch?v=iXQmphlM5WU[/ame]

phudit999 · 8 กุมภาพันธ์ 2014

ในธรรมชาติ จะมีแหล่งกำเนิดคลื่น มากมาย
ที่จะทำให้มนุษย์ถูกขับเคลื่อน และเปลี่ยนแปลง

กระทู้นี้ ก่ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
อจิตตะ รู้จักธรรมชาติ แค่ไหน

ธรรมชาติ ที่เป็น บ่อน้ำนิ่ง
หรือ ธรรมชาติ ที่เป็นลำธาร ไหลไปเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง

ก็ลองปลดปล่อยตัวเองสิครับ ยึดอะไรมากมาย

ไปเดินเล่นกับธรรมชาติสิครับ ... แล้วจะรู้สึกดีกว่า

เขียน เพื่อกำจัด ภูดิศ ออกจากกระทู้

เดินเล่นกับ ธรรมชาติ ยังเป็นอิสระ แก่ตัวเอง เสียอีก

น่าจะถึงเวลาทำให้ตัวเอง สิครับ

phudit999 · 8 กุมภาพันธ์ 2014

มนุษย์ กายหยาบ มีสมอง ทำงานตามประสาของโลก

มนุษย์ อีกภาคส่วนที่เป็นของจริง ให้ใช้ ใจ เท่านั้นครับ

เอาที่ ใจ ก่อน ใจเป็นอิสระ .... อิสระจาก ภูดิศ

อิสระจาก กระทู้ อิสระ จากทุกสิ่ง

หากปรารถนาจะอิสระได้ ง่ายขึ้น คือ ระรื่นไปกับธรรมชาติ

เมื่อระรื่นกลืนไปกับธรรมชาติ แล้ว จะไม่สนใจเลย ว่าภูดิศ มาทำอะไรกับกระทู้ แห่งนี้

ปลด ภูดิศ ออกจาก ใจเสีย ....

หัวมัน · 8 กุมภาพันธ์ 2014

phudit999 said: ↑

เงื่อนไขหลัก คือ ศีล หรือ การไม่เบียดเบียน

มนุษย์ตนนั้น จะต้อง มีศีล

หากมนุษย์ ผู้นั้น ไม่มีศีล แม้นจะปฏิบัติ เท่าใด

ก็จะรั่ว ไหล สูญเสีย และ ไม่เจริญ

มนุษย์ ใด ไม่สน รักษาศีล จึงเปรียบเสมือนต้นไม้ ที่ ไม่มีเปลือก และ กระพี้

เมื่อไม่มีสิ่งใดหุ้ม นั่งนอน รอ ความตาย (ตกอยุ่ในอบายภูมิ) ได้เลย

ใช้วาจา ยอกย้อน และกระทำตนเอง ไม่นอบน้อมต่อ ทุกสิ่ง

ศีลจะรักษา ได้อย่างไร

ศีลในมิติมนุษย์ มองดูผิวเผิน จะเป็นนามธรรม

แต่อีกมิติหนึ่ง มันเป็น รูปธรรม (คล้ายกับที่ยกตัวอย่าง กับการเจริญเติบโตของต้นไม้ นั่นแล)

เมื่อ ในอีกมิติหนึ่ง มัน ไม่มีเปลือก ไม่มีผิว แล้ว มโนภาพดูเอาเอง ว่า

กายอีกมิติหนึ่งจะเป็นอย่างไร ดูไม่ชัดเจน ก็ เอามีดไปบั่น เปลือกและกระพี้ ออกดู

และนั่งดูว่า ต้นไม้นั่นจะเป็นอย่างไร ....

จะกระทำอะไร มองให้รอบ ไม่ใช่ แนะนำผู้อื่น ฝึก ตะบี้ ตะบั่น

โดยไม่มองพื้นฐาน ....

บางตำรา (ตำราโบราณ) กล่าว ก็กล่าว เยิ่นเย่อ มากความ

เพื่ออวดตัวเอง ว่า มีความรู้มากมาย จนกระทั่ง

ขาดความนอบน้อม ในตัวเอง ผู้เรียน ก็จะติดภาวะ

ขาดความนอบน้อม เพราะเมื่อเรียกจบ จึงกลายเป็น ผู้รู้ สอนไม่ได้

การจะเป็น ผู้บริสุทธิ์ คิดหรือว่า จะทำได้ด้วยตนเอง

ทั่งๆ ที่ เรียนรู้ว่า ทุกสิ่งเกื้อกูล เกื้อหนุน ซึ่งกันและกัน

แต่กลับกระทำตนเอง กูรู้แล้ว ไม่ต้องสอน

แต่กลับกระทำตนเองบอกกล่าวว่า เอาธรรมที่กล่าว ไปสอนตัว ผู้กล่าว ก่อน แล้วค่อยมาสอนฉัน

เห็นแล้วหรือยัง ว่า มนุษย์ มันจะอวดตัวเอง ว่า ฉันรู้แล้ว

------------
จะทำตนเองให้ ... จะฝึกตนเองให้.... มีกายธรรม

กายธรรม มีได้ง่ายๆ หรือ โดยตัวเองทำหรือ

ทุกสิ่ง เกื้อกูลฯ ไปอยู่ ไหน

ไม่นอบน้อม ต่อ ผู้สร้างมนุษย์ ผู้ดูแลรักษามนุษย์ และอื่น ๆ

ก่ ฝันไปได้เลย

มนุษย์พัฒนาให้มีกายทิพย์

มนุษย์จะพัฒนาให้มี กายธรรม

เป็นเพราะมนุษย์ หรือ ?

มนุษย์ตนนั้น ช่าง อหังการ สิ้นคิด (มนุษย์ตนนั้น คิดแบบนั้น เพราะมี

ภาคอสูร เป็น ต้นธาตุ อยู่ มันจึงคิดแบบ นั้น )

มนุษย์ มีที่มา

มนุษย์ ไม่สงบ ไม่ระงับ เพราะ ต้นธาตุ ดำรงตนสมัยที่เป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นกายอะไร

มัน ไม่ดำรงอยู่ในศีล ธาตุ หรือ พลังงงาน ของมัน จึง พร่อง

เมื่อพร่อง จึง ไม่สมดุล เมื่อ ไม่สมดุล จึง สั่น

เมื่อ สั่น จึง ไม่สงบ เมื่อไม่สงบ จึงต้องปรุงแต่ง

ปรุงแต่งเพื่อให้ได้สงบ เมื่อปรุงแต่ง จึงหลงทาง

เมื่อหลงทาง จึงต้องขอ ลองใหม่

ลองอีก ลองอีก ลองอีก

กี่รอบแล้วล่ะ ที่ลองอืก

ไม่เจอสักที

เพราะอะไร เพราะ ไม่นอบน้อม ต้องสิ่งที่มี

ละเลย ในสิ่งที่ สร้างมนุษย์มา .....

มีอะไรที่มากกว่า ในตำราโบราณ

ซึ่งตำราโบราณ ไม่กล่าว เพราะปฏิเสธ

เมื่อปฏิเสธ จึงไม่ก้าวหน้า

ใครๆ ที่บอกว่าเป็น อรหันตฺ จริงๆ แล้ว ไม่ถึงสักคน

เพียงแค่ สกิทาคา เท่านั้น ไม่มากไปกว่านั้น (ยกเว้นสมัยพุทธ)

เพราะ ว่า ไม่เคยนอบน้อม ผู้สร้าง หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เลย

และยกตำราตนเอง เป็นสูงสุด

แต่ลืมไปว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง เจริญขึ้นได้

เมื่อสิ่งสูงสุด หยุดนิ่ง มันก็คือ ความล้าหลัง

เมื่อล้าหลัง จึงกลายเป็นของเน่า ... ทันที
Click to expand...

ข้าพเจ้ากด like และอนุโมทนาให้กับข้อความนี้ เพราะเห็นว่าตรงกับประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าเจอในการปฏิบัติและเฝ้าสังเกตตนเองเงียบๆ
ซึ่งก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่กด like และอนุโมทนาให้กับข้อความแปลในกระทู้นี้
ไม่ได้เพื่ออวยหรือเชียร์ใคร เพราะไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะทำเช่นนั้น
แรกเริ่มข้าพเจ้ารู้สึกว่ากระทู้นี้ดูเหมือนกว้าง ดูเหมือนเต็มไปด้วยความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ดูเหมือนไม่ตัดสินใคร
(ซึ่งความจริงแล้ว ข้าพเจ้าว่าก็เป็นเช่นนั้นแหละ คงเหมือนกับธรรมะ ไม่ว่าอะไรๆ จะเปลี๋ยนไป อย่างไรธรรมะเป็นสัจจะความจริงเสมอ )
แต่บางทีก็รู้สึกว่าช่องทางเดินบางช่อง มันช่างคับแคบเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็รักและจะติดตามกระทู้นี้ต่อไป
เพราะข้อความแปลในกระทู้ยังเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าแสวงหา และอยากรู้อยากเห็น
และมีประโยชน์กับประสบการณ์ของข้าพเจ้า

อจิตตะ · 8 กุมภาพันธ์ 2014

ฉันคิดว่า...ฉันต้องอธิบายให้ง่ายขึ้นอีก...
คำว่า "แมน ๆ" ของฉัน...คือ การให้เกียรติคุณ "สุภาพบุรุษ "...
หากคุณเป็นผู้ชาย...คุณจะเข้าใจคำว่า "แมนๆ" นี้ดีกว่าฉัน...
เผอิญฉันเป็นผู้หญิง...ใจฉันมันค่อนไปทางห้าวหาญ
แต่กายไม่แข็งแรงเท่าผู้ชายเท่านั้น...

เรื่องธรรมชาติ เหรอ คุณภูดิศ...
ไหนปีก่อนคุณเคยบอกว่า คุณรู้ว่าฉันเป็นใครไงล่ะ...
แล้วใยมาถามฉันวันนี้แค่เรื่อง "ธรรมชาติ"
อะไรทำให้คุณเป็นอย่างนี้ไปหรือ...วันเวลาหรือ...

แล้วก็อย่ามาพูดเรื่อง "ไล่" อีกนะ... ไม่เคยมีคำนี้ในชีวิต
เพราะขนาดพนักงานบริษัทฉันก็ไม่เคยไล่ออกสักคน...
เพราะนั่นคือ "ปณิธาน" ของฉันตั้งแต่ต้น
ซึ่งมีสองเรื่องคือ...หนึ่ง ไม่ไล่ใครออก...สอง...ไม่ติดเงินเดือนลูกน้อง..
แต่หากคุณได้สื่ออะไรที่ทำให้ฉันจับมาตลบกลับได้...
คุณก็อาจคิดไปได้ว่าฉัน "ไล่"
ใครสื่อถึงฉัน...ฉันจะอ่านทุกตัวอักษร อย่างตั้งใจ
เพราะฉันคิดว่า...เขาเสียสละสื่อมาแล้ว ...จะแค่อ่านผ่าน ๆ ละหรือ
ฉันควรรู้ความรู้สึกของคนสื่อด้วยไม๊...
เพื่อให้คุ้มกับเวลาที่เขาสื่อมา...ฉันเห็นใจคนที่เขาตั้งใจสื่อมาให้ฉัน...

ขณะที่ฉันสื่อถึงคุณอยู่นี่...ฉันทำเพื่อตัวเองอยู่... คุณภูดิศ
และเพื่อผู้อ่าน ญาติผู้อ่าน...และยาวไปโน่น..อีกเยอะ.....
แล้วคุณล่ะ...รู้หรือยังว่าส่วนไหนที่คุณได้ทำลงไปนี่ได้เป็นการทำให้กับตัวเองน่ะ...
ไม่อยากบอกฉันก้ไม่เป็นไร...บอกตัวเองก็ได้นะ...

ขอให้โชคดี
อจิตตะ...

อจิตตะ · 8 กุมภาพันธ์ 2014

คุณภูดิศ...
ฉันเชื่อว่า...ผู้อ่านรวมทั้งเจ้าของกระทู้ย่อมยินดีกับการเข้ามาเยี่ยมเยือนอย่างเป็นมิตรทั้งนั้น...
เพราะผู้ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้...เป็นคนใจกว้าง...สมองกว้าง...ปัญญากว้าง
และต้องการความรู้ใหม่ๆ ที่เขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน...เท่านั้น
ส่วนเขาจะนำไปปฏิบัติ หรือต่อยอด หรือนำไปเปรียบเทียบหรือไม่นั้น...
คงไม่มีใครไปตามถึงบ้านแน่นอน...
มันแค่ "ความรู้"....คุณภูดิศ...คิดอะไรมากมาย...
ลองทำตามที่คุณสื่อมาดูซิ...แล้วคุณจะเข้าใจ
ลืมอะไรๆ ที่คุณว่าน่ะ...ลองทำดูบ้าง...

สื่อมาอย่างมิตร...ก็จะได้กลับไปอย่างมิตร
สือมาอย่างศัตรู...ก็จะได้กลับไปอย่างมิตร เช่นกัน
สำหรับกระทู้นี้...เราเชื่อเช่นนั้น...

โชคดีนะ
อจิตตะ...

LadyOfLight · 8 กุมภาพันธ์ 2014

อ่านและเก็บเกี่ยวข้อคิดกับความรู้จากท่านทั้งหลายอย่างเพลิดเพลินเลยค่ะ 555

ขอถามทุกๆท่าน ช่วยกันอธิบายขยายความหน่อยสิคะว่า

1. ตัวรู้ กับ ธาตุรู้ คืออะไร เหมือนและ/หรือแตกต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใด

2. คำว่า mind จากข้อความจากต่างมิติ หากแปลว่า จิต ตามหลักพระพุทธศาสนา ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด โปรดกรุณาอธิบายขยายความ

3. คำว่า Higher-Self จากข้อความต่างมิติ ของแต่ละท่าน หมายถึงอะไร เป็นอย่างไร เพราะเหตุใด โปรดกรุณาอธิบายขยายความ

อยากให้แสดงความคิดเห็นกันเยอะๆนะคะ ไม่ได้ถามเพราะอยากลองภูมิรู้ภูมิธรรมอันใดจากใครทั้งสิ้น
เพราะดิชั้นรู้ดีว่าการถูกลองภูมิรู้ภูมิธรรมนั้น ทำให้รู้สึกอย่างไรเวลาที่เราบริสุทธิ์ใจ ดิชั้นโดนมาพอสมควรค่ะ 555

แต่ที่ถาม เพราะต้องการให้ก่อเกิดความรู้ความเข้าใจที่สอดคล้องต้องตรงกันค่ะ
คืออยากให้มัน ตกผลึก ให้เห็นกันชัดพร้อมๆกันไปเลยโดยทั่วกันค่ะ
(ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือเปล่า 555)

phudit999 · 8 กุมภาพันธ์ 2014

LadyOfLight said: ↑

อ่านและเก็บเกี่ยวข้อคิดกับความรู้จากท่านทั้งหลายอย่างเพลิดเพลินเลยค่ะ 555

ขอถามทุกๆท่าน ช่วยกันอธิบายขยายความหน่อยสิคะว่า

1. ตัวรู้ กับ ธาตุรู้ คืออะไร เหมือนและ/หรือแตกต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใด

2. คำว่า mind จากข้อความจากต่างมิติ หากแปลว่า จิต ตามหลักพระพุทธศาสนา ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด โปรดกรุณาอธิบายขยายความ

3. คำว่า Higher-Self จากข้อความต่างมิติ ของแต่ละท่าน หมายถึงอะไร เป็นอย่างไร เพราะเหตุใด โปรดกรุณาอธิบายขยายความ

อยากให้แสดงความคิดเห็นกันเยอะๆนะคะ ไม่ได้ถามเพราะอยากลองภูมิรู้ภูมิธรรมอันใดจากใครทั้งสิ้น
เพราะดิชั้นรู้ดีว่าการถูกลองภูมิรู้ภูมิธรรมนั้น ทำให้รู้สึกอย่างไรเวลาที่เราบริสุทธิ์ใจ ดิชั้นโดนมาพอสมควรค่ะ 555

แต่ที่ถาม เพราะต้องการให้ก่อเกิดความรู้ความเข้าใจที่สอดคล้องต้องตรงกันค่ะ
คืออยากให้มัน ตกผลึก ให้เห็นกันชัดพร้อมๆกันไปเลยโดยทั่วกันค่ะ
(ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือเปล่า 555)
Click to expand...

แบบนี้จึงเรียกว่า ปล่อย

ให้สิ่งที่เกิดขึ้นภายใน ให้สงสัย

และพยายามหาคำตอบ จากธรรมชาติ (มิติต่างๆ)

(ใช้หัวคิด ใช้ตำรา อ้างอิง มันจะพัฒนาได้อย่างไร ให้ใช้ ใจ สัมผัสกับธรรมชาติ)

ปฏิบัติตนดั่งสายน้ำ ในลำธาร ที่ผ่านไปยังแต่ละที่

จะมีเศษผง เศษไม้บ้าง นั้นเป็นเรื่องธรรมดา ของสายน้ำ

เมื่อถึงเวลา ถึงปลายน้ำ หรือ ทะเลอันกว้างใหญ่

จึงจะรู้ว่า ยังมีอะไรที่ใหญ่ ยิ่งขึ้นไปอีก ...

เป็นอิสระ ที่ยึดและเกาะเกี่ยว

จึงจะสบาย .... หลุดออกจาก

สลัดออกจาก

ิBat of light · 8 กุมภาพันธ์ 2014

.
วันนี้ไม่ได้คิดจะเข้าเนท แต่ก็ได้แวะเข้ามา ทำไมไม่รู้
เข้ามาแล้ว ก็ไม่รู้จะโพสท์อะไรดี อ่านจนจบโพสท์ล่าสุดแล้ว
ก็ยังไม่รู้ ว่าจะเขียนอะไรออกไปดี เลือกไปมา ก็ยังไม่ปิ๊งกะอะไรเลย

จนล็อคอินแล้ว จึงเจอข้อความของคนที่คุณก็ไม่รู้ว่าใคร ถามมา
เลยได้ประเ้ด็น เอาคำถามของเขานี่แหละมาปรุงอาหารแจกจ่าย
พอดีเลยว่า ข้องใจกะท่านภูดิสอยู่เหมือนกัน บังเอิญอีกแล้วล่ะมั้ง นะ

คำถามจากคนที่คุณก็ไม่รู้ว่าใคร มีอยู่ว่า

"ท่านbat คิดว่าท่าน phudit เป็นอย่างไรบ้าง เป็นพระอริยบุคคลระดับไหน
คือวันนี้อ่านกระทู้พี่ชยุต ท่านภูเค้าเขียนว่าอย่างนี้

" ใครๆ ที่บอกว่าเป็น อรหันตฺ จริงๆ แล้ว ไม่ถึงสักคน

เพียงแค่ สกิทาคา เท่านั้น ไม่มากไปกว่านั้น (ยกเว้นสมัยพุทธ)

เพราะ ว่า ไม่เคยนอบน้อม ผู้สร้าง หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เลย

และยกตำราตนเอง เป็นสูงสุด

แต่ลืมไปว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง เจริญขึ้นได้

เมื่อสิ่งสูงสุด หยุดนิ่ง มันก็คือ ความล้าหลัง

เมื่อล้าหลัง จึงกลายเป็นของเน่า ... ทันที"

แสดงว่าท่านภู เค้าต้องอ่านภูมิธรรมของใครๆ ออก จึงกล้าวิจารณ์ออกมาเช่นนั้น ท่าน bat คิดว่าไงอ่ะ

เราไม่คิดหรอกนะ ว่าเค้าจะอ่านภูมิธรรมของใครๆ ออกได้
เบาะแสเพียงนิดเดียว โคนันยอดนักสืบ ก็ตัดสินได้แล้วว่า
ถ้าเค้าอ่านออกจริง เค้าจะต้องไม่เขียนอะไรบ้าๆ อย่างนี้ออกมาหรอกจ๊ะ

จะสั่งสอนคนอื่น ต้องมีเทคนิคมากกว่านี้ นุ่มนวล ละเอียดละออ และด้วยความเข้าใจ
เข้าใจ เข้าถึง แล้วจึงพัฒนา ไม่ใช่ใส่เอา ใส่เอา แบบนี้ ใครเขาจะฟัง บ้าป่าว
พูดจาเหมือนตัวเองวิเศษอยู่ผู้เดียว คนอื่นไม่มีใครได้เรื่องซักคน เชื่อเค้าเลย

ช่างเค้าเหอะน่า แล้วเอ็งจะไปวุ่นวายกะเค้าทำไมกันวะ เสียเวลาเปล่าๆ
ก็มันคันมือนี่หว่า คันใจด้วย หมั่นไส้ พูดหยั่งกะตัวเองเป็นพระเจ้าซะเอง
รู้ไปหมด แต่ละคนเค้าก็มีเส้นทางของเค้า ระบบเรียนรู้ของแต่ละคน ก็ต่างกันไป
เล่นห้ามคิดห้ามฝึก ห้ามผิดพลาด ก็ถ้าไม่โง่ แล้วจะฉลาดได้ไงวะ พวกเราอย่าไปเชื่อมัน 555

คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาด มากกว่าจากความสำเร็จ
อันนี้เป็นสัจธรรมเลยนะ สำหรับเรา ผู้มีปกติฝึกฝนจิต
ก็แล้วถ้าไม่ฝึกพลัง แล้วจะมีปัญญาฝ่าฟันอะไรได้ซักเท่าไหร่กัน พูดไม่คิด
เอาอีกแล้ว อย่าโวยวายนักสิโว้ย ค่อยๆ พูดไปดิ ลืมภาษาวัวควายแล้วรึไง ที่ว่า
"ค่อยๆ พูด ค่อยๆ แจง ไม่พูดให้แรง แจกแจงให้ทั่ว ลูบที่หัว จึงค่อยตบหลัง"

แหม...ภาษาโคนันทวิศาลไง ที่รู้มาตอนหาวิธีทำของเสียให้มีประโยชน์น่ะ ลืมยัง
ที่คิดจะใช้พลังแรงสูง เปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งคำพังเพย ที่มีความหมายไม่ดี
อย่าง "ตบหัวแล้วลูบหลัง" เปลี่ยนให้มันเป็น "ลูบที่หัว จึงค่อยตบหลัง" ไง เจ๋งนะนั่น ฝั่งโน้นชอบกันแยะเชียว
อืม...ก็นะ ยังไงก็ขอใส่ซะหน่อยละกัน ตั้งท่ามาหลายงานแล้ว กะท่านนี้ ต่อดีกว่า

จะสอนเรื่องเดียวกัน ให้กับคนแต่ละคน ยังต้องใช้วิธีหรือเทคนิคที่ต่างกันเลย
วิธีที่ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป นี่ก็อีกหนึ่งสัจธรรม (ของเรา)
แต่ละคนติดขัดอยู่กับล็อคที่ต่างกัน วิธีปลดล็อคก็ต้องใช้ไม่เหมือนกัน
ในที่นี้ ส่วนใหญ่ก็แสนรู้กันดีอยู่แล้ว ทุกคนล้วนมีกิ๋นของตัวเอง ไม่มากก็น้อย
ฝึกฝนและค้นหากันมาด้วยเงื่อนไขที่ต่างกันไป ไม่มีใครเชื่อใครง่ายๆ หรอกนะ

เอ...มั่วพอแล้วมั้ง ภารกิจวันนี้มีแค่นี้รึไงหว่า ขับรถไปกลับตั้งเกือบยี่สิบโล เฮ้อ...

โคนันยอดนักสืบ / โคแนนยอดคนแดนเถื่อน
.

โปเย · 8 กุมภาพันธ์ 2014

LadyOfLight said: ↑

อ่านและเก็บเกี่ยวข้อคิดกับความรู้จากท่านทั้งหลายอย่างเพลิดเพลินเลยค่ะ 555

ขอถามทุกๆท่าน ช่วยกันอธิบายขยายความหน่อยสิคะว่า

1. ตัวรู้ กับ ธาตุรู้ คืออะไร เหมือนและ/หรือแตกต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใด

2. คำว่า mind จากข้อความจากต่างมิติ หากแปลว่า จิต ตามหลักพระพุทธศาสนา ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด โปรดกรุณาอธิบายขยายความ

3. คำว่า Higher-Self จากข้อความต่างมิติ ของแต่ละท่าน หมายถึงอะไร เป็นอย่างไร เพราะเหตุใด โปรดกรุณาอธิบายขยายความ

อยากให้แสดงความคิดเห็นกันเยอะๆนะคะ ไม่ได้ถามเพราะอยากลองภูมิรู้ภูมิธรรมอันใดจากใครทั้งสิ้น
เพราะดิชั้นรู้ดีว่าการถูกลองภูมิรู้ภูมิธรรมนั้น ทำให้รู้สึกอย่างไรเวลาที่เราบริสุทธิ์ใจ ดิชั้นโดนมาพอสมควรค่ะ 555

แต่ที่ถาม เพราะต้องการให้ก่อเกิดความรู้ความเข้าใจที่สอดคล้องต้องตรงกันค่ะ
คืออยากให้มัน ตกผลึก ให้เห็นกันชัดพร้อมๆกันไปเลยโดยทั่วกันค่ะ
(ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือเปล่า 555)
Click to expand...

สร้างสรรค์ดีครับ นี่แหละ พลังเชิงบวก

ผมเองก็สงสัยนะ หาคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่หมายถึง จิต
นี่บอกตรงๆ นะ ผมหาไม่เจอ คำว่า mind ก็น่าจะหมาย
ถึง ผลจากจิตเข้าไปรับรู้แล้วเกิด เป็นอารมณ์ความรู้สึก
คำว่า soul ก็ตรงกับคำว่า วิญญาณ แต่คำว่าอะไรละ
ที่เราจะสื่อกับฝรั่งให้เข้าใจคำว่า "จิต" ผมก็ไม่รู้ครับ

สงสัยเหมือนกันเลยครับ

ิBat of light · 8 กุมภาพันธ์ 2014

ดูงาน said: ↑

คุยอะไรกันครับ สนุกเชียว

เดียวนี้หากระทู้คุยสนุกๆ ในห้องนี้ยาก คงเหลือกระทู้นี้ มั้งที่ไม่ยอมตก

คุณ นก กับคุณค้างคาว คุยกันออกรส ผมคนอ่านก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย ครับ
Click to expand...

อ๋อ..เราคุยกันเรื่องความลับ.ที่คับอก...จึงยกออก คร้าบท่าน 555
เนี่ยเป็นความลับระดับจักรวาลเชียวนะครับ
เข้ารหัสกันไว้ตั้งหลายชั้น ท่านยังแปลได้อีกรึ แสดงว่าไม่เบา (ท่าทางจะอ้วนแฮะ) 555

ว่าแต่ท่านดูงานยังไม่เสร็จอีกหรือครับ เห็นมาดูงานของนักรบแสง
ตั้งแต่ภาคแรก เมื่อสองปีกว่าที่แล้วโน่นแน่ะ ดูงานนานไปแล้วมั้ง นะ 555

วิญญานกระต่ายป่า ข้างวัด / นักรบแสง
.

ิBat of light · 8 กุมภาพันธ์ 2014

krittima helga said: ↑

ขอร่วมแจมเพราะมีการพูดถึงสรรพสิ่งไม่เที่ยงและเปลี่ยนแปลงเสมอ

ขอเพิ่มเติมสภวะธรรมก็ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงเสมอ..แต่ตัว..รู้..ไม่เปลี่ยนแปลง..ยกตัวอย่าง..
ความรู้สึก..เศร้า..หดหู่..เสียใจอยู่ลึกๆ บางครั้งเกิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ แต่มันรู้สึกเศร้าๆอย่างไรไม่รู้..
นั่นเป็นเพราะว่าตัวเราทุกๆคนเคยพบกับความผิดหวัง..อกหัก..เสียใจ.. พลัดพรากมานับภพนับชาติไม่ถ้วน

ความรู้สึกอันนี้มีอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราทุกๆคน (พระพุทธเจ้าถึงได้กลา่วไว้ว่า..
น้ำตาแห่งความเสียใจของสรรพสัตว์ทั้งหลายรวมกันเยอะกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก)
นั่นจึงเป็นสาเหตุ ว่าทำไมความรู้สึกเศร้าๆจึงเป็นเหมือนที่คุ้นเคย..ซึ่งเขาก็เป็นเพื่อนที่คุ้นเคยจริงๆ..

เพราะรู้จักคุ้นเคยกันนับภพนับชาติไม่ถว้น..เพราะฉนั้นเวลาเพื่อนเศร้ามาเยี่ยม..ให้ถามว่า..
เอ้า..มาทำไมไม่ได้เชิญ..เขาก็จะตอบว่า..มาเยี่ยมมาหากันเฉยๆในฐานะที่คุ้นเคยกัน..

เราก็จะถามว่า..จะอยู่นานมั้ย..เขาก็ตอบว่า..แล้วแต่สภาวะ..เราก็จะตอบว่า..งั้นก็อยู่ตามสบาย..ไม่ผลักไสและไล่ส่ง..
แต่ต้อง..รู้..เฉยๆ..ว่าเขามาเขาไป..อันนี้รวมถึง..อารมณ์..โลภ..โกรธ..หลง.. อิจฉา.ริษยา..ด้วย..
ล้วนเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน.......
Click to expand...

อันนี้ขอใช้สิทธิ์พาดพิงนะครับ ท่านประธานสภาที่ไม่เคยคิดเคารพ (แต่พูดว่าเคารพ ให้มันดูเท่ห์ๆ 555)

เราไม่ชอบทำอะไรเยิ่นเย้อแบบนั้นหรอกครับท่าน ถามไปตอบมาคนเดียว เดี๋ยวเค้าหาว่าบ้าครับ

พอเรารู้สึกตัวว่าเศร้า ต้องหาเหตุปัจจัยก่อน ว่ามาจากไหน ปกติก็หาเจอได้ไม่ยากครับ
เมื่อหาตัวก่อเรื่องเจอแล้ว ก็ไม่ยากแล้วครับที่จะจัดการมันได้ ด้วยเทคนิคหลากหลายที่มี สบายมาก

แต่ีบางที รู้แล้วเจอแล้ว ก็ปล่อยให้มันเศร้าเล่นๆ ก็มีครับ มันอยากเศร้า ก็ปล่อยให้มันเศร้าซะให้พอ
จะโมโห หงุดหงิด เบื่อ หรืออารมณ์ด้านลบอื่นๆ มันอยากออกมาเดินเล่นบ้าง ก็ช่างหัวมัน
แต่แทบทุกครั้ง พอมันเดินออกมาจากใจ จิตวงจรปิด (คล้ายกล้องวงจรปิด) ก็จะตรวจเจอ และแจ้งศูนย์จิตทันที

จะมียามจากศูนย์จิต ตามติดอยู่ในระยะสายตาตลอด ไม่ให้พ้นระยะเลยครับ กันไว้ไม่ให้ไปก่อเรื่องได้
อารมณ์ด้านลบก็เลยไม่ค่อยก่อปัญหาให้เราเท่าไหร่ มันเพ่นพ่านได้แค่ภายในใจ ไม่ค่อยหลุดออกมาสู่โลกภายนอกครับ เจ๋งมะ

ค้างคาวแห่งแสง / โคนันกะโคแนน
.

krittima helga · 8 กุมภาพันธ์ 2014

(อโศก) said: ↑

1.อายตนะทั้ง6 เป็นบ่อเกิดของ กิเลส..ตัณหา อันนี้จริงยายน่าจะพูดว่าความยึดติดในอารมณ์ที่เสพเข้ามาทางอายตนะทั้ง6 เป็นบ่อเกิดของ กิเลส..ตัณหา ชรามรณะ ทุกข์อะไรเทือกนี้มากกว่า งั้นคนคงทำตาให้บอด หูให้หนวก และอื่นๆๆแล้วกิเลสตัญหาก็เบาบางลงแล้วครับยาย

2.เอวิสน่ารักอะ

3.อะตอมนี่หมายถึงวิทยาศาสตร์หรอ อันนี้เขาก็รู้แล้วว่าอะตอมมันมีอิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน และอื่นๆๆอีก ไอ้พวกนี้(ยกเว้นอเล็กตรอน)ก็ทำมาจากควากซ์ พวกนี้เรียกอนุภาคสสาร มีอีกสี่ตัวเรียกอนุภาคนำพาแรง อย่างโฟตรอน(แสง)นำแรงแม่เหล็กไฟฟ้า อย่างอิเล็กตรอนกับโปรตอนมันมีประจุตรงข้ามมันก็ดึงกัน การดึงกันนี้ก็คือแรงแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งในระดับจุลภาคก็คือมันแลกเปลี่ยนโฟตรอนกัน ซึ่งก็พบหมดแล้วจะมีก็แค่แกรวิตรอนที่นำแรงโน้มถ่วงที่เขายังไม่พบ อีกตัวหนึ่งที่เขาเติมเข้ามาก็คือฮิกส์ อันนี้เขาใช้อธิบายว่าอนุภาคมีมวลได้ยังไง อันนี้ก็เหมือนจะมีหลักฐานว่ามันมีอยู่แต่เขายังไม่ยืนยันคงสักอีกหลายปี พวกนักวิทย์เขาเชื่อกันยาก

ส่วนอนุภาคทั้งหมดทั้งปวงมีเล็กกว่านี้ไหม ก็มีคนคิดว่ามีเขาก็เรียกว่าสตริง แต่ตัวนี้ยังเป็นแค่ทฤษฏี เล็กกว่าสตริงมีไหม? นักวิทย์เชื่อถ้าถ้าสตริงมีเล็กกว่าสตริงก็คงไม่มีอีกแล้ว คือเป็นความว่างเปล่า

แต่ความว่างเปล่าแบบวิทย์นี่มันไม่ได้ว่างเปล่า(-w-)..............แบบที่เราเข้าใจคือแบบไม่มีอะไร มันว่างแบบไม่ใช่ทั้งมีและไม่มี เราระบุแน่นอนไม่ได้ไม่งั้นจะขัดหลักความไม่แน่นอน
ทีนี้ที่ถามว่าใจกลางอะตอมมีอะไรไหม จริงๆๆไม่มีอะไรที่อยู่ตำแหน่งตรงกลางอะตอมนะ ไม่งั้นจะขัดกับหลักความไม่แน่นอน นิวเคลียสก็เลยไม่อยู่ตรงกลางแบบแน่นอนมันจะสั่นไปมาเต้นระบำ อย่างนิวเคลียสเรารู้ว่ามีโปรตอนกับนิวตรอนใช่ไหม เอาโปรตอนตัวเดียวก่อนที่

จริงมันไม่ได้อยู่ตรงกลางอะตอมหนึ่งๆๆ อย่างไฮโดรเจน มีหนึ่งโปรตอนหนึ่งอิเล็กตรอน ตามแบบจำลองก่งคลาสสิกโปรตอนจะอยู่ตรงกลางและอิเล็กตรอนวิ่งรอบๆๆ ทีนี้แนวคิดใหม่ที่ถูกต้องที่สุดโปรตอนจะเป็นกลุ่มหมอกที่วิ่งไปวิ่งมาไม่มีตำแหน่งที่แน่นอนโดยวิ่งไปมาทั่วทั้งจักรวาล ขอบเขตของหมอกก็เลยเป็นอนันต์ เพียงแต่

ตามทฤษฏีควอนตัม ตำแหน่งของอนุภาคและอัตราการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของมันเทียบเวลาหรือความเร็ว จะไม่แน่นอน ดังนั้นตำแหน่งต่างๆๆใน แต่ละจุดในกาลอวกาศ ของอนุภาคหนึ่งที่เป็นไปได้ว่าจะอยู่ จะมีความน่าจะเป็นต่างกัน อย่างโปรตรอนของอะตอมไฮโดรเจนนี้จะมีตำแหน่งที่มีโอกาศว่า จะอยู่แถวๆๆใจกลางอะตอมนี้มากกว่าที่จะกระจายไปส่วนอื่นของหมอก นึกภาพทรงกลมใหญ่ไม่สิ้นสุด ตรงกลางทรงกลมคือที่ที่โปรตรอนมีโอกาสจะพบมากกว่าระยะอื่นๆๆที่วัดออกไปเรื่อยๆๆๆๆจากตรงกลางนี้ ยิ่งห่างโอกาสก็ยิ่งน้อย แต่ไม่ใช่ศูนย์ก็หมายความว่ามันมีโอกาสที่จะอยู่ตรงนั้น

จนกว่าเราจะวัดตำแหน่งมัน การวัดทำให้เรารู้ว่ามันอยู่ตรงไหนแต่พอเราวัดเราก็ไปทำลายข้อมูลความจริงเกี่ยวกับตำแหน่งของมันในตอนนั้นไปแล้ว คือมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วแต่ข้อมูลที่ปรากฏกับเรากับบอกว่ามันอยู่ตรงนั้น(-w-)..............

พูดง่ายๆๆ ฟิสิกส์ยืนยันว่าสิ่งต่างๆๆไม่มีตำแหน่งและการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่แน่นอนในกาลอวกาศ ดังนั้นไอ้เอวิสก็อาจจะอยู่ป้ายายกับบ้านผมพร้อมกันในเวลาเดียวกันพอกับที่มันอยูบนดวงจันทร์ หรืออยู่อีกกาแล็กซี่หนึ่ง ได้ เพียงแต่พอยายมองมันยายได้ทำให้เกิดการยุบตัวของคลื่นความน่าจะเป็น มันเลยปรากฏเสมือนว่ามันอยู่ตรงนั้น แต่ไม่จริง อันนี้แหละที่ไอสน์ไตน์รับไม่ได้ เลยพยายามโจมตีความคิดนี้ แต่แม้แต่ไอสน์ไตน์ก็แพ้ เพราะไอสน์ไตน์ไม่อาจจะละเลยความจริงจากการทดลองได้(-w-)..............rabbit_eating(deejai)(deejai)(deejai)

หาหนังสือที่เขียนโดยนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำเขียนให้คนทั่วๆๆไปที่ไม่ใช่นักวิชาการอ่านเอาเด้อ ยาย อย่างของศ.ฮอร์คิง ศ.ไบอัน กรีน เด็กม.ปลายชอบนะสำนักพิมพ์มิติชนเลยแปลขายมาหลายเล่มเชียว ก็จะเข้าใจได้มากกว่าที่พูดที่พูดนี่มันสรุปเกิน อ่านของแชด ออร์เซล ที่มิติชนแปลขายในชื่อฟิสิกส์ฉบับเจ้าตูบเล่มนี้ก็เขียนดีไม่เพี้ยน ดูสารคดีของไทยพีบีเอ็สก็ได้ยาย มีคนลงในยูทูบแล้วเอาที่เกี่ยวกับฟิสิกส์ควอนตัม จักรวาลวิทยา หรือพวกฟิสิกส์อนุภาค
ก็ได้(eek)(eek)(eek)(eek)(eek)(eek)(eek):VOyimm:z16
Click to expand...

__ฮู้_เห็นสูตรวิทยาศาสร์ฟิสิกส์ของโศกแล้วยายปวดหมอง..จนตอ้งหาหม่องมาทาหมับ..พลังงานมันวิ่งวนไปมาน่าปวดหัว..แต่ก็ได้คำตอบแล้วว่า..ใจกลางอะตอมไม่มีอะไร..มันคือความว่าง...แค่นี้แหละที่ยายอยากรู้..ขอบใจที่แนะนำหนังสือ..ยายไม่อา่นให้ปวดหมองหรอก..อ่านใจตัวเองก็หนักพอแล้วละจร้า...(tm-love)(tm-love)(tm-love)

อจิตตะ · 8 กุมภาพันธ์ 2014

LadyOfLight said: ↑

อ่านและเก็บเกี่ยวข้อคิดกับความรู้จากท่านทั้งหลายอย่างเพลิดเพลินเลยค่ะ 555

ขอถามทุกๆท่าน ช่วยกันอธิบายขยายความหน่อยสิคะว่า

1. ตัวรู้ กับ ธาตุรู้ คืออะไร เหมือนและ/หรือแตกต่างกันอย่างไร เพราะเหตุใด

2. คำว่า mind จากข้อความจากต่างมิติ หากแปลว่า จิต ตามหลักพระพุทธศาสนา ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด โปรดกรุณาอธิบายขยายความ

3. คำว่า Higher-Self จากข้อความต่างมิติ ของแต่ละท่าน หมายถึงอะไร เป็นอย่างไร เพราะเหตุใด โปรดกรุณาอธิบายขยายความ

อยากให้แสดงความคิดเห็นกันเยอะๆนะคะ ไม่ได้ถามเพราะอยากลองภูมิรู้ภูมิธรรมอันใดจากใครทั้งสิ้น
เพราะดิชั้นรู้ดีว่าการถูกลองภูมิรู้ภูมิธรรมนั้น ทำให้รู้สึกอย่างไรเวลาที่เราบริสุทธิ์ใจ ดิชั้นโดนมาพอสมควรค่ะ 555

แต่ที่ถาม เพราะต้องการให้ก่อเกิดความรู้ความเข้าใจที่สอดคล้องต้องตรงกันค่ะ
คืออยากให้มัน ตกผลึก ให้เห็นกันชัดพร้อมๆกันไปเลยโดยทั่วกันค่ะ
(ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือเปล่า 555)
Click to expand...

เป็นคำถามที่ทรงพลังมากคุณ LadyOfLight...
แต่คุณก็ทราบดีว่าบางคำได้มาจากการแปลในภาษาอังกฤษ...
ดังนั้น...ในคำเดียวกันแต่ไปอยู่ในประโยคที่ต่างกัน
ความหมายก็ต่างกันไปแล้ว...
และเนื่องจากข้อความเหล่านี้ในภาษา อ.
ไม่มีใครนำไปเปรียบเทียบกับบาลีในพระไตรปิฏก จึงไม่เกิดปัญหาอะไร...
ต่างชาติเขาใช้ "ความเข้าใจ" ในการสื่อว่ามันคืออะไร...
เช่น "ตัวรู้"กับ"ธาตุรู้" ก็ไม่เคยเห็นในพระไตรปิฏก...
ยังมีคำ "ตระหนักรู้"และ"รู้แจ้ง"...อีก...

ส่วนคำว่า Mind...ก็เช่นกัน เช่นประโยคที่ว่า ...
"In your mind you have capacities you know"....
mind ตัวนี้...พอแปลเป็นไทยหากใช้คำว่า จิต...มันจะดูแปล่ง ๆ...
แต่หากใช้คำว่า "ใจ"หรือ"จิตใจ" มันก็จะเข้าท่ากว่า...
แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า"ใจ"ตัวนี้คือ"จิต"
ไม่ใช่หัวใจที่เต้นตุ๊บตั๊บๆ ได้... นี่ตัวอย่างนะ...
อีกตัวคือ conscious...ซึ่งส่วนใหญ่ก็แปลตามDict ว่า "จิตสำนึก"
แต่บางครั้งพอมันเข้าประโยค...บางทีต้องใช้คำว่า "จิต" เหมือนกัน
เพราะมันไม่ไปกันเลยกับคำว่า "จิตสำนึก"...

Higher-Self ...ตัวนี้ไปกันใหญ่เลย เพราะในศาสนาพุทธไม่มีคำนี้ว่าไว้เลย
หากคุณให้ชาวพุทธที่สนใจในพระไตรปิฏกมาออกความเห็นตัวนี้...
เขาก็ไม่รู้จะไปยกหน้าไหนหมวดไหนมาเทียบละคุณ...
ขนาดที่แปลกันนี้...ก็ยังหาคำให้สวยหรูในภาษาไทยไม่ได้เกินกว่า "ตัวตนที่สูงกว่า"...
แต่เวลาอ่านเป็นภาษา อ...หากผู้แปลหรือผู้อ่านที่มีประสบการณ์มาบ้าง
ก็พอเข้าใจได้ลื่นกว่าหน่อยนึงว่าเขาจะสื่ออะไร..

แต่ก็พอยกตัวอย่าง Higher-Self ให้"ลองพิจารณา"กันนิดนึงนะ...
หากคุณเคยดู Little Budda...ตอนที่มีมารออกมาจากบ่อน้ำข้างหน้าพระพุทธเข้า
และยื่นมือมาดึงพระพุทธเจ้า...นั่นแหละ...
เพราะที่พระพุทธเจ้าไม่ลงไปด้วย...เพราะ Higher-Self ทำงาน...

จะขอความกรุณาทุกท่านนะ...หากไม่เห็นด้วยในข้อความนี้...
กรุณาอย่านำข้อความนี้มาถกเถียงให้เกิดความอีก...
"นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของเราเอง..."
แต่หากถามมาด้วยมิตรภาพ...และเราพอจะรู้บ้างก็จะคุยด้วยนะ...
และที่เหมาะคือหากท่านใดต้องการตอบ ก็ตอบคำถามของคุณ LadyOfLight...
จะเป็นการดีที่สุดและขอบคุณที่สุดจ๊ะ...

อจิตตะ...

อจิตตะ · 9 กุมภาพันธ์ 2014

อจิตตะ said: ↑

เป็นคำถามที่ทรงพลังมากคุณ LadyOfLight...
แต่คุณก็ทราบดีว่าบางคำได้มาจากการแปลในภาษาอังกฤษ...
ดังนั้น...ในคำเดียวกันแต่ไปอยู่ในประโยคที่ต่างกัน
ความหมายก็ต่างกันไปแล้ว...
และเนื่องจากข้อความเหล่านี้ในภาษา อ.
ไม่มีใครนำไปเปรียบเทียบกับบาลีในพระไตรปิฏก จึงไม่เกิดปัญหาอะไร...
ต่างชาติเขาใช้ "ความเข้าใจ" ในการสื่อว่ามันคืออะไร...
เช่น "ตัวรู้"กับ"ธาตุรู้" ก็ไม่เคยเห็นในพระไตรปิฏก...
ยังมีคำ "ตระหนักรู้"และ"รู้แจ้ง"...อีก...

ส่วนคำว่า Mind...ก็เช่นกัน เช่นประโยคที่ว่า ...
"In your mind you have capacities you know"....
mind ตัวนี้...พอแปลเป็นไทยหากใช้คำว่า จิต...มันจะดูแปล่ง ๆ...
แต่หากใช้คำว่า "ใจ"หรือ"จิตใจ" มันก็จะเข้าท่ากว่า...
แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า"ใจ"ตัวนี้คือ"จิต"
ไม่ใช่หัวใจที่เต้นตุ๊บตั๊บๆ ได้... นี่ตัวอย่างนะ...
อีกตัวคือ conscious...ซึ่งส่วนใหญ่ก็แปลตามDict ว่า "จิตสำนึก"
แต่บางครั้งพอมันเข้าประโยค...บางทีต้องใช้คำว่า "จิต" เหมือนกัน
เพราะมันไม่ไปกันเลยกับคำว่า "จิตสำนึก"...

Higher-Self ...ตัวนี้ไปกันใหญ่เลย เพราะในศาสนาพุทธไม่มีคำนี้ว่าไว้เลย
หากคุณให้ชาวพุทธที่สนใจในพระไตรปิฏกมาออกความเห็นตัวนี้...
เขาก็ไม่รู้จะไปยกหน้าไหนหมวดไหนมาเทียบละคุณ...
ขนาดที่แปลกันนี้...ก็ยังหาคำให้สวยหรูในภาษาไทยไม่ได้เกินกว่า "ตัวตนที่สูงกว่า"...
แต่เวลาอ่านเป็นภาษา อ...หากผู้แปลหรือผู้อ่านที่มีประสบการณ์มาบ้าง
ก็พอเข้าใจได้ลื่นกว่าหน่อยนึงว่าเขาจะสื่ออะไร..

แต่ก็พอยกตัวอย่าง Higher-Self ให้"ลองพิจารณา"กันนิดนึงนะ...
หากคุณเคยดู Little Budda...ตอนที่มีมารออกมาจากบ่อน้ำข้างหน้าพระพุทธเข้า
และยื่นมือมาดึงพระพุทธเจ้า...นั่นแหละ...
เพราะที่พระพุทธเจ้าไม่ลงไปด้วย...เพราะ Higher-Self ทำงาน...

จะขอความกรุณาทุกท่านนะ...หากไม่เห็นด้วยในข้อความนี้...
กรุณาอย่านำข้อความนี้มาถกเถียงให้เกิดความอีก...
"นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของเราเอง..."
แต่หากถามมาด้วยมิตรภาพ...และเราพอจะรู้บ้างก็จะคุยด้วยนะ...
และที่เหมาะคือหากท่านใดต้องการตอบ ก็ตอบคำถามของคุณ LadyOfLight...
จะเป็นการดีที่สุดและขอบคุณที่สุดจ๊ะ...

อจิตตะ...
Click to expand...

***"โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อความเหล่านี้"***
และโปรดทำ"ความเข้าใจ"ว่าข้อความเหล่านี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้โพสท์เท่านั้น

และคำถามที่ตามมาคือ อะไรคือ "ความเข้าใจ"
"ความเข้าใจ" กับ "รู้แจ้ง" เป็นความหมายเดียวกัน
เพราะทั้งสองคำนี้ หมายถึง...
"รู้จากต้นไปชนปลายเหตุและเกิดการกระทำทำให้เกิดผลขึ้น..."

ในศาสนาพุทธก็มีคำว่า "มรรคผล"...
หากบอกว่า "รู้" จะหมายถึง ได้ยินได้ฟังได้อ่านมา...
แต่ไม่ลงมือกระทำ แค่จำได้หมายรู้...นี่เป็น"มรรค"...
เช่น คุยกันเรื่องศีล...แต่ผู้พูดผู้ฟังก็ยังผิดศีลอยู่นั่น...นี่เรียกว่าต่างก็แค่"รู้"
แต่เมื่อใดที่ผู้พูดผู้ฟัง...ได้ยินได้ฟังแล้วประพฤติปฏิบัติตามโดยอัตโนมัติ...
แสดงว่า "เข้าใจ"...รู้แล้วก็ปฏิบัติ...นี่คือ "มรรคผล"หรือ"รู้แจ้ง"
..."รู้แจ้ง"ไม่ใช่"ตรัสรู้"...
เพราะดูเหมือนคำว่า "ตรัสรู้"...ชาวพุทธได้ให้พระพุทธเจ้าใช้อยู่ผู้เดียว...
ดังนั้น...คำว่า"รู้แจ้ง"...เราๆท่าน ๆก็อาจพอมีสิทธิ์ได้ใช้กันบ้างเป็นเรื่องๆไป...

อจิตตะ

phudit999 · 9 กุมภาพันธ์ 2014

ขณะที่นั่งเรียนอยู่ มหาวิทยาลัย จำเป็นต้องขอนอบน้อม ครู ก กา เรียนหรือไม่

อจิตตะ said: ↑

ดูตัวแดงทั้งหมดของตน....
แล้วเมื่อไหร่ที่คุณเองจะนอบน้อมซะที...คุณภูดิศ...
หรือตอนนี้คุณคิดว่าคุณนอบน้อมแล้ว...
และพร้อมจะออกจากวังวนของกระทู้นี้
และกลับไปกระทู้ที่นอบน้อมของคุณ?...

คืองี้นะ...คุณภูดิศ...คุยแบบง่ายๆ เผื่อคุณจะเข้าใจได้ดีขึ้น...
ที่คุณเตือนหรือสอนมานี่...จริงอยู่คุณอาจยังทำไม่ได้ หรือ ไม่เคยทำ
หรืออาจได้ยินได้ฟังได้อ่านได้รู้มาจากไหนสักแห่ง...
(ดีไม่ดีคุณอาจรู้มาจากต่างมิติก็อาจเป็นได้...หรือเปล่า)
ดังนั้น เมื่อคุณต้องการที่จะสื่อข้อความของคุณให้เพื่อนๆได้รู้
มันต้องอยู่ในลักษณะที่ "จะบอกให้นะ"...
ไม่ใช่ "ต้องฟังฉันนะ"...แล้วถ้าไม่ฟังไม่ทำ...เธอจะต้องเป็นไปตามนั้น...
นี่....มันติดอยู่แค่นี้...
...ผู้คนส่วนมากอ่านมาก ฟังมาก เลยคิดว่าตนเก่งละ(เจอมามากๆๆๆ)
นำสำเนาเอกสารที่ตนไม่ได้เขียนไม่คิดมาคุยกัน จนทะเลาะกัน
ที่เห็นๆอยู่ในขณะนี้...
แต่ถามว่าที่ทะเลาะกันนี่...เป้าหมายอยู่ที่ไหน...ต่างคนต่างต้องการอะไรกัน...
ให้อีกคนเชื่ออีกคนหรือ...ให้อีกคนกด like ให้อีกคนหรือ...แค่นั้นหรือ
...หากอยากสอน อยากสื่อ...อยากให้คนเขารู้ว่าเรารู้อะไร ก็ต้องหาวิธีให้ดี...
แล้วหากเขามีความเห็นที่มันมาแบบมิตร ก็ต้องยอมรับความเห็นเขาเหมือนกัน...
แลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกันอย่างมิตร...
ไม่ใช่สื่อมาให้ขัดกับงานของ จขกท...เพื่ออะไร...ต่างคนต่างได้อะไร
มองแล้วเหมือนคุณเข้ามาร่วมวงเพื่อหาเพื่อนร่วมคิด...ยังงั้นหรือ...
(เพราะกระทู้นี้ดูเหมือนเคลื่อนไหวมากที่สุด โดยเฉพาะปีใหม่มานี้...
หลายคนได้ทำให้กระทู้นี้สลับสีทุกชั่วโมงยังกับตลาดหุ้นเลย...)

อีกอย่าง...ถึงฉันจะเป็นผู้หญิง...ฉันขอร้องล่ะ...
จะสื่อกับฉัน...พิมพ์ชื่อมาเลย...แมนๆ ฉันยินดีเสมอ..
เพราะนิสัยฉัน...ตรงไปตรงไป ไม่เวียนไปใช้ชื่อใครอ้อมไปมาแทะใครเล่นๆ
เสียเวลาทั้งสองฝ่าย...
และไม่ต้องเกรงใจ จขกท...เพราะฉันเคยขออนุญาตเขาล่วงหน้าไว้ก่อนนานแล้ว...
หากถึงคิวฉัน...จะไม่ขออนุญาตนะ...จะเดินหน้าไปเลย...

คุณเป็นคนหนึ่งที่ฉันต้องขอบใจ "คุณภูดิศ"...
หากไม่มีคุณ...สมองฉันคงไม่ได้ฉิวขนาดนี้
เพราะทุกตัวอักษรที่สื่อไป...มันมาจากสมองของฉันทั้งสิ้น
หากไม่มีคุณมากระตุ้น...อยู่ๆฉันคงสื่อข้อความเหล่านี้ไม่ได้...

ขอบใจนะ...
ขอให้โชคดี
อจิตตะ...

Click to expand...

แสดงว่า พูดเรื่องที่นอบน้อม ไม่เข้าใจ

แต่พยายามมุ่งประเด็นเพื่อ ยอกย้อน ภูดิศ เพียงอย่างเดียว

หาก (สมมติ) เธออยากเรียก บวกลบ กับครู จะพูดว่าอย่างไร
ครูค่ะ หนูอยากเรียก บวกลบ
หรือว่า นิ่ง ไม่พูด อย่างนอบน้อม
หรือว่า เฮ้ยครู ฉันอยากเรียน บวกลบ มาสอนให้ฉันหน่อย

สมมติอีก ....

ในขณะที่ เธอ กำลังเรียน algebra อยู่ในมหาวิทยายลัย

แล้วมีคนบอกเธอว่า อจิตตะ เธอจงไปนอบน้อมขอเรียน บวกลบ กับครู ชั้นประถม น่ะ เพราะดูเธอ ไม่นอบน้อมเลย

เธอ อจิตตะ จะทำตามไหม

เธอ จะรู้ว่า เมื่อผ่านความรู้นั้นมาแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องกลับไปเรียน
ไม่จำเป็นที่จะต้อง ไปนอบน้อม ขอเรียนวิชา อีก

เพราะว่าผ่านมาแล้ว ..... นอบน้อม ใช้ให้ถูก

อีกตัวอย่าง

เมื่อเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย แล้ว เธอจำเป็นต้อง กอด ต้อง เรียน ในเนื้อหา
วิชาที่เรียนในขณะที่อยู่ในมหาวิทยาลัยหรือไม่

คำตอบคือ ไม่จำเป็น

แต่ถามว่า ขณะที่กำลังเรียนอยู่ จำเป็นต้อง นอบน้อม ต่อครูผู้สอนในวิชาหรือไม่

เธอ อจิตตะ เธอคงไม่บ้าที่จะ ไม่นอบน้อม กระมั่ง

หรือว่า เธอไม่แคร์ ไม่สน ฉันไม่นอบน้อมต่อครู ผู้สอนดอก
(ไม่ต้องเหวี่ยง อะไรมาหาฉัน ภูดิศ ดอก ฉันกำลัง อุปมา ปะไม อยู่)

ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เมื่อต้องการเรียนให้ผ่าน แต่ไม่เคารพ ครูผู้สอน

และโอกาสผ่านไปได้ยาก หาก ไม่รู้จักเคารพ ครู

ก็ เหมือนกับความรู้ ที่เธอ กำลังเรียน ปัจจุบัน เพื่อผ่านไปให้ได้

ฉัน บอกว่า ให้นอบน้อม นั่นคือ ตัวเธอเอง อจิตตะ

สถานะ เธออยู่ตรงไหน ....

ก็ ให้นอบน้อม ตรงนั้น .... นอบน้อมครู ตรงนั้น

คำว่าครู มีอยู่ทุกมิติ

ไม่นอบน้อม จึงไม่ผ่าน ไม่เจริญ

ไม่ได้เรียนรู้ วิชา บวกลบ ดอก อจิตตะ

สิ่งที่พวกเธอแปล ออก มา

เป็นเรื่องดี แต่ ขาดบางสิ่ง

ที่ทำให้มนุษย์ หลงทาง

ในพุทธศาสตร์ ยังสอน นะโม .... ข้าพเจ้าขอนอบน้อม....

พวกของเธอ ละเลยสิ่งเหล่านี้

พวกของเธอ พยายามก้าวกระโดด

ใช่ กระโดด แต่กลับ ไถลย้อนกลับ

เพราะพวกของเธอ ไม่รู้จักคำว่า .... ข้าพเจ้าขอนอบน้อม...

จากตำราโบราณ

ตำราโบราณ ยังไม่ผ่าน แล้ว จะก้าวกระโดด ได้อย่างไร

....จำไม่ได้ ย้ำอีกที ก่ ได้ ทุกมิติ ย่อมมีครู หมายถึงอะไร

ย่อมมีผู้เป็นใหญ่ รักษา อยู่

เหมือนอะไร เหมือน ครูประถม ที่สอน บวกลบ

จะให้ครูประถมมาสอน algebra ก่ ไม่ได้

เพราะหน้าที่สอน คือ บวกลบ เท่านั้น

เมื่อผ่านครู สอน บวกลบ แล้ว ต้องกลับไปเรียน หรือเปล่า ล่ะ

ต้องกลับไป บอกว่า ครูค่ะหนู ขอเรียน บวกลบ อีกได้มั๊ย ค่ะ

แบบ นี้ เรียกว่า ปัญญาอ่อน แล้ว

-------------------------------------

ถามว่า ที่ในอดีต ที่ฉันแย้ง ว่า พวกของเธอ หลงมิติ

เธอเคยถามกลับ เพื่อที่จะเรียนรู้หรือไม่ ล่ะ ....

เคยถามว่า ภูดิส เธอกล่าวหาฉัน พวกของฉัน ว่าหลงมิติ

ตรงไหน ....

(หากจำไม่ได้ว่า หลง อย่างไร ก่ กลับขึ้นไปอ่าน ใหม่ เพราะตอบไปแล้ว เหตุผลที่ว่าหลงมิติ)

atitarn2009 · 9 กุมภาพันธ์ 2014

ท่านภูดิสคะ สิ่งใดที่ท่านคิดว่ามนุษย์ควรศึกษาให้มาก ปฏิบัติให้มากเพื่อประโยชน์สูงสุด
อยากฟังท่านกล่าวสิ่งที่ท่านคิดว่ากล่าวแล้วจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้อ่านค่ะ
(นี่คือการขอให้ท่าน ใช้โอกาสของท่านแสดงความเมตตาเพื่อประโยชน์ของข้าพเจ้า และผู้อื่นที่สนใจ)

ปล.ขอสิ่งที่ท่านคิดว่าควรนะคะรบกวนท่านช่วยชี้แนะ สิ่งที่ท่านเห็นไม่ควรลืมๆมันไปก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงนะคะ ขอบคุณอย่างยิ่งล่วงหน้าค่ะ _/\_

Vking · 9 กุมภาพันธ์ 2014

LadyOfLight said: ↑

อ่านและเก็บเกี่ยวข้อคิดกับความรู้จากท่านทั้งหลายอย่างเพลิดเพลินเลยค่ะ 555

ขอถามทุกๆท่าน ช่วยกันอธิบายขยายความหน่อยสิคะว่า

3. คำว่า Higher-Self จากข้อความต่างมิติ ของแต่ละท่าน หมายถึงอะไร เป็นอย่างไร เพราะเหตุใด โปรดกรุณาอธิบายขยายความ

อยากให้แสดงความคิดเห็นกันเยอะๆนะคะ ไม่ได้ถามเพราะอยากลองภูมิรู้ภูมิธรรมอันใดจากใครทั้งสิ้น
เพราะดิชั้นรู้ดีว่าการถูกลองภูมิรู้ภูมิธรรมนั้น ทำให้รู้สึกอย่างไรเวลาที่เราบริสุทธิ์ใจ ดิชั้นโดนมาพอสมควรค่ะ 555

แต่ที่ถาม เพราะต้องการให้ก่อเกิดความรู้ความเข้าใจที่สอดคล้องต้องตรงกันค่ะ
คืออยากให้มัน ตกผลึก ให้เห็นกันชัดพร้อมๆกันไปเลยโดยทั่วกันค่ะ
(ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือเปล่า 555)
Click to expand...

ขอแชร์ข้อ 3 นะคะ เพราะว่ารู้สึกแบบนี้มาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว

ไม่ว่า จะได้รับรู้ ได้ศึกษา ถึงสื่อที่ผ่านภาคภาษาใดก็ตาม

ก็สรุปลงที่เดียวกันคือ... สัจธรรม ....

แล้วก่อนที่จะได้มาอ่านข้อความในกระทู้นี้ บอกตามตรงถ้าให้หาอ่านเองเป็นภาคเข้าของเจ้าของภาษาสำหรับเราคงเป็นไปไม่ได้เลย แต่ก็รู้สึกว่าเป็นสิ่้งแปลกใหม่ และในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคุ้น ๆ ในบางประเด็นที่แปลออกมาแล้วนั้น ช่างมีความหมายเหมือนหรือคล้ายกับอะไรที่เราัรับรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ใช้ภาษาที่ต่างกัน

อย่้า่งเช่น ไกอา ก็คือท่านเดียวกับ พระแม่ธรณี อย่างนี้น่ะค่ะ

ทีนี้ คำว่า Higher-Self เรานึกถึงคำว่า องค์ใน แปลตามคำง่าย ๆ ก็คือ องค์ที่อยู่ข้างในของเรานั่นล่้ะ
ที่คิดแบบนี้ก็เพราะว่า ก่อนมาเกิดตามที่ได้อ่านในข้อมูลต่างมิติ ก็บอกว่า เรามีการเลือก หรือวางแผนแล้ว ว่าจะมาเกิดแบบไหนและมีจุดประสงค์ (ปณิธาณ) อย่างไร
ซึ่งการลงมาเกิดนั้น ก็เป็นการแบ่งภาคส่วน(อวตาร) มา ซึ่งส่วนนี้เป็นภาคหยาบ แต่ภาคทิพย์นั้น ก็ยังคงมีอยู่ ที่ว่ากันว่า ในอีกส่วนที่มีม่านพรางกั้นนั้นล่ะ

เราว่า คล้าย ๆ กับเป็นผู้กำกับบทน่ะนะ

ทีนี้... ถ้าเราในภาคหยาบมาแล้วชำระกาย ใจดีดี เคลียร์จิตเคลียร์ใจให้ใสสว่าง คือ ปลดปล่อยออกจากความยึดติดเท่าไร ก็ยิ่งจะเชื่อมต่อกับ Higer self ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าเหนียวหนึดภาคทิพย์ก็กำกับบทบาทเราได้ยากขึ้น ทำนองนี้

สังเกตุจากการที่ เราเริ่มจะทำอะไรไปโดยอัตโนมัติ โดยมีคลื่นสัญญาณความคิดเข้ามาในหัว และเมื่อทำตามนั้นแล้วก็มักจะเกิดผลในทางที่ดีต่อตนเอง และต่อคนอื่นด้วยอะไรประมาณนี้...

และภาพนี้ก็อธิบายคำตอบในตัวเองได้ดีทีเดียว

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

krittima helga เป็นที่รู้จักกันดี

อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

atitarn2009 เป็นที่รู้จักกันดี

Vking เป็นที่รู้จักกันดี

ไฟล์ที่แนบมา:

pict.jpg

แชร์หน้านี้

แชร์หน้านี้

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน

ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ไฟล์ที่แนบมา:

pict.jpg

แชร์หน้านี้

การค้นหาที่มีประโยชน์

ติดต่อเรา