ระวัง!การโปรยเสน่ห์ให้คนอื่นก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Norlnorrakuln, 14 ธันวาคม 2013.

  1. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ขอบพระคุณมากค่ะ
    เข้าใจโดยกระจ่างแล้วค่ะท่านหน่อนรคุณ
     
  2. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ครั้งหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายกำลังสนทนาธรรมกันในธรรมสภา ต่างพากันกล่าวสรรเสริญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "ถ้าพระทศพลจะทรงครองเรือน ก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ สมบูรณ์ด้วยรัตนะ๗ มีพระโอรสกว่าพันเป็นบริวาร แต่พระองค์ทรงสละราชสมบัติมากมายอย่างนี้ เพราะทรงเห็นโทษในกามทั้งหลาย ทรงม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะเป็นสหาย เสด็จออกผนวชที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ได้บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖พรรษา แล้วต่อมาจึงหันมาปฏิบัติในหนทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ในที่สุดทรงได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ"



    เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาที่ธรรมสภา ทรงเห็นภิกษุเหล่านั้นกำลังสนทนากัน จึงตรัสว่า "ไม่ใช่แต่บัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ แม้ในกาลก่อน ก็เคยสละราชสมบัติออกบวชมาแล้วเช่นกัน" ทรงเล่าให้ฟังว่า ในอดีตกาล พระราชาสัพพทัต แห่งนครรัมมะ ทรงมีพระโอรส ๑,๐๐๐พระองค์ และได้สถาปนาพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ พระนามว่า ยุธัญชัย เป็นอุปราชประจำพระองค์



    วันหนึ่ง เมื่อพระกุมารยุธัญชัยประทับบนราชรถ เสด็จไปพระราชอุทยาน ทรงทอดพระเนตรเห็นหยาดน้ำค้างที่ติดอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น ยอดไม้ ปลายหญ้า กิ่งไม้และที่ใยแมงมุม ราวกับตาข่ายที่ทำด้วยเส้นด้าย



    จึงตรัสถามนายสารถีว่า "สิ่งที่ปรากฏนั้นคืออะไร"

    นายสารถีกราบทูลว่า "นั่นคือหยาดน้ำค้างที่ตกลงในฤดูที่มีหิมะ"



    พระกุมารทรงเล่นในพระราชอุทยานตลอดทั้งวัน แล้วเสด็จกลับในเวลาเย็น ไม่เห็นหยาดน้ำค้างเหล่านั้น



    จึงตรัสถามนายสารถีว่า "หยาดน้ำค้างเหล่านั้นหายไปไหนหมดแล้ว"

    นายสารถีกราบทูลว่า "หยาดน้ำค้างเหล่านั้น เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นก็จะเหือดแห้งหายไป พระเจ้าข้า"



    พระองค์ทรงสลดพระทัยยิ่งนัก ดำริว่า "แม้ชีวิตและสังขารของตัวเรา รวมทั้งสัตว์ทั้งหลาย ต่างเป็นเสมือนหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า ตอนนี้เรายังไม่ถูกความแก่ความเจ็บและความตายมาเบียดเบียน ยังอยู่ในวัยที่แข็งแรงอยู่ ควรจะอำลาพระมารดาและพระบิดาออกบวชจะดีกว่า"



    พระองค์ถือเอาความสิ้นไปของหยาดน้ำค้างนั้น เป็นอารมณ์ จึงมองเห็นภพทั้งสามดุจมีเพลิงลุกไปทั่ว จากนั้นได้เสด็จไปหาพระบิดาซึ่งกำลังประทับอยู่ ณ ศาลาวินิจฉัย เพื่อทูลลาบวช พระบิดาทรงห้ามว่า "อย่าผนวชเลย ถ้าเธอยังพร่องในเบญจกามคุณทั้งหลาย ฉันเพิ่มเติมให้ ถ้าผู้ใดเบียดเบียนเธอ ฉันก็จะห้ามปราม" พระกุมารยุธัญชัยกราบทูลว่า "หม่อมฉันไม่ได้พร่องด้วยกามทั้งหลายเลย และไม่มีใครเบียดเบียนหม่อมฉันด้วย แต่หม่อมฉันปรารถนาจะทำที่พึ่ง ที่ความแก่และความตายครอบงำไม่ได้ พระเจ้าข้า"



    พระกุมารทูลขอบรรพชาอยู่เรื่อยๆ พระบิดาตรัสห้ามทุกครั้ง ต่างวิงวอนขอร้องซึ่งกันและกัน แม้มหาชนในที่นั้น พากันทูลอ้อนวอนไม่ให้พระโอรสบวชเช่นกัน พระกุมารยุธัญชัยได้ทูลพระบิดาว่า "ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นจอมทัพ พระองค์อย่าทรงห้ามหม่อมฉันเลย อย่าให้หม่อมฉันต้องมัวเมาอยู่ด้วยกามทั้งหลาย อันเป็นไปในอำนาจแห่งมัจจุราชเลย พระเจ้าข้า"



    ในที่สุด พระบิดาจำต้องยินยอม พระมารดาก็รีบเสด็จมาจากพระตำหนัก มาที่ศาลาวินิจฉัยและวิงวอนพระโอรสว่า "อย่าผนวชเลย แม่ปรารถนาจะเห็นเจ้านานๆ" พระกุมารตรัสกับพระมารดาว่า "น้ำค้างบนยอดหญ้า เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็เหือดแห้งไปฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ขอทูลกระหม่อมแม่อย่าทรงห้ามเลย พระเจ้าข้า"



    พระมารดาตรัสอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระกุมารก็ยังคงมีพระทัยเด็ดเดี่ยวที่จะออกผนวช จึงทูลพระบิดาว่า "ขอให้ช่วยกราบทูลพระมารดา ให้เสด็จขึ้นสู่ยานเถิด อย่าได้ทำอันตรายแก่ข้าพระองค์ ผู้กำลังจะทำกรณียกิจที่รีบด่วนเลย" ในที่สุดพระมารดาก็ต้องจำยอม เสด็จกลับสู่พระตำหนักพร้อมหมู่สนมนารี ทรงทอดพระเนตรพระโอรส ด้วยความห่วงใยอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก



    ขณะนั้นเอง พระอนุชาของยุธัญชัยกุมารพระนามว่า ยุธิฏฐิลกุมาร เห็นปณิธานอันยิ่งใหญ่และเด็ดเดี่ยวของพระเจ้าพี่ จึงได้กราบบังคมทูลขออนุญาตตามผนวชด้วย จากนั้นทั้งสองพระองค์พากันเสด็จออกจากเมือง มุ่งตรงสู่ป่าหิมพานต์ สร้างอาศรมอันน่ารื่นรมย์และได้ผนวชเป็นฤๅษี ทำฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้น เลี้ยงชีพอยู่ด้วยผลหมากรากไม้ในป่า ทำความบริสุทธิ์ตลอดพระชนมชีพ ครั้นละโลกไปแล้วต่างมีสุคติภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้า



    เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนให้ภิกษุทั้งหลาย เป็นผู้ไม่ประมาทในการประพฤติพรหมจรรย์ โดยดูพระองค์เป็นแบบอย่าง ไม่ว่าจะพรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ แต่ก็ไม่ยินดี หรือหลงใหลเพลิดเพลิน ในสิ่งไร้สาระเหล่านั้น กลับมุ่งแสวงหาสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของชีวิต


    จะเห็นได้ว่า บุคคลผู้ประเสริฐเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ เพียงแค่เห็นหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้าเท่านั้น ก็มีดวงปัญญาสอนตนเองให้รีบแสวงหาทางพ้นทุกข์ ด้วยการประพฤติธรรม เมื่อทรงเห็นว่าการประพฤติพรหมจรรย์เป็นทางปลอดโปร่ง ที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิต ก็ทรงสละราชสมบัติออกบวชโดยทันที
     
  3. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ธรรมดาสัตบุรุษย่อมไม่ประทุษร้ายผู้อื่นด้วยกายวาจาใจ/ที่เค้าดูก็เห็นว่าถูกแล้วเพราะชอบด้วยเหตุผลตามหลักธรรม
     
  4. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ผู้กล่าวด้วยอารมณ์ขุ่นมัวทำประทีปแห่งตนให้มอดดับแล้วมองไม่เห็นธรรมอันสุขุมลุ่มลึกเอย ^_^
     
  5. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ไม่ทราบว่าอะไรที่คุณว่าถูกต้องตามที่ตนเองคิดคะ ท่านมีญาณหยั่งรู้หรือคะ
     
  6. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ก็แล้วอะไรเป็นเหตุให้เธอเข้าใจว่าพระอริยะเจ้านอกพระศาสนาจักมีได้ทั้งๆที่พระองค์ท่านตรัสกะสุภัททะว่าอริยะไม่มีนอกธรรมวินัย
     
  7. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    เค้าเห็นชอบตามธรรมที่พระองค์ท่านทรงแสดงไว้อย่างนี้แล^_^
     
  8. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    มีนกชนิดหนึ่งร้องเสียงเหมือนช้างจะสำคัญไปว่านกนั้นเป็นช้างอีกประเภทหนึ่งกระนั้นหรือ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 ธันวาคม 2013
  9. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    แม้รอยเท้าของสัตว์ทุกชนิดเมื่อเหยียบลงพื้นปฐพีแล้วย่อมรวมลงไปในรอยเท้าช้างด้วยความเป็นของใหญ่แม้ข้อนี้ฉันใด
     
  10. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ดิฉันถึงบอกไงว่าตนเองเป็น Antheistไม่ใช่พุทธแท้ ดิฉันเชื่อศาสนาพุทธตามแนวทางของตนเอง
     
  11. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ความเป็นพระอริยะเจ้าก็รวมลงในธรรมวินัยนี้ด้วยความเป็นคุณาลังการอันยิ่งใหญ่ข้อนี้ก็ฉันนั้น
     
  12. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ผู้หญิงไทย ตายด้วยมะเร็งเต้านม อันดับหนึ่ง
    การโชว์ แม้นิดหน่อย ก็มีผล ในกรรม

    เคยยืนดู หนังสือที่ร้านหนังสือ
    เห็นผู้ชายยืน ลูบหน้าหนังสือเล่มนั้น ที่มีนางแบบนุ่งน้อย ในเล่ม
    ก็อยากให้พวกเธอ และเขา มาเห็นผลงานตัวเองว่ามัน ขนาดใหน
    ในสถานการณ์นั้น...
     
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ผมว่าชักจะวิเคราะห์กรรมและเหตุแห่งกรรม บิดเบือนไปกันใหญ่แล้วครับ

    กรรม มีสองส่วน ว่าด้วย
    1กรรมเกิดด้วยเจตนา
    2กรรมเกิดด้วยความไม่เจตนา

    เมื่อเหตุต่างกัน ผลที่จะได้รับก็ต่างกัน
    การที่ดอกไม้สวยงามเพราะเป็นธรรมชาติปัจจัยสรรสร้างมีเหตุของมันอย่างนั้น ไม่ได้มีเจตนาหลอกล่อแมงภู่หมู่แมลงใดๆเลย หากแต่หมู่แมลงต่างหากเป็นผู้หลงมัวเมาในพฤษชาติงดงามเหล่านั้นเอง และด้วยอวิชา ก็เข้าทำร้ายพฤษชาติเหล่านั้นป่นปี้

    ผมกำลังจะบอกว่า การสร้างกรรม เป็นเรื่องเจตนาของท่านเอง ที่ท่านต้องมีสติปัญญาให้มาก อนึ่งพระพุทธเจ้า คงสร้างบาปกรรมมากที่เกิดมาเป็นมหาบุรุษ อย่างนั้นหรือ

    สิ่งภายนอกจะยั่วยุท่านอย่างไร ด้วยที่เขาจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม หากท่านมีสติปัญญาท่านไม่พลาดพลั้ง บาปกรรมก็ไม่เกิดแก่ท่านครับ สาธุ
     
  14. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    การกระทำที่ออกจาก กาย วาจา ใจ ก็มีทั้งกุศลและอกุศล
    กรณีโปรยเสน่ห์บางทีก็ทำให้เกิดโทษแก่ตน เช่นให้ความหวัง ความเข้าใจผิดกับผู้อื่น
    เมื่อไม่เป็นอย่างที่เขาคิดทำให้เขาเข้ามาทำร้ายได้หรือทำให้ชีวิตวุ่นวายได้

    พระอริยะเจ้านอกพระศาสนา นอกธรรมวินัย จะมีได้อย่างไรในเมื่อเขายังไม่เข้าถึง
    ไตรสรณคมน์เลย แล้วจะละสังโยชน์เบื้องต้น วิจิกิจฉา ได้อย่างไร

    ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น หรือไม่มีศาสนา ถึงแม้เขาจะน้อมนำคำสั่งสอนไปปฏิบัติ ซึ่งอาจจะยังคงนับถือศาสนาเดิมอยู่หรือไม่ก็ตาม ผลจากการสนใจนำไปปฏิบัติก็เป็นหนทางสู่ความเจริญในด้านศีลและสมาธิ เมื่อความเจริญในศีลและสมาธิถึงจุดๆหนึ่งเขาถึงจะมีศรัทธาในพุทธศาสนาเกือบเต็ม จึงจะมีโอกาสเจริญตามพระธรรมวินัยต่อไป
     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ความเป็นอริยะเจ้า ตามความหมายที่ได้กำหนดไว้ตามพระไตรปิฏก นั้นเมื่อจะไปเปรียบเทียบกับศาสนาอื่นๆคงไม่สามารถกระทำได้ เพราะพื้นฐานการคิดที่ต่างกัน ปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่างกัน

    หากเราเปลี่นคำพูดใหม่ว่า ผู้มีจิตใจสูง หรือสมมุติให้เรียกว่า นักบุญ เป็นต้น หรือ ผู้มีจิตใจสูงเป็นต้น กระผมเชื่อว่า มีทุกศาสนา ผมเคยสัมผัสกับคน คริต อิสลาม มีคนอยู่ส่วนหนึ่ง ที่เขาเคารพนับถือพระเจ้า นั่นหมายถึงเขาเคารพความดีงาม เขามีการเคร่งในการปฏิบัติและถือศีล เขาละการทำบาปกรรมไม่เบียดเบียนสรรพสัตว์ เขามีการสวดมนต์ภาวนาชำระจิต ให้ขาวสะอาด แม้จะไม่สามารถชำระจิตให้บริสุทธิ์แบบพุทธได้ก็ตาม

    ดังนั้นความเป็นผู้มีจิตใจสูง ความเป็นนักบุญ ความเป็นผู้ไม่เบียดเบียน ความเป็นผู้มีจิตใจขาวสะอาดดีงาม ในทุกศาสนาก็มีหมด เทพเทวาที่ไม่ใช่พุทธก็มี จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ครับ แต่ส่วนที่แตกต่างกันคือ ความเป็นพุทธสามารถนำพาให้สรรพสัตว์พ้นทุกข์ได้แท้จริงนั่นเองครับ ความหมายของพระอริยะของพุทธจึงแตกต่างจากศาสนาอื่นๆนั้นเองไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกันครับ สาธุ
     
  16. พุธทสิณ

    พุธทสิณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2013
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +404
    1.ถ้ามีเจตนาทําให้คนอื่นมาหลงไหลอันจะนําไปชื่งการผิดศีลก็จะก็เกิดเป็นอกุสลกรรมทังสองฝ่าย.
    2.ถ้าไม่มีเจตนาทําให้คนอื่นมาหลงไหลไม่กระทําผิดศีลก็ไม่เป็นไร.

    พรหมจันทร์ คือการรักษากาย วาจา ใจ ไม่ให้ข้องเกี่ยวยุ่งแวะกับกามรมณ์ทางนอกอันมี แสง สี เสียง กลิ่น รส ผัสสะที่นําไปชื่งความหลงความยืดติดต่างๆตามมา
    ผู้ที่ถือพรหมจันทร์.....คือผู้สลัดตัวออกแล้วชื่งรสต่างๆภายนอกที่ยั่วยุไม่เป็นไปชื่งความหลุดพ้นเขาเหล่านั้นย่อมบําเพ็นเพียญชื่งการสลัดตัวออกจากกองกิเลสทั้งหลายด้วยทางสายกลางสายเอกของพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้.
    ผู้ที่ถือพรหมจันทร์....ย่อมไม่หนัก ย่อมไม่คะนอง กาย วาจา และใจ รวมแล้วคือผู้ที่สํารวมอินทรีย์สังวรไม่ให้กิเลสใหม่เกิดขื้น คอยเผากิเลสเดิมอยู่เนืองๆ.บุดคนที่มีพรหมจันทร์เช่นนี้ควรยกย่องเอาเป็นแบบอย่าง.
     
  17. jangzaazz

    jangzaazz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2009
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +427
    แล้วเป็นความผิดอะไรคะ ถ้าหากเขาเหล่านั้นเกิดมารูปร่างหน้าตาดี และไม่มีเจตนาโปรยเสน่ห์แต่อย่างใด ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...