หนูเป็นมะเร็ง หนูสงสารแม่

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Learn, 28 พฤศจิกายน 2013.

  1. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    ไม่ลองขอรับการรักษาโดยพลังจักรวาลดูละคะ
    เห็นว่ารักษาทางโทรศัพท์ก็ได้ นี่ก็ว่าจะลองเหมือนกัน
    หลายเสียงในกระทู้บอกดี
    ลองดูรายละเอียดที่กระทู้นี้นะ
    http://palungjit.org/threads/mamaa-full-center-เปิดจักระ-เชื่อม-กาย-ใจ-จิต-วิญญาณ.293491/


    อยากแนะนำให้ทานเอนไซม์ด้วยนะ
    พี่เป็นไซนัสอักเสบตั้งสิบกว่าปี หายเพราะเอนไซม์นี่แหละ
     
  2. ลูกหลานหลวงปู่

    ลูกหลานหลวงปู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +3,588
    เรื่องของกรรม หนูเชื่อไหม ถ้าหนูเชื่อหนูควรจะเพิ่มบุญกุศลในตัวหนูซะก่อน มีการทำทาน.การรักษาการ การสวดมนต์ภาวนา เป็นต้น 3 อย่างนี้มีเคล็ดลับนะ หนูอยู่ใกล้กับพี่ นาคา.สอบถามเคล็ดลับดูก่อน.เพราะว่าถ้าเรามีสายบุญร่วมกับผู้ใด.เรามักจะได้ช่องทางที่เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรมให้จากสายบุญเรานั่นแหละ
    อีกอย่างหนึ่งก็คือ การอธิษฐานบารมี
     
  3. 431240

    431240 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +643
    ข้อมูลที่นาสนใจครับ
    ทุเรียนเทศ มีฤทธิ์ฆ่ามะเร็ง ดีกว่าครีโม!
    ทุเรียนเทศ มีฤทธิ์ฆ่ามะเร็ง ดีกว่าครีโม!

    ผลการรับรองจากแล็บมากมายกล่าวว่า ผลไม้ชนิดนี้สามารถฆ่าเซลมะเร็งได้มากกว่า 12 ชนิด ซึ่งรวมถึงมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกมาก มะเร็งปอด และมะเร็งตับอ่อน ผลจากการรับประทานยาที่สกัดจากทุเรียนเทศ หรือการนำใบมาต้มเป็นชาแล้วรับประทาน จะช่วยในการฆ่าเซลมะเร็ง ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำคีโมถึง 10,000 เท่า แต่ไม่ทำร้ายเซลดีในร่างกาย

    ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าผลไม้มหัศจรรย์นี้จะช่วยสู้เซลมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดการคลื่นเหียนวิงเวียน หรือเกิดอาการผมร่วงเหมือนกับการทำคีโม เพราะส่วนผสมนั้นเป็นธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่มีเคมีใดๆ และช่วยป้องกันระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้ผู้ป่วยที่รับประทานยาสกัดจากทุเรียนน้ำมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น ช่วยให้มีกำลังวังชา

    ในส่วนที่กินได้ของทุเรียนเทศ 100 กรัม พบว่ามีน้ำ 83.2 กรัม ให้พลังงาน 59 กิโลแคลลอรี, ไขมัน 0.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรท 15.1 กรัม, เส้นใย 0.6 กรัม, โปรตีน 1.0 กรัม, แคลเซียม 14 มิลลิกรัม, เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม, วิตามินบี1 0.08 มิลลิกรัม และวิตามินซี 24 มิลลิกรัม (วิวัฒน์ พันธวุฒิยานนท์/2541)

    ชื่อ : ทุเรียนเทศ, ทุเรียนน้ำ, ทุเรียนแขก, หมากเขียบหลด, มะทุเรียน
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Annona muricata

    ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ทุเรียนเทศ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาล กิ่งอ่อนมีสีน้ำตาลแดง กิ่งแก่ขนจะร่วงหลุด

    ใบ : เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ โคนใบมน ปลายใบเป็นติ่งแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนา หลังใบเรียบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบเรียบสีอ่อนกว่า

    ดอก : ออกดอกเดี่ยวตามลำต้นหรือกิ่ง ดอกสีเหลืองอวบหนา มีกลิ่นหอม กลีบเลี้ยงมี 3 กลีบ รูปสามเหลี่ยม กลีบดอกมี 6 กลีบ แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นนอก 3 กลีบ งองุ้มรูปหัวใจ ปลายกลีบแหลม กลีบดอกชั้นในมี 3 กลีบ ขนาดเล็กกว่า

    ผล : เป็นผลกลุ่ม ผิวเป็นหนามแหลมทั้งผล สีเขียว เนื้อในสีขาว รับประทานได้ เมล็ดยาวรีสีดำ

    สรรพคุณทางยา

    ผลสุก : รับประทานแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
    ผลดิบ : รับประทานแก้โรคบิด
    เมล็ด : ใช้สมานแผลห้ามเลือด ใช้เบื่อปลาและฆ่าแมลง
    ใบ : นำมาขยี้ผสมกับปูนทาบริเวณท้องแก้ท้องอืด ใช้รักษาโรคผิวหนัง แก้ไอ ปวดตามข้อ

    ผลงานวิจัยสำคัญที่ผ่านมามีดังนี้

    -สถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐฯ (NCI) พบคุณสมบัติสำคัญว่า ทุเรียนเทศสามารถ "สยบ" อณูมะเร็งในหลอดทดลองได้ถึง 12 ชนิด โดยเฉพาะ มะเร็งยอดฮิต อย่างมะเร็งเต้านม รังไข่ ลำไล้ใหญ่ ต่อมลูกหมาก ตับ ปอด ตับอ่อน และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

    -องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา รับรองผลในการ "เสริมภูมิ" ของทุเรียนเทศนี้ว่า ทำให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี สู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้ ตัวอย่างเช่น โรคติดเชื้อไวรัสเริม และเชื้อพยาธิ

    -มหาวิทยาลัยเพอร์ดิว ได้รับการสนับสนุนการศึกษาและต่อมาได้ยืนยันว่า ทุเรียนเทศเป็นศัตรูตัวร้ายของมะเร็งในมนุษย์จริง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากและตับอ่อน

    -มหาวิทยาลัยคาทอลิกในเกาหลีใต้ ได้นำสารสกัดของทุเรียนมาเทียบกับยา "เคมีบำบัด" ซึ่งจัดเป็นยาฆ่ามะเร็งที่มีฤทธิ์แรงทั้งต่อตัวมะเร็งเองและตัวคนไข้ ปรากฎว่า ทุเรียนเทศชิงที่ 1 อย่างขาดลอย

    การรับประทาน : ใบชาที่ทำให้แห้งโดยวิธี Air Dry จะทำให้ได้ประโยชน์ในการรักษาเข้มข้นขึ้น เมื่อใบแห้งแล้วฉีกใบเป็นชิ้นเล็กๆ และตวงให้ได้ 1 ถ้วยตวงต่อน้ำ 1 ลิตร นำไปต้ม และลดไฟให้ต่ำ เคี่ยวอีก 20 นาที ใช้ดื่ม 3 ถ้วย ต่อวัน รับประทานก่อนอาหาร 30 นาที

    ดื่มน้ำชาแบบนี้ทุกวันเป็นเวลา 30 วัน เพื่อฆ่าเชื้อแบตทีเรียในร่างกาย หากต้องการดื่มติดต่อกันเกิน 30 วัน แต่ร่างกายยังไม่ดีขึ้น ให้พักซักหนึ่งสัปดาห์ก่อนจึงค่อยรับประทานชาต่อ

    ในการทำชา ต้องเลือกใบที่ไม่แก่เกินไป หรือใบที่มีสีเขียวเข้มเกินไป ควรใช้ใบที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เพื่อประโยชน์สูงสุด
     
  4. twato

    twato เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    858
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ขอเป็นกำลังใจให้ครับ แนวทางการปฏิบัติขอให้ใช้สติเลือกที่เหมาะสมกับตัวเรา
    และตั้งใจสู้ตามแนวทางที่เราเลือกแล้วอย่างสุดหัวใจ ใช้เวลาทุกนาทีให้มีค่า
    แสดงความรัก ให้กำลังใจซึ่งกันและกันครับ คนป่วยมีพลังสู้ย่อมเป็นกำลังใจให้กับ
    คนในครอบครัวที่ห่วงใยเรา กราบขอขมาบูชาคุณมารดาบิดาและคุณยาย

    ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยใจจริงครับ
    บุญรักษานะครับ
     
  5. sirenia

    sirenia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +192
    เป็นที่ไหน และระยะอะไร อายุเท่าไรแล้ว จะได้ช่วยแนะนำได้ กลับมาด้วย
     
  6. redeye127

    redeye127 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +1,474
    หายไวๆนะครับ สุ้ๆนะครับ พี่เปนกำลังใจนะ
     
  7. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ปัจจุบันโรคมะเร็งได้กลายเป็นโรคยอดนิยมที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
    ต้นเหตุของเซลล์มะเร็งเกิดจาก
    1.อองโคยีน (Oncogene) คือยีนก่อมะเร็ง เป็นยีนที่ถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม ส่งผลประมาณ 30% ในช่วงชีวิตของคนคนหนึ่งยีนชนิดนี้อาจทำงานหรือไม่ทำงานก็ได้ ถ้ายีนชนิดนี้ทำงานก็จะก่อให้เกิดเซลล์มะเร็ง
    2.สิ่งแวดล้อมที่เป็นต้นเหตุของการเกิดเซลล์มะเร็งเรียกว่า Carcinogen ส่งผลประมาณ 70% ซึ่งได้แก่
    2.1อนุมูลอิสระ เช่น สารเคมีต่าง ๆ สารกันบูด สารโซเดียมไนเตรท ยาฆ่าแมลงปนเปื้อน น้ำยาล้างจาน เครื่องสำอางค์ อาหารปิ้งย่าง (carbon) หรือใช้น้ำมันทอดซ้ำ เฟร้นช์ฟราย โดนัท มันฝรั่งทอดแบบแผ่น ขนมปังแคร๊กเกอร์ และขนมคุกกี้ มลพิษในอากาศและในน้ำ ควันบุหรี่ ไอเสียรถยนต์ ควันไฟ และของเสียจากกระบวนการเผาผลาญอาหารของเซลล์
    2.2เชื้อโรคบางชนิดได้แก่ เชื้อราบางชนิด เชื้อไวรัสบางชนิด เช่น เชื้อราอัลฟ่าท๊อกซิน เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด B หรือ C เชื้อไวรัส HPV
    2.3คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูงหรือความเข้มสูง เช่น คลื่นโทรศัพท์มือถือ คลื่นเสาอากาศถ่ายทอดสัญญาณมือถือ (site station) คลื่นคอมพิวเตอร์ คลื่น Wi-Fi ของระบบ LAN หรือระบบอินเตอร์เนต คลื่นเตาไมโครเวฟรั่วไหล คลื่นสายไฟฟ้าแรงสูงในระยะต่ำกว่า 300 เมตร
    2.4สารกัมมันตภาพรังสีต่าง ๆ เช่น ก๊าซเรดอนจากใต้พื้นดิน
    2.5พลังงานกรรมและเจ้ากรรมนายเวร
    Carcinogens เหล่านี้จะไปทำให้ DNA ภายในยีนเสียหาย จึงเป็นเหตุให้เซลล์เกิดการกลายพันธุ์ ผิดปกติ และเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นเนื้องอกร้าย
    โลกปัจจุบันเต็มไปด้วย Carcinogens ดังนั้นในร่างกายของมนุษย์ส่วนใหญ่จึงมีเซลล์มะเร็งระยะเริ่มแรก (Stage 0) เกิดขึ้น (ในทางการแพทย์ยังไม่ถือว่าเป็นโรคมะเร็ง เพราะเซลล์มะเร็งระยะเริ่มแรกนี้ยังอยู่ในที่ของมัน ยังไม่ลุกลามไปทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง ยังไม่เติบโตเป็นก้อนเนื้อร้าย) เรียกว่า Carcinoma in situ cells หรือ Precancer cells ซึ่งจะเกิดขึ้นประมาณ 6-10 กว่าครั้งตลอดช่วงอายุขัยของมนุษย์แต่ละคน
    เซลล์เหล่านี้จะถูกกำจัดให้หมดสิ้นไปโดยเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันและเอ็นไซม์โปรทิเอส ฉะนั้น จึงพบว่า มักไม่ค่อยเกิดโรคมะเร็งกับร่างกายของคนหนุ่มสาว ทั้งนี้เพราะร่างกายของคนหนุ่มสาวมีเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันและเอ็นไซม์สมบูรณ์ โรคมะเร็งจึงมักเกิดกับคนที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป เนื่องจากเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันและเอ็นไซม์ลดน้อยเสื่อมถอยลงมากแล้ว
    ส่วนร่างกายของหนูนั้นแม้อายุเพียง 21 ปี แต่ก็น่าจะมีระดับภูมิคุ้มกันและระดับเอ็นไซม์ต่ำกว่าคนหนุ่มสาวทั่วไปในวัยเดียวกัน ควรจะลองตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันและระดับเอ็นไซม์ของร่างกายดู นี่คือสาเหตุสำคัญยิ่งอีกสองอย่างของการเกิดโรคมะเร็ง นอกเหนือจาก Oncogene และ Carcinogens
    ภายหลังจากการได้รับ Chemotherapy แล้ว ร่างกายผู้ป่วยจะยิ่งมีระดับภูมิคุ้มกันและระดับเอ็นไซม์ลดต่ำมากลงไปอีก เพราะยาคีโมได้ทำลายเซลล์ดีต่าง ๆ รวมทั้งทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกันและเอ็นไซม์ลงอย่างมากด้วย หลังจากได้รับยาคีโมจนครบสูตรแล้ว ค่า CD4 ของร่างกายผู้ป่วยจะต่ำใกล้เคียงผู้ป่วยเอดส์ระยะกลางหรือระยะสุดท้าย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนชนิดต่าง ๆ และอาจเสียชีวิตด้วยโรคเหล่านั้น
     
  8. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ไม่มีแพทย์และพยาบาลคนไหนที่ยินยอมให้ยาคีโมสัมผัสมือ เพราะยาคีโมคือ Carcinogen ที่ร้ายแรงมาก อาจจะทำให้มือกลายเป็นมะเร็งได้ แล้วคุณลองคิดดูเถิดว่า ระบบการแพทย์ของประเทศเราในปัจจุบันใช้วิธีการฉีดสารเคมีชนิดนี้เข้าไปในร่างกายของผู้ป่วยแบบกระจายทั่วร่าง มิใช่แบบ Target therapy นั่นอาจเป็นเพราะความเคยชินกับการบำบัดรักษาแบบนี้มายาวนาน หรืออาจมีตรรกะว่า โรคมะเร็งขั้นสุดท้าย เซลล์มะเร็งย่อมกระจายทั่วร่างกายแล้ว แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ไม่สามารถฉีดยาคีโมใน dose ที่สูงมากพอที่จะทำลายเซลล์มะเร็งได้ทั้งหมด เพราะหากทำเช่นนั้นผู้ป่วยก็จะต้องตาย เพราะไขกระดูกจะถูกทำลายลงทั้งหมด และร่างกายหมดภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ หากบังเอิญเซลล์มะเร็งดื้อยาคีโมด้วยแล้ว ผลก็คือ แทนที่ยาคีโมจะเข้าไปช่วย กลับกลายเป็นยาคีโมเข้าไปซ้ำเติม และหลังจากการฉีดยาคีโมจนครบสูตรแล้ว โรคมะเร็งจะกลับมาลุกลามใหม่อย่างรวดเร็วมาก เพราะทั้งเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันและเอ็นไซม์ได้ถูกทำลายลงไปจนเกือบหมดแล้ว ร่างกายไม่มีกองกำลังและอาวุธเพียงพอที่จะต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้อีก อีกทั้งตัวยาคีโมเองก็คือสารก่อมะเร็งรอบใหม่
    การให้ยาคีโมแบบกระจายทั่วร่างกายจะส่งผลต่อก้อนเนื้อมะเร็งเพียง 25-30% เท่านั้น และไม่สามารถทำลายเซลล์ลูกที่กระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (มะเร็งขั้นที่ 3 ขึ้นไป) ได้ทั้งหมด อีกทั้งมีโอกาสมากที่จะส่งผลให้เซลล์ลูกหรือเซลล์มะเร็งโยกย้าย (เมล็ดพันธุ์เซลล์มะเร็ง) หรือเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง (Cancer Stem Cells) ที่เซลล์แม่ (ซึ่งได้รับยาคีโมแล้วแต่ยังไม่ตาย) ได้ปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด และฝังตัวกระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เกิดการต่อต้านดื้อยาคีโม ผลเสียร้ายแรงที่ตามมาคือ การบำบัดรักษาจะไม่ได้ผล และกลับส่งเสริมให้โรคกำเริบลุกลามอย่างรวดเร็ว
    ควรเข้าใจว่า..."แพทย์ที่เก่งที่สุดในโลกโดยธรรมชาติคือเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน" และ "ยาที่ดีที่สุดในโลกโดยธรรมชาติคือเอ็นไซม์"
     
  9. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    จากผลการสำรวจผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดและรังสีบำบัดในช่วงระหว่างปี 1990-2004 โดยนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกมะเร็ง (Oncologists) ชาวออสเตรเลีย 3 คน คือ
    1. Graeme Morgan, from the Department of Radiation Oncology, Northern Sydney Cancer Centre, Royal North Shore Hospital, Sydney, NSW, Australia
    2. Robyn Wardy, from Department of Medical Oncology, St Vincent’s Hospital, Sydney, NSW, Australia
    3. Michael Bartonz, from Collaboration for Cancer Outcomes Research and Evaluation, Liverpool Health Service, Sydney, NSW, Australia
    ปรากฏว่า ผู้ป่วยมะเร็งในออสเตรเลียประมาณ 73,000 คน ร้อยละ 97.7 เสียชีวิตภายใน 5 ปี และผู้ป่วยมะเร็งในสหรัฐอเมริกาประมาณ 155,000 คน ร้อยละ 97.9 เสียชีวิตภายใน 5 ปีเช่นกัน จึงพอสรุปได้ว่าผู้ป่วยมะเร็ง 98% เสียชีวิตภายใน 5 ปี
    The study was published in the Journal of Clinical Oncology (2004) 16: 549-560: The Contribution of Cytotoxic Chemotherapy to 5-year Survival in Adult Malignancies, by Graeme Morgan, Robyn Wardy, Michael Bartonz
    The Scientific America (1985) Volume 253, Number 5, Pages 51-59 in the Article Entitled: The Treatment of Diseases and The War Against Cancer, by John Cairns: on page 59 the following is printed:
    “… All told, adjuvant treatments now avert a few thousand (perhaps 2 or 3 percent) of the 400,000 deaths from cancer that occur each year in the U.S. …”
    Martin Walzek said : If I had a 98% failure rate in my profession, I'd look for something else to do. The cancer doctors choose to ignore it and motor on with their warnings that "...if you don't do this chemo, you'll die."
    การเรียนหนังสือในช่วงวัยเด็กยุคก่อน ถ้าใครสอบตกได้คะแนนเฉลี่ย 48% หมายความว่า สอบผ่าน 48% และสอบตก 52% แต่จากผลของการศึกษาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การแพทย์แผนปัจจุบันสอบผ่านเพียง 2% และสอบตก 98% (ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง)
    จากผลการสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า วิธีการบำบัดรักษาแบบเดิมที่ใช้กันมาเป็นเวลานานแล้ว ยังไม่มีประสิทธิผลที่ดีเพียงพอที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วยในระยะยาวได้
    แม้ว่าการสำรวจจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวจะผ่านมา 9 ปีแล้ว แต่วิธีการบำบัดรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันส่วนใหญ่โดยทั่วไปก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม ฉะนั้น ผลลัพธ์ของการบำบัดรักษาจึงน่าจะเหมือนเดิม
    (การแพทย์ของไทยน่าจะไม่เจริญก้าวหน้าไปกว่าสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย)
    การบำบัดรักษาด้วย Western Medicine แบบเดิม ๆ เช่น การผ่าตัด Radiotherapy Chemotherapy และ Hormonotherapy ส่วนใหญ่ยังไม่เพียง พอที่จะเอาชนะโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งขั้นที่ 4 หรือแม้แต่ขั้นที่ 3 ก็ตาม (ผลการสำรวจข้างต้นไม่ได้ระบุไว้ว่า เป็นสถิติของผู้ป่วยโรคมะเร็งขั้นใดบ้าง)
     
  10. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    การที่หมอคนใดพูดกับผู้ป่วยโรคมะเร็งขั้นสุดท้ายและญาติว่า ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิต 10% เขาย่อมรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ผลสุดท้ายจะจบลงอย่างไร แต่เพื่อการพัฒนาด้าน GDP ทางการแพทย์ (โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน) เขาจึงพูดในเชิงแบ่งรับแบ่งสู้และให้ความหวัง แต่ไม่ยอมฟันธง
    บางครั้ง การได้มีโอกาสฟังหมอรักษาโรคมะเร็งขั้นสุดท้ายพูดกับผู้ป่วยและญาติในเชิงให้ความหวังแล้ว ทำให้นึกถึงหลักการพูดของนักการทูต
    ถ้านักการทูตพูดคำว่า “Yes” เขาหมายถึง “Perhaps”
    ถ้าเขาพูดคำว่า “Perhaps” เขาหมายถึง “No”
    ถ้าเขาพูดคำว่า “No” เขาก็ไม่ใช่นักการทูต
    เมื่อไม่กี่ปีก่อน เคยมีบุคคลที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งขั้นสุดท้าย ท่านได้รับการบำบัดรักษาด้วยยาคีโมชนิดที่ดีมากในช่วงนั้น แต่โรคก็ยังลุกลามรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อมาแพทย์ได้เสนอแนะว่า “ขณะนี้ในต่างประเทศมียาดีใหม่ล่าสุดและเป็นยาที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ราคาเข็มละหนึ่งล้านกว่าบาท” พูดราวกับว่า หากใช้ยานี้แก่ผู้ป่วยท่านนั้นแล้ว น่าจะรอดชีวิตหรือหายจากโรคมะเร็งได้ ผู้ป่วยท่านนั้นและญาติจึงตัดสินใจใช้ยาดังกล่าว ผลปรากฏว่า เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ผู้ป่วยท่านนั้นก็เสียชีวิตลง ผู้ป่วยท่านนั้นนามสกุล “เกตุทัต” จบจาก Harvard, Ph.D. สามารถสืบค้นข้อเท็จจริงนี้ได้
    ปัจจุบันมีข้อเท็จจริงบางอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือ คนเป็นแพทย์จำนวนไม่น้อยที่คำนึงถึงเรื่องธุรกิจมากกว่าเมตตาธรรม ธุรกิจต้องมาก่อนเมตตาธรรม...หมอต้องเมตตาตนเองก่อน แล้วจึงค่อยเมตตาผู้อื่น...
    จากข้อเท็จจริงที่ว่า ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้ทุ่มเทเงินทุนจำนวนมหาศาลหลายล้าน-ล้านดอลล่าร์เพื่อการค้นคว้าวิจัยวิธีการบำบัดรักษาโรคมะเร็ง แต่กลับไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย ไม่ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการบำบัดรักษาโรคมะเร็งให้ดีขึ้นหรือแตกต่างไปจากเดิมแต่อย่างใด ยังคงใช้ Chemotherapy เป็นหลักเหมือนเดิม เหตุผลอาจเป็นเพราะวิธีการนี้สามารถทำเงินให้กับหมอได้มากกว่าวิธีการอื่น
    “Are the oncologists just mindless heartless doctors in it for the buck?”
    Today News ได้รายงานข่าวเมื่อ 14 สค. 2013 โดย Jeff Rossen and Robert Powell ว่า อัยการกำลังดำเนินคดีกับ Dr. Farid Fata แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งผู้มีชื่อเสียงในรัฐ Michigan ที่ได้ให้ยาคีโมแก่ผู้ป่วยโดยไม่สมควร โดยให้ยาคีโมทั้งผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งและผู้ที่มิได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งรวมหลายพันคน รวมเป็นเงินค่ารักษาสูงถึง 35 ล้านดอลล่าร์ (สหรัฐฯมีกองทุนประกันสุขภาพประชาชน)
    Investigators say a popular doctor in Michigan with more than thousand patients was telling people they had cancer even when they didn't, then treating them, all for the money. Prosecutors say he was giving chemotherapy to people who didn't need it, some of whom didn't have cancer at all, as part of an alleged $35 million fraud.
    Dr. Farid Fata, a trusted oncologist, preyed on patients to pad his pockets, prosecutors say. Just last week the FBI hauled evidence from his offices in upscale Michigan neighborhoods. The charges against Fata are disturbing: "deliberate misdiagnosis of patients as having cancer," giving "unnecessary chemotherapy," even to "end-of-life patients who will not benefit."
    เคยมีผู้ป่วยโรคมะเร็งคนหนึ่งที่ได้รับยาคีโมมาระยะหนึ่งแล้วและร่างกายทนไม่ได้กับ side effect ของยาคีโม จึงหยุดการรับยาคีโม และหันไปพึ่งธรรมชาติบำบัดแทนจนกระทั่งร่างกายแข็งแรงดีขึ้นมาก และการลุกลามของโรคมะเร็งได้ลดน้อยลงแล้ว เมื่อแพทย์ทราบเรื่องจึงขอให้ผู้ป่วยกลับไปรับการบำบัดรักษาด้วยยาคีโมอีกครั้ง ผู้ป่วยเชื่อหมอ ผลก็คือผู้ป่วยมีอาการเลือดไหลออกทางจมูกและปาก และเสียชีวิตลงในเวลาอันรวดเร็วเพราะพิษของยาคีโม หมอปฏิเสธความรับผิดชอบใด ๆ โดยอ้างว่า ร่างกายของผู้ป่วยแพ้ยาคีโมเอง...หมอทำอะไรก็ไม่เคยผิดทั้งนั้น...The doctor can do no wrong !...ทำไมหมอจึงไม่มีความรอบคอบให้มากกว่านี้ ?
    ปัจจุบันและในอนาคต การบำบัดรักษาโรคมะเร็ง น่าจะยกเลิกวิธีการให้ยาคีโมแบบกระจายทั่วร่างกาย หากต้องการทำลายก้อนเนื้อมะเร็งก็ควรใช้วิธีการให้ยาคีโมแบบจำเพาะเจาะจง (Target Chemotherapy) หรือใช้วิธีการอื่น ส่วนเซลล์มะเร็งที่กระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายควรบำบัดรักษาด้วย Immunotherapy และ Enzymotherapy เป็นหลักสำคัญ
     
  11. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    การบำบัดรักษาด้วย Western Medicine เช่น การผ่าตัด การใช้ยาเคมีบำบัด รังสีบำบัด และฮอร์โมนบำบัด ส่วนใหญ่ยังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะโรคมะเร็งได้
    การบำบัดรักษาโรคมะเร็งจำเป็นต้องใช้วิธีการที่หลากหลายร่วมกัน จึงจะมีโอกาสเอาชนะโรคมะเร็งได้ นั่นคือการใช้ Integrative Medicine หรือ Holistic Medicine ในการบำบัดรักษา โดยใช้ทั้งการแพทย์แผนตะวันตกและการแพทย์ทางเลือกหลายสาขาร่วมกันในลักษณะของ Complementary Medicine
    ปัจจุบันได้มีการคิดค้นวิธีการบำบัดรักษาโรคมะเร็งแบบใหม่ขึ้นหลายวิธี ดังเช่น
    1.Target therapy คือการบำบัดรักษาแบบจำเพาะเจาะจง
    1.1การฉีดยาเคมีบำบัดไปที่ก้อนเนื้อมะเร็งโดยตรง ด้วยการสอดสายยางขนาดเล็กเข้าไปเส้นเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงเนื้องอก วิธีนี้ได้ผลในการกำจัดก้อนเนื้อมะเร็งมากประมาณ 80-90% แต่ยังมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง
    1.2การฉีดยาเคมีบำบัดพิเศษไปที่ก้อนเนื้อมะเร็งโดยตรง ด้วยการสอดสายยางขนาดเล็กเข้าไปเส้นเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงเนื้องอก โดยการใช้เทคโนโลยีพิเศษสกัดยาเคมีบำบัดหนึ่งชนิดหรือหลายชนิด แล้วทำให้ยาฝังตัวอยู่กับอนุภาคขนาดเล็ก วิธีการนี้แทบไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ เลย
    1.3การฉีดพิษผึ้งหุ้มก้อนนาโนคาร์บอนไฮไดรขนาด 300 นาโนเมตร ที่เคลือบไว้ด้วยไขมันบางชนิดที่สามารถละลายได้เมื่อสัมผัสกับสารเคมีจากเซลล์มะเร็ง ไปที่ก้อนเนื้อมะเร็งโดยตรง
    1.4การฉีดเอทิลแอลกอฮอลบริสุทธิ์ 100% ไปที่บริเวณฐานของก้อนเนื้อมะเร็งโดยตรง แอลกอฮอลจะทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงมะเร็งถูกขัดขวาง และแอลกอฮอล์จะเข้าไปเหนี่ยวนำให้มีการทำลายเซลล์มะเร็ง ด้วยการไปดึงน้ำออกมาจากเซลล์มะเร็ง ทำให้โครงสร้างของโปรตีนภายในเซลล์เสียไป
    1.5การผ่าตัดด้วยความเย็นจัดกับก้อนเนื้อมะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งตาย ได้ผลมากประมาณ 95-100%
    1.6การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูงส่งผ่านปลายเข็มไปในก้อนเนื้อมะเร็ง ทำให้โมเลกุลในเซลล์มะเร็งเกิดการสั่นสะเทือนแล้วเสียดสีกันเกิดเป็นความร้อนขึ้น คล้ายหลักการของเตาอบไมโครเวฟ
    1.7การฝังแร่ไอโอดีน 125 หรือพัลเลเดียม 103 เข้าไปในก้อนเนื้อมะเร็ง
    1.8การใช้ไวรัส Oncorine H101 ทำลายสลายเซลล์มะเร็ง โดยการเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลของไวรัสธรรมชาติ ด้วยเทคโนโลยีวิศวกรรมยีน จนสามารถแก้ไขปัญหาได้ โดยการทำให้ไวรัสธรรมชาติไม่สามารถขยายตัวทำลายเซลล์ปกติได้ แต่สามารถขยายตัวทำลายเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งจะทำให้เซลล์มะเร็งละลายสลายไป
    2.Immunotherapy คือการบำบัดรักษาโดยการเสริมเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
    3.Enzymotherapy คือการบำบัดรักษาโดยการเสริมเพิ่มปริมาณเอ็นไซม์ในร่างกาย
    4.Far Infrared Ray / FIR Therapy คือการบำบัดรักษาโดยการใช้พลังงานคลื่นรังสีความร้อนพิเศษฟาร์อินฟราเรด
    5.Vital-Force Energy Therapy คือการบำบัดรักษาโดยการใช้พลังชีวิต (พลังจักรวาล, พลังชี่, พลังปราณ, พลังคุนดาลินี, เรกิ ฯลฯ)
     
  12. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    การบำบัดรักษาแบบองค์รวม (Holistic Medicine)
    ก่อนอื่น ต้องตัดเสบียงอาหารของก้อนเนื้อมะเร็งก่อน ก้อนเนื้อมะเร็งดำรงอยู่และขยายตัวได้ ต้องอาศัยเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยง โดยก้อนเนื้อมะเร็งจะปลดปล่อยสารเคมีบางอย่างออกมาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเส้นเลือดใหม่ไปหล่อเลี้ยง
    วิธีแก้อาจทำได้หลายอย่างดังนี้
    1.แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาที่ระงับการงอกใหม่ของเส้นเลือด (Angiogenesis inhibitor) ซึ่งเคยเป็นยาแก้แพ้ท้องของสตรีในอดีตที่ปัจจุบันห้ามขายแล้ว เพราะทำให้ทารกในครรภ์พิการ เช่น ยา Endostatin, Angiostatin, Thalidomide วิธีการนี้ยังไม่เคยมีการใช้กับผู้ป่วยในประเทศไทย
    2.แพทย์อาจฉีดสารบางอย่างเพื่ออุดหลอดเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงก้อนเนื้อมะเร็ง
     
  13. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ต้องควบคุมงดเว้นอาหารต้องห้ามและสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ อย่างเคร่งครัดตลอดชีวิต ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตในแบบเดิมที่เคยชินได้อีก
    การควบคุมอาหาร เพื่อตัดเสบียงอาหารที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และเพื่อการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
    งดอาหารรสหวาน เค็ม มัน (เปรี้ยวอนุโลมบ้าง)
    งดน้ำตาล งดโซเดียม เช่น เกลือ (โซเดียมคลอไรด์) ผงชูรส (โซเดียมกลูตาเมท) วิตามินซีชนิดโซเดียมแอสคอร์เบท หากต้องการรสหวานบ้าง ให้ใช้น้ำผึ้งปริมาณเล็กน้อย
    งดอาหารที่ทำจากแป้งขาวทุกชนิด ให้กินข้าวกล้องแทนข้าวขาว
    งดอาหารที่มีไขมันมาก
    งดเนื้อสัตว์ที่เป็นเนื้อแดงทุกชนิด (วัว ควาย หมู แพะ แกะ) แม้เป็ดและไก่ก็ไม่ควรกิน รวมทั้งงดน้ำนมของสัตว์เหล่านั้นด้วยเพราะมีโปรตีนชนิดเดียวกัน และน้ำนมยังทำให้เกิดเมือก (Mucus) ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง อาจกินปลาได้บ้างสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หากกินอาหารแบบแมคโครไบโอติคหรือแบบมังสะวิรัติได้ตลอดไปจะได้ผลดีมาก
    ไม่ควรกินโปรตีนจากถั่วเหลือง เพราะมีโทษแฝงอยู่ และมีผลเสียต่อการบำบัดรักษาโรคมะเร็งแบบธรรมชาติบำบัด
    โปรตีนที่ดีและเหมาะสม คือ โปรตีนจากสาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina) มีกรดอะมิโน 18 ชนิด และยังช่วยเสริมเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันได้ 48% (ของกิฟฟารีนปลอดภัยสูงและราคาไม่แพง)
    ห้ามกินเงาะเพราะมีสารยับยั้งเอ็นไซม์ (Enzyme Inhibitor) ปริมาณมาก
    ห้ามกินแตงโมและผักคะน้าทั่วไปเพราะมีสารพิษตกค้างอยู่ภายในมาก
    ห้ามบริโภคน้ำนมถั่วเหลือง กาแฟ ชา (ยกเว้นชาเขียว) น้ำอัดลม (pH = 3 / มีสภาวะความเป็นกรดสูงมาก) เครื่องดื่มชูกำลัง ช็อคโคแลต แอลกอฮอล์ และบุหรี่
    หลีกเลี่ยงสารพิษ Dioxins จากพลาสติค (เป็นพิษร้ายแรง และก่อมะเร็ง)
    1. ห้ามใช้ภาชนะพลาสติคบรรจุอาหารใส่เตาไมโครเวฟ หรือบรรจุอาหารร้อน น้ำร้อน
    2. ห้ามใช้แผ่นพลาสติค Wrap หุ้มอาหารใส่เตาไมโครเวฟ
    3. ห้ามใช้ขวดน้ำพลาสติคใส่ช่องทำน้ำแข็งของตู้เย็น
     
  14. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    เซลล์มะเร็งชอบสภาวะความเป็นกรด แต่ไม่ชอบสภาวะความเป็นด่าง
    เซลล์มะเร็งชอบสิ่งแวดล้อมที่มีสภาวะเป็นกรด (ค่า pH น้อยกว่า 7) และโดยตัวของมันเองก็มีสภาวะเป็นกรด ภายในเซลล์มะเร็งมีค่า pH = 6.0 ถ้าสามารถทำให้ของเหลวที่อยู่ล้อมรอบเซลล์มะเร็งมีสภาวะเป็นด่างมากขึ้นเช่นมีค่า pH = 7.6 ขึ้นไป เซลล์มะเร็งก็จะสะบักสะบอมและขยายตัวไม่ได้ และหากทำให้ค่า pH = 8.5 ได้เมื่อใด เซลล์มะเร็งก็จะตายในทันที อย่างไรก็ดี แม้จะดื่มน้ำที่มีค่า pH = 8.5 เข้าไปในร่างกาย แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ของเหลวในร่างกายมีค่า pH = 8.5 ได้ เพราะต้องผสมผสานกับน้ำและของเหลวอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วในร่างกาย
    ค่าความเป็นกรดหรือด่างภายในเซลล์มะเร็งขึ้นอยู่กับปริมาณของ O2 ด้วย ถ้า O2 มากจะเป็นด่าง
    จึงห้ามดื่มน้ำกลั่นเพราะมีสภาวะเป็นกรด (pH = 6.81) และห้ามดื่มน้ำประปาจากก๊อก เพราะมีสารพิษและโลหะหนักปนเปื้อน ให้ดื่มน้ำกรอง หรือน้ำที่มีสภาวะเป็นด่างและควรมีออกซิเจนมาก (เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะแวดล้อมที่มีออกซิเจนมาก)
    ดื่มน้ำที่มีสภาวะเป็นด่าง เช่น น้ำด่างที่บรรจุขวดขาย หรือน้ำด่างที่ผลิตจากเครื่องทำน้ำด่าง Kangen (pH = 8.5-9.0) ซึ่งคิดค้นโดย Dr. Hiromi Shinya, น้ำแร่, น้ำผลไม้สด (มีสภาวะเป็นด่าง) คั้นที่ไม่หวานหรือหวานน้อย และหากสามารถดื่มน้ำหกเหลี่ยม (Hexagonal Water) หรือน้ำกลุ่มโมเลกุลเล็กได้ก็จะให้ผลดีมาก การผลิตน้ำหกเหลี่ยมสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การผ่านสนามแม่เหล็ก โดยใช้แม่เหล็กแรงสูงวางไว้ใต้ภาชนะบรรจุน้ำ แล้วกวนน้ำให้หมุนวนเพื่อตัดกับเส้นแรงแม่เหล็ก หรือใช้วัสดุที่มีพลังงานสเกล่าร์ เช่น เหรียญควอนตัม วางไว้ใต้ภาชนะบรรจุน้ำก็ได้
    หลอดเลือดดำมีค่า pH = 7.38 และหลอดเลือดแดงมีค่า pH = 7.45
    เลือดมีการเปลี่ยนแปลงค่าความเป็นด่างได้น้อยกว่าของเหลวอื่น ๆ ในร่างกาย
    ห้ามเครียด ห้ามโกรธ เพราะร่างกายจะหลั่ง Cortisol hormone ที่ช่วยส่งเสริมเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และจะทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดอีกด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2013
  15. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ควรกินอาหารแบบแม๊คโครไบโอติคหรือแบบมังสะวิรัติตลอดชีวิต
    ต้องกินอาหารเสริมที่สามารถช่วยเพิ่มเอ็นไซม์ (Enzymes) ปริมาณมากให้แก่ร่างกาย
    ควรกินน้ำผักผลไม้สดหลากหลายชนิด หากเป็น sprout ได้ก็จะยิ่งดีมากเพราะมีเอ็นไซม์สดค่อนข้างมาก
    ต้องกินอาหารเสริมที่สามารถช่วยเพิ่มเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
    ประเทศรัสเซียเป็นประเทศที่ได้รับการจัดอันดับให้มีความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์เป็นอันดับสองของโลก กระทรวงสาธารณสุขของรัสเซียได้สนับสนุนให้โรงพยาบาลทั่วประเทศรัสเซียใช้อาหารเสริมที่สามารถช่วยเพิ่มเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เสริมสนับสนุนการบำบัดรักษาโรคมะเร็ง
    ควรกินอาหารเสริมที่สามารถช่วยเพิ่มเสริมสร้างเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันประเภท Natural killer cells (NK cells)
    1.น้ำลูกยอ Noni (Morinda Citrafolia) @ 15 %
    2.ว่านหางจระเข้ Aloe Vera Concentrate (acemannan) @ 15 %
    3.Endocrine System Formula @ 16 %
    4.สารพฤกษเคมี Phytonutrient Formula @ 21 %
    5.Bovine Colostrum @ 23 %
    6.ถั่งเฉ้า Cordyceps Formula @ 28 %
    7.เห็ดชิอิทาเกะ Shiitake Mushroom @ 42 %
    8.เห็ดหลินจือ @ 42%
    9.ดอกโคนสีม่วง อิชิเนเซีย (Echinacea Purpurea) @ 43%
    10.Plant Polysaccharide Formula @ 48%
    11.สาหร่ายเกลียวทอง Spirulina @ 48%
    12.Beta-glucan @ 48%
    13.Inositol HexaPhosphate (IP6/I-P6) @ 49%
    14.สารสกัดจากผลมังคุด (Mangosteen) BIM-100 @ 76%
    15.Transfer Factor Classic @ 204%
    16.Transfer Factor Advanced Formula @ 283%
    17.Transfer Factor Plus Advanced Formula @ 437%
    Activation kill rate of cancer cells, 97% within 48 hours
    เปรียบเทียบกับยาฉีด Interleukin-2 @ 389%
    Activation kill rate of cancer cells, 88% within 48 hours
    (Interleukin-2 เป็นยาฉีดประเภทระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นในห้อง Lab ถ้าสั่งซื้อเอง ราคาเข็มละ 5 แสนบาท ถ้าผ่านโรงพยาบาลเอกชน น่าจะเข็มละล้านกว่าบาท)
    ควรเข้าใจว่า...
    แพทย์ที่เก่งทีสุดในโลกโดยธรรมชาติ คือ เซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน
    ยาที่ดีที่สุดในโลกโดยธรรมชาติ คือ เอ็นไซม์
    เซลล์มะเร็งก็มีเกราะห่อหุ้มป้องกันนิวเคลียสที่สร้างด้วยโปรตีนไฟบริน เชื้อแบคทีเรียและพาราสิทก็สร้างด้วยโปรตีน เชื้อไวรัสก็ห่อหุ้มด้วยโปรตีน เชื้อราก็มีนิวเคลียสเป็นโปรตีนและห่อหุ้มด้วยไคติน (คาร์โบไฮเดรทชนิดแข็ง) เซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน เซลล์เม็ดเลือดขาวที่เป็นเซลล์นักฆ่า (natural killer cells) มีเอ็นไซม์ protease เป็นอาวุธสำคัญร่วมกับสาร cytotoxic เอ็นไซม์ protease หรือ proteolytic enzymes เป็นเอ็นไซม์ที่สามารถกิน (like Pac Man with shark-like teeth) หรือย่อยสลายหรือแยกสลายโปรตีนชนิดต่าง ๆ ได้ จึงสามารถทำลายผนังเซลล์มะเร็งก่อนการกำจัดเซลล์มะเร็ง สามารถทำลายเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ และสารแปลกปลอมชนิดต่าง ๆ ได้อย่างดีและมีประสิทธิผลมาก
     
  16. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ควรกินอาหารเสริม Inositol HexaPhosphate (IP6) ซึ่งช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ 49% และออกฤทธิ์เพิ่มการทำงานของยีนกดมะเร็ง คือยีน (Gene) TP53
    โรงพยาบาลจอนส์ ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา ได้ใช้ IP6 ในการบำบัดรักษาโรคมะเร็งร่วมกับวิธีการอื่น
    มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนในสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่เมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2419 (ค.ศ. 1876) เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในสหรัฐอเมริกาที่ใช้รูปแบบการจัดการศึกษาแบบมหาวิทยาลัยในเยอรมนี และเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในสหรัฐอเมริกาที่จัดการเรียนการสอนโดยใช้การสัมมนาแทนการสอนโดยการบรรยายเพียงอย่างเดียว รวมทั้งเป็นมหาวิทยาลัยอเมริกันแห่งแรกที่จัดให้มีวิชาเอก (major) แทนหลักสูตรศิลปศาสตร์ทั่วไป ดังนั้น จอนส์ ฮอปกินส์จึงเป็นต้นแบบของมหาวิทยาลัยวิจัยขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งใน 14 สมาชิกก่อตั้งสมาคมมหาวิทยาลัยอเมริกัน หรือ Association of American Universities
    จากสถิติของกองทุนวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation) ของสหรัฐอเมริกา จอนส์ ฮอปกินส์เป็นมหาวิทยาลัยที่ครองอันดับ 1 ในด้านการใช้งบประมาณการวิจัยและพัฒนาในสาขาวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และวิศวกรรมศาสตร์ เป็นเวลา 30 ปีต่อเนื่องกัน และเป็นสถาบันที่ได้รับการอ้างอิงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จนถึงพ.ศ. 2552 มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์จำนวน 33 คนที่ได้รับรางวัลโนเบล
     
  17. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    กินอาหารเสริมที่ให้กรดอะมิโน L-Arginine, L-Glutamine, L-Ornithine, L-Lysine ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ชะลอวัย และคืนความเป็นหนุ่มเป็นสาว
    แบรนด์ไทยราคาไม่แพงคือ VISTRA : L-Arginine, L-Ornithine
    กินอาหารเสริมที่ออกฤทธิ์ต่อต้านเซลล์มะเร็งโดยตรงและหรือต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น
    สารสกัดจากชาเขียว (สารสกัด EpiGalloCatechin-3-Gallate_EGCG) ของกิฟฟารีน ปราศจากคาเฟอีน สามารถกำจัดมะเร็งได้ 25 ชนิด และยังเป็น Super Anti-oxidant ด้วย
    กินวิตามินรวมและเกลือแร่ที่จำเป็น (Co-enzymes)
    ดื่มน้ำผักและผลไม้สดปั่น (Vegetables and Fruit Juices) ช่วยให้ร่างกายได้รับเอ็นไซม์ วิตามิน เกลือแร่ สารต่อต้านอนุมูลอิสระ และช่วยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะเป็นด่าง
     
  18. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ออกกำลังกายแบบแอโรบิค (เช่น จ๊อกกิ้ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เต้น) เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมาก (เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะแวดล้อมที่มีออกซิเจนมาก) และเพื่อช่วยเสริมสร้างเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน
    ฝึกหายใจลึกและยาว เสมอ ๆ จนติดเป็นนิสัย เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น (เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะแวดล้อมที่มีออกซิเจนมาก) และยังได้รับพลังชีวิตเพิ่มขึ้นด้วย
    *ประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน (มือข้างหนึ่งหงาย มืออีกข้างหนึ่งคว่ำ) จัดวางให้นิ้วชี้-นิ้วกลาง-นิ้วนางของมือแต่ละข้างแนบชิดติดกันโดยให้นิ้วชี้-นิ้วกลาง-นิ้วนางของมือแต่ละข้างสัมผัสที่จุดชีพจรของมืออีกข้างหนึ่ง ซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งฝึกหายใจเข้ายาว ๆ ลึก ๆ ทางจมูก โดยขณะหายใจเข้าให้คิดถึงจุดกึ่งกลางกระหม่อมหรือจักระที่ 7 แล้วกลั้นลมไว้ประมาณ 3 วินาที ต่อจากนั้นค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้า ๆ ทีละน้อยอย่างต่อเนื่องด้วยการบีบริมฝีปากไว้ให้จำกัดลมออก ร่างกายจะได้รับอ็อกซิเจนมากในขณะผ่อนลมออก ให้หายใจแบบนี้ 10 รอบ เรียกว่าการหายใจเพื่อรับอ็อกซิเจนและพลังชีวิต (พลังปราณ) 1 เซ็ท (set) ในแต่ละวันให้ทำหลาย ๆ เซ็ทเท่าที่มีโอกาส ยิ่งทำได้มากก็ยิ่งดี
    อ็อกซิเจนและพลังชีวิต (พลังปราณ) ที่ได้รับจะเข้าสู่กระแสเลือดและส่งต่อไปยังเซลล์มะเร็ง ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ เพราะเซลล์มะเร็งไม่ชอบสภาวะที่มีอ็อกซิเจนมาก (Oxygenated Environment)
    พลังชีวิต (พลังปราณ) ที่ได้รับเข้ามาจากการส่งผ่านพลังชีวิตเข้าสู่กระแสเลือด สามารถนำไปใช้ในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็งที่อาจกระจายอยู่ทั่วร่างกายได้อย่างดี เสมือนการฉีดยาคีโมเข้ากระแสเลือด แต่ไม่มีผลร้ายเหมือนคีโม
    นอกจากนี้ควรจัดหาถังอ็อกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยการหายใจด้วยอ็อกซิเจนมาใช้ เพื่อเพิ่มปริมาณอ็อกซิเจนให้กระแสเลือดและเซลล์มะเร็งในทุก ๆ วัน แต่ต้องขอรับคำแนะนำในการให้อ็อกซิเจนจากแพทย์ก่อน เพื่อมิให้ร่างกายได้รับอ็อกซิเจนมากจนเกินไป
    Dr. Otto Heinrich Warburg (Doctor of Medicine and Doctor of Chemistry), Noble prize winner 1931, นายแพทย์และนักเคมีชาวเยอรมันได้ค้นพบว่า เซลล์มะเร็งมักเกิดขึ้นในสภาวะแวดล้อมหรือบริเวณที่ปราศจากอ็อกซิเจนหรือมีอ็อกซิเจนน้อย
    การบำบัดรักษาโดยการใช้พลังชีวิต-พลังจักรวาล มีความแตกต่างออกไป กล่าวคือ ต้องได้รับการเปิดจักระ 100% จากอาจารย์พลังจักรวาลระดับสูงสุด
    ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนระหว่างพลังปราณและพลังจักรวาลอยู่กับบุคคลจำนวนมาก ส่วนใหญ่เข้าใจว่าเหมือนกัน เพียงแต่เรียกชื่อต่างกันเท่านั้น ความจริงก็คือ พลังปราณเป็นส่วนหนึ่งของพลังจักรวาล หมายความว่า พลังจักรวาลมีหลากหลายคลื่นพลังงานรวมเบ็ดเสร็จอยู่ในตัวเอง มากกว่าพลังปราณ สามารถสลายพลังงานด้านลบในร่างกายผู้ป่วยได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องดึง/กวาดพลังงานด้านลบออกจากร่างกายผู้ป่วยก่อนที่จะส่งพลังงานด้านบวกเข้าไปบำบัดรักษา
    ผู้ฝึกวิชาพลังปราณที่ไม่เข้าใจในเรื่องนี้ จึงมักกล่าวดูหมิ่นวิชาพลังจักรวาลในเรื่องการไม่ดึง/กวาดพลังงานด้านลบออกจากร่างกายผู้ป่วยก่อนที่จะส่งพลังงานด้านบวกเข้าไปบำบัดรักษา นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมจึงต้องมีการเปิดจักระ 100% ในวิชาพลังจักรวาล เพราะคนที่ไม่ได้รับการเปิดจักระ 100% ก็สามารถฝึกฝนและรับพลังปราณเข้าจักระต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง แต่ไม่สามารถรับพลังจักรวาลที่มีคลื่นพลังงานหลากหลายเบ็ดเสร็จได้
     
  19. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    การทำสมาธิ
    การทำสมาธิเพื่อลดความเครียด และเพื่อเสริมสร้างเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน
    การทำสมาธิเพื่อแสดงความสำนึกผิด เพื่อขอขมาและขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร
    *ข้อนี้สำคัญมาก ขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด*
    การทำสมาธิและการกล่าวคำอธิษฐานของผู้ป่วย ถึงเจ้ากรรมนายเวร
    1.ทำสมาธิสัก 2-3 นาทีก่อน เพื่อให้จิตผ่อนคลาย สงบ และมีพลังในการอธิษฐานจิต เพื่อให้สามารถส่งถึงเจ้ากรรมนายเวรได้
    2.พูดในใจหรือกล่าวออกเสียงคำอธิษฐานดังนี้
    “ ข้าพเจ้าชื่อ.................................นามสกุล....................................ขอตั้งจิตอธิษฐานถึงท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้าว่า กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้เคยผิดพลาดกระทำกรรม กระทำบาป เคยประทุษร้ายต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายในอดีตชาติก็ดี ในปัจจุบันชาติก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเจ้ากรรมนายเวรที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยโรค.................(มะเร็ง).................ของข้าพเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังได้รับผลกรรมนั้นแล้ว ข้าพเจ้าได้สำนึกผิดแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจในการกระทำกรรมของข้าพเจ้าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ข้าพเจ้าจึงกราบขอขมาและขออโหสิกรรมต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายได้โปรดมีจิตเมตตากรุณาให้อภัยทานต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด สิ่งใดที่เป็นผลร้ายที่ท่านเจ้ากรรมนายเวรได้ฝากไว้กับร่างกายของข้าพเจ้า ขอได้โปรดนำกลับไปเถิด และข้าพเจ้าขอทำสมาธิเพื่อแสดงการสำนึกผิดและขอขมากรรมต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย หากท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายเห็นเป็นการสมควร ขอได้โปรดอนุโมทนาบุญในการทำสมาธิครั้งนี้ด้วยเถิด และหากท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายเห็นสมควรร่วมการทำสมาธิในครั้งนี้ ก็ขอได้โปรดปฏิบัติเถิด ”
    ต่อจากนั้นจึงเริ่มการทำสมาธิ
    หมายเหตุ ห้ามอธิษฐานกำหนดระยะเวลาการทำสมาธิโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะผิดสัจจะถ้าทำไม่ได้ครบตามเวลา จะทำน้อยทำมากอย่างไรก็ได้ตามความเหมาะสม
     
  20. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    แผ่เมตตาให้ตนเอง โดยคิดถึงจิตวิญญาณที่อยู่ในจิตส่วนลึก และคิดถึงเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย โดยการยิ้มในใจ และพูดในใจ “จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด”
    แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งและเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย โดยการยิ้มในใจ และพูดในใจ “จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด”
     

แชร์หน้านี้

Loading...