กรรมจากการพูดทะลุกลางปล้อง และกรรมต่อเนื่อง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย solardust, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    ประสบการณ์ตรงนะครับ...อ่านเล่นๆ ห้ามทำตาม

    เท้าความกันก่อนนะครับ เรื่องนี้เริ่มตั้งแต่สมัยยังหนุ่มๆอยู่
    ปัญหาจริงๆคาดว่า น่าจะเริ่มจาก side effect ของการฝึกสติ...(คาดว่า แปลว่าไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนะครับ)

    สมัยหนุ่มๆนะครับ
    ผมได้หัดฝึกสติมาบ้างเล็กๆน้อยๆ พอได้เห็นผลบ้างนิดๆหน่อยๆ
    side effect จากการฝึกสติทำให้ บางครั้งมองเห็นอะไรๆ ช้าลงใน สปีด ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
    motion ของคน สัตว์ สิ่งของ รอบๆตัว บางครั้งก็เห็นแบบ slow motion โดยที่ควบคุมไม่ได้

    ถึงแม้ว่า ก่อนเกิดเรื่องจะร้างการฝึกไปซักพัก แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังเห็นอะไรๆ หยุดเป็นช่วงๆ อยู่บ้างบางครั้ง

    ทีนี้...ปัญหาก็คือ บางครั้งไปเห็นว่า การพูดของคนมันช้าเป็นช่วงๆ ถึงแม้ว่าไม่ถึงกับ Slow motion เหมือนเมื่อก่อน
    ก็ยังเห็นว่ามันช้ากว่าปรกติเป็นพักๆอยู่ดี

    วันนึงก็นึกสนุกขึ้นมา พอเห็นการพูดของเพื่อนๆ ขาดจังหวะลงไป เราก็พูดแทรก

    ตัวอย่างเช่น
    ประโยคเต็มของเพื่อน ที่กำลังคุยกับเพื่อนอีกคนหนึ่งคือ
    "เย็นนี้ไปกินข้าวที่ห้าง หน้าหอพักกันไหม"

    เราก็พูดแทรกเข้าไป ที่ช่องว่างใด ช่องว่างหนึ่งที่เราเห็น เช่น
    เพื่อนคนแรก "เย็นนี้ไป....."
    เรา "ตายกันไหม"
    เพื่อนคนที่สอง "...????..." งงเป็นไก่ตาแตก ประมาณว่า มันมาจากไหนวะ โผล่มาทำวงแตก เปลี่ยนเรื่องที่กำลังคุยกันเป็นเรื่องอื่น แล้วก็ไป...

    แรกๆก็สนุกดี ทำอยู่เป็นเดือนจนเริ่มสังเกตุว่า เพื่อนๆไม่ชอบพฤติกรรมแบบนี้อย่างแรง ก็เลยเลิกไปเฉยๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
     
  2. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    หลายปีผ่านไป...ก็ได้เข้าทำงานในโรงงานแห่งหนึ่ง...
    ตอนนั้น เลิกฝึกสติแบบ 24 ชั่วโมงไปแล้ว แต่ยังฝึกสมาธิอยู่บ้างตามแต่อารมณ์จะเอื้ออำนวย

    วันหนึ่ง...ก็เริ่มสังเกตุได้ว่า พอเราพูดอะไรไม่ว่าจะเล่น จะจริง จะพูดได้ครึ่งเดียวเท่านั้น แล้วจะมีเรื่องอื่น มีคนอื่นเข้ามาแทรกทุกครั้ง
    อีกครื่งที่เหลือพูดต่อไม่ได้ เพราะคนฟังไม่ได้ฟังแล้ว ไปสนใจอย่างอื่นแทน

    แรกๆก็ไม่ได้เอะใจสงสัยอะไร แต่พอเริ่มเจอเหตุการณ์แบบนี้ติดต่อกันเป็นเดือน ก็รู้สึกว่า ผิดปรกติแล้ว
    พอรู้สึกว่าผิดปรกติ ก็เหมือนวูบไป ไฟดับมืด แล้วก็มีภาพโผล่มาในหัวแวบนึง
    เห็นตัวเองในชุดนักศึกษา ไปพูดแทรก ไปพูดทะลุกลางปล้อง ทำการสนทนาของชาวบ้านเขาพัง นานเป็นเดือนๆ
    ด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจกับความสามารถของตัวเองมาก

    ....
    เห็นปุ๊บ ก็รู้ปั๊บ ว่ากรรมตามทันแล้ว...แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ยังไง ต้องอยู่ด้วยความอึดอัดคับข้องใจ จะพูดอะไรก็ไม่จบซะอย่าง
    โชคดี ที่เวลาสั่งงาน รับงาน ยังสั่งจบ รับจบ ไม่งั้นตกงานอดตายแน่นอน
    (ถ้าว่ากันตามจริง คงต้องบอกว่าผลบุญจากการทำทานยังค้ำไว้อยู่ในส่วนนี้)

    ...
    ทีนี้ ก็พยายามจะแก้ไข เพื่อเอาชนะการที่ผลของกรรม มาตัดความสนใจของคู่สนทนาออกไปเรื่องอื่น
    วิธีการก็คือ
    พูดติดตลกบ้าง
    พูดออกแนวประชดประชันบ้าง
    พูดสั้นๆ ห้วนๆ ให้จบไวๆบ้าง
    พูดเสียงดัง คล้ายตะคอกบ้าง

    ทดลองอยู่เป็นเดือน ก็ไม่ได้ผลที่ต้องการ
    แต่ผลที่ไม่ต้องการ มาเพียบ

    ...
    ความที่เป็นผู้ศึกษาธรรม ก็ต้องมีการสนทนาธรรมบ้าง
    ความที่ปฏิบัติธรรมเห็นผลมาบ้าง ก็ต้องให้คำแนะนำเพื่อนๆบ้าง
    เป็นเรื่องปรกติ

    ทีนี้ เวลาคุยกับเพื่อนๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าบ้าง พระธรรมบ้าง พระอริยะสาวกบ้าง
    แล้ว...
    พูดติดตลกบ้าง
    พูดออกแนวประชดประชันบ้าง
    พูดสั้นๆ ห้วนๆ ให้จบไวๆบ้าง
    พูดเสียงดัง คล้ายตะคอกบ้าง

    ลองนึกดูนะครับ มันกลายเป็นกรรมปรามาสพระรัตนตรัย ไปดื้อๆโดยที่เราไม่รู้ตัว แถมยังเพียรสั่งสม บ่มอยู่เป็นเดือน
    เพราะคิดว่าวิธีเหล่านี้ ถ้าหัดให้คล่องจะสามารถเอาชนะผลกรรมจากการพูดทะลุกลางปล้องได้
    แต่ก็ไม่ได้ แถมมันยังตามมาส่งผลเสียทบเบิ้ลเข้าไปอีก
     
  3. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    อยู่มาวันหนึ่ง...
    เราก็สังเกตุเห็นสีหน้าของเพื่อนคนหนึ่ง ที่ทำหน้าถอดสีเวลาเราใช้เทคนิคการพูดข้างบน เล่าประวัติของพระพุทธเจ้าพระสมณโคดมอยู่
    คือเพื่อนคนนี้ ตั้งความหวังไว้ว่า อย่างเลวที่สุด ชาตินี้ขอบรรลุโสดาบัน
    พอเห็นหน้าเพื่อนคนนี้ตอนเราแสดงธรรมด้วยความวิปลาสไปแล้ว เราก็สำนึกได้ว่า เราไม่ได้กล่าวถึงพระรัตนตรัยด้วยความเคารพ
    เราเล่าเกร็ดความรู้ของประวัติของพระสัมมาพระสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม ด้วยอาการประชดประชันบ้าง ตลกขบขันบ้าง
    เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้ สิ่งอื่นมาดึงความสนใจของผู้ฟังไปจากเรา

    ตอนนั้น รู้สึกผิดมาก ต้องบอกกับตัวเองว่า ต่อให้พูดกับใครไม่จบไปตลอดชีวิต ก็จะไม่ทำแบบนี้อีก แล้วก็จะไม่ไปทะลุกลางปล้องกับใคร ที่ไหนอีกด้วย
    แล้วเรื่องก็จบไปเหมือนไม่มีอะไรอีก

    อาการที่พูดไม่จบ แล้วผู้ฟังต้องเบนความสนใจไปเรื่องอื่น ก็ค่อยๆห่างๆออกไป จนสังเกตุได้ว่า 100วัน 1000ปี จะมีซักที ให้พอสำนึกได้ว่าทีหลังอย่าทำอีก

    จนกระทั่งแต่งงาน...
    โดยปรกติ ก่อนแต่งงาน ผมจะใช้ชีวิตเละเทะไปเรื่อย (ไม่ผิดศีลนะครับ แค่อยากทำอะไรก็ทำ ส่วนใหญ่จะหนักไปทางเล่นเกมส์เป็นวันๆ)
    ทีนี้ ความที่ยังฝึกสติอยู่บ้าง ก็จะสังเกตุเห็นจิตของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
    พอจิตมันมีอาการหม่น หรือฟุบลงไป เป็นที่สังเกตุได้ ผมก็จะสมาทานศีลแปด เก็บตัวเข้าห้องพระ นั่งสมาธิ แบบไม่กลัวลงแดงจากการอดเล่นเกมส์
    พอจิตมีอาการผ่องใส เป็นดวงขาวสะอาด ก็ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามเรื่องต่อ

    วันหนึ่ง ก็เกิดเรื่องขึ้นมา
    ไปทะเลาะกับภรรยา ตอนซื้อของไปทำบุญบ้าง ไปทะเลาะกันที่วัดบ้าง ทะเลาะกันเรื่องวิธีทำบุญบ้าง สุดท้าย...ก็ตัดสินใจเลิกทำบุญเพื่อจบปัญหา

    แต่ปัญหาก็ตามมาอีก
    ภรรยาทำอาหารสุดฝีมือมาให้ตอนจิตตก เอาอาหารมาวางไว้ข้างหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หลังจากที่ตั้งใจถือศีลแปดไปแล้ว
    ลงเอยที่การทะเลาะกัน จบลงที่ผมลุกขึ้นมาขอโทษภรรยา แล้วให้สัญญาว่า จะไม่ถือศีลแปดอีกตลอดชีวิต ไม่รู้พูดไปได้ยังไง...

    ยังไม่จบ ไม่ทำบุญ ถือแค่ศีลห้า ก็เข้าสมาธิได้ ไม่ง้อ...
    วันแรกที่เก็บตัวเข้าห้องพระ ภรรยาก็มาเคาะประตูห้องพระ แรกๆก็กะว่าปล่อยมันเคาะไป เดี๋ยวมันเบื่อก็เลิกไปเอง แต่...ไม่เลิกซะที
    สุดท้ายก็เปิดประตูออกมา เจอภรรยาสุดที่รัก ยืนอุ้มท้อง ร้องไห้อยู่หน้าห้อง (ท้องแรก หลายเดือนแล้ว)
    สุดที่รักร้องไห้สะอีกสะอื้น บอกว่า เค้าไม่ใช่กระ..ห..รี่ นะ อยากมานอนด้วยก็มา ไม่อยากนอนด้วยก็มานอนห้องพระ...
    เหงา...ประมาณนั้น...หลังจากที่พูดคุย ปลอบใจกันได้ซักพัก ก็จบลงที่ให้สัญญากับยอดภรรยาว่า จะไม่นั่งสมาธิอีกตลอดชีวิต...

    หมด...แค่แต่งงาน ทาน ศีล สมาธิ หมดทุกอย่าง
    สภาพตอนนั้นนะครับ ไม่สามารถรู้ได้แล้วว่า ทำไมผู้หญิงที่มาจากตระกูลที่ฝักใฝ่ในการทำบุญ ถึงมาทำลายความดีเราได้ถึงขนาดนั้น
    ไม่สามารถประคองจิตให้ผ่องใสอยู่ได้ ความเป็นทิพย์ใดๆก็ไม่มี เรื่องที่ควรรู้ก็ไม่รู้
    ได้แต่ยึดลูกและภรรยาเป็นสรณะ
    การสร้างคุณงามความดีใดๆ ให้ต่อเนื่อง ยิ่งๆขึ้นไปตามที่พระบรมครูพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ก็ไม่ได้มีโอกาสทำอีก
     
  4. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    วันหนึ่งก็ได้ไปเจอท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง ท่านก็อธิบายว่า กรรมปรามาสพระรัตนตรัยมันตามทัน
    ต้องเสื่อมจากความดีทั้งหมดที่มี ต้องเสื่อมจากโอกาสทำความดีทั้งหมด

    ตอนหลัง ก็มีความรู้สึกว่า ชีวิตมันตกต่ำจนรับไม่ได้
    ก้ต้องแอบทำสมาธิ ด้วยความหวาดระแวง ล็อคห้องน้ำเข้าสมาธิบ้าง ซุกในตู้เสื้อผ้าบ้าง แกล้งหลับคาหน้า TV ในห้องใต้ดินบ้าง

    เรื่องก็ผ่านไปด้วยความน่าทุเรศ ในชีวิตไม่เคยสมเพชตัวเองแบบนี้มาก่อน
    คนจะทำดี ต้องทำแบบหลบๆซ่อนๆ บางครั้งศรีภรรยาจับได้ ก็ไปนั่งหัวเราะคิกคักกับแม่ยาย
    ไม่ได้ถามหรอกว่าเรื่องอะไร แต่คิดไปเองแล้วว่า จับได้ว่าเราแอบนั่งสมาธิตามตู้เสื้อผ้าบ้าง ห้องส้วมบ้าง ก็เลยขำกันใหญ่

    สุดท้ายความคับแค้นก็เปลี่ยนเป็นเกลียดชัง
    ผมก็รวบรวมกำลังสมาธิเท่าที่มีอยู่ ตั้งจิตอธิฐานว่า
    แผ่นดินใดกูเหยียบอยู่ แผ่นดินนั้นอย่าได้มีมึง แผ่นน้ำใดก็เหยียบอยู่ แผ่นน้ำนั้นอย่าได้มีมึง จะเวียนว่ายตายเกิดไปอีกกี่อสงไขย ก็อย่าให้มาเจอะเจอกันอีกเลย
    (เรื่องการอธิษฐานนี้ เดี๋ยวจะขยายให้ฟังตอนอารมณ์ดีๆ เพราะเรื่องการอธิษฐานคนทั่วไปทำไม่ได้ ต้องเก็บเลเวลมาพอสมควร)

    ตอนนี้นะครับ หย่าเรียบร้อย อยู่คนละประเทศ ตรงข้ามประเทศไทย 180 องศาเลย
    ตอนหลังมานี้ มาทบทวนเรื่องของตัวเอง ถึงเห็นภาพตอนตัวเองแสดงธรรมแวบเข้ามาในหัว ก็รู้ชัดเลยว่ามันเป็นกรรมต่อเนื่องตามกันมาตามเรื่องที่เล่ามาข้างบนนี่เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2013
  5. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    สังเกตุให้ดีนะครับ

    กรรมแค่เล็กน้อย เทียบกับศีลห้าแล้ว ยังไม่มีข้อไหนขาดเลยนะครับ
    แค่พูดทะลุกลางปล้อง
    ผลของกรรมจากการพูดทะลุกลางปล้อง พาให้สร้างกรรมปรามาสพระรัตนตรัย
    ผลของกรรมปรามาสพระรัตนตรัย พาให้ไปอธิษฐานให้คู่บารมีคนหนึ่ง ไม่ต้องมาพบเจอกันอีก....

    เหมือนคนตกเขา ไม่ใช่แค่ล้มแล้วก็ลุกยืนใหม่ แต่มันกลิ้งหลุนๆไปตีนเขา แขนขาหัก หมดสติ
    กว่าจะรู้สึกตัวก็เสียเวลาทำดีไปเป็น 10ปี แถมเพื่อนที่คอยประคองกันมาตอนขึ้นเขาก็ตายไปอีกหนึ่ง

    ยังโชคดีนะครับที่ทำบุญมาพอสมควร บาปเล็กน้อยมันเลยลอยหน้าขึ้นมา ให้ผลทันทีในชาตินี้ชาติเดียว
    ไม่งั้นลองนึกดูนะครับ ถ้ามันให้ผลชาติต่อไป มันจะให้เหมือนไม้ยืนต้น คือให้ไปเรื่อย มันจะสาหัสกว่านี้ซักขนาดไหน...

    เป็นอุทาหรณ์นะครับ
    1.การพูด ถ้าจะให้ดี ไม่ควรยึดแค่ศีลห้า ให้ยึดกรรมบถสิบเป็นหลักไปเลย
    2.จะพูด จะคิด จะทำอะไร เกี่ยวกับ พระพุทธเจ้า ทั้งพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งพระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ให้เป็นไปด้วยความนอบน้อมและเคารพเสมอ
    ถ้าจะให้ดี รวมเอาผู้มีคุณทั้งหลาย เช่นพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์เข้าไปด้วย กันเหนียวไว้ก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2013
  6. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    กรรมเล็กๆ น้อยๆ ทำบ่อยๆ ก็ทำลายชีวิตเราได้ไม่น้อยเลยนะ

    แถมปรุงแต่งให้ทำกรรมใหญ่ๆ ต่อไปได้อีก

    ทุกลมหายใจควรใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท หมั่นเจริญสติอยู่เสมอ

    เรื่องของคุณอ่านแล้วได้ข้อคิดดีนะ

    อ่านง่าย อ่านสนุก ไม่ปวดตา ภาษาดี พัฒนาตัวเองเป็นนักเขียนได้เลยนะเนี่ย

    แปลกนะ..ชีวิตคุณปฏิบัติธรรมมาก็เยอะ...

    การที่ต้องเลิกปฏิบัติธรรม..เป็นเพราะคุณเองพูดไม่คิดให้ดีเสียก่อน

    ทำไมถึงกล่าวโทษภรรยาว่าเป็นต้นเหตุให้คุณเลิกปฏิบัติธรรมล่ะ?
     
  7. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    ลูกต่อเนื่องน่ะครับ เหมือนคนกำลังเมาหมัด
    อยู่ในความมืดบอด มองอะไรไม่ออก
    จำได้อย่างเดียว เราต้องเลิกทำความดี เพื่อให้ผู้หญิงคนนี้ยิ้มได้...
    เลยจบดื้อๆแบบนี้
     
  8. พุธทสิณ

    พุธทสิณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2013
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +404
    เสียดายนะครับที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมแต่ไม่ได้อะไรเลยแม้แต่สติสัมปชัญญะที่เห็นตามความเป็นจริงตัวเดียวยังไม่ได้.สติที่รู้เท่าทันความคิด,อารมณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบทางอายตนะทั้ง6ยังไม่มี.
    อย่าไปโทษใครว่าเป็นต้นเหตุให้ทําความดีไม่ได้เลย,อย่าไปโทษกรรมนั้นกรรมนี้จนยุงเหยีงไปหมดครับ.
    ท่าน.จขกท ขาดเพียงแค่การเจริญสติปัฏฐานที่ถูกต้องนอกจากมีศีล,สมาธิแล้วจะให้ครบก็ต้องมีการให้ทานและปัญญาควบคู่กันไป.
    น่าสงสารทั้งสองฝ่าย,ยังไงก็ขอให้อย่าได้อาฆาตกันข้ามภพข้ามชาติ,ขอให้หมดกรรมต่อกันในเร็ววันนะครับ.
     
  9. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ช่ายเลย พอ มี
    ชีวิตคู่ พัง เลย
    แต่ เรา แตกต่างที่
    ไป วัด ทำไม
    ไป วัด ด้วยกัน หยอด เงิน ใส่ ตู้ หันมา ใส่ ไป เท่าไหร่ ละ หน้าเป็น ยักษ์ เลย
    ไป ทำบุญ ต้อง คอย เอาใจ ไม่ ให้ มี น้ำโห ไม่ว่า ยังไง ทะเลาะ ทั้งไป และกลับ
    ไป บวช ชี พราหมณ์ กลับมา มัน มี ผัว เป็น พระโน้น พอกลับมา
    มัน ไม่เคย มี ดี มัน มี แต่ สิ่ง เลว
    คือ พยามยามประคองแล้วนะ แต่ อยู่ ใกล้ กัน ไม่ได้ เลย ทะเลาะ ตลอด
    พยายาม ปรับ จน
    ไม่เชื่อ ว่า ทำดี แล้ว ได้ดี เพราะเราทำสิ่งดีๆให้เต็มที่แล้ว
    จนพระมาเข้าฝันขอ บิณฑบาต เริ่มได้สติ
    ไป นอน เฝ้า ลูก เขา ป่วย ๑ เดือนเต็ม
    กลับมา เงิน เขา หาย สามร้อย เรา บอก ไม่ได้ เอา ไป ทั้งที่ ทั้งเดือนเราไม่ได้พักเลย กลับมา โดนหิ้วคอเหมือนลูกแมวเลย ขยับตัวไม่ได้
    ถึง ลง ไม้ ลงมือ จน ไม่ไหว แล้ว เหมือน ใกล้ บ้า แล้ว หรือ บ้า ไป แล้ว
    สติ ขาด เป็นช่วง เหมือนโดนสป๊าค ตลอด
    จิต ติดๆ ดับ ดับ
    ทุกข์ มาก ก็ ยิ่ง ปฎิบัติ มาก ทำบุญ ไม่ ขาด จนถือศิลที่บ้านเลย แยก ห้องนอน สวดพระไตรปิฎกคืนละ ๙ จบ หลับ สบาย ยิ่ง ปฎิบัติ มาก ยิ่ง มีความสุข เหมือนเป็นเวลาพักจากทุกข์ทั้งหลาย
    จน แยก ห้องนอน ไป โดย ปริยาย จนเวลาที่นิ่งสนิทนั้น
    ค้นพบ ว่า คนเรา ปาก กับ ใจ ไม่ ตรงกัน และ อะไรดีดีหลายๆอย่างดีมากๆๆเลยไม่สามารถบอกใครได้
    จนคำด่าที่เขาด่ามา แต่ก่อน เคย ร้อง ให้ ตอนนี้ ไม่ ร้อง แล้ว คิดได้ นั่ง ยิ้ม มีความสุข กับ บุญ ทาน ศิลภาวนา ของเราไป
    จนตัดสินใจล่ะ พอล่ะ
    อ้าว ทำใจ นะ ทุกข์ นะ(บอกตัวเอง)
    แต่ชีวิตเป็นของเรา
    ก็ ลาก่อน
    ไป เขต 3 ครั้ง กว่า จะ จบ ทางกฎหมาย
    นายทะเบียน ถาม เอา ค่า เลี้ยงดู มั๊ย
    เรา ไม่ ขอ รถไว้ไช้คัน พี่ แก่ มี เยอะ
    ย้ายออก เลย
    ยัง ตาม จะ เอา รถ คืน
    จน เอาสินสอดกูคืนมา
    จน เรา ทน ไม่ได้ ก็ อยากได้ อะไร ก็ เอา ไป
    ขอ ชีวิต ตัวเอง คืน
    ใครทำอะไรแล้วมีความสุขทำไป
    ชีวิต มัน เป็น ของ ใคร ของ มัน
    เรา ต่าง มา เรา ต่าง ไป ตามกรรมของแต่ละคนอยู่แล้ว
    ทำงาน ต้อง ไป ฝึก ลูกค้า ใช้ เครื่อง บ้านใกล ต้อง ไป พัก ใน เมือง
    มา เลย มัน ไป มี ผัว อยู่ ที่นั้น ป่วน กับ แม่ ที่ บ้าน จนแทบอยู่บ้านตัวเองไม่ได้
    พอแล้วนะ
    ทุกข์ แบบ นั้น
     
  10. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ยัง ไม่ รวม หมัดพิฆาต
    พอกลับ จาก นอกครั้งสุดท้าย
    ญาติมาเอารถคัมรี่ไปใช้ มาแว๊นรถเล่น หาเรื่อง เด็ก ใน บ้าน
    กลับมา เขา ไป เยี่ยม ญาติ กลับมา หา เรื่อง เรา
    วิ่ง มา จะ ชก เรา ด้วย ความ ที่ เรา ไม่ รู้เรื่องมาก
    วิ่งมาลื่นจะล้ม เสียหลัก เรา ประคอง ไว้
    เขา ตั้งหลัก ได้ ชก เปรี้ยง กรามดังกร๊อบเลย จมูก แทบ หัก
    ขอบคุณคร๊าบที่ทำให้เห็นธรรม
    ขอบคุณคร๊าบ(บ่อยๆไม่ไหว)
    เดี๋ยวตายก่อน
     
  11. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ขอบคุณ คะ
    ได้รู้จักธรรมมะของพระพุทธเจ้าแล้ว
    คนเรา เกิด มา จำเป็นต้องตายด้วยกัน ทุกคน
    มี กรรม นี้ มี กรรม นั้น หมุน เปลี่ยน เวียน ไป ไม่รู้จบ
    จนกว่า เราจะทำให้สิ้นไปได้ด้วยคำสอนที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้
    ถึง ใหน ก็ถึงนั้น
    อย่าทำเป็นคนใกล้เกลือแล้วกินด่าง(บอกตัวเอง)
    โมทนาสาธุคะ
     
  12. Broccocat

    Broccocat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    954
    ค่าพลัง:
    +4,094
    เท่าๆ ที่อ่านมา เหมือนคุณ Solardust จะยึดในศีลแบบเคร่งๆ ตึงๆ เกินไปบ้างนะคะ เรื่องกิเลสในความเป็นมนุษย์โดยธรรมชาติมันตัดไม่ขาดหรอกค่ะ มันต้องมี ยกเว้นแต่ว่าจะไปบวชเป็นพระ...อันนี้ก็ต้องเคร่งในศีล 8 เข้าไว้ ลองทำแบบนี้ไม๊ เช่น ถ้าวันไหนอยากจะถือศีล 8 ก็อาจจะกำหนดเป็นวันๆ ไป เช่น วันพระ วันเกิด วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เป็นต้น ส่วนศีล 5 นี่ก็อีซี่ๆ อ่ะค่ะ สามารถทำได้ทุกวันอยู่แล้ว

    ไปถอนคำอธิฐานต่อหน้าพระซะสิคะ ละก็ไปขอโทษภรรยาเพื่อคืนดีกัน เน่...ง่ายๆ เห็นไม๊ อิอิ
     
  13. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090

    ยังโชคดีนะครับที่ทำบุญมาพอสมควร บาปเล็กน้อยมันเลยลอยหน้าขึ้นมา ให้ผลทันทีในชาตินี้ชาติเดียว
    กรรมมันไม่ได้ลอยขึ้นมาเองเพราะการทำบุญนะครับ
    มันสนองตามเหตุปัจจัย คือเมื่อถึงเวลารับผลกรรมแล้วเท่านั้นเอง
    และก็ไม่ได้หมดไปง่ายๆในชาติเดียวด้วยครับ
    แค่เราเกิดมา เราก็เกิดมาพร้อมแรงกรรมเก่าแล้ว
    ของที่ทำใหม่ก็อาจจะส่งไปถึงชาติหน้าด้วย


    ขอบคุณที่เอาประสบการณ์ของคุณมาเล่า
    คุ้มค่ากับการสละเวลาอ่าน
    สิ่งที่คุณทำ ที่เอาพุทธศาสนามาล้อเลียนล้อเล่น ไม่ได้มีผลอะไรมาก
    แต่ที่มันเป็นเหตุจริงๆคือ เพราะคุณเทศนาธรรม
    สอนพุทธประวัติด้วยอาการน่ารังเกียจ ด้วยคุณไม่รู้
    จึงทำถี่บ่อย กรรมที่ทำให้ผู้ฟังอึดอัด หงุดหงิด มาหาธรรม แต่ไม่ได้ธรรม
    กรรมนั้นแล มาถึงตัวคุณ คุณก็เข้าหาธรรม เลยไม่ได้ธรรมเหมือนกัน

    สำหรับคุณคงไม่ต้องบอกอะไรมาก
    ประสบการณ์สอนคุณหมดแล้ว
    ตอนนี้คุณคงเร่งความเพียร ทั้งทาน ศีล และภาวนา
    ขอให้เข้าถึงธรรม
    วางจากความยึดมั่นเหตุแห่งทุกข์ ให้ได้มากๆครับ

    ขอบคุณ
     
  14. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    เรื่องภรรยานั้น
    หลังจากตั้งจิตอธิษฐานไปแล้ว ประมาณ 2 อาทิตย์
    ก็มีเรื่องที่ทำให้ผมต้องแยกกลับเมืองไทย จากกันด้วยรอยยิ้มนะครับ

    แต่ก็ยังคุยกันเอาไว้ว่า หากหางานในเมืองไทยได้ ก็จะไม่กลับไป ซึ่งเธอก็ตกลงตามนั้น
    ก็ให้บังเอิญว่า หางานได้ในเมืองไทย แล้วก็แยกกันอยู่มาหลายปีทีเดียว
    จนกระทั่งมีปัญหาทางกฎหมายที่ต่างประเทศบางอย่าง ทางภรรยาจึงติดต่อมาว่าขอหย่าเนื่องจากปัญหานั้น

    ความโกรธของผมนั้น มันหมดไปตั้งแต่ตั้งจิตอธิษฐานไปแล้ว
    เวลาต่อจากนั้นก็ยังรู้สึกดีๆกันอยู่ แม้กระทั่งวันหย่า เราก็ยังจากกันด้วยดี มีรอยยิ้ม

    ตัวผมทุกวันนี้ก็ยังนึกขอบคุณอยู่เสมอที่เธอทำให้ผม ได้เรียนรู้ว่า ครอบครัวเป็นอย่างไร
    ความแค้นชิงขังใดๆ ก้ไม่ได้มีต่อกัน

    ส่วนเรื่องคืนดี คงไม่ต้องแล้วละครับ เพราะจากที่อธิบายมาข้างบน เราจากกันด้วยดี
    แล้วเธอเองก็ไม่เคยรู้ว่าผมคิดอะไร

    อีกทั้งเมื่อมารู้ทีหลังว่าเธอเหนื่อยที่จะไปกับผม แล้วได้ตั้งจิตอธิษฐานมาเพื่อขาดกันในชาตินี้ด้วย
    เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ให้มันเป็นแบบนี้ก็ถูกแล้วล่ะครับ
     
  15. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    “ภิกษุทั้งหลาย...
    บุคคลบางคนทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นนำเขาไปสู่นรก
    บางคนทำบาปเล็กน้อยเช่นนั้นเหมือนกัน แต่บาปนั้นให้ผลเพียงในปัจจุบันชาตินี้เท่านั้น (ทิฏฺฐธมฺมเวทนียัง) ไม่ปรากฎผลอีกต่อไป

    บุคคลเช่นไรทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก คือบุคคลผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา มีคุณธรรมน้อย ใจต่ำ บุคคลเช่นนี้แหละ ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก
    บุคคลเช่นไรทำบาปเพียงเล็กน้อย แต่บาปนั้นให้ผลแสบเผ็ดเพียงในชาติปัจจุบัน แล้วไม่ให้ผลอีกต่อไป คือบุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้

    เปรียบเหมือนบุคคลใส่ก้อนเกลือลงไปในจอกน้ำเล็ก ๆ น้ำนั้นย่อมเค็มเพราะน้ำน้อย แต่ถ้าใส่ก้อนเกลือนั้นลงไปในแม่น้ำคงคา น้ำในแม่น้ำคงคาจะไม่เค็มเพราะก้อนเกลือนั้นเลย เพราะน้ำมีมาก ฉันใด
    ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนทำบาปเล็กน้อย บาปนั้นนำเขาไปสู่นรก (เพราะเขามีคุณน้อย) บางคนทำบาปเล็กน้อย บาปนั้นให้ผลเพียงในปัจจุบัน ไม่ให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป (เพราะเขามีคุณมาก) ฉันนั้น”

    (อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ๒๐/๓๒๑ ข้อ ๕๔๐)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2013
  16. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    แปลว่า...
    บาปเล็กน้อยที่คุณทำลงไปในชาตินี้
    ถ้ามันไม่มาแซงคิวตะบี้ตะบันให้ผลทันที
    แสดงว่าคุณยังต้องปรับปรุงตัวอีกเยอะนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2013
  17. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    นานาจิตตังครับ
    เราเลือกเชื่อในสิ่งที่เป็นเหตุและผลดีกว่า
    พุทธองค์ไม่ยินดีที่เราเชื่อเพราะท่านบอก
    ไม่ยินดีเพราะมีเขียนในพระธรรม
    แต่ทรงยินดี ที่เราเชื่อเพราะเข้าใจในหลักเหตุและผล
    รู้ปัจจัยนั้นๆ ที่นำมาสู่ผลที่ได้กล่าวไว้อย่างดีเสียก่อน
     
  18. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    คิดดูดีๆนะครับ
    พระพุทธเจ้าท่านสอนคนด้วยสัพพัญญูวิสัย
    แปลว่า ไม่ใช่วิสัยของคนทั่วไปจะไปขบคิดเอาได้ว่าทำไมพระองค์ท่าน ถึงสอนแบบนั้น แบบนี้

    เรื่องของกรรม ที่ท่านตรัสสอนไว้ ก็จัดเป็น หนึ่งในสี่ อจินไตย
    แปลว่า หลักการเหตุผล ตรรกะ ของมนุษย์ทั่วไป จะเอามาขบคิดเรื่องของกรรมนี้ไม่ได้นะครับ คิดยังไงก็ผิด พระองค์ท่านจึงตรัสสอนไว้ว่าเรื่องของกรรมไม่ควรเอามาคิด

    -------------------

    ถ้าเราเอาหลักการ เอาเหตุผล เอาตรรกะ ของมนุษย์ทั่วไปมาเป็นที่ตั้งในการเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ คำสอนของพระพุทธองค์ละก็
    มันจะกลายเป็นว่า

    เราจะ ไม่เชื่อ ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฏก
    ถ้าเรามีหลักการ มีเหตุผล ของเรา ที่เราจะใช้บอกตัวเองว่าที่ท่านตร้สสอนนั้นผิด

    เราจะ เชื่อ ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฏก
    ก็ต่้อเมื่อ คำสอนของพระองค์ท่าน เข้ากับหลักการ และเหตุผลของเราได้

    --------------------

    สุดท้ายมันจะจบที่ สัทธรรมปฏิรูป นะครับ
    ทำลายพระศาสนาด้วยคำพูดที่ดูดีว่า "เรามีเหตุผล"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2013
  19. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090



    ถ้าเราเอาหลักการ เอาเหตุผล เอาตรรกะ ของมนุษย์ทั่วไปมาเป็นที่ตั้งในการเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ คำสอนของพระพุทธองค์ละก็
    มันจะกลายเป็นว่า

    เราจะ ไม่เชื่อ ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฏก
    ถ้าเรามีหลักการ มีเหตุผล ของเรา ที่เราจะใช้บอกตัวเองว่าที่ท่านตร้สสอนนั้นผิด


    ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าคำสอนของพุทธองค์จะผิด
    สิ่งที่พุทธองค์สอนไว้ ล้วนเป็นของจริง
    แต่บอกว่าให้เชื้อโดยพิจารณาด้วยปัญญาก่อน
    ถ้าแค่หยิบยกเอามาใช้หยิบยกเอามาอ้าง
    โดยที่ไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงแก่น
    ก็เป็นเพียงสีลัพรตปรามาสเท่านั้นเอง

    "บุคคลเช่นไรทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก คือบุคคลผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา มีคุณธรรมน้อย ใจต่ำ บุคคลเช่นนี้แหละ ทำบาปเพียงเล็กน้อยแล้วไปนรก

    บุคคลเช่นไรทำบาปเพียงเล็กน้อย แต่บาปนั้นให้ผลแสบเผ็ดเพียงในชาติปัจจุบัน แล้วไม่ให้ผลอีกต่อไป คือบุคคลผู้ได้อบรมกายแล้ว อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณธรรมมาก มีใจใหญ่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาเป็นต้น อันหาประมาณมิได้

    แปลว่า...
    บาปเล็กน้อยที่คุณทำลงไปในชาตินี้
    ถ้ามันไม่มาแซงคิวตะบี้ตะบันให้ผลทันที
    แสดงว่าคุณยังต้องปรับปรุงตัวอีกเยอะนะครับ
    "

    คุณใช้คำอย่างนี้
    เพียงเพราะผมบอกว่ากรรมไม่หมดในชาตินี้ง่ายๆ
    คุณต้องพิจารณาแล้วว่าสมควรหรือไม่
    ที่ผ่านมากรรมที่คุณได้รับนั้น
    เป็นเพราะคุณผ่านการอบรมกาย อบรมศีล
    อบรมจิต อบรมปัญญา มาแล้วจริงหรือไม่
    หรือเป็นเพราะเหตุปัจจัยแห่งการกระทำอื่น
    เพราะสิ่งที่คุณโพสมันสวนกระแสของผู้มีคุณธรรมมาก
    สวนกระแสของผู้มีใจใหญ่ ที่อยู่ด้วยคุณ มีเมตตาประมาณมิได้
     
  20. solardust

    solardust เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    250
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,771
    ขอโทษทีนะครับ
    ที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะ complain อะไร เจตนาของผมเพียงแค่จะบอกว่า

    1.ว่ากรณีที่บาปเล็กน้อยให้ผลทันทีในชาตินี้น่ะ่ มันเกิดได้ถ้าเหตุปัจจัยมันมี
    2.เรื่องกรรม เรื่องสัพพัญูญูวิสัย มันเกินกำลังที่คนทั่วไป จะไปคิดหาเหตุผล

    แต่อ่านที่คุณอธิบายมา ก็เข้าใจได้ในตรรกะของคุณแล้ว
    เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...