จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    แต่ละท่านสวยๆงามๆอิ่มบุญกันยิ่งนักเลยครับ สาธุๆๆๆ
    ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  2. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    จิตนี้ คือ รากแก้วของทุกสิ่ง ถ้าเธอเข้าใจธรรมชาติของ
    จิต มันก็เข้าใจทุกๆสิ่งไปด้วย คล้ายๆ กับรากของต้นไม้ ทั้ง
    ผล, ดอก,กิ่ง, ใบ ล้วนขึ้นอยู่กับรากของต้นไม้
    ถ้าเธอบำรุง รากให้ดี ต้นไม้ก็เจริญงอกงาม
    ถ้าเธอตัดรากมัน ต้นไม้ก็ตาย

    บุคคลผู้เข้าใจจิตดี ก็จะบรรลุถึงวิมุตติภาวะได้
    โดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย
    ผู้ไม่เข้าใจจิตเลย การปฏิบัติก็เสียเวลาเปล่า
    ทุกสิ่งดีหรือชั่ว ล้วนมาจากจิตของเธอ
    การจะค้นพบสิ่งอื่นๆ ภายนอกจิต ย่อมเป็นไปไม่ได้


    ...คำสอนของท่านโพธิธรรม

    Cr...FB Tachin Dhammayan
    ...
     
  3. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ..
    ..ขอบคุณครูเกษที่แนะนำให้ผมรู้จักกระทู้นี้นะครับ
    ..ทั้งที่ผมก็เพิ่งมาศึกษาเรื่องราวหลวงพ่อ
    ..หากเอาจริงเอาจังก็พึ่งมาระลึกก็อาจะไม่ถึงสามเดือนเลย
    ..
    ..และก็ ระลึกไปก็เพิ่งรู้ว่าเคยอ่านเรื่องหลวงพ่อที่คนนำมาเผยแพร่
    ..เหมือนกัน แต่ตอนนั้นอ่านเพราะว่ายังไม่คิดอะไร (หรือยังไม่ถึงเวลาก็ไม่รู้)
    ..
    ..ผมนับถืออาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเก่งทีเดียว แล้วท่านก็บอกผมว่าไม่ให้มโนมยิทธิ
    ..คือด้วยความหวังดีของท่านที่ห่วงเรา เพราะกลัวผมจะหลง
    ..เพราะว่าท่านเคยไปอ่านเรื่องคนที่เค้า ฝึกแล้วเค้าก็หลงไปอีกทิศ
    ..
    .ผมก็เลยจำฝั่งใจไม่เอาแระมโนมยิทธิ..
    .
    .แต่วันหนึ่งผมได้ไปปฏิบัติธรรมที่สำนักฆ์แห่งหนี่งแถวภาคอีสาน
    .ไปแบบไม่รู้..
    ..
    ..จนกระทั่งไปเจอท่านเจ้าอาวาสท่านสอน
    ..ตอนนั้นผม ไม่มีพื้นฐานอะไรเลยครับ
    ..ไม่รู้ว่ามโนมยิทธิต้องฝึกอย่างไร
    ...เลยไม่ได้อะไรมาก รู้แต่ว่านั่งสมาธิดีมากๆ
    ..
    .พอจบการฝึก ครูฝึกที่ท่านเป็นแม่ขาวที่ดูแลที่นั่นด้วย
    ..ท่านก็บอกว่านี่ตอนที่ผม นั่ง มีใครเสด็จมารับผมบ้าง.
    ..ตอนนั้นผม ก็ฟังๆไม่มีความเชื่อแต่อย่างใด
    ..(ต้องขออภัยในความโง่ตอนนั้นครับ)
    ..
    .
    .จนกลับมาแล้วครับ ผมก็นึกถึงแต่เรื่องมโนมยิทธิ มโนมยิทธิ
    ..จะหาซื้อหนังหลวงพ่อตามห้างคงไม่มี
    ..แต่ก็ไปที่ซีเอ็ดบุ๊คครับ
    ..
    .ลองไปหา..
    ..ปรากฏว่าเจอ หนังสือของ คุณอ๋อย ที่ภูเก็ตเขียนเรื่องนี้ เล่มราว 250.-
    .ถ้าจำไม่ผิดนะครับ
    ..
    ..เลยซื้อมาอ่านแบบไม่ลังเล
    ..อ่านแล้ว วางไม่ลง สนุกมาก เนื่องจากตัวผมเองชอบเรื่องนรก สวรรค์ เรื่องปาฏิหารย์ อภินิหารมาแต่เด็กๆแล้วครับ..
    ..
    ..อ่านจบแล้วผมจึงต้ังใจว่าผมจะฝึกมโนมยิทธิ
    ..ผมก็เลยไปบอก อาจารย์ท่านนั้น เอาหนังสือไปให้ท่านดู
    ..ท่านก็บอกว่าก็ลองดู..
    ..
    .
    ..จากนั้นจึงเป็นการมาศึกษาเรื่องราวหลวงพ่อแบบจริงจัง
    ..
    ..พออ่านเรื่องหลวงพ่อ ก็ได้แต่ร้องในใจว่า โอ้วววววววววววววว
    ...หลวงพ่อครับ ลูกไปโง่อยู่ที่ไหนมาตั้งนาน
    ...ทำไมไม่เจอหลวงพ่อให้เร็วกว่านี้..
    ...อ่านเรื่องหลวงพ่อ ฟังธรรมะของหลวงพ่อ แล้วน้ำตาไหล ปลื้มปีติ
    ...โทษตัวเองตลอดว่า เราโง่จริงๆเลย โง่มาตั้งนาน
    ...หลวงพ่อนี่แหละ คือพระที่เราตามหามาตลอดชีวิต
    ...อิอิ...
    ...
    ...ศึกษาธรรมมะมาก็ไม่น้อย ก็ได้ทำบ้างไม่ทำบ้าง ขี้เกียจบ้าง..
    ..
    ..แต่พอสิ่งใดที่หลวงพ่อพูดเท่านั้นแหละ ผมก็รู้สึกวาจาหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ กินใจมากกกกกก
    .อะไรที่ใกล้เรารู้ว่าเราเคยทำ แต่ยังทำแบบขาดศรัทธาอยู่ ผมก็เปลี่ยนใหม่หมด.
    .จดจำคำหลวงพ่อสอนตลอด
    .ตั้งแต่วันนั้นมา ไม่มีวันไหนที่ผมจะไม่ระลึกถึงหลวงพ่อ
    .
    .เวลาผมบอกคนอื่น ผมก็จะบอกว่า หลวงพ่อสอนว่า....................
    .ฝึกปฏิบัติเรื่อยๆ
    .แต่ผมก็ยังไม่รู้อะไรเช่นเดิมครับ อิอิ
    ..แต่ผมก็มีความสบายใจที่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อ
    ...
    .
    ...ผมชอบมองภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมครับ
    ...มองแล้วก็เหมือนทุกข์นั้นจะหนีไป
    ...ท่านสวยงามมากกกกกกจริงๆๆ
    ...
    ..จำที่หลวงพ่อสอนให้เอาจิตไปเกาะกับพระไว้ แล้วก็ให้เลือกพระที่เราชอบที่สุด..
    ...
    ..
    ...ผมขอฝากตัวมาอ่านเรื่องคนอื่นๆๆต่อไปด้วยคนนะครับ
    ...ขอความรู้ให้คนโง่อีกคนด้วยนะครับ
    ...อยากไปพระนิพพานบ้างครับ
    ...โลกนี้วุ่นวายหนอ ทุกข์หนอ จริงๆครับ..
    ..
    ..หากกล่าวอะไรผิดพลาดไปก็ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะครับ..
    ...ยินดีที่ได้รู้จักครูทุกๆท่าน และนักเรียนทุกๆท่านนะครับ
    ..
    .สาธุๆๆๆ ขออนุโมทนาสาธุๆกับธรรมทานของทุกๆท่านครับ
    .
     
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    catt21

    ....ยินดีต้อนรับ สู่...บ้านจิตเกาะพระ...จ้า ตามสบายนะคะ
    สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ ต่อตัวท่านเชิญเลือกสรรให้ถูกจิต รับไปให้ถูกใจ ...
    ที่นี่มีแต่สิ่งดีๆมอบให้ทุกคน...ใครว่างก็แวะมาทักทายแลกเปลี่ยน
    พูดคุยกันได้เสมอนะคะ ทุกเวลาค่ะ ประตูบ้านนี้ ไม่เคยปิด เปิดตลอด 24 ชม.
    เราแวะเวียนกันมาเติมธรรมะ กันตลอด ...อเมริกาหลับ เมืองไทยตื่น
    ยุโรปหลับ อเมริกาตื่น ...

    ....โมทนาสาธุกับ คุณthipong... ด้วยเช่นกันค่ะ
    อีกหลายๆท่านที่เกาะกระทู้อยู่ อยากจะออกมา
    ทักทายกันหรือ แลกเปลื่ยนธรรมะ กันก็ขอเชิญ นะคะ ...
    วันนี้เลยถือโอกาส เปิดประตูบ้านต้อนรับแขก แทนท่านเจ้าของบ้าน
    คุณภูทยานฌาน ซะเลย เพราะท่านกำลังนอนหลับอุตุ...^^ (อเมริกา)
     
  5. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ที่เรายังเกิดอยู่ เพราะเรายังมีเลวอยู่มาก ...

    มีบางคนตัดพ้อ บางรายบอกว่าบุญก็ทำ ผ้าป่าก็ทอด กฐินก็ทอด บาตรก็ใส่
    ทำไมยังป่วยไข้ไม่สบาย มีความเจ็บไข้เรื่อย มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาเป็นทุกข์
    ทำให้เกิดความเดือดร้อน ถึงกับเบื่อหน่ายในการทำบุญทำกุศล
    โทษพระพุทธศาสนาว่าไม่ช่วย ...

    อันนี้ฉันได้ฟังบ่อยๆ คนประเภทนี้ไม่ไหวหรอก
    ชาตินี้เป็นทุกข์ แล้วชาติหน้าก็ยังเป็นทุกข์ ทุกคนควรจะรู้ตัวว่า
    การเกิดมานี้เราไม่ได้เกิดมาดีกันนี่ ถ้าเราเป็นคนดีเราจะมาเกิดทำไม
    เราก็ไปนิพพานแล้ว ไอ้ที่เรายังเกิดอยู่ เพราะเรายังมีเลวอยู่มาก
    ควรจะรีบชำระสะสางความเลวให้สิ้นไป ควรจะเป็นคนรู้ตัวดีกว่า
    อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว ไอ้คนรู้ตัวกับคนเห็นแก่ตัวมันต่างกัน


    ธรรมโอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    Cr..Fb Bhuddhasattha
     
  6. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    เป็นชาวพุทธ แค่ทะเบียนบ้าน...

    แต่ไม่ประพฤติ ไม่ยอมลงมือปฎิบัติตามพระพุทธเจ้า
    เป็นชาวพุทธ แค่ทะเบียนบ้าน มันก็ไม่มีความหมาย อะไร

    สังคมไทยทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ไม่นำคำสอนฯ หรือไม่เอาธรรมนำหน้าทางโลก
    แต่กลับปล่อยให้กิเลสนำหน้าการดำเนินชีวิตกันเสียแล้ว
    และตามติดมาอีกตัวนึง นั่นก็คือ สังขาร (ตัวปรุงแต่ง)
    เมื่อคนเราปล่อยสองตัว มาตัดสินการดำเนินชีวิตของเหล่ามนุษย์
    จุดจบมันจะไปไหนเสีย นอกจาก พาให้เราทุกข์กาย ทุกข์ใจไปในที่สุดเท่านั้นเอง

    ซึ่งก็บอกไปแล้วว่า อย่าเสียเวลาไปตามหาความสงบสุขภายนอกจิตของตน
    ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ เพราะตราบใด ยังมีอัตตามานะกันอยู่เต็มเหนี่ยว
    ต่างคนก็ต่างจะทำตามใจตนเอง แล้วจะหาจุดจบที่ไหน ไม่มีหรอก เหตุผลทางโลก ไม่มี
    ผู้ใด หลงไปวิ่งตามกับคำว่า สมมุติ หรือโลกไม่เที่ยงนี้ เห็นมีแต่ทุกข์ใจเท่านั้นเอง


    เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติก็เพื่อให้จิตเรายอมรับกับความแปรเปลี่ยนโลกใบนี้
    เมื่อก่อน โลกนี้ ประเทศไทยนี้เคยสงบกว่านี้ แต่ทำไม โลกใบนี้ ประเทศไทยเดี๋ยวนี้
    จึงไม่น่าอยู่ อยู่ยากขึ้นไปทุกๆวัน เพราะกิเลสคน กิเลสโลกมันนำหน้าเสียแล้ว
    หารู้ไม่ สิ่งที่พวกเราพยายามเรียกร้องหาความสงบสุขกันนั้น ไม่ได้จริง
    เพราะเราไม่สามารถจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลยกับโลกไม่เที่ยงนี้
    เสียเวลาเปล่า ถ้าพวกเรามัวแต่ไปแก้ปัญหาปลายเหตุกัน

    เมื่อจิตคนเราไม่สงบอย่างเดียว แล้วจะไปตามหาที่สงบจากที่ใดได้อีกเล่า ไม่มีแล้ว
    ต่างคนต่างเอากิเลสตนนำ ต่างคนต่างเอาตัวสังขารตนนำกันเสียแล้ว
    ทุกอย่างจึงจบยาก หาที่ลงไม่ได้ ไม่พอเหมาะ ไม่มีความพอดี ไม่มีความพอใจ
    แต่ก็น่าเห็นใจ เราที่ยังตัดหรือละขันธ์๕ตนยังไม่ได้
    ในที่สุดก็ต้องพบกับความเจ็บปวดเป็นธรรมดา


    คนโลกนี้ ล้วนตกอยู่ภายใต้โลกแห่งความคิดของตนเองทั้งนั้น
    หารู้ไม่ เท่ากับ เราตกอยู่ในโลกวังวน แทนที่จะเดินหน้าแต่กลับเดินถอยหลัง
    คราวนี้จะไปไหนได้ เราจะรู้ไหมว่า เรากำลังพายเรือในอ่างน้ำ
    เหมือนแมงเม่ากำลังวิ่งเข้ากองไฟ เหมือนเสือกำลังติดจั่น แต่ถ้ามันรู้ก็ไม่ทำอย่างนั้นแน่
    คนเราก็เช่นกัน เกิดมากี่ชาติๆก็เป็นอยู่แบบนี้ ดีใจเสียใจ สุขใจทุกข์ใจ พอใจไม่พอใจ
    อยู่แบบนี้ ตราบใดเราจะรู้สึกตัวมาก สำนึกตัวมาก ก็ต่อเมื่อทำภาวนา หรือปฎิบัติธรรม
    แต่ถ้าภาวนาไม่ถึง หรือปฎิบัติยังไม่ถึงธรรม ก็ยังหนีไม่พ้น เป็นเรื่องธรรมดา

    สติเท่านั้น ที่จะทำให้กิเลสตนเองหมอบชั่วคราว
    สมาธิเท่านั้น ที่จะพอหยุดจิตของตนเองมิให้ไหลออกนอก
    ปัญญาเท่านั้น ที่จะทำให้เรารู้เท่าทันกิเลสตัณหาฯ หรือตัวสังขารตน
    ปัญญาญาณเท่านั้น ที่จะเป็นผู้นำพาดวงจิตก้าวข้ามวังวนของมนุษย์ หรือวัฎฎะตน


    อย่าเพิ่งไปเชื่อความคิดนึกของตนมากนัก จำไม่ได้กันหรือว่า...
    อะไรที่นำพาเราให้เกิดตาย ตายเกิด อยู่เช่นนี้ กี่ภพ กี่ชาติแล้ว
    คิดให้ดีนะ ปัญญาทางโลก ไม่เพียงพอหรอก ต้องปัญญาทางธรรมเท่านั้น
    เพราะปัญญาทางโลกมักแก้ปัญหาแบบวงกลม
    แต่ปัญญาทางธรรมนั้น เป็นแบบเส้นตรง มีแต่ทางออกที่ดี ไม่ต้องกลับมาเป็นทุกข์อีก
    เป็นการแก้ปัญหาอย่างถาวรที่แท้จริง มีแต่วันจบสิ้น

    สุดท้าย จะคิด จะพูด จะทำอะไรก้ได้ แต่ขอให้มีสติปัญญาหรือธรรมนำก็ยิ่งดีใหญ่
    เพราะคนที่คิดพูดทำแบบไร้สตินั้น จุดจบมันจะเป็นยังไง ถึงผลจะออกมาเป็นแบบไหน
    ก็ตาม แต่สุดท้าย จุดจบนักสู้ก็แค่ตาย แต่ถ้ากายตาย จิตมันสูญไหม คิดต่อกันเอง
    เพราะท้ายที่สุด ที่พยายามทำอะไรกันเหลือเกินนั้น พอมีสติหรือพอมารู้ตัวภายหลัง
    ทุกอย่างก็สายเกินแก้ กว่าจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว โลกนี้ไม่สำคัญเลย แต่โลกหน้าสำคัญกว่า


    เพราะโลกที่เรากำลังหายใจกันอยู่นี้ มันสั้นจริงๆ เมื่อเทียบกับโลกทิพย์ หรือ
    โลกหลังความตาย โลกอันหลังนี้ ไม่มีผู้ใดไปกับเราด้วย รักมากแค่ไหนก็ไม่ไป
    ร้องไห้ร้องห่มไปอย่างนั้นแหล่ะ พอสติมามากๆเข้า เดี๋ยวก็ทำใจได้ นานๆก็ลืมไปแล้ว

    สรุป พึงสำรวมจิตตนให้ดี อย่าหลงตกไปอยู่กับฝ่ายบาป ฝ่ายอกุศลจิตก็แล้วกัน เสียหายๆ

    ขอให้ทุกท่านรักษากาย รักษาจิตตนให้ดีก็แล้วกัน

    ภูทยานฌาน
     
  7. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด

    เธอจงวางภาระคือขันธ์ห้า ได้แก่ร่างกายเสีย
    จงจำไว้ว่าคนเราจะเกิดมาทรงตัวอยู่ได้อย่างนี้ มันเต็มไปด้วยความทุกข์
    ตลอดเวลา การทำไร่ไถนา หรือการแสวงหาทรัพย์สินมา
    เพื่ออาหารการบริโภคในชีวิตนี้เราจะไม่มีโอกาสได้หยุด ต้องทำตลอดชีวิต
    แล้วการต้องทำตลอดชีวิตอย่างนี้เต็มไปด้วยความทุกข์
    นับตั้งแต่นี้ต่อไปเธอจงใช้ปัญญาหาทุกข์ให้พบ
    ถ้าเธอยังเห็นว่าโลกนี้จุดใดจุดหนึ่งเป็นอาการของความสุข
    นั่นก็ชื่อว่าเธอไร้ปัญญา

    หนังสือคำสอน "ทางสายเอก" โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
  8. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    จิต คือ ผู้รู้

    มีผู้ถามว่า การที่จิตวิ่งออกมาไปจับตัวที่ถูกรู้ อาการเช่นนี้ ปฏิบัติได้หรือไม่?

    ในการปฏิบัตินั้น หากจิตมีการเคลื่อนออกมา นั้นคือ จิตวิ่งออกมาจากฐานมาเสวยอารมณ์อันเนื่องมาจากเผลอ สติไม่ทัน
    แบบนี้ละที่สายดูจิตอื่นพลาดไป เพราะไปตามอารมณ์แล้ว คิดว่านั้นคือการดูจิต
    แต่ที่ถูกต้องแล้วหลวงพ่อ
    ท่านมีปกติสอนเสมอๆว่า จิตที่จะข้ามภพข้ามชาติได้นั้น จะต้องเป็นจิตหนึ่ง
    กล่าวคือ มีตัวรู้อยู่เป็นหนึ่งในอารมณ์เดียว ไม่เป็นสอง


    ปกติของปุถุชน มักจิตส่งออกนอก โดยไม่เคยรู้เนื้อรู้ตัวเลย
    แต่ผู้ที่ปฏิบัติมาบ้าง มักเผลอสติ ส่งจิตออกนอกโดยไม่ตั้งใจ เนื่องมาจากความไม่รู้นั่นเอง
    แท้จริงแล้ว สิ่งที่ถูกรู้นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเผลอสติ ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ
    นักปฏิบัติโดยมากมักขาดสติ จึงนิยมไปตามสิ่งที่ถูกรู้ จนลืมตัวผู้รู้


    แต่ในทางการปฏิบัตินั้น หลวงพ่อเยื้อนท่านสอนลงรายละเอียดมากยิ่งกว่านั้น
    กล่าวคือ ทั้งตัวรู้ และถูกรู้ ก็ไม่หมายเอาทั้งคู่
    เพราะ ทั้งสองสิ่งนี้ ขนสัตว์โลก พาเวียนเกิดเวียนตายมาแล้ว นับภพนับชาติไม่ได้


    ธรรมข้อนี้ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยสอนแบบพิสดารว่า...

    “ท่านเห็นกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
    ท่านเห็นตัวที่อยู่ในกระจกไหม (หลวงพ่อ ตอบว่า เห็นครับ)
    หลวงปู้ดูลย์ สรุปความเลยว่า ทั้งตัวที่เห็น และตัวที่ถูกเห็นในกระจกนี่ละตัวเกิด
    นิพพานอยู่ตรงกลางระหว่างตัวรู้กับตัวถูกรู้ นั่นละ”


    ดังนั้น สิ่งที่ผู้สนใจปฏิบัติพึงมี คือ ควรพยายามทำจิตให้เป็นหนึ่ง(เอกัคคตารมณ์)
    ก่อนอันดับแรก เพื่อไม่หลงไหลไปตามสิ่งที่ถูกรู้
    ปฏิบัติให้รู้จนมีสติเกิดขึ้นกับตัวรู้จนเด่นชัดด้วยอำนาจของสติ

    กล่าวสรุปคือ...

    “หากผู้รู้อยู่ไหน ก็ให้มีสติตามไปที่นั้น”
    เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติจะพบทางว่า การเรียนรู้จากตัวจิต คือการเรียนรู้จากผู้รู้นี่เอง
    เป็นการเรียนลงไปในสิ่งที่เป็นสัจจะ คือของจริงที่มีประจำโลก ไม่เคยหายไปไหน
    ทั้งพระพุทธเจ้า และหมู่สัตว์ก็มีของจริง คือ จิตดวงนี้เสมอเหมือนกันทุกนาม
    การเรียนจากของจริงเช่นว่านั้น ไม่ใช่เรียนจากสิ่งจิตปรุงหลอก หรือที่บางท่านเรียกว่า เงาของจิตนั่นเอง


    เมื่อถึงตรงนี้แล้ว ท่านผู้ปฏิบัติจะค้นพบสัจธรรมอันเป็นความจริงได้เองว่า
    ผู้รู้ก็คือ จิต นั่นเอง
    ผู้รู้อยู่ที่ใด นั่นก็เรียกได้ว่า จิตก็อยู่ที่นั้นละ


    หากเมื่อผุ้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงจิตหนึ่งได้แล้ว
    ในขั้นนี้ จิตผู้รู้จะเริ่มทวนเข้าหาจิตเอง เนื่องจากอารมณ์ สังขาร สัญญา ภายนอกออกแล้ว
    จิตจะสามารถแตกขันธ์ ออกได้เองว่า สิ่งใดเป็นจิต สิ่งใดเป็นสิ่งที่จิตปรุงขึ้น
    แต่ขั้นนี้ เราอาจจะวางไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะจิตยังคงไม่มีกำลังในการพิจารณา และวางสิ่งเหล่านั้นลง
    แต่จิตจะเริ่มทวนกระแสเข้าไปรับรู้สิ่งต่างๆ โดยสักแต่ว่ารู้ เห็น แล้ววาง


    จิตนั้นจะเริ่มเป็นปัจจุบัน เพราะ จะวางสิ่งที่พะรุงพะรัง ไม่กลับหวนนึกถึงอดีต และไม่มีความกังวลกับอนาคต
    แต่จิตจะดิ่งไปสู่ปัจจุบัน เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น โดยไม่ยึดถือ
    จิตจะวางเอง เพราะเห็นสิ่งที่เป็นจริงแล้ว สิ่งใดที่เป็นเงาของจิต เป็นอารมณ์ เป็นสัญญา เป็นสังขาร ที่รกรุงรัง จิตจะไม่ให้ความสนใจอีก
    ดังนั้น ที่ว่าดูจิตๆ บางครั้งนักภาวนามักหลงเข้าไปไปดูอาการของจิต เช่น รู้ว่าโกรธ รู้ว่าฟุ้งซ่าน รู้ว่าดีใจ เสียใจ สิ่งเหล่านี้คือไปรู้สิ่งที่ถูกรู้ทั้งสิ้น ไม่ใช่จิต
    เหตุที่เราไปหลงดูเงาในกระจกแบบนี้ ก็เพราะขาดสตินั้นเอง

    หากจะกล่าวโดยธรรมดา ก็อาจจะกล่าวได้ว่า จิตเกิดสามารถเกิดนอกฐานที่ตั้งจิตก็ได้ จะไปตั้งที่ไหนก็ได้
    แต่เราไม่พึงปฏิบัติเช่นนั้น เพราะจิตเป็นนามธรรม จิตที่สามารถจรไปจรมา นั่นคือ จิตที่วุ่นวาย เร่ร่อน ไม่เป็นหลักเเหล่ง
    จิตแบบนี้เองที่ไม่มีกำลัง ไม่สามารถสงบเป็นสมาธิได้ เมื่อไม่มีสมาธิเป็นฐาน ปัญญาก็ไม่เคยเกิด


    เหตุที่ต้องสมมติฐานที่ตั้งของจิต ขึ้นมา ก็เพื่อให้ทราบตำแหน่งที่แน่นอนของจิตนั่นเอง
    แต่เหตุที่เราต้องสร้างฐานให้จิตอยู่ทีเดิม ก็เหมือนกับสร้างบ้านให้จิตอยู่ ก็เป็นเสมือนฐานที่ตั้งให้จิตมั่นคง
    เป็นการสร้างฐานกำลังของจิตที่เรียกว่าสมาธิ เมื่อเรามีบ้านอยู่หลักแหล่งแล้ว เราจึงเรียกให้ยาม คือ สติสัมปชัญญะ นั่นครับมาเฝ้ารักษาบ้านเราได้
    เมื่อจิตไม่เร่ร่อน จนมีความมั่นใจในความปลอดภัย เมื่อนั่น จิตจะตั้งใจเอง
    โดยไม่ต้องกำหนดใจให้เป็นสมาธิ นี่คือ สมาธิที่แท้จริง

    สมาธิที่ต้องเข้าๆออกๆ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ...
    สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่เกิดโดยธรรมชาติ ปราศจากความตั้งใจ แต่เป็นภาวะของจิตที่ตั้งมั่น มั่นคงด้วยสติ สติสัมปชัญญะ เป็นสมาธิโดยธรรมชาติ

    เหตุผลง่ายๆของการระลึกฐานที่ตั้งของจิต ก็เพื่อ สมมติให้จิตมีที่อยู่ มีที่ตั้งแน่นอน และเป็นเครื่องหมายของการกำหนดสติของเราเท่านั้นเอง

    เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว จิตที่ตั้งมั่นอยุ่ในฐานที่ตั้งมั่นของจิต จิตจะมีสติกำหนดจิตอยู่ในฐานที่ตั้งดังกล่าว หากผูรับฟังสัมผัสทางหู
    หูก็จะรับหน้าที่รับเสียงไป แต่จิตอยู่ในฐานไม่ออกมารับ หากตาเห็นรูป ตาก็มีหน้าที่รับภาพไป แต่จิตไม่ส่งออกมารับ

    ผู้ปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว จะค้นพบว่า จิตมันเหมือนมีชีวิต อีกชีวิตหนึ่งที่ไม่ข้องกับร่างกาย ร่ายกายทำไรๆทำไป แต่ใจก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่สนใจ
    เมื่อถึงตอนนี้ เราจะแยกออกได้แล้วว่า จิตนั้นมีหน้าที่รับรู้ ส่วนสังขารเค้าก็มีหน้าที่ปรุงแต่ง สัญญาก็มีหน้าที่จำได้หมายรู้
    ทุกอย่างทำงานปกติ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับจิต ต่างแยกหน้าที่กันทำ อยู่ด้วยกันแต่ไม่กระทบกัน

    ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากจะกล่าวการเริ่มต้น ก็คงไม่พ้นการกินน้ำเย็น ตามแบบฉบับของหลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
    เพื่อให้นักปฏิบัติสามารถกำหนดฐานที่ตั้งของจิตให้ได้ แน่นหนามั่นคง
    จนกลายเป็นจิตหนึ่งนั่นเอง
    ส่วนที่เป็นรายละเอียดต่างๆ นั่น คือ ผลมาจากการที่ผู้รู้สอนเรานั่นเอง

    อัศจรรย์ของจิต ที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งท้าทายว่า ท่านจงลองมาดูเถิด นับเป็นเวลากว่า 2556 แล้ว บัดนี้ ยังคงทรงพุทธานุภาพไม่เสื่อมสลายไปตามกาล

    ธรรมย่อมประจักษ์แจ้งแก่ผู้ลงมือปฏิบัติตตามมรรคผลเสมอ ไม่เสื่อมคลาย...


    พระพิศาลศาสนกิจ (พระอาจารย์เยื้อน ขนติพโล)
    เจ้าคณะ จังหวัดสุรินทร์ วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร


    Cr...FB คณะศิษย์พระอาจารย์เยื้อน...เขมปัญโญคฤหัสถ์ บันทึก....
     
  9. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    มีเพื่อนฝึกแล้ว

    5555มามะมาฝึกด้วยกันผมมีเพื่อนแล้ว ลูกหลานหลวงพ่อเหมือนกัน

    ดีใจๆๆๆๆๆๆเก็บให้หมดลูกหลานหลวงพ่อ
     
  10. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ..
    .จะทดลองดูครับ งานบวชธุดงค์เดือนหน้า 5-13 ธีนวาคม ผมว่าจะไปแน่นอน
    .แล้วก็จะอยู่ฝึกมโนมยิทธิที่วัดอีกซัก 7 วัน (มาชวนไปด้วยกัน อิอิ)
    .เผื่อจะได้บ้าง
    ..
    ..ยังก็ขออนุโมทนาสาธุๆกับการฝึกด้วยนะครับ
    ..ผมยังไม่ได้เข้าคอร์สแต่อย่างใดครับ
    ..มาขอคำแนะนำศึกษาวิธีปฏิบัติก่อน
    ..เพราะหลายครั้งยังรู้สึกว่าตัวเอง ยังมีจิตชั่วเยอะเหลือเกิน

    ..ทั้งที่เราก็ไม่ได้อยากคิด..
    ..แต่มาอ่านข้อมูลที่กระทู้นี้ก็ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นครับ
    ..ขอบคุณทุกๆท่านที่นำมาเผยแพร่ครับ..
    ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2013
  11. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    ลองดูแระกันครับ

    ผมเป็นคนนึงที่อยากได้มโนมากครับถึงขนาดกลายเป้นกิเลสเลยไม่ได้อะไรเลยแต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว

    ตราบใดจิตยังไม่ทรงฌานหรือเห็นภาพพระไม่ชัดวิปัสสนาอ่อนไม่มีทาง

    เห้นชัดครับ

    ลองถามตัวเองดูฝึกเพื่ออะไร

    ผมฝึกกับครูเกษมาระยะนึงแล้วผมรู้ตัวดีถ้าตายตอนนี้เป็นพรหมแน่นอนครับ

    จิตผมทรงฌานตลอดผมจะฝึกไปเรื่อยๆครับอย่างน้อยก็ไม่ตกนรก

    เอาให้จิตยกให้ได้สิ่งที่ได้จากวิชาจิตเกาะพระมากกว่ามโนมยิทธิอีกครับ

    เอาไปเอามาฝึกจิตเกาะพระง่ายกว่าฝึกมโนมยิทธิอีก

    ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้ ฝึกจิตเกาะพระสบายๆเดี๋ยวก็ได้เอง

    ครูเกษคงมีอะไรเพิ่มเติมอีกผมขอพูดในฐานะที่เคยอยากได้มโนมยิทธิเหมือน

    กัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2013
  12. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ..
    .สาธุๆๆครับ กับคำแนะนำๆ
    ..
    .จริงๆส่วนตัวนั้น ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เฉยๆครับ
    .เพราะถือว่าจุดสูงสุดกว่านั้น คือการมุ่งไปยังนิพพาน.
    .มโนยิทธิ ไม่ได้ก็ไม่ถือว่าเสีย (สำหรับตัวเอง)

    .แต่การที่เราได้ไปพิสูจน์ในเรื่องต่างๆที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนสั่งไว้นั้น
    .ก็เป็นการบอกให้เราทำให้แจ้งด้วยจิตเราเองไปด้วย.

    ..
    .เพราะว่าบางทีมีคนมาสอบถามเรื่องธรรมะไป
    .เราก็ตอบไปตามที่เรารู้มา แต่หากเราได้เห็นด้วยจิตของเราด้วย ย่อมปลื้มปีติเข้าไปอีก..
    ..
    .บอกตรงๆว่าอยากเป็นจิตอาสาสอนคนปฏิบัติธรรม ที่ไหนก็ได้ที่เค้ายินดีครับ.
    .แต่นั่นก็ยังแค่ฝันลมๆแล้งๆครับ
    .เพราะผมต้องพิจารณาว่าตัวเองให้ลึกซึ้ง ว่ามีอะไรถึงจะไปสอนคนอื่น
    .หากทำไม่ได้ หรือไม่มีเราก็ไม่สอน อิอิ อายจิตตัวเอง+5555
    .
    .ขอให้ประสพผลสำเร็จไวๆนะครับ สาธุๆๆๆ
    .
    .
     
  13. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    "สมาธิ" เปรียบเหมือนบ้าน

    ธรรมดาคนที่ไม่มีบ้านอยู่
    ย่อมได้รับความทุกข์ตลอดกาล

    แดด ลม ฝนและละอองธุลีต่าง ๆ
    ย่อมเปรอะเปื้อนบุคคลชนิดนั้น
    เพราะไม่มีเครื่องกั้นปิดบัง

    คนที่ฝึกหัดสมาธิ ก็เท่ากับสร้างบ้านให้ตนอยู่

    ขณิกสมาธิ ก็เท่ากับบ้านที่มีหลังคามุงจาก
    อุปจารสมาธิ ก็เท่ากับบ้านที่มุงด้วยกระเบื้อง
    อัปปนาสมาธิ เท่ากับตึก .
    .



    (คำสอน หลวงพ่อลี ธมฺมธโร)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2013
  14. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    โอ้ !!เป็นเช่นนี้เองหนอ ...ที่ท่านกล่าวไว้ว่าให้ยึดถือทางสายกลาง
    อนุโมทนาสาธุในธรรมนี้ด้วยค่ะพี่แนท...สาธุ สาธุ สาธุ
     
  15. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    ขอเพิ่มเติมอีกนิด

    ผมเคยวางกำลังใจฝึกวิชาจิตเกาะพระแค่ให้จิตเป็นฌานเพื่อจะได้

    ไปฝึกมโนมยิทธิต่อยอดลองไปลองมากลายเป็นมีมานะ+กับกิเลสความยาก

    เลยได้ไม่ได้อะไรเลยพอทิ้งมานะกับความอยากไปฝึกตามที่ครูเกษแนะนำ

    วันเดียวมั้งครับถ้าจำไม่ผิดครับจิตทรงฌานผ่านปิติเข้าสู่อุปจารสมาธิซึ่งแปลก

    มากจิตนิ่งมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนฝึกมโนผมนั่งหลับตาผมฝึกลองดูที่บ้านเป็นเดือนๆ

    นิวรณ์เพียบภาพพระไม่ชัดได้แค่ขณิกสมาธิซึ่งไม่มีกำลังพอที่จะเห็นอะไร

    แค่อุปจารสมาธิก็ฝึกมโนได้แล้วแต่ผมไม่เอาและผมรู้ต้องมีอะไรดีกว่านี้แน่

    ก็เลยตั้งใจฝึกแบบสบายมาเรื่อยวิชาของท่านพ่อองค์ปฐมสุดยอดแล้วครับ

    จิตทรงฌานไวและไม่ต้องหลับตาเรียกฌานเพราะทรงอยู่ตลอดเวลาสังเกตร่าง

    กายตัวเองได้เลยเปลี่ยนไปมาก ณ ตอนนี้ อารมณ์ปฎิฆะที่เข้ามากระทบจิต

    พอเข้ามาปุ๊บกำหนดสติรู้มันละลายหายไปไวมากครับรู้ได้เลยครับน้องจิตผม

    เริ่มดีขึ้นแล้วตอนแรกๆปล้ำตั้งนานกว่าจะหายเดี๋ยวนี้แป๊บเดียวเอง

    สำหรับผมก้มีประมาณนี้ครับ
     
  16. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  17. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ขออุโมทนาสาธุกับศิษย์น้องด้วยจ้า...เยี่ยมมาก...เยี่ยมมาก ! เป็นเด็กดีก้อต้องได้ดีอย่างงี้แหล่ะจ้ะ..ชื่นใจจริงๆ
    เดินหน้าต่อไปนะจ๊ะ..สู้ๆ ป้าเป็นกำลังใจอีกแรง :)
     
  18. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    อ้าว...มาแล้วเหรอ..สวัสดีและยินดีต้อนรับอีกครั้งค่ะ...เชิญตามสบายน่ะค่ะ...บ้านหลังนี้ยินดีต้อนรับเสมอ....
     
  19. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    ไม่อยากจะบอก(ฟ้อง)เลยว่า...ลูกศิษย์ลืมส่งการบ้านมานานมากเกินไปแล้วน่ะ...ครูจะรู้มั้ยเนี่ย..ว่าม้าตัวนี้ยังวิ่งอยู่ในลู่รึเปล่า...
     
  20. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ฮ่าๆๆ เจอทวงการบ้านหน้ากระทู้เลยศิษย์น้องเอ๋ย
    ส่งการบ้านเป็นประจำมีประโยชน์มากนะ...จะบอกไห่ !
    ครูเกษมีอาวุธจะแจกให้อีกเยอะแยะเชียวนะ
    แต่ขอกระซิบดังๆว่า...ครูเกษจะแจกเฉพาะศิษย์ที่ส่งการบ้านน่ะ ^^


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...