จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ถึงคราน้ำท่วม!

    ถึงน้ำจะท่วมบ้าน ทรัพย์สมบัติหรือกาย แต่ก็อย่าให้ท่วมถึงจิตเรา
    น้ำท่วมสิ่งภายนอกนั้นแก้ไขได้ ก็แก้ไขไป แต่ถ้าแก้ไม่ได้ ก็ให้ปล่อยไป (ทำใจ)
    ว่าแต่ว่า จะทำใจกันได้ไหม ถ้าไม่รู้จักทำภาวนากัน ก็น่าจะยาก
    เพราะยังแยกกาย แยกจิตไม่เป็น ก็ไม่เป็นไร ขอเอาใจช่วยก็แล้วกัน
    อย่าให้ทุกข์กายทุกข์ใจมากไปกว่านี้เลย

    ยามเกิดทุกข์ โดยเฉพาะทางใจ ขอให้มองเห็นตัวทุกข์ ต้นตอแห่งทุกข์ไวๆ
    เพราะนิโรธจะเกิดกับจิตผู้นั้น และมีบารมีอยากปฎิบัติธรรม เพื่อหลุดพ้น

    ธรรมะไม่มีผู้ใดจะไปสอนใครได้ น้ำจากน้ำท่วม หรือภัยพิบัติมันเล่นงานตอนทีเผลอ
    นี่แหล่ะ ธรรมะ คือความจริง ที่โลกเรากำลังอาศัยอยู่นี้ แม้นกระทั่งจิตอาศัยกายหยาบนี้
    ว่ามันไม่เที่ยงจริงๆ ล้วนไปตามกฎพระไตรลักษณ์แทบทั้งสิ้น
    ตามพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้วทุกประการ โดยเฉพาะธรรมอริยสัจจ์นั้น เป็นต้น

    การปฎิบัติก็คือ แยกจิตออกมาจากทุกสิ่ง แต่ท้ายสุด จิตก้ไม่ใช่เรา เช่นกัน จึงจะดับไม่เหลือเชื้อ
    ส่วนวิธีทำนั่นก็คือ มรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง
    แต่ผู้ปฎิบัติต้องเริ่มต้นที่ศีลตนเอง ต่อจากนั้นค่อยว่ากันเรื่อง ภาวนา(สมถะ+วิปัสสนา)
    การภาวนาสมถะเพื่อทำให้จิตนิ่งก่อน การภาวนาวิปัสสนาคือการใช้ตัวปัญญาพิจารณาธรรมต่างๆ
    จุดประสงค์สมถะเพื่อให้จิตนิ่ง เพราะจิตนิ่งสงบนี้ก็คือตัวปัญญา
    ในขณะที่จิตนิ่งนั้น ก็คือกำลังจะถูกกลั่นเป็นกระทิ นั่นก็คือ ตัวปัญญา นั่นเอง
    โปรดเข้าใจไว้ด้วย เพราะปัญญามีอยู่หลายทาง
    แต่ปัญญาทางธรรม ที่ได้จากจิตภาวนานั้น คนส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ค่อยถึงกัน
    หรือเรียกว่า จิตมยปัญญา คือปัญญาที่เกิดจากการภาวนา นั่นเอง

    เพราะปัญญาทางโลกนั้นคนละเรื่องเดียวกันเลย
    เพราะปัญญาทางโลกแค่รู้เฉยๆ จึงไม่เหมือนปัญญาทางธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้
    เพราะปัญญาที่เกิดจากการภาวนาจิตนั้น ซึ่งจะนำไปสู่ หรือประตูสู่หหนทางออกจากทุกข์ได้
    ส่วนผู้ที่มีกำลังใจไปถึงพระนิพพานได้นั้น จึงต้องอาศัยสติปัญญาเป็นพื้นฐานที่มั่นคงก่อน
    กล่าวคือ ต้องละหยาบก่อนค่อยละละเอียด หรือละทุกข์ก่อนจึงค่อยละปิติสุขภายหลัง
    แต่ถ้ายังละทุกขืไม่ได้ เท่ากับไปนิพพานไม่ได้ เพราะคำว่านิพพานนั้น ขอให้เรานึกถึงการอาบน้ำ
    คือไม่มีใครเขาอาบน้ำทั้งยังใส่เสื้อกันหรอก เพราะจะชำระร่างกายไม่ค่อยสะอาด
    เพราะฉะนั้น จิตเท่านั้นคือผู้ที่มีสิทธิ์จะไปนิพพานได้ แต่ต้องเป็นจิตที่ปราศจากกิเลส
    เช่น รัก โลภ โกรธ หลง เป็นต้น ตามที่ทุกคนเข้าใจนั่นแหล่ะ

    หรือตามที่หลวงพ่อฤาษีท่านบอกว่า ถ้าใครอยากจะไปนิพพานนั้น ไม่ยาก แค่ตัดขันธ์๕
    โอ้โห เอาอย่างงั้นเลยนะพ่อ เอาก็เอา ปฎิบัติตามพ่อเลย ผู้ที่ยังมัวตั้งท่า หรือท่าเยอะก็จะเสียเปรียบหน่อย
    เพราะวิจิกิจฉาเกิดในจิต ข้อเสียก็คือ การปฎิบัติหรือการเดินมรรคของจิตจะช้า ผลย่อมช้าตามไปด้วย
    นิพพานก้ไม่ต้องูดถึงกันแล้ว เพราะกำลังใจของคนเรานี่ ต่างกันจริงๆ

    แค่นี้ก่อน เกรงใจคุณเต่าโบราณ เป็นห่วงอยู่คนเดียว

    ทีกายยังเดินไม่หยุดไม่หย่อน คือเดินไปตามกิเลสตัณหาณพาตนลำบาก ดิ้นรนไปเห่อ
    เหนื่อยก็ไม่ยอมหยุด รวยก็ไม่ยอมหยุด เพราะเราต้องทำตามกิเลสตัณหาตนเอง
    ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพบกันครึ่งทาง นั่นก็คือ จิตเดินภาวนาต่อไป อย่าหยุด
    ดูสิว่า กายกับจิต ใครจะรู้คำว่าเกิดดับก่อนกัน
    แต่ถ้าเราตายก่อน นั่นแสดงว่า แพ้ มีกติกาต้องกลับมาเกิดใหม่ แก้ตัวใหม่นั่นเอง
    ผู้ชนะในที่นี้จึงหมายถึง จิตเห็นเกิดดับก่อนสังขารจะดับดิ้นหรือตายลงไป

    การจะเอาชนะผู้อื่นนั้น ไม่ยากหรอก
    แต่เอาชนะใจตนเอง นี่แหล่ะ ยากที่ซู๊ดดด เลย
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แต่ก่อนเราก็เป็นเหมือนท่าน
    อีกหน่อยท่านก็จะเป็นเหมือนเรา


    (ฮิฮิ..หัวเราะด้วยจิ น้องดาว ถึงจะสะใจ)

    มงคลที่ ๒๑ ไม่ประมาทในธรรม

    โมทนาสาธุธรรมาทานของคุณPugsleyด้วยครับ

    แหม๊ ช่างสรรหาธรรมะจริงจริ๊ง
    สงสัยคงจะนึกถึงเพื่อนที่เครื่องบินของสายการบินลาวตกแม่น้ำโขง
    ตายเย็นดีกว่าตายร้อนนะจะบอกหั่ย(ให้)
    มรณานุสสติ ระลึกบ่อยๆหน่อยนะ ท่าจะดี
    เพราะจะได้เห็นความตายเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา เหมือนดั่งพระอริยเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 ตุลาคม 2013
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ไม่ผูกจิตติดใจในขันธ์ ๕
    ธรรมโอวาทหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ให้พิจารณาว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา
    โดยให้พิจารณาเป็นปกติ
    เมื่อเห็นว่าขันธ์ ๕ ป่วยก็รักษา เพื่อให้ทรงอยู่ แต่เมื่อมันจะพังก็ไม่ตกใจ หรือมันเริ่มป่วยไข้
    ก็คิดว่า ธรรมดามันต้องเป็นอย่างนี้
    เราจะรักษาเพื่อให้ทรงอยู่ ถ้าทรงอยู่ได้ ก็จะอาศัยเพื่องานกุศลต่อไป
    ถ้าเอาไว้ไม่ได้มันจะผุพัง ก็ไม่มีอะไรหนักใจ
    ความทุกข์จะเกิดแก่ตัวเองหรือใคร อะไรก็ตาม ไม่ผูกจิตติดใจอย่างนี้
    จนกระทั่งบรรลุอรหัตผล

    BuddhaSattha
     
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สาธุในธรรมทานค่ะ จริงๆแล้วที่คนเป็นทุกข์อยู่นี่ก็ คือเรามีขันธ์ห้านี่เอง ยิ่งเข้าใจมากขึ้น เพราะไปฟังเทศน์ที่ไหนๆ ที่พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านจะพูดแต่เรื่องขันธ์ทั้งนั้น...เราผู้ปฏิบัติแต่ก่อนก็งงๆ แถมไม่รู้เห็นเลยว่าขันธ์นี่มีแต่ทุกข์ แต่ท่านจะเหมือนชี้ให้ดู อยู่ตลอดเวลา เพราะตั้งแต่ปฏิบัติธรรมมา

    ข้าพเจ้าจะเจอแต่เรื่องขันธ์นี่เป็นพิเศษสุด คือทุกข์แต่เรื่องขันธ์เริ่มแรกก่อนเข้าปฏฺบัติ จนเข้ามาได้ถึงตรงนี้ ก็ยังไม่พ้นเรื่องของขันธ์ รูป และเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วก็ก่อให้เกิดทุกข์ หรือสุขขึ้น แล้วจิตที่ไม่เข้าใจก็หลงไปยึดเอามาเป็นอารมณ์ก่อให้เกิดทุกข์หรือสุขขึ้นเพราะมีขันธ์นี้เป็นเหตุนี่เองที่คนผู้เกิดมาเป็นทุกข์ที่สุดในโลก

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ไม่มีขันธ์คือไม่เกิด ก็ไม่ทุกข์ ยิ่งเห็นยิ่งเข้าใจมากๆๆขึ้น ถ้าเมื่อใดผู้ปฏิบัติไม่เอาขันธ์ คือไม่สนใจในร่างกาย หรือในสังขารนั้นแหละ แสดงว่าท่านใกล้จะเข้าถึงซึ้ง"นิพพาน" แต่จิตเท่านั้นจะเป็นผู้รู้ ว่าเอาหรือไม่เอาและจะไม่สามารถปฏิเสธได้ด้วยว่าวางจริงหรือถ้ายังมีทุกข์นั้นก็จิตยังวางแต่ไม่สนิท คือยังมีเชื่ออยู่ ถ้าดับสนิทนั้นก็คือ"นิพพาน" เพราะมีขันธ์แต่ไม่เอาขันธ์นั้นเอง...สาธุค่ะ
     
  5. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    เนื่องจากผมยังไม่เคยอุปสมบทเคยคิดน้อยใจว่าบุญเราน้อยยังไม่ได้บวช

    ที่ไหนได้เรามีบุญและโชคดีที่ยังไม่ได้บวชทั้งนี้เพราะหากบวชคงไม่พ้นอาบัติหนัก

    ติดอาบัติหนักลงอเวจีอย่างเดียวโชคดีที่มาได้บวชใจที่นี่ก่อนครับนับว่าโชคดีมากครับ

    ยกจิตแล้วหาเวลาไปบวชทดแทนคุรบิดามารดาก็ยังไม่สายครับ

    ผมเคยบวชเณรมาผิดศีลประจำครับต่อศีลทุกวันพระ555เนื่องจากยังวัยรุ่นครับบวชส่งๆไป

    งั้นซึ่งผมเคยจิตตกมาพักนึงครับตอนเข้าถึงไตรสรณคมณ์ใหม่ๆตอนนี้ไม่ตามคิดถึงมันแล้ว

    บาปกรรมมันไม่ฟังเราหรอกว่าเด็กผู้ใหญ่ถึงเวลามันให้ผลอย่างเดียว

    ขอถามพี่ๆครูทุกท่าน ท่านพี่ภู ว่าหากคนเคยบวชพระมาแล้วติดอาบัติหนัก เช่น ปราชิก

    สังฆาทิเสส ผมทราบมาว่าห้ามมรรคผล แต่ไม่ห้ามสวรรค์ จริงหรือไม่ครับ

    แล้วถ้าสำนึกผิดแล้วมาเกาะพระ ควรแก้ไขวางกำลังใจฝึกอย่างไรครับ

    เพราะเค้าคงจิตตกมากครับโทษหนักมากครับ

    ผมเห็นใจและสงสารเขามากครับ
     
  6. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ให้เร่งรีบพิจารณา ตัด ละ ปล่อย วาง ขันธ์5
    ก่อนที่จะโดน ไฟลท์บังคับ ...


    ผู้ที่ขอพระนิพพานชาตินี้ ต้องเร่งเรื่องการพิจารณาให้มาก

    ถาม : (มีโยมป่วยหนักนอนที่โรงพยาบาล)

    ตอบ : บอกท่านว่าตัดใจให้ได้ พูดข้างหูก็ได้ น่าจะฟังได้ยิน เพราะว่าถ้าวางร่างกายไม่ได้ก็จะไม่ตาย คนที่อธิษฐานขอพระนิพพานไว้นี่ตายยาก
    ต้องตัดร่างกายได้จริงๆ เพราะคำอธิษฐานค้ำไว้

    บอกข้างหูก็ได้ว่าไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว ตัดใจไปอยู่กับหลวงพ่อที่พระนิพพานเลย ถ้าหากว่าตัดไม่ได้ก็ยังอยู่อย่างนั้น อาตมาเจอมาหลายรายแล้ว
    ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก ถาม หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจึงบอกว่า ถ้าหากว่าไม่ทรมานมากๆ ก็ตัดใจไม่ได้ จึงต้องทรมานกันหนักหน่อย บอกเขาให้รีบตัดใจเสีย พูดกรอกหูไปเลย

    ถาม : หมายถึงว่าถ้าเขาวางร่างกายไม่ได้จะไม่ตายหรือครับ ?

    ตอบ : ก็เขาไปขอพระนิพพานเอาไว้ คนตัดร่างกายไม่ได้ก็ไปพระนิพพานไม่ได้ กำลังบุญที่ตัวเองสร้างไว้ค้ำอยู่อย่างนั้น ก็ทรมานไปสิ

    บุคคลที่อธิษฐานขอพระนิพพาน ทำบุญอะไรก็ขอพระนิพพานในชาตินี้ แต่ขาดการพิจารณาเพื่อที่จะละวางร่างกายนี้ เมื่อขาดการพิจารณา กำลังใจยังตัดไม่ได้ เจ็บป่วยขนาดไหนก็ทรมานอยู่นั่นแหละ เพราะไปขอพระนิพพาน กำลังบุญกับแรงอธิษฐานค้ำเอาไว้ ยังไม่ถึงพระนิพพานก็ทรมานอยู่นั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ใครรู้ตัวก็รีบพิจารณาเยอะๆ จะได้ตัดใจได้ ถ้าละร่างกายได้ก็ไปเลย ไม่ต้องทรมาน

    ท่านย่า เคยบอกไว้ว่า “พวกแกขอพระนิพพานชาตินี้ ถ้าขี้เกียจพิจารณา ก่อนตายปวดสาหัสทุกคน เพราะต้องบังคับให้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นโทษ
    ถ้าไม่ปวดสาหัสขนาดนั้นก็ยังคิดว่าตัวกูของกูอยู่นั่นแหละ”
    ฉะนั้น..พิจารณาไว้เยอะๆ จะได้ไม่โดน

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๕
     
  7. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    แนะนำเขาว่า อย่าตามคิดถึง บาปเก่าๆที่เคยทำผิดพลาดมา เพราะจะทำให้จิตเศร้าหมอง ...สร้างสติให้เกิดขึ้นอยู่กับ อารมณ์ปัจจุบันเท่านั้น ไม่ควรส่งจิตตามนึกถึงอดีต ...หรือ ส่งจิตฟุ้งไปกับเรื่องอนาคต ...พยายามนึกถึงความตายหรือ มรณานุสสติ เข้าไว้ ว่าเราตายเดี่ยวนี้ ลมหายใจปัจจุบันนี้เท่านั้น เรื่องที่ผ่านมาแล้วแก้ไขไม่ได้ ปล่อยไป... สร้างกุศล ความดีใหม่ ในอารมณ์จิตปัจจุบัน ขอบารมีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง บอกเจตนาอันแน่วแน่ ...กับพระท่านไปเลย ว่า บัดนี้ ขึ้นชื่อว่า ความชั่วอกุศลกรรมใดๆ ข้าพเจ้าจะไม่ทำแล้ว ตลอดชีวิต ต่อจากนี้ไป ขอทำแต่ความดี รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทั้ง กาย วาจา ใจ ...

    อย่าลืม จิตจับกุศล มีสุขคติ เป็นที่ไป ...จิตจับบาปอกุศล มีทุคติ เป็นที่ไป ...

    ให้เขาหมั่นนึกถึง คุณงามความดีของพระพุทธเจ้า สร้างบุญภายในให้เกิดขึ้น สร้างพระในจิตตน ...ให้มี พุทธานุสสติกรรมฐาน ประจำใจ บาปอกุศลจะได้ไม่แทรกเข้ามาในจิต นั่นคือ การสร้างสติ คุม จิต ไม่ให้คิดชั่ว นั่นเอง ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2013
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089

    ?????????????????
    นับว่าเป็นคำถามที่ชาญฉลาดมากนัก
    (นึกอยู่เชียว)

    จิตคนเรานั้น ท่องเที่ยวเสาะหาแต่สิ่งไม่ดี (แกว่งเท้าหาเสี่ยน)

    แต่จิตคุณตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว ค่อยๆเคลื่อนย้ายจิตให้ดี ในระหว่างที่จิตเคลื่อนที่
    เจ้าจงหมั่นมีสติ มีปัญญามากๆ แล้วคำว่า มรรคผลนั้น มิได้อยู่ไกลเลย

    ขอโมทนาสาธุธรรมาทานของหลวงพ่อฯ ของคุณแนทด้วย ท่านตอบได้กระจ่างจิตไปหมดแล้ว
    ผมขอเสริมนิดเดียวก็คือ การวางกำลังใจใหม่
    ขอให้ผู้ปฎิบัติพยายามจำจดไว้ให้ดีว่า...
    ธรรมปัจจุบันนี้หน๋อ สำคัญที่สุด แต่จะเลือเอาแต่กรรมดี ที่เป็นฝ่ายบุยกุศลเท่านั้นนะ
    อดีตที่เคยผ่านมาจะระยำมากแค่ไหนอย่าไปสน
    ขอให้นึกองคุลิมาลหรือพระองคุลิมาลเถระ ภายหลังยังเป็นพระอรหันต์ได้เลย
    หรือเราต้องเลวสุดๆ เลวกว่าองคุลีมาลก่่อนไหม ถึงจะสำนึกผิดกันภายหลัง อันนั้นเจ๊งแน่
    พระพุทธเจ้า มิให้ผู้ปฎิบัติไปเน้นอกุศลจิต เหตุที่จิตไปตามนั้นก็เพราะว่า จิตมันเดินหลงทางชั่วขณะเท่านั้น
    พอจิตมีปัญญาเข้ามาหน่อย จิตเขาจะละได้เอง โดยไม่ต้องหาเหตุผลจากที่อื่น นี่คือการเข้าใจภายในของตน

    สรุปแล้ว ถ้าจิตผู้นั้นไม่ว่าจะไปติดขัดอะไรก็ตาม ทุกอย่างต้องจบที่จิตผู้นั้นเอง
    ต้องแกไขที่จิตเท่านั้น แต่ถ้าแก้ไม่ได้ จิตยังข้องใจไม่ยอมจากหายไปไหน เราก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย

    แท้ที่จริงแล้ว เรามิใช่กาย มิใช่จิต ทั้งจิตเดิมหรือจิตประภัสสรนั้น
    กายหรือจิิตก็คือ ความว่าง เพียงแค่อาศัยหยาบ(กาย)และละเอียด(จิต)อยู่ชั่วคราวเท่านั้น
    จนเข้าใจอย่างหยาบว่า กายนี้เป็นเรา เป็นของเรา
    แต่การเข้าใจละเอียดเข้าไปอีกหน่อย ดันเข้าใจว่า.. จิตนี้เป็นเราเป็นของเราอีก
    ถ้าผู้ใด จิตยังไม่ละเอียดหรือนึกไม่ออก ก็ให้ดูตัวอย่างจิตพระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้าเหล่านั้น จะเข้าใจทันที
    ทั้งรูป ทั้งนาม หรือทั้งกายทั้งจิต ท่านพากันละหมด จึงพากันเข้านิพพานไป นั่นเอง สาระมันก็อยู่ที่ตรงนี้

    และสาระสำคัญของผู้ปฎิบัติธรรมทุกท่าน นั่นก็คือ...
    อย่าไปสนใจกรรม ในเมื่อเรายังให้อภัยกับคนอื่นได้ เพราะฉะนั้น เราก็ให้อภัยตนเองได้เช่นกัน
    ขอให้สนใจแต่กรรมดีเพียงอย่างเดียว เพราะผู้ปฎิบัติจำเป็นต้องรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์(ให้ครบถ้วน เริ่มจากศีลหยาบคือศีล๕)
    หยุดกระทำบาปทางกาย ทางคำพูด ทางใจ แล้วหันมุ่งหน้าทำสิ่งตรงกันข้ามกับคำว่า บาป
    เหมือนกับท่านคิดสิ่งใดย่อมทำสิ่งนั้น ย่อมได้สิ่งนั้น จิตคิดดีย่อมพากายไปในทางที่ดีได้เช่นกัน
    เพราะจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
    มันอยู่ที่เราว่าจะตั้งจิตไปทิศทางไหน สุคติหรือทุคติ กระทำได้เลยตอนนี้ ลมหายใจนี้ เป็นต้นไป..สาธุ
    ปล.ขอให้ปฎิบัติตามครูเกษไปเรื่อยๆนะ เดี๋ยวดีขึ้นไปตามลำดับเอง ตอนนี้จิตเธอดีแล้ว เข้าที่เข้าทางดีแล้ว
    มีพี่ๆหลายท่านยังแอบส่งกำลังใจให้เธออยู่เสมอ เช่น คุณลินดา คุณเพ็ญ คุณดาว คุณแนท เป็นต้น
    เธอมาที่นี่ ถูกทางแล้ว แต่ห้ามหลายใจ โดยเฉพาะกรรมฐาน ให้เอาดีอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน
    เดินให้สุดซอยก่อน แล้วจะพบเห็นอะไรดีๆ พอจบกิจจิตเกาะพระแล้ว ให้เธอเดินดุ่ยๆเข้านิพพานเอง
    ถ้ากำลังใจเธอมากนะ ตามสบายเลย โมทนาสาธุล่วงหน้าด้วยครับ

    เดี๋ยวพี่ภูจะคอยดูว่า ยังจะเอาอีกไหม ยังจะเห็นความสำคัญกับคำว่าอภิญญาดีกว่านิพพานไหม
    มิได้หมายความว่า อภิญญานั้นไม่ดี คำตอบว่า..ดีครับ แต่ถ้ามีแล้ว ได้แล้ว อย่าลืม..นำไปทำอาสวกิเลสตนให้สิ้นซาก
    ไม่งั้นไปนิพพานไม่ได้ บ้ามัวนั่งเล่นอภิญญา พอดีตายก่อน อดเข้านิพพานตามพระพุทธเจ้ากันพอดี
    แต่อย่าลืมนะ พยายามไปพยายามฝึกเลย มันเสียเวลา เพราะยังไงๆถ้าเธอมีของเก่าจริง(วิชา๓หรืออภิญญาต่างๆ)
    เดี๋ยวถ้าจิตเข้าถึงสมถะแล้ว เธอก็จะเห็นเอง รู้เอง แต่ถ้าของเก่าใครไม่มี ก็ไม่มีทางได้เห็น ได้เจอแน่

    พูดถึงคุณผมอดนึกถึงคุณแหววไม่ได้ ท่านนี้ของจริง ท่านนี้ไม่น่าเป็นห่วง เพราะจิตเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว
    จะเดินหลงทางแค่ไหน เดี๋ยวมีบางอย่างดึงกลับไปเอง
    เพราะมีบางสิ่งส่งเธอคนนี้ลงมาจะต้องทำหน้าที่บางอย่าง เพียงแต่รอเวลาอันเหมาะสมเท่านั้น ปล่อยให้เธอคนนี้เดินเล่นไปก่อน
     
  9. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    ลูกขอน้อมกราบ รับธรรมคําสั่งสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดํา ด้วยความเคารพด้วยเศียรเกล้าค่ะ














    .
     
  10. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    "
    การปฎิบัติ สำคัญที่การรวมจิตเป็นใหญ่​

    เพราะพื้นฐานแห่งความดี ความชั่วย่อมเกิดที่จิต
    ถ้าจิตตัวนี้ปราศจากสติ เป็นเครื่องคุ้มครองหรือประคับประคองเมื่อใด
    เมื่อนั้นดวงจิตดวงนี้ก็จะต้องมีความเผลอไป นึกสร้างบาปกรรมใส่ตัวเลย
    เพราะฉะนั้นการอบรมจิตให้มีสติ จึงเป็นสิ่งจำเป็น
    ความทุกข์ทั้งหลายเกิดจากกิเลส โลภะ ราคะ โทสะ โมหะ
    ถ้าต้องการมีความสุข ต้องกำจัดกิเลสของตน กิเลสในใจตนเอง
    ไม่ใช่ไปตั้งหน้ากำจัดคนอื่น" ​

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย​


    Cr..Fb ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ​
     
  11. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  12. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    เอ๋ ว่าทำไมปวดเมื่อยตัวจังนิ อ้อ ลุ้นน้อง therd2499 จนตัวอ้วน เอ้ย ตัวโก่งนี่เอง อิอิ อย่างนี้ต้ต้องไป นวดคลายเส้นซะหน่อย อิอิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    วันนี้ยกธงขาวครับแบบมึนๆ


    วันนี้แย่ครับ ยอมแพ้ที่ทำงานที่ปราบเซียนเลย

    ท้อได้แต่ไม่ถอยครับพึ่งส่งการบ้านขอตัวไปทำO.T

    ก่อนนะครับ

    สังเกตตัวเองว่าตั้งแต่มึนๆนี่ทำงานไม่เหนื่อยเลยร่างกายไม่เพลีย

    แต่ก่อนแค่8ชม.ก็เป็นลมแล้วครับ
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "ปกิณกธรรม"

    -ธรรมสากัจฉากับพระสุเมโธ...

    ...จารีตประเพณีทางศาสนาก็เป็นเพียงประเพณี...ซึ่งบุคคลเลือกปฏิบัติได้ตาม

    กาละและเทศะถ้าบุคคลนั้นรู้ว่าจะใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร ก็ยังดีกว่าบุคคลที่ไม่รู้

    แล้วหาว่าเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าประโยชน์...

    ...เราอาจไปที่โบสถ์ของพวกคริสเตียน หรือไปทีวัดทางพระพุทธศาสนา หรือ

    สุเหร่ายิว เพื่อไปทำความเคารพ แล้วสัมผัสกับข้อปฏิบัติของสถานที่นั้น ๆ โดยไม่รู้สึก

    ว่ามันดีหรือเลวแต่ประการใด เราไม่มีสิทธิอะไรที่จะไปตัดสินซี้ขาดอย่างนั้นอย่างนี้...

    ...ขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ว่านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของการละความชั่วและทำความ

    ดี ฉนั้นถ้าหากบุคคลไปเกาะเกี่ยวอยู่กับจารีตประเพณีก็เท่ากับถูกตรึงอยู่ตรงนั้นแต่ถ้ารู้จัก

    ใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม...มันก็เหมือนกับแพที่นำเราข้ามฟาก...

    ...กราบนมัสการหลวงพ่อสุเมโธ และกราบน้อมรับพระธรรมคำสอนเจ้าค่ะกราบๆๆๆ
     
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผู้เจริญ ผู้รู้ ผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย

    ย่อมเดินตามรอยพระบาท..พระตถาคตเจ้า
    พระองค์ทรงประพฤติ ทรงปฎิบัติเป็นตัวอย่างที่ดีเลิศในปัฐพีนี้แล้ว

    ผู้เจริญในธรรม ผู้ถึงธรรมแล้วทั้งหลาย ช่วยกันสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
    ตามอัตภาพ ตามแต่โอกาสเหมาะสมและอำนวยด้วยเถิด

    เพื่อแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า ที่มีพระธรรมหรือคำสั่งสอนให้กับพวกเราทุกคนได้ปฎิบัติ
    จนมีดวงตาเห็นธรรม จนสามารถออกจากทุกข์ของตนเองได้ ไปจนถึงหลุดพ้น

    ที่พระองค์ทรงลำบากพระวรกายและใจ ก็เพื่อมนุษย์ อมนุษย์ทั้งปวง

    แต่พวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่ รีบเพียรปฎิบัติกันเข้า

    เพราะเวลาหายใจเหลือน้อยลงไปทุกทีแล้ว
     
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ผู้ที่ปรารถนาพระนิพพาน

    ต้องพยายามทรงเอกัคคตารมณ์ คือทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่เสมอ
    หรือการสำรวมจิต นั่นเอง...
    ทำจิตให้ได้ให้เหมือนดั่งพระอริยเจ้าเข้าไว้ จิตนิพพานต้องเข้ม ต้องว่างจริงๆ
    หรือละจากเรื่องทางโลกก็ยิ่งดีใหญ่ จิตเป็นผู้รู้เป็นผู้เห็น และนิ่งอยู่เฉยๆภายใน
    ดูกายเคลื่อนไหว ดูสังขาร(ความปรุงแต่งจิต)เคลื่อนไหวเฉยๆ
    อย่าได้ลงไปยุ่งหรือเล่นด้วย เด็ดขาด

    เพราะนั่นเป็นสภาวธรรมหรือสภาวะจิต ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
    โดยเฉพาะตัวสังขารคือตัวปรุงแต่งจิตนี้ ไม่มีผู้ใดไปห้าม ไปขัดขืนได้
    มีแต่จิตปัญญาเท่านั้น...
    จิตปัญญานี้จะสามารถแยกธรรมตรงนี้ได้เอง คือจะอยู่เหนือขันธ์๕
    โดยเฉพาะเหนือตัวสังขาร(ตัวปรุงแต่งจิต)หรือเจตสิก หรือธรรมารมณ์ของจิตตนนี้ เป็นสำคัญ...

    ภูทยานฌาน

    Cr...FB Phu Bodin
     
  18. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ

    เป็นพระมหาเมตตาธิคุณ ซึ่งหาประมาณที่สุดมิได้
    ถ้าบุคคลใด ที่มีจิตอันละเอียดอ่อนจริง ย่อมรับกระแสพระมหาเมตตาธิคุณของพระพุทธเจ้านี้ได้
    เพราะพระมหาเมตตาธิคุณ หรือพระพุทธคุณนั้น แทรกตัวอยู่ทุกอณู ทุกรูขุมขน
    แม้นกระทั่งอากาศที่พวกเรากำลังหายใจอยู่ เล็กแค่ไหน ละเอียดแค่ไหน ก็สามารถแทรกตัวเข้าไปอยู่ได้
    พวกเราก็ลองคิดพิจารณาดูเอาเองละกัน

    พระองค์ท่านส่งกระแสธรรมมาถึงทุกประตูจิตแล้ว ...
    แต่น่าเสียดายยิ่ง เพราะจิตพวกเราไม่พยายามทำให้ละเอียดกันเอง
    มัวแต่ไปสนใจในธรรมอย่างอื่นซะมากกว่า เพราะพระธรรมหรือคำสั่งสอนฯ ติดตามทุกขณะจิตอยู่ตลอดเวลา
    แต่ก็น่าเห็นใจอยู่เหมือนกัน คนส่วนใหญ่ที่ยังตามหาจิต ตามหาความสงบสุขภายในตนเอง มิได้
    ส่วนผู้ที่พบจิต พบความสงบสุขภายในจิตของตนได้แล้ว อันนี้ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ เพราะถือว่าออกจากทุกข์ได้(บ้าง)แล้ว
    ถึงทุกข์ก็เป็นทุกข์ทางกาย หรือทุกข์น้อยที่สุด สั้นที่สุด เพราะเมื่อท่านมีสติ มีปัญญา ทุกข์นั้นก็จะดับหรือหายไปทันที

    เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติธรรมทุกท่าน โดยเฉพาะ เลยคำว่าสมถะไปแล้ว หรือโดยเฉพาะผู้ที่กำลังเข้าวิปัสสนา

    อยากแนะนำให้ระลึกถึงพระมหาเมตตาธิคุณกันตรงนี้ให้มากๆ (พระพุทธคุณ)

    ทำไมไม่ดูตัวอย่างของเหล่าพระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้า พระสุปฎิปันโน เช่น หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว หลวงพ่อฤาษีฯของพวกเรา เป็นต้น
    จิตของท่านเหล่านั้น เกาะแต่พระรัตนตรัยกันแจเลย โดยเฉพาะพระพุทธคุณ จิตตนกลายเป็นจิตของพระพุทธเจ้ากันไปหมดแล้ว
    และท้ายที่สุด จิตพระอริยเจ้าเหล่านั้นก็พากันไปไหน ถ้ามิใช่..พระนิพพาน ต่างพากันไปตามหาจิตพระพุทธเจ้า นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น พวกเราอย่าไปเลยทางอื่น พากันเดินสายกลางนี้กันเถิด
    เพราะทางอื่นมันหลง ขอฝากข้อคิด ช่วยกันขบคิดพิจารณาธรรมตรงนี้กันให้ดี...

    จริตผู้ใดถูกกับพุทธานุสสติกรรมฐาน ถือว่าได้เปรียบกว่ากรรมฐานกองอื่นๆมากนัก

    ภูทยานฌาน

    Cr... FB... Phu Bodin
     
  19. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ถาม:ตอบ ญาติโยมได้ถามองค์หลวงตามหาบัวไว้...

    ถาม: พุทธศาสนา มีความจําเป็นกับมนุษย์อย่างไร?
    ตอบ:สําหรับศาสนาเองที่พระพุทธองค์ประทานไว้เพื่อหมู่ชน จะว่าจําเป็นกับมนุษย์ก็จําเป็น จะว่าไม่จําเป็นก็ไม่จําเป็น เพราะศาสนาโดยแท้จริง ไม่มีส่วนบกพร่องหรือได้เสีย
    จากการที่มนุษย์จะถือเป็นความจําเป็นหรือไม่กับศาสนา เช่นเดียวกับอาหารที่แม่ครัวปรุงเสร็จแล้ว เพื่อผู้ต้องการจะรับประทาน เฉพาะอาหารเองไม่มีความรู้สึกว่าจําเป็นหรือไม่ที่บุคคลจะรับประทานหรือไม่รับประทาน เมื่อผ่านกาลไปแล้วอาหารก็แปรงสภาพไปตามกฏอนิจัง ใครต้องการจะรับก็รับ ถ้าไม่ต้องการรับก็ตามอัธยาศัย "ผลได้เสียไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหาร แต่ขึ้นอยู่กับผู้รับหรือไม่รับต่างหาก"

    ศาสนาก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าผู้ประกาศสอนธรรมแก่โลก ทรงวางไว้เป็นกลางๆ ใครเห็นว่าศาสนามีความจําเป็นแก่ตนก็ยอมรับนับถือและปฏิบัติตาม ผู้นั้นก็ได้รับประโยชน์ จากศาสนาเท่าที่กําลังความสามารถอํานวย ผู้ที่เห็นว่าศาสนาไม่จําเป็นสําหรับตน ไม่ยอมรับนับถือและปฏิบัติตาม ผู้นั้นก็ไม่ได้รับผลประโยชน์จากศาสนา

    ถึงกาลศาสนาก็แปรงสภาพผ่านไป เช่นเดียวกับสิ่งต่างๆไป ฉะนั้นศาสนาซึ่งมิได้เป็นตัวบุคคลที่คอยของ้องอนผู้ใดให้รับนับถือ จึงเป็นความจริงไปตามที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศสอนไว้ แม้พระองค์เองก็ประทานไว้ด้วยพระเมตตาที่เคยมีต่อสัตว์โลกมาประจํา พระอัธยาศัยมิได้สอนไว้ ไม่บังคับแต่อย่างใด ผู้จะนับถือก็ได้ไม่นับถือก็ได้ เมื่อผู้ยอมรับนับถือ ว่าศาสนาเป็นธรรม และจําเป็นสําหรับตนเองแล้ว ศาสนาก็กลายเป็นคู่เคียงของมนุษย์ เหมือนยาเป็นสิ่งที่คู่เคียงของคนไข้ และศาสนาก็เป็นสิ่งคู่เคียงของโลกได้ ถ้าโลกต้องการ...สาธุค่ะ

    ที่มา หนังสือ ๑๐๐ ปีชาตกาล หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
  20. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    ตอนนี้รู้สึกหายใจสั้นมากครับคล้ายหายใจไม่ออก

    มึนๆอีกแล้วครับมึนตลอดวัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...