จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    เจอมาก่อนหน้านั้นแล้วจ้ะ พี่อยู่มุมมืดๆน่ะ ไม่เห้นพี่หรอก ดักดูดเลือดด เอ้ยคอยสังเกตุการณื
     
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ศรัทธาของชาวพุทธที่แท้จริง...

    ...ตามคำสอนจากพระโอษฐ์ "ตถาคต" ลักษณะศรัทธาของผู้มีจิตศรัทธา...

    ดูก่อนสุภูติ เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีจิตศรัทธา

    ...มีดังนี้ (๑. ) มีศีล สำรวมในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร

    มีปรกติเห็นภัยในโลกทั้งหลาย...

    (๒.) มีสุตะมาก ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้สดับมามาก ทรงไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ

    -แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ...

    (๓.) มีมิตรดี มีสหายดีมีเพื่อนดี...

    (๔.) เป็นผู้ว่าง่าย ประกอบด้ยธรรมเป็นเครื่องกระทำให้ว่าง่าย อดทน...

    ...รับอนุศาสนีย์โดยความเคารพ...

    (๕) เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้าน ในกรณียกิจทั้งสูง...ต่ำของเพื่อน สพรหมจารี...

    (๖.) เป็นผู้ใคร่ธรรม กล่าวคำเป็นที่รัก มีความปราโมทย์อย่างยิ่ง ในธรรมอันยิ่ง...

    (๗.) เป็นผู้ปรารภความเพียร ละอกุศลยังกุศลให้ถึงพร้อม...

    (๘.) ได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยากไม่ลำบากซึ่งญาณทั้งสี่...

    ...เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน...

    (๙.) ระลึกถึงชาติก่อนได้ ระลึกได้ชาติหนึ่ง สองชาติ...

    ...แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัป...

    (๑๐.) มีทิพยจักษุ เห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ-อุปบัติเลว ประณิต...ยอมรู้ชัดว่าหมู่สัตว์เป็นไปตามกรรม...

    (๑๑.) มีเจโตวิมุติปัญญาวุติ อันหา อาสวะมิได้...เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญา...

    ...คัดจากหนังสือพุทธวจน...ขออนุโมทนาบุญกับคณะผู้จัดพิมพ์แจกค่ะสาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2013
  3. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    อารมณ์วันนี้ สบายโล่ง โปร่ง มีหวิวๆๆทิ้งมานะไปหมดรู้จับภาพพระพูดคุยที่ทำงานรู้

    พระจะธุดงค์ออกแล้วรู้นิมนต์กลับ มีอาการคล้ายตกที่สูง ทำไรอยู่รู้คิดถึงพระ

    เผลอรู้จับภาพพระ ควักบุหรี่ออกมาสูบรู้ คิดสูบทำไม ขันธ์5 มันอยาก จัดไป1ตัวชิลล์ๆ

    อารมณ์เป็นสุขไม่อยากกินข้าวรู้ ก้มหน้าก้มตากินจับภาพพระ อุ้ยพระหายรุ้ นิมนต์กลับขอรับ

    คิดอยากได้วิชาสามรู้ จิตตอบฝึกไปของเก่ามีเดี๋ยวได้เอง55555มันหลอกผมหรือเปล่า

    555 หลับตาคิดถึงพระน้ำตาจะไหลรู้ หวิวๆรู้ คล้ายตกที่สูงเบรคไว้ก่อนนี่ที่ทำงานนะ

    นินทากาเลได้ยินรู้จิตตอบชั่งแม่งมันไม่เกี่ยวกับกรูรู้ จับภาพพระ5555555

    พิมพ์ไม่ทันจิต55555

    เพื่อนเอาเมมให้ลงเพลงใคร่ครวญศีลรู้หมองชั่งมันจะไม่ทำอีก

    มานะเอ๋ย1ในสังโยชน์เจ้าแฝงตัวแนบแน่นนักบัดนี้ข้าฆ่าเจ้าได้แล้ว

    หากไม่ใช้ปัญญาคงคิดว่าเราไม่มีแล้วจริงๆแล้วมันประกบหลังเราอยู่ตามเราทุกฝีก้าวแบบ

    เงียบๆ ภัยเงียบช่างอันตรายนักถึงขนาดปิดกั้นมรรคได้เลย5555ขำมันมาจากไหนนี่

    ผุดออกมาเป็นตาน้ำเลย5555

    สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดวินาศสันตโร

    ผมบ้าไปแล้วครับก็ยอมครับบ้าในความดี55555

    หากไม่เหมาะสมขออภัยด้วยครับ อิอิ^^

    สุขภายนอกใดเล่าจะหาสุขเท่าสุขจากภายในสุขจากธรรม

    ต้องผ่านตรงนี้ไปให้ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2013
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนาสาธุ กับคุณ therd 2499 ด้วยค่ะ คุณมาถูกทางแล้ว คุณรู้เท่าทันในอารมณ์ของคุณ เพราะคุณมีสติรู้ว่าพระอยู่กับคุณ หรือท่านจะไปจากคุณรู้ คุณตามรู้ ตามดูจิตคุณ โดยใข้สติกํากับอยูตลอดเวลานั้น ถือว่าคุณก็เอาจริง แต่นามตัวละเอียดที่แฝงอยู่ลึกๆคือความคิดที่เป็นความคิดปรุงละเอียดที่คุณต้องใช้สติที่ละเอียดเช่นกัน จึงจะทันเขานั้นก็หมายถึงคุณต้องเจริญสติตลอดเวลาจนถึงขั้น"มหาสติ"คุณก็จะสามารถรู้ทันแล้วดับทันท่วงที่ ก็จะเข้าข่ายสักแต่ว่า สักแต่เห็น สักแต่คิด ไม่เอามันแล้วก็น้อมลงไปที่ไตรลักษณ์ ทุกๆอย่างมีเกิดก็ต้องมีดับไม่มีอะไรที่จะคงอยู่ได้ค่ะ ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
    ขอให้คุณจงเป็นผู้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ สาธุค่ะ
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กำลังใจ พระนิพพาน!

    ขนาดดวงจิตจะหลุดมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น นับว่ายากแล้วนะ
    นับประสาอะไรกับดวงจิตที่จะไปจุติ ณ ดินแดนแห่งพระนิพพาน!

    ขอให้ดูการเกิดมามีกายหยาบก็แล้วกัน นับตั้งแต่จุติในครรภ์มารดาจวบจนถึงวันนี้
    พวกเราผ่านอะไรกันมาบ้าง หนาวบ้าง ร้อนบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง รอดตายกันมาได้จนถึงทุกวันนี้
    ก็นับว่าบุญนักหนาแล้ว คิดซะว่าในชาตินี้ บ้างก็มาเสวยสุข บ้างก็มาเสวยทุกข์ เป็นธรรมดา

    นี่ขนาดยังมีลมหายใจ มันยังทุกข์ขนาดนี้เลย
    แล้วลองมองย้อนไปถึงผู้ที่กำลังหายใจอยู่ที่กำลังจะตายแหล่ มิตายแหล่ ดูสิ จิตเขาเหล่านั้น จะตกกันมากแค่ไหน ทุกข์มากแค่ไหน

    สำหรับผู้ที่ผ่านการเกิดก็นับว่าเป็นบุญโข ยิ่งผู้ที่ออกจากทุกข์ของตนเองได้ก็ยิ่งกว่าบุญขนาดไหน
    แต่ถ้าผู้ที่มีกำลังใจมาก มากขนาดจะหนีการเกิด การตาย คือไม่ขอกลับมาเกิดอีก ไม่ขอมีรูปนามทั้งปวง
    กำลังใจตรงนี้ซึ่งหาได้ยากนัก เพราะคนส่วนใหญ่มักปรารถนา ณ ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์

    แต่หาผู้ที่มีกำลังใจที่จะไปจุติ ณ ดินแดนแห่งพระนิพพานนั้น จึงหาได้ยากยิ่ง
    เพราะต้องตัดทั้งรูป ทั้งนามของตนให้หมดสิ้น
    เพื่อจะมีกำลังใจถึงกันตรงนั้น พอมาคำนวณอายุ อานาม ก็ไม่มีวันทันแน่
    ยกเว้น ผู้ที่สามารถใช้พลังของพระพุทธคุณเข้าช่วยอีกแรงนึง จึงจะรอดพ้นทันอายุขัยในชาตินี้ได้

    แต่ต้องรู้วิธีทำ แต่ถ้าไม่รู้ ก็ไม่สามารถรับอารมณ์ของพระพุทธคุณได้

    สำหรับผู้ที่กำลังปฎิบัติตามที่ข้าพเจ้าแนะนำไปแล้ว
    โปรดอย่าสงสัย ขอให้เปลี่ยนคำว่าสงสัย นำมาพิสูจน์ หรือปฎิบัติตาม
    แต่ถ้าจิตท่านยังมีความลังเลหรือสงสัย ก็จบกัน
    เพราะจิตของท่านยังมีวิจิกิจฉาในพระรัตนตรัย(ลังเล สงสัย กังวล กล้าๆกลัวๆ ใจไม่เต็มร้อย)
    จิตท่านไปติดค้างเอง อันนี้จึงช่วยไม่ได้จริงๆ

    ผู้ปฎิบัติส่วนใหญ่ขาดความสนใจ ขาดการดูแลหรือขาดความเอาใจใส่เรื่องจิตตน
    เวลาปฎิบัติ หรือรู้ว่าจิตไปได้สูงสุดตรงไหน ก็มักไม่สนใจ คือเราต้องปักหมุดหรือทำเครื่องหมายไว้ก่อน
    แต่ถ้าวันหน้ามีกำลังใจไม่ถึงตรงนั้นก้ไม่เป็นไร เพราะอะไรๆย่อมไม่เที่ยง ทำใจลุ่มๆยอมรับมันไป
    เหมือนผู้ที่มีกำลังใจถึงพระนิพพานนั่นแหล่ะ อย่าไปสนใจคำว่านิพพานกันมากนัก
    เพราะนั่นเป็นเพียงแค่นามหรือชื่อสมมุติเท่านั้นเอง แต่ให้หันไปสนใจเรื่องปรมัติธรรมให้มาก
    โดยเฉพาะเรื่องจิตตนเอง สำหรับเรื่องเจตสิกก็แค่ให้เรากำหนดรู้เท่าทันด้วยสติปัญญาต่อเนื่อง
    แต่ถ้าสติปัญญายังไม่ต่อเนื่อง อาการติดๆดับมักเกิดขึ้น ปล่อยวางได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จึงเป็นเรื่องธรรมดาไป สำหรับผู้ทำไม่ต่อเนื่อง
    เมื่อสติเกิดไม่ต่อเนื่อง มีผลโดยตรงต่อปัญญาไม่ต่อเนื่อง
    พอปัญญาไม่เกิดต่อเนื่อง จึงมีผลโดยตรงต่อธรรมที่จะเกิดขึ้นภายในจิตในจิตของตนในอนาคต

    เพราะฉะนั้น ให้เน้นการปฎิบัติลงไปที่จิตตนให้มาก กระทำอย่างสม่ำเสมอ(ต่อเนื่อง)
    คือทำอย่างไรก็ได้ ให้จิตเขารู้เห็นธรรมเอง หรือใช้จิตพูดแทนปากตนเอง
    ขอให้ผู้ที่ปรารถนานิพพานจริงๆก็คือ จิต
    มิใช่ ปากเราพร่ำไปวันๆนึงเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อันใด

    เพราะฉะนั้น จิตที่จะไปนิพพานนั้นต้องเข้ม ต้องตั้งมั่น(สำรวม)จริงๆและต้องต่อเนื่องด้วย
    พวกเราอย่าประมาทจิตตน พยายามเช็คจิตตนอยู่เสมอๆ อย่าให้กำลังใจตนเองตกเด็ดขาด
     
  6. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    จิตที่ปฏิบัติเพื่อไปพระนิพพาน ...มีอารมณ์จิตอย่างไร?

    ตัวอย่างของผู้ปฏิบัติ...ที่มีการพัฒนาการทางจิตในระดับที่เข้าใกล้พระนิพพานมากๆ


    เรื่องพระต้องถาม...ยายเจี๊ยบ เมื่อวานนี้ เขามานั่งถามปัญหาตรงนี้ อาตมาส่งพระให้เทพฤทธิ์ ยายนั่นก็มือไวคว้าหมับไปดูเสร็จก็ร้อง..โอ้โห..พระศักดิ์สิทธิ์จังเลย ขนลุกทั้งตัวลูบเท่าไรก็ลูบไม่ลง รายนั้นสมาธิเขาดี ทรงอารมณ์วิปัสสนาญาณได้เป็นปกติเลย เขาได้อยู่ในระดับที่ว่าอยู่ก็ได้ตายก็ดี พร้อมที่จะไปแล้ว

    ถาม : ทรงฌานหรือคะ ?
    ตอบ : ทรงวิปัสสนาญาณจ้ะ

    ถาม : ต่างกับทรงฌานอย่างไร ?
    ตอบ : ฌานอย่างเดียวจะนิ่ง ถ้าวิปัสสนาญาณปัญญาจะมี

    ถาม : อย่างนั้นก็ต้องยากกว่าใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ง่ายกว่า ทรงฌานต้องเสียเวลาไปนั่งภาวนา วิปัสสนาญาณเราก็พิจารณาไปเลย

    ถาม : แล้วทำอย่างไรถึงจะทำแบบเขาได้ ?
    ตอบ : ก็ทำแบบเขา...(หัวเราะ)... ตอบกำปั้นทุบดินดีไหม ?

    เขาเอาใจขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าเป็นปกติ เสร็จแล้วก็พิจารณาอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งกายในใสเป็นแก้วทั้งองค์ แล้วก็ค่อยกราบลาพระลงมา แล้วก็ประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ ตัวนี้แหละคือการใช้มโนมยิทธิที่ถูกต้องตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการ

    คนอื่นที่เอาไปดูอดีต ไปดูปัจจุบัน ดูอนาคต ถ้าดูแล้วไปยึดก็เจ๊งหมดทุกรายแหละ แต่ว่ารายนี้เขาทำตรงพอดี เขาจะขึ้นไปกราบพระข้างบน พิจารณาจนกระทั่งใจของเขาใสสว่างสะอาดหมดทั้งดวง แล้วก็ประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้

    เขาก็เลยสงสัยตอนนี้เขาผิดปกติหรืออย่างไร เจออะไรก็เฉย คนเขาด่าก็ยิ้มเฉย พอฟังเขาด่าเสร็จแล้วก็ไป ฟังเขาด่าได้ตลอดโดยที่ไม่คิดอะไรเลย ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้เห็นสักแต่ว่าได้เห็น รายนี้ถ้าไม่ยั้งไว้อีกไม่นานก็ไป เพราะว่าอารมณ์แบบนี้ใกล้จุดสุดท้ายเต็มทีแล้ว

    ถาม : ยั้งเอาไว้ให้ช่วยกัน ?
    ตอบ : เขาบอกว่า ตอนนี้ความรู้สึกผูกพันระหว่างครอบครัวก็ไม่มี ที่เคยรักก็เฉย ๆ ที่เคยเกลียดก็เฉย ๆ ไม่รักไม่เกลียดใครแล้ว
    ถ้าใครฟังปฏิปทาท่านผู้เฒ่าบ่อย ๆ จะจำได้ ตรงจุดนี้จะเป็นสุดท้ายของอารมณ์ที่หลวงพ่อท่านบอก ไม่รักในฐานะที่ควรรัก ไม่เกลียดในฐานะที่ควรเกลียด ไม่ขัดเคืองในฐานะที่ควรขัดเคือง

    นั่นขนาดคนข้างบ้านด่าก็ยืนฟังเขาด่าจนตลอด ประเภทให้กำลังใจเขาหน่อย เขาอุตส่าห์ด่าทั้งที พอฟังเสร็จ เขาด่าจบแล้วก็ไป เฉย ๆ ไม่ได้ติดหูมาสักคำเดียว ของพวกเราอย่างน้อย ๆ ก็ต้องเก็บมาคิด ของเขาตัวความคิดปรุงแต่งไม่มีแล้ว ปล่อยได้แล้ว ใครเอาอะไรมา ก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ

    ถาม : แล้วไปยืนฟังเขาทำไมละคะ ?
    ตอบ : ให้กำลังใจเขาหน่อย เขาอุตส่าห์มาด่าแล้ว ถ้าไม่ยืนฟังเดี๋ยวเขาไม่มีอารมณ์จะด่า สงสารเขา..!

    ที่พูดมานี้พวกเราก็ทำได้ แต่ว่าทำแล้วยังไม่ทรงตัวอย่างเขา ได้เพียงครู่เดียว จะได้ตอนที่มีสติ พอขาดสติไปไหลตาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อไรก็อารมณที่ได้ก็ขาดไปด้วย ของเขาควบคุมได้ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส ป้องกันไม่ให้ทุกอย่างเข้ามาในใจได้
    แรก ๆ ก็ต้องระวังป้องกันอยู่ พอนานไปก็ไม่ต้องระวังแล้ว เพราะไม่เก็บเอาไว้เลย ฟังดูง่ายไหม ?

    ถาม : แล้วอย่างนี้เวลาเขาทำงานปกติ ก็เป็นคนประหลาดสิคะ ?
    ตอบ : ก็ประหลาด... ถึงได้บอกว่า คิดว่าเราทำหน้าที่รอเวลาตายเท่านั้น เพราะฉะนั้น..งานของเราก็ทำให้ดีที่สุด หลังจากนั้นแล้วจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของงาน เราก็ไปพระนิพพานของเรา

    เมื่อวานลองไล่อารมณ์ให้เขาฟังหลายอย่าง ตรงกันหมด ถ้าตรงกันหมดก็ใช่ ใช่ตรงที่ว่าที่เราทำมา เออ..ก็คล้ายกับเขา นี่พัฒนาการทางจิตในระดับที่ควรจะทำให้ได้อย่างยิ่ง


    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕


    ขอขอบคุณ..FB สะพานบุญสู่แสงธรรม องค์พระปฐม
     
  7. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    ช่วงบ่ายรู้สึกหน้าจะโตใหญ่ขึ้นตัวเบา หลับตาจับภาพพระจิตดิ่งหวิวๆรู้ลืมตาจับภาพพระ

    สุขใจสุดๆก็รู้ รู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นเสียงมาเลย จงเตือนตนเองเสมอ คำพูดหลวงพ่อจิตคิดเองหรือหลวงพ่อ

    เมตตาก็ไม่ทราบ นึกความดีหลวงพ่อ หลวงพ่อมารับผมกลับบ้านด้วย ถ้าตายผมไปอยู่กลับหลวงพ่อ

    ด้วยนะครับจิตอิ่มตัวเบาสุขมาก อาราธนาบารมีสมเด็จพ่อ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

    พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยะสงฆ์ หลวงปู่ปาน หลงพ่อฤาษีเป็นที่สุด ธรรม

    ใดที่พระองค์ทรงเห็นแล้วขอให้ลูกเห็นธรรมนั้นด้วยเถิด เท่านั้นแหละตื้นตันสุดๆหน้ารู้สึก

    ใหญ่สุขสุดๆครับตัวรู้สึกเบาแทบจะพุ่งออกนอกโลกเลยหูอื้อ วิ้งๆในหูครับ

    ยังไม่เลิกคิดเรื่องอภิญญาตามรุ้อยากได้นักใช่ไหมเอางี้คนละครึ่งทาง

    อารธนาขอบารมีสมเด็จพ่อหากลูกได้มรรคผลแล้วขอพรให้ลูกฝึกอภิญญา เพื่อช่วย

    เหลือมนุษย์ เพื่อยังประโยชน์ในพุทธศาสนาให้ครบ5000ปี

    หลังจากนั้นรวบรวมกำลังใจแผ่เมตตาอุทิศบุญไปทั่วสารทิศครับ

    หลังจากนั้นปิติจึงคลายตัวลงครับแต่ก็ยังมีอยุ่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2013
  8. ตั่วเฮีย

    ตั่วเฮีย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +259
    มีสติทุกขณะ มีอุเบกขาทุกขณะ, เราเป็นนายความคิด ไม่ใช่ความคิดเป็นนายเรา คนที่ติดเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด เพราะเขาหลงติดในเวทนา วิปัสสนากรรมฐานคือการมองเห็นความจริงทั้งหมดของขันธ์5 ว่าเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ มันเป็นอนิจจัง เราควรหมั่นฝึกวางอุเบกขา ไม่สร้างสังขารตอบโต้เวทนาที่มากระทบ ด้วยการมีศีล เพราะศีลคือเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ทำให้มั่นใจว่าวิบากอันเกิดจากการทำกรรมชั่วจะไม่เกิดกับเราแน่ๆ สมาธิคือการฝึกควบคุมใจตนเองไม่ให้ไปสร้างปัญหาให้กับตนและสังคม ปัญญาคือวิธีการ ขั้นตอนการกำจัดกิเลสออกจากเรา
    .... ขอให้เจริญในธรรม และเป็นนายความคิดตัวเอง ด้วยการเจริญ สติ !
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับธรรมาทานของคุณNatcha@ukด้วยครับ
    ตรงประเด็นดีจัง
    การปฎิบัติธรรมจะต้องมุ่งเน้นไปที่จิต โดยตรง
    มิใช่ เอนเอียงไปกับสิ่งอื่นใด นั่นก็คือ เปลือกหรือกระพี้
    เพราะผู้ที่จะเอาแก่น หรือธรรมจริงๆนั้นก็คือ จิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 ตุลาคม 2013
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุญาตพร่ำธรรมะ

    สำหรับภาคทฤษฏีของผู้ปฎิบัติแทบจะรู้กันหมดแล้ว(มั้ง)
    แต่ทำไม จึงมีเหตุต้องอ่อนเรื่องการละปล่อยวาง หรือทำไม ยังเป็นนทุกข์กายใจอยู่
    เพราะผู้ทำหน้าที่ละปล่อยวางนั้น เป็นหน้าที่โดยตรงของจิต
    เพียงแต่ว่า การละปล่อยวางของจิตนั้น ต้องด้วยปัญญา
    แต่ถ้าผู้นั้น แค่มีสติเฉยๆ สติแค่รู้ทันเท่านั้น ยังไม่สามารถจัดการหรือละปล่อยวางได้เบ็ดเสร็จ หรือทันทีทันใด
    แต่การปฎิบัตินั้น มีขั้นมีตอน มีเหตุมีผลเสมอ ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงเน้นเรื่องสติก่อนปัญญาจึงจะตามมาทีหลัง
    สติมา ปัญญาเกิด อันนี้พวกเราคงจะได้ยินกันมาตั้งแต่เกิดแล้ว
    แต่ทำไม ไม่จักบรรลุธรรมกัน แค่รู้ธรรม เข้าใจธรรม แค่นั้นมันไม่พอ
    การจะเข้าใจพระธรรมหรือธรรมะจะให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งแบบพระอรหันตเจ้านั้น คงยาก
    เพราะการเข้าถึงความละเอียดของจิตตน คืออีกหนึ่งเหตุผล ที่จะทำให้บุคคลนั้นๆเข้าใจธรรมระดับไหน
    ถ้าจิตเรามันยังหยาบอยู่ ก็จะเข้าใจธรรมแบบหยาบๆตามจิตตน
    เมื่อไหร่ ถ้าจิตผู้นั้นมีความละเอียดแห่งจิตตนมาก ก็จะเข้าใจธรรมละเอียดตามไปด้วย
    ศีลหรือธรรมจะละเอียดตามจิตผู้นั้นๆนั่นเอง
    ก็ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้แล พระพุทธเจ้าท่านทรงให้ผู้ปฎิบัติใหม่ๆเข้าสมถะ(สมาธิ)ก่อน
    เพราะจะได้วิปัสสนาเป็น วิปัสสนาเป็นก็เพราะจิตมีปัญญา ไม่งั้นก็จะเป็นวิปัสสนึก(คิดเอง เออเองคนเดียว)
    สติมักเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ สติถือเป็นฝ่ายดี กิเลสถือเป็นฝ่ายไม่ดี ทั้งสติทั้งกิเลสต่างก็ล้วนเป็นธรรมทั้งสิ้น
    แต่สติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินั้น มันไม่เพียงพอแก่การปฎิบัติธรรม

    เพราะฉะนั้น จิตเกาะพระนี้ ก็เป็นการปฎิบัติธรรม ในแนวจิตเกาะพระ
    ส่วนที่มาก็ไปหาประวัติกันเอง

    เหตุที่ข้าพเจ้าให้ผู้เรียนได้ลงเป็นธรรมาทานนั้น นี่ก็เป็นนโยบาย อยากให้ผู้ปฎิบัติที่ยังมีความลังเลสงสัย เท่านั้นเอง
    นี่เรียกได้ว่า เป็นตัวอย่าง ตั้งแต่เริ่มปฎิบัติจิตเกาะพระใหม่ ไปจนถึงที่สึดแห่งจิตผู้นั้นเอง
    เพราะครูหรือผู้อื่นจะมาเดินจิต เดินมรรค หรือบรรลุธรรมแทนกันไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่กำลังแสดงการเดินจิตบนกระทู้นั้น นี่ถือเป็นการลงภาคภาคสนามไปด้วยในตัว
    นี่คือธรรมะ นี่คือความเป็นจริงของจิตผู้ปฎิบัติ แต่จะมีครูดูแลอย่างใกล้ชิด มิต้องเป็นห่วง
    ข้าพเจ้าก็ต้องดูแลด้วย แต่คงยังไม่แนะนำอะไร เพราะไม่ใช่หน้าสอนรัก แต่จะคอยดูภาพรวม
    แต่ถ้าเห็นออกนอกหลู่เมื่อไหร่ แต่ถ้าผู้รับผิดชอบไม่สนใจ เห็นทีต้องลงไปทำความเข้าใจ
    ไม่งั้นเดี๋ยวเดินมรรคผิด
    ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงคำว่า วิปัสสนา ปล่อยให้เขาเล่นสมถะไปพลางๆก่อน จนกว่าจะจับภาพพระติด
    ลืมบอกไปว่า จิตเกาะพระนั้น แท้ที่จริงก้คือพุทธานุสสติ อาจจะมีกสิณเข้ามาเสริม
    หมายเหตุ ข้าพเจ้า มิบังอาจหรืออยากจะมาสอนกรรมฐานผู้คนหรอก แต่มีเหตุจำเป็น
    เพราะข้าพเจ้ามุ่งเน้นบวชจิตมากกว่า บวชกาย เพราะถ้าบวชกายแต่มิได้บวชจิต
    แทนที่จะได้บุญกุศลหรือบารมีไป แต่กลับต้องไปติดหนีสงฆ์ อันนี้ถือว่าขาดทุนแน่ๆ
    อย่าคิดว่าห่มหลวง หรือนุ่งขาวแล้วจะได้แต่บุญอย่างเดียวกันนะ ได้บ้าง มิใช่ไม่ได้เลย
    ห่มเหลืองใหม่ๆนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้เรียกว่า สมมุติสงฆ์
    แต่จะเรียกพระสงฆ์ ก็ต่อเมื่อ จิตผู้ห่มเหลืองนั้น มีจิตพระโสดาบันเป็นต้นไป
    แต่มิได้ไปหมายความรวมว่า เที่ยวไปดูหรือสงสัยผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบกันนะ
    ไม่เข้าใจ เดี๋ยวจะเผลอวิพากษ์ วิจารณ์ เดี๋ยวจะกลายเป็นล่วงเกินหรือปรามาสผู้ทรงศีล
    จะได้บาปหรืออกุศลจิตไปแทน อันนั้นก้ไม่คุ้มอีก เช่นกัน

    ในขณะที่กำลังทำจิตเกาะพระกันอยู่นี้ คือกำลังระลึกหรือนึกถึงภาพพระ
    นี่ก็คือเป็นอุบาย กำลังให้ผู้ปฎิบัติเจริญสติไปในตัว แทบไม่รู้ตัวกันด้วยซ้ำไป
    ข้าพเจ้าไม่ละทิ้งผู้ปฎิบัติแนวจิตเกาะพระแน่ แต่ถ้ามาแนวอื่น จะขอปล่อยวาง เพราะถือว่ามิใช่หน้าที่ของตน

    ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ธรรมะเพื่อธรรมทาน
    และขอขอบพระคุณทุกท่านที่แนะนำการปฎิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ หรือฆราวาสก็ดี
    เพราะข้าพเจ้ายึดหลักบูชาพระรัตนตรัยเป็นสรณะอยู่แล้ว
    ผมจะต้องรักเคารพเหล่าพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์แน่
    เพราะฉะนั้น ตัวบุคคล ข้าพเจ้ามิได้ยึดแน่นอน ยกเว้น พระสงฆ์หรือสาวกของพระพุทธเจ้า
    คือผู้ที่ปฎิบัติตามพระพุทธองค์ ไปตลอดชีวิตหรือละสังขาร เฉกเช่นเดียวกับหลวงพ่อฤาษีฯ เป็นต้น
    ตราบใดจิตยังไม่เข้าถึงคำว่า วิมุตติ ยังไว้ใจไม่ได้
    และก็ไม่อยากหวังไปยึดในตัวบุุคคล เดี๋ยวฆราวาสจะอกหักแบบที่เดินตามหลังพระอริยเจ้าหลายองค์ในอดีต
    ไม่ต้องเอ่ยชื่อ เอ่ยนามก็พอจะรู้กันอยู่ แต่ข้าพเจ้ามิได้เป็นเช่นนั้นแน่
    เพราะมีตนเป็นที่พึงแห่งตนได้แล้ว นั่นก็คือ จิตตนเอง
    ปฎิบัติ มิใช่ได้นำไปเปรียบกับผู้อื่น ผู้ใด แต่จะเปรียบเทียตนเอง คือตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึง ปัจจุบัน
    ว่าจิตของเรามันละกิเลสไปมากน้อยแค่ไหน อันนี้คือผลของการปฎิบัติของเราจริงๆ
    เราปล่อยวางกับสิ่งใดได้บ้าง เราไม่จำเป็นจะต้องมาประกาศให้ชาวโลกรู้
    แต่ผู้รู้ดีที่สุดก็คือ ใจตนเอง โดยเฉพาะเบื้องบน ท่านรู้แน่ๆ

    ขอโมทนาสาธุ โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ทุกๆท่าน ขอให้เจริญในศีล ในธรรม
     
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนาสาธุ กับธรรมทานของครูพี่ภูด้วยค่ะ เรื่องนี้เป็นจริงที่ท่านได้มากล่าวแสดงธรรมมา เพราะ
    "จิตเกาะพระ"นั้นเป็นทางลัด และทางตรงเพราะเรามีความระลึกรู้อยู่ คือระลึกถึงพุทธานุสสติ
    แล้วทําให้เรามีพลังงานพิเศษเกิดขึ้น

    เพราะเรามีศรัทธา และทําให้เกิดกําลังใจอย่างกล้าแข็งที่จะเอาชนะมารหรือผ่านอุปสรรคไปได้ เพราะข้าพเจ้าได้เห็นตามนั้น แต่ถ้าเมื่อไหร่เราเผลอหรือไม่อยู่ในอารมณ์นั้นเพราะหน้าที่งานการหรืออะไรก็ชัง จิตจะตกลงไปได้ เพราะเราเผลอนั้นเอง... ท่านจึงให้เจริญให้ต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา

    แต่จะได้เท่าไหนก็คงจะเป็นเรื่องของผู้นั้นๆเองจะเป็นผู้ก้าวเดินตามหรือปฏิบัติตาม แต่ทุกๆบททดสอบถ้าเราไม่ทิ้งธรรมรับรองท่านผ่านได้ ด้วยการมีพุทธานุสสติ นึกถึงคุณงามความความดีของพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์สาวกท่าน ท่านก็จะมาเพิ่มกําลังใจให้เราๆท่านๆแน่นอน ข้าพเจ้าขออนุโมทนาสาธุกับธรรมทานของครูพี่ภูเป็นอย่างสูงล้น และจะพยายามทําตามหรือเดินก้าวตาม ตามภูมิและปัญญาจนกว่าชีวิตจะหาไม่
    ขอเป็นกําใจให้แด่ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายทุกๆท่านด้วยเทอญ.
     
  12. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ไม่ประมาทในธรรม

    ชีวิต !
    เป็นของไม่แน่นอน(อนิจจัง)

    เวลาที่เรายังมีชีวิต มัวไปทำอะไรกันอยู่ ไม่ทำภาวนา
    เมื่อไม่ทำภาวนา หรือไม่ยอมสร้างอริยทรัพย์ภายใน(บุญภายใน)

    จิตเราจะรู้ไหม จะเห็นไหม ในเมื่อเจ้าของจิตไม่พยายามสร้างตัวสติ
    ไม่ยอมสร้างตัวปัญญาให้กับจิตตน
    เมื่อตายไปแล้วก็ไม่ต่างกับคนตาบอด
    ยามไร้อายตนะ โดยเฉพาะ อายตนะภายนอก เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มี
    แล้วเราจะไปเอาอะไร หรือสิ่งใดมารู้ มาเห็น กันอีกเล่า!

    ทุกท่านทราบกันดีแล้วใช่ไหมว่า เรายังมีโลกหลังความตาย
    โลกหลังความตายนี้ช่างแสนยาวนานกว่าที่ครั้งมีลมหายใจ

    เห็นมีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ใช่ไหม ที่จะต้องติดตามเราไปทุกหน ทุกแห่ง
    มิใช่กายหยาบ มิใช่ญาติๆ มิใช่ลาภยศสรรเสริญ มันจะติดตามเรา(ดวงจิตหรือดวงวิญญาณ)ไปที่ไหน

    อย่ารอวันนั้น(ความตาย)มาถึงจริงๆเลย ไม่อยากคิด



    [​IMG]

    # ที่มา FB : Phu Bodin
     
  13. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    ครูอยู่ไหมครับ ตอบการบ้านทีครับ

    วันนี้มึนๆงง เราเป็นไรหว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2013
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    ขอฝากธรรม..นักรบธรรม​


    โดยเฉพาะผู้ที่ปรารถนาพระนิพพาน(ชาตินี้)
    ซึ่งก็เคยบอก เคยเตือนกันไปแล้วว่า ถ้ายังมีกำลังใจไม่ถึงพร้อมจริงๆ
    อย่าได้ปรารถนานิพพานชาตินี้ เพราะมันสาหัส สากรรจ์มากจริงๆ
    ยากที่จะทนทานกับมันไหว ยกเว้น ผู้ที่ละขันธ์ ๕ ได้เด็ดขาดจริงๆ
    ถึงจะพอสู้กับมันไหว

    ถ้าคิดว่า..ขันธ์ ๕ หรือร่างกายนี้ มิใช่เรา มิใช่ของเราจริงๆแล้ว
    เพราะฉะนั้น ความกลัว ความตาย ย่อมไม่เกิดกับจิตผู้นั้นแน่นอน
    เพราะทิ้งทุกอย่างได้จริงๆ แม้นกระทั่งร่างกายของตนเองก็ไม่ยินดี ยินดียินร้ายอีกแล้ว


    แต่ถ้า(จิต)ผู้ใด ยังตัดขันธ์ ๕ ไม่เด็ดขาด
    คราวนี้แหล่ะ ได้เจอของจริงๆแน่นอน แทบอ๊วกเป็นเลือด
    เพราะจะถูกบางสิ่งเหมือนจะมาคอยทดสอบอยู่เรื่อยๆเลย

    เมื่อจิตผ่านการเดินมรรคมาพอสมควรกันบ้างแล้ว
    ต่อไปนี้ โดยเฉพาะผู้ที่กำลังลงภาคสนามจริง
    คราวนี้แหล่ะ เราจะได้รู้กันไปเลยว่า ที่เดินมรรคกันมานั้น เป็นอย่างไรบ้าง

    ใครเดินมรรคเก่งหรือไม่เก่ง ไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ผลของผู้นั้น ว่าเป็นเช่นไร
    อันนี้คือของจริงแน่ๆ สำหรับที่เราได้ปฎิบัติธรรมกันไปได้สักพักนึงแล้ว

    เวลาพบเจอกรรม อย่าได้บ่น อย่าได้ร้อง ยอมรับกรรมไปด้วยการทำจิตนิ่งๆ
    อย่างมากก็แค่..ตาย (พอไหวไหม๊)
    มันจะอะไรกันนักกันหน๋าหรอ มันก็มีแค่...เกิดกับดับ...เท่านั้น นอกนั้น ไม่มี
    ผู้ที่มีสติปัญญามากพอก็จะรู้ด้วยปัญญาหรือญาณของตนเอง
    ว่าแท้ที่จริงแล้ว มันก็มีแค่นั้นเอง แต่ถ้าเราตัดแค่ขันธ์๕ กันได้จริงๆนะ


    อย่าพยายามหลบหนีกรรม ยอมรับโดยดุษฏี คือ...แอ่นอก...รับไป มิใช่...แน่นอก...นะ
    แต่ถ้าผู้ใดทำแบบนั้นนั่นแสดงว่า จะยอมผ่อนกรรม เพราะกำลังใจไม่ถึงเป็นเหตุ
    คอยสังเกตให้ดีๆนะว่า กรรมไม่รู้มันมาจากทิศไหนเป็นทิศไหน เจอจนงงว่างั้นเถ๊อะ

    มันจะไหวไหมหน๋อ ....นิพพานัง ปรมัง สุขัง...
    แทนที่จะเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่ทำไม๊ มันเหมือนเป็นทุกข์ย่างยิ่ง
    แถมทุกข์หนักซะด้วย เรียกว่าเป็นทุกข์จนบรรยายไม่ถูกเลย เห่อๆ​

    ภูทยานฌาน

    Cr..Fb... Phu Bodin​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2013
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม​


    การสร้างพระภายในให้เกิดขึ้น ความสำคัญอยู่ที่ศีล
    หากศีลทรงตัว คือ เพียรรักษาศีลจนกระทั่งศีลรักษาจิตใจผู้นั้นไม่ให้กระทำผิดศีลอีก
    เรียกว่าศีลเข้าถึงใจ เป็นสีลานุสสติ เป็นอธิศีล หรือเป็นพระโสดาบันนั่นเอง
    เป็นพระอริยะเบื้องต้น
    จิตเป็นพระ เป็นแล้วไม่เสื่อมมั่นคงถาวร มีแต่จะเจริญขึ้นตกต่ำไม่มี
    ก็เพราะความดีนั้นตั้งมั่นอยู่บนศีล ๕ ข้ออันบริสุทธิ์นั่นเอง

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน​
     
  16. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    โอ้ยมึนครับมึนแฮงหลาย



    ครูเกษบอกว่าทรงฌานสุงตลอดวันธาตุขันธ์ เลยยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ครูเกษบอกว่าฌานผมยังไม่รู้เลยว่าฌาน แถมเมาได้ด้วย รู้แต่ชานบ้าน ดีครับจะได้รู้

    งานประจำก็เหนื่อยอยู่แล้ว ประกอบกับอากาศเปลี่ยนเเปลงบ่อย เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน มันไม่เที่ยงจริงๆขันธ์5

    ทั้งมึนทั้งไข้ครับ หายใจแรงๆแล้วยังไม่ลดกำลังมึนกว่าเดิมอีกครับ เครื่องแรง3000 CC
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2013
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    สำรวมจิต สำรวมอินทรีย์สังวร
    จำเป็นสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมยุคนี้


    พวกเรารู้สึกมั้ยวันๆหนึ่งเรารับข้อมูลทางตาทางหูอะไรนี้เยอะแยะเลยใช่มั้ย รับข้อมูลหลวงพ่อนั่งรถไปเทศน์ไปอะไรนะบางวันก็ไปนั่งฉันข้าวแกงริมถนนอะไรงี้ เค้ามีโทรทัศน์เราก็พลอยดูไปด้วยก็มันมีตาน่ะไม่ได้เจตนาจะดูนะไม่ได้อยากดู เห็นเค้าออกข่าวนะแล้วก็มีตัววิ่งด้วยเราเอ๊ะทำไมต้องวิ่งเราก็ดู เอ้า..เอ๊ะ!ตัววิ่งนะเป็นอีกข่าวนึง เนี่ยมันอ่านอีกข่าวนึงยังมีตัววิ่งอีกข่าวแล้วจะดูอะไร สับสนมากเลยดูไม่รู้เรื่องเลย เพราะสติเราเร็วมากนะ เราดูนี้ตัวนู้นดับ

    คนเราเสพมากเหลือเกินกระทั่งเสพข่าวนะ เสพมาก ความหวังที่จิตจะสงบเนี่ยยากเต็มที คนรุ่นเราเนี่ยนะหวังว่าจะทำสมาธิยากเต็มทีเลย เราเสพจนคุ้นชินเคยชินที่จะเสพอารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ใจก็ชอบคิดฟุ้งไปเรื่อย พอตาหูจมูกลิ้นกายมันกระทบมากนะ ใจมันก็ฟุ้งก็คิดไปในเรื่องของรูปเรื่องเสียงเรื่องกลิ่นเรื่องรสเรื่องสัมผัส คิดเยอะแยะเลยวันๆนึง สมาธิไม่มี

    เพราะงั้นถ้าอยากมีสมาธินะลองสำรวมดู สำรวมในตาสำรวมหูจมูกลิ้นกาย มีอินทรียสังวรไว้นะสมาธิค่อยเกิดง่ายหน่อย ไม่จำเป็นต้องดูก็อย่าไปดูมัน ถ้าดูมันแล้วยินดียินร้ายขึ้นมาก็รู้ทันมันอย่างนี้เรียกว่ามีความสังวรในการดู ไม่จำเป็นต้องฟังก็อย่าไปฟังมัน จำเป็นต้องฟังนะก็มันมีหูมันมีเสียงได้ยิน จำเป็นต้องฟังมันนะ จิตยินดียินร้ายขึ้นมารู้ทันมันนี่เรียกว่าอินทรียสังวร

    ไม่ถึงขนาดว่าต้องตาบอดหูหนวกไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง ไม่ใช่ แต่ถ้าได้ยินได้ฟังแล้วไม่ใช่ขอโทษนะแส่อยู่ดีๆนะเที่ยวไปแสวงหาอยากดูอยากฟังอยากได้กลิ่นอยากได้รสเนี่ยใจมันแส่ส่าย ไม่ใช่คำหยาบคายนะ ถ้าพูดแส่คำเดียวฟังไม่เพราะถ้าแส่ส่ายฟังเพราะกว่ารู้สึกมั้ย ความจริงทั้งแส่ทั้งส่ายไม่แส่ก็ไม่ส่ายหรอก รู้สึกมั้ยมันอยากใช่มั้ยมันก็ส่ายเที่ยวหาแสวงหาอารมณ์ไป จิตที่แส่ส่ายไม่มีสมาธิหรอก


    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
    บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
    แสดงธรรมเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ก่อนฉันเช้า
     
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ร่างกายนี้ เป็นทุกข์ เป็นเหตุแห่งทุกข์

    กายทุกข์ บอกตัวเองว่าทุกข์ ใจทุกข์ บอกตัวเองว่า ใจนี้เป็นทุกข์

    ไม่เอาเป็นเรา เป็นของเรา...ร่างกายทั้งหมดเป็นทุกข์ ไม่ควรหลง

    เป็นตัวตน เป็นของตน...ผู้เห็นทุกข์ในกาย ในใจ ผู้นั้นเห็นธรรมจึงจะได้ บรรลุธรรม

    เพราะว่าปล่อยวางกองทุกข์...ไม่ยึดถือเป็นตัวตน ไม่เอาเป็นของ ของตน

    ผู้ปฏิบัติที่ฝึกฝนจิตตนได้...ปล่อยวางทุกข์ที่กาย ทุกข์ที่ใจ ผู้นั้นจะพ้นทุกข์

    เพราะไม่ยึดถือร่างกายที่เป็นทุกข์ ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ ผู้นั้นแหละจะพ้นทุกข์

    และไม่เกิดอีกเลยดังนี้...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค...

    ...กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนของหลวงพ่อปานเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบ
     
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    โลภะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่ผลักดันให้สัตว์ทั้งหลาย

    -ได้รับทุกข์แล้วทุกข์อีก ทุกข์อยู่ร่ำไป

    -เกิดแล้วเกิดอีก เกิดตายๆ เกิดๆ ตายๆ อยู่อย่างนี้ ไม่พ้นจากทุกข์ไปได้

    ...การพ้นจากทุกข์ไปได้ ต้องปฏิบัติตามโครงแห่งชีวิต...

    -พระพุทธองค์ทรงร่างไว้คือ ทาน ศีล ภาวนา-

    -ให้ทานเพื่อกำจัดซึ่งโลภะ รักษาศีลเพื่อกำจัดซึ่งโทสะ เจริญภาวนาเพื่อกำจัดซึ่งโมหะ-

    ...คำสั่สอนของหลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ. เชียงใหม่...

    ...กราบนมัสการหลวงปู่และกราบน้อมรับพระธรรมคำสอนเจ้าค่ะกราบ กราบๆ...
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอเทศน์วันออกพรรษา

    วันพระหรือวันสำคัญๆทางพระพุทธศาสนา
    โดยเฉพาะชาวพุทธทั้งหลาย พยายามกระทำทั้งสามอย่างพร้อมๆกันนั่นก้คือ

    ๑.ละบาป ๒.ทำภาวนา ๓.ทำจิตให้ผ่องใส

    จะเห็นว่าข้อที่สามนั้น น่าจะยาก โดยเฉพาะผู้ที่ยังมีกำลังใจไม่ถึงปฎิบัติธรรม
    เพราะนั่นจะหมายถึง การละปล่อยวางของจิตตนเป็นหลัก นั่นเอง
    ยิ่งจิตพระอรหันต์ ทำไมจิตท่านผ่องใสอยู่ตลอดเวลา เห็นไหม เห็นความต่างกันแล้วใช่ไหม
    วันๆนึง เราลองคิดกันเล่นๆนะว่า บุญกับบาป อันไหนจะชนะ หรือทำบุญหรือบาปมากกว่ากัน
    บาปหรืออกุศลจะเกิดมากกว่าวจีกรรมหรือกายกรรม นั่นก็คือ มโนกรรม
    อันนี้พวกเราอย่าไปมองข้ามเรื่องมโนกรรมของตนเด็ดขาด เชิงกฎหมายไม่ผิด
    แต่เรื่องศีลธรรมนั้น ผิดแน่ ผิดบ่อยซ้ำซากจำเจซะด้วย เป็นกรรมสะสมโดยเฉพาะฝ่ายอกุศล
    เห็นบ่อยที่สุด เท่าที่เคยเห็นมา

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นวันพระหรือไม่พระก็ตาม ขอให้เราหมั่นระลึกนึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าเป็นประจำ

    เห็นมีแต่กรรมฐานเดียวเท่านั้น ที่จะเข้านิพพานได้เร็วที่สุด นั่นก็คือ พุทธานุสสติกรรมฐาน
    ง่ายสิ ง่ายเพราะว่า ดวงจิตของพระพุทธเจ้านั้น อยู่ที่ใด นั่นเห็นไหม ทุกท่านตอบได้หมด

    กลับมาเทศน์เรื่องธรรมะของเราๆท่านๆดีกว่า...

    พูดถึงก่อนที่จะมีกำลังใจในการปฎิบัติธรรมนั้น
    ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า อัตตานั้นแปลว่าอะไร ฟังเขาพูดไปยังงั้นๆแหล่ะ ไม่รู้เรื่องหรอก
    ดูเห็นรู้ผู้อื่นดีไปซะหมด แต่ไม่ดูตนเอง ไม่รู้ตนเองหรอก เฝ้าโทษแต่คนอื่นอยู่ร่ำไป
    คนนั้น คนนู้น ทำให้เราเป็นทุกข์ ซึ่งไม่เคยจะโทษตนเองสักที
    เห็นคนอื่นผิดหมด เหมือนตนเองถูกคนเดียวในโลกนี้อย่างนั้นแหล่ะ
    เหมือนในโลกนี้ เราฉลาดอยู่คนเดียว เห่อ คนเราหน๋อคนเรา
    ยามมันหลงนี่ หัวทิ่มเลยนะ ใครสอนก็ไม่ได้ เพราะถือว่าเรารู้หมดแล้ว
    นี่แค่หนังตัวอย่าง สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เริ่มปฎิบัติธรรม
    ที่พูดเนี๊ย มันต้องโดนแสกหน้าใครบ้างแหล่ะ

    ที่พูดมาทั้งหมดนี้ มิได้พูดไปตำหนิผู้ใดนะ ที่พูดให้กันฟังนี้ หมายถึงตัวผู้เขียนเอง

    พอมาวันนี้ ปฎิบัติธรรมมาได้สักระยะหนึ่งเห็นจะได้
    ใช้เวลาปฎิบัติธรรมไม่นานนัก เริ่มเอาจริงเอาจัง น่าจะปลายปี ๕๓

    คนเรานี่ก็แปลกนะ คือบทจะหันหน้าเข้าหาธรรมนี่มันช่างไวปื๊ดป๊าดเลยนะ
    เพราะปกติผมจะเป็นคนที่ทำอะไรไว คิดไว ใจไวด้วยป่าวไม่รุ๊ น่าจะๆ
    มารู้ตัวอีกทีว่า บอกว่าจิตข้างในนั้นไปไกลมากแล้ว ผู้สื่อข่าวก็คือ สติตนเอง
    แต่ก็ยังไม่รู้อีกว่ามันจะไปไหนไกลได้ เพราะเราก็คือเรา คือขันธ์๕ นี่ไง

    แต่พอมาวันนี้ ธรรมทุกธรรมแทบจะชัดเจนมากขึ้นไปตามลำดับจิตแล้ว
    ทั้งศีล สติ จิต ปัญญา และ(พูดมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่พูดดีกว่า) อายพระพุทธเจ้า
    เพราะพระองค์ทรงเน้นเรื่องอริยสัจจ์ โดยเฉพาะมรรคเป็นพิเศษ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    ผมมิใช่พระพุทธเจ้า มิใช่พระอรหันตเจ้า เป็นคนธรรมดาสามัญ หรือฆราวาสดีๆนี่เอง
    จะไปพูดมากกว่าท่านผู้รู้ ผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น มิได้ ได้แต่สำรวมจิตตามพระองค์ท่านไป
    ทุกวันนี้ เห็นมีแต่พระรัตนตรัยนำหน้า นำทางในการปฎิบัติ โดยเฉพาะคิด พูด ทำ
    พยายามท่านนำหน้าก่อน ท่านว่ายังไงก็ว่าตามนั้น เพราะวิจิกิจฉานั้น ไม่มีแล้ว
    คลายความลังเล หายสงสัยทุกธรรมแล้ว ทุกวันนี้จิตอยู่แต่ธรรมะ ไม่รู้เป็นไงเพราะจิตมันชอบมั้ง
    แค่อาศัยการเข้าใจจิตตนเองตัวเดียวเท่านั้นแหล่ะ ทุกธรรมจึงจบได้

    พวกเราทั้งหลาย คอยหมั่นสร้างแต่สติ โดยเฉพาะสร้างปัญญาให้มากเข้าไว้
    ถ้าจิตมีปัญญามาก เรา(ขันธ์๕)ก็พลอยจะรู้หรือฉลาดตามจิตตนเองไปด้วย
    อย่าไปหาปัญญาที่อื่น เพราะที่อื่นเขาใช้จิตทำให้เกิดปัญญากันทั้งนั้น
    เพียงแต่พวกเราไม่ขยันทำกันเอง เพราะมันต้องผ่านสมถะหรือจิตสมาธิก่อน ปัญญาจึงจะเกิด
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติยังตามหาจิตตนเองไม่พบเจอ หรือไม่สามารถทำให้จิตตนเองสงบสุขได้
    ผู้นั้นย่อมจะงมโข่งอยู่อย่างนั้นไปอีกนาน เผื่อจะดำน้ำผุดขึ้นมาหายใจสักทีนึง

    ธรรมะวันนี้ ก็แค่จะสื่อว่า...

    เมื่อจิตไม่มีศีล ไม่มีธรรม ย่อมพบแต่ความยุ่งยาก ลำบากใจ คือทุคติเป็นที่ไป
    ผู้ที่ไม่ยอมลงมือปฎิบัติธรรมก็ย่อมมองไม่เห็นตนเองกันสักที
    แถมมองเห็นแต่คนอื่น ไม่ดีทั้งนั้น พยายามเฝ้าจำผิดให้จงได้ จนติดนินทากาเลเป็นนิสสัย
    ซึ่งไม่เคยเลยที่จะมองเห็นความเลวของตนเอง มองเห็นคนอื่นเลวนี่ ถนัดนักแล เป็นที่หนึ่ง
    ความผิดซึ่งหน้าก็ไม่ยอมรับผิด รับแต่ถูก มันใช้ได้ที่ไหน แก้ตัวไปวันๆแบบน้ำขุ่นๆทำตัวเนียนกับความเลวได้ดีมากเลย

    (ขอย้ำว่า มิได้พูดกล่าวหาใคร แต่จะกล่าวเป็นธรรมลอยๆ เหมือนบัวลอยใส่สติน่ะ)

    พาดพิงจนได้ไหมหล่ะเรา อย่าสาถือผมเลย เพราะหาจิตผมไม่เจอหรอก อย่าไปเสียเวลาตามหา
    แต่ถ้าใช้จิตมองน่าจะพอเห็นอยู่ร่ำไรๆ เหมือนเห็นดาวกระพริบๆ

    สรุปเลยก็แล้วกัน (เดี๋ยวคุณเต่าโบราณจะปวดหัว)

    ผู้ที่ยังไม่ลงมือปฎิบัติธรรม ย่อมมองเห็นความเลวแต่ของผู้อื่น ยกเว้นตนเอง
    สำหรับผู้ที่ปฎิบัติธรรม ขอยกจิตพระโสดาบันเป็นต้นไปว่า..
    เริ่มจะมองเห็นความเลวแต่ของตนเอง ความดีหรือความเลวของผู้อื่น เริ่มไม่สนใจแล้ว
    เริ่มตำหนิตนเองมากขึ้นไปตามลำดับจิตปัญญา พยายามเอางูที่บ้านตนเองออกแต่ผู้เดียว
    ส่วนงูบ้านอื่น ช่างมันปะไร เพราะงูข้า ทุกข์ข้าก็ยังมีอยู่เยอะ ก็คือความเลวของตนยังมีอยู่เยอะ

    พยายามแก้ที่ตนเองให้ดียิ่งๆไป เหมือนคนเข้าใจอริยสัจจ์ นอกจากรู้ตัวทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ นิโรธแล้ว
    ต่อไปสิ่งที่หยุดมิได้เลย นั่นก็คือ พยายามเจริญมรรคให้ถึงพร้อม หรือทำให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป นั่นเอง

    ผู้ปฎิบัติเอ๋ย อย่าไปในสนใจจริยาผู้อื่น เพราะบอกไปแล้ว จิตจะไปติดอยู่ตรงนั้น
    อย่ามาบ่นก้แล้วกันว่า ทำไม ฉันไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร หรือว่ามันน่าจะแซงหน้าคนอื่นๆด้วยซ้ำไป
    เพราะหน้าที่หลักของผู้ปฎิบัติ นั่นก็คือ หมั่เจริญสติและปัญญาให้มาก มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
    อย่ามัวไปสนใจจิตผู้อื่น ว่าใครเขาจะอรหันต์หรือวิมุตติหรือยัง
    เอาจิตของเราให้รอดก่อนดีไหม อย่าไปเสียเวลาคิดว่าใคร อรหันต์หรือยัง วิมุติหรือยัง
    หลวงพ่อฤาษีฯ ก็เคยบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับมรรคผลตนเองเลย
    ผู้ปฎิบัติพยายามหมั่นดูจิตตนเองนะว่า มันไปติดค้างอยู่กับอะไร ถ้ารู้ให้เร่งตัวปัญญา
    มิใช่ให้ไปบอกว่า จิตลงมาหรือออกมาจิ อันนั้นมันไม่ถูกเรื่อง ผู้มีปัญญาเขาไม่ทำกันอย่างนั้น

    ปล.ใครว่า ฆราวาสเทศน์ไม่เป็น มิใช่พระเทศน์เป็นอย่างเดียวนะ

    ขอให้จิตเป็นพระก็แล้วกัน คอยดู บวชจิตค่อยไปบวชกายกันดีกว่า
    เพราะถ้าห่มเหลืองนุ่งขาวกันไปแล้วทั้งกาย แต่ใจไม่ให้ จิตไม่เข้าถึงความสงบ แล้วมันจะได้บุญกันตรงไหน
    เพราะอานิสงส์ของจิตสงบก็คือ ความสุขใจ และตรงนี้แหล่ะ เขาเรียกว่า บุญ หรือ กุศล
    (เอากันให้ดีนะ)

    โมทนาสาธุ ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 ตุลาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...