จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
     
  2. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    รออ่านๆ จ้ะ ขอให้ะกะลังใจนะจ๊ะ พี่นั้นถนัดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้มีเรื่ิอง แหย่หนวดเสือ
    ตีก้นลิง ยิงใบไม้ เรื่องมีสาระจะมึนๆ ฮิๆ คุณแนทขาชง ชงหรอยหลาว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    โมทนาสาธุค่ะ...ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของจริงแน่แท้ ไม่จำกัดกาลจริงๆ...ไม่ว่าจะสายไหน พระอาจารย์องค์ใด หากการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นทุกข์ เพื่อพระนิพพานจริง สุดท้ายการปฏิบัติก็น้อมมาสู่ธรรมตัวเดียวกัน เป็นภาษาธรรมตัวเดียวกันในที่สุด รวมถึงวิชา "จิตเกาะพระ" ด้วยเช่นกัน สาธุๆๆ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ตุลาคม 2013
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สาธุค่ะครูน้องเกษ กล่าวถูกต้องเลย เพราะจะมาจากไหน? จะฝึกแนวใด?และครูบา-อาจารย์องค์ไหน นั้นไม่สําคัญ เพราะทุกๆครูบา-อาจารย์ก็เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า และเมื่อถึงเวลานั้น"จิตก็จะเกาะพระ"นี่แหละคือของแท้ เพราะพระอยู่ในจิตใจของใครๆแล้วนั้นก็มีแต่จะระลึกถึงคุณงาม ความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรมคําสั่งสอน และพระสงฆ์สาวก หลวงปู่ หลวงตาองค์ไหนก็ได้ ที่ท่านเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ถ้าเราน้อมมาปฏิบัติเราก็จะหลุดพ้นไปได้ค่ะ สาธุค่ะ
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทฤษฎีเต็มร้อย ภาคสนามตกเรียบ

    ปัญญาของตนมีแค่ไหน ย่อมรู้เท่านั้น หรือปล่อยวางได้แค่นั้น
    ผู้ปฎิบัติทุกท่านก็ลองถามตนเองกันดูสิว่า ปฎิบัติธรรมไปเพื่ออะไร
    ถ้ามิใช่การปล่อยวาง(หยาบกลางละเอียด) หรือว่าจะไปสร้างอัตตาตัวใหม่ให้ละเอียดกันอีก
    ถามและก็ตอบกับตนเองให้ได้ด้วย
    จิตจะต้องเดินตามมรรค และมรรคจะต้องไปตามลำดับญาณนั้นๆด้วย(ปัญญาญาณ)
    หรือวิปัสสนาญาณ๙ ลองไปเทียบจิตตนเองดูกันบ้างนะ ว่าในขณะนี้ จิตของเรานั้นอยู่(ประมาณไหน)
    มิใช่ให้ไปคิดเอาเอง นำเปรียบกับตำรา แต่มิต้องแบกตำราหรือเอาตำรานำหน้าการปฎิบัติ
    มิใช่นำภูมิธรรมภูมิปัญญาไปอวดผู้อื่น (นี่พูดตามภาษาปฎิบัติ มิใช่กล่าวหาใครเขานะ)

    สรุปแล้ว การปล่อยวางนั้นเป็นหน้าที่โดยตรงของจิต มิใช่เรา โดยเฉพาะปากเราพูดๆๆ
    แต่ผู้ปฎิบัติจะมองเห็นความเป็นกลางกับกองสังขารหรือร่างกายของตนจริงๆนั้น
    จิตเขาต้องมองเห็นความเป็นธรรมดาก่อน คือทำใจยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงร่างกายของตนและสิ่งอื่นๆ
    พอจิตเขาวางกองสังขารตรงนี้ได้แล้ว เราถึงจะอยู่อย่างสงบสุขได้จริงๆ
    ส่วนวิชาการ(พระไตรปิฎก)นั้น ใครๆก็อ่านได้ แล้วถามว่า ทำใจยอมรับกับธรรมต่างๆที่ตนเองรู้กันมาได้ไหม๊
    ทฤษฎี โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติรู้(เกือบจะ)หมด แต่ทำไมบางธรรมนั้น จึงปล่อยวางไม่ได้
    ให้คอยหมั่นพิจารณาตรงนี้กันให้มากๆ นั่นก็คือ เน้นการเจริญปัญญาให้มาก คือทำให้ได้อย่างต่อเนื่อง
    และอยากจะบอกกับนักภาวนาทั้งหลายว่า..ตรงนี้คือจุดอ่อน คือคำว่า ต่อเนื่อง
    ก็คือขาดการเจริญปัญญาอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

    (ขอเน้นคำว่า..ต่อเนื่อง คือทำบ่อยๆจนกลายเป็นนิสัย)

    ทฤษฎีเต็มร้อย แต่พอมาเจอภาคสนามเห็นเดี้ยงทุกรายไป (รวมที่ผู้เขียนด้วย)
    ไม่มีผู้ใดเก่งไปกว่ากันดอก มีแต่ว่าใครพยายามสร้างสติปัญญาของตนอยู่เนืองๆเท่านั้นเอง

    วันนึงๆ เห็นพวกเราเอาแต่จิต(ตัวรับรู้)ไปไล่ล่ากับทางโลก
    นอกจากกายอยู่ทางโลกกันไม่พอก็ยังนำจิตไปอยู่กับทางโลกด้วย
    แล้วจิตเราจะไปไหนไกลกันได้หล่ะที่นี้
    นี่ไง๊ มิใช่ใครหรอก ตัวของเรานี่เองที่ฝึกจิตตนให้ไปอยู่ไปเกาะกับสิ่งโลกๆ

    หารู้ไม่ที่คนเราไปอยู่กับทางโลกมาก เราไม่รู้ตัวกันหรอกในขณะนั้น
    เที่ยวเอาทั้งความรู้สึกในส่วนของสติ และความนึกคิดในส่วนของจิต ไปเกี่ยวข้องข้องโดยมิรู้ตัว
    นั่นแหล่ะ จิตของเราหลงไปยึดเกาะกับทางโลกๆเข้าไว้แล้ว
    ผู้ที่พอจะรู้ตัวจะต้องเป็นผู้ปฎิบัติเท่านั้น โดยเฉพาะพระอรหันต์นี่ท่านถึงไม่เอาเลย
    เพราะมีตัวสติปัญญาต่างกัน
    สติก็เรา จิตก็เราอีก เพราะฉะนั้น อย่าพยายามแยกจากันนานนัก เพราะจะหลงง่าย
    เมื่อสติกับจิตของเรามันยังไปคนละทิศ คนละทางอยู่อย่างนี้
    เพราะฉะนั้น โดยเฉพาะตัวปัญญาที่เหล่านักภาวนาพยายามทำกันเหลือเกินนั้น จะเกิดขึ้นได้ไหม
    ยิ่งผู้ปฎิบัติไม่ขยันทำให้ต่อเนื่อง เพราะฉะนั้น การปฎิบัติของเราก็เลยไม่ไปถึงไหน
    นี่แค่พูดถึงเรื่องความเพียรของการเจริญปัญญาอย่างเดียวเองนะ

    บางท่านงงว่าเจริญปัญญายังไง
    งั้นเอาคำนี้ไป ศีลหรือสติเป็นบาทฐานของสมาธิ และสมาธินี้เองก็เป็นบาทฐานของคำว่า ปัญญา
    (ชัดเจนไหม๊)

    เห็นคุณก้องเกียรติให้ผมเขียนเรื่องการเจริญปัญญามานานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาส
    บังเอิญคืนนี้ หรือว่าใครมาปลุกให้ต้องมาเขียนธรรมะอีตอนตีหนึ่งครึ่งก็มิทราบ
    (01:37am.my local time)

    เดี๋ยวรอคนมาต่อยอดใหม่
    ขอเชิญเซียนธรรมะทั้งหลาย ออกแสดงธรรมกันได้ตามสบาย งานนี้ผู้อ่านได้กำไรแน่
    อย่าไปคิดว่าใครเก่งกว่ากัน คิดซะใหม่ว่าเราคือ ผู้ให้ แล้วจะสบายใจไปเอง
    ทำอะไรก้ได้ให้จิตเขาผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เน้นที่จิตตั้งอยู่แต่บุยกุศลเท่านั้นเป็นพอ
    สาธุกับจิตผู้ที่กำลังเจริญธรรมทุกๆท่าน (เสพธรรมะ)

    ภูทยานฌาน
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    (บทเสริม)

    การปฎิบัติธรรม ให้มุ่งเน้นไปที่ตัวจิตตนเป็นหลัก

    ถ้าผู้ปฎิบัติสามารถแยกจิตออกมาจากทุกสิ่งได้ ทุกอย่างก็จบได้
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือขันธ์๕

    แต่ถ้าแยกไม่ได้ ธรรมก็จบ แต่จะไปเจริญในทางโลกแทน

    ทุกข์มีอยู่จริงๆที่ตัวขันธ์๕ เพราะฉะนั้นไม่มีผู้ใดหนีพ้น

    นอกจาก แยกกาย แยกจิต เท่านั้น
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เรื่องศีลของตนก็เช่นกัน

    ต้องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคำว่า การภาวนา

    ถ้าศีลของเรายังบกพร่อง ยังด่างพร้อยอยู่ การภาวนาก็ไม่เจริญแน่นอน
    เพราะคำว่าศีลเป็นบาทฐานของคำว่า การภาวนา นั่นเอง

    ถ้าผู้ปฎิบัติไม่พยายามรักษาศีลของตนเองแล้ว นิวรณ์หรือกิเลสต่างๆก็จะเข้ามารบกวนจิตทันที

    หน้าที่ของนิวรณ์หรือกิเลสต่างๆนั้น เขาคอยจะกีดกั้น มิให้เราเข้าถึงกระแสจิต หรือกระแสความดีแห่งตน

    เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติทุกท่านต้องคอยหมั่นรักษาศีลของตนให้ดี
    คำว่าศีลนั้น ไม่มีผู้ใดดูแลแทนกันได้
    และจะต้องรักษาศีลด้วยใจจริง

    ถ้าคิดว่าเราคือชาวพุทธ หรือลูกหลานของพระพุทธเจ้าจริง ต้องรักเคารพคำสอนพระพุทธเจ้ากันจริงๆ
    พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก ท่านตรัส ท่านสอนอะไรก็ให้ทำตาม
    สิ่งที่ท่านมิได้สอน ก็อย่าพากันสงสัยและให้ปฎิบัติตามทันที
    เพราะจะเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ปฎิบัติโดยตรงเอง

    เคยบอกไปแล้ว ผู้ปฎิบัติอย่าให้จิตตนไปติดขัดอันใด
    เพราะเมื่อจิตไม่ไปถึงไหนนั่นก็หมายถึง..เราไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร

    สรุป รักษาศีลด้วยใจจริงๆ มิใช่ทำไปเพราะหน้าที่ของผู้ปฎิบัติหรือเป็นธรรมเนียบ
    อะไรก็ตาม ถ้ามิได้กระทำลงไปที่ใจแล้ว ย่อมสำเร็จได้ยาก

    ใช้ใจถือศีล มิใช่ปากหรือมือไปถือ

    (อย่าว่ากันนะ กำลังใจมันเหลือเฟือ เพราะชาวบ้านเขาหลับนอนกันหมดแล้ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ตุลาคม 2013
  8. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ใช้ความทุกข์ให้เป็นทุน

    "ความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่เราค้นหากันมาทุกภพทุกชาติ และในขณะนี้ความทุกข์นั้นได้มาอยู่ตรงหน้าเราแล้วโดย
    ที่เราไม่ต้องไปเสียเวลาหาที่ไหนอีก เราควรจะขอบคุณโอกาสอันดีที่เราจะได้เห็นทุกข์ เห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏะเพราะประโยชน์จากความทุกข์นั่นเอง

    สำหรับนักปฏิบัติการที่เราได้เกลือกกลั้วอยู่บนกองทุกข์นั้น เปรียบเสมือนว่าเราได้เงินทองกองใหญ่เป็นทุน รู้จักใช้ทุนให้เป็น
    ด้วยความสมบูรณ์แห่งสติและปัญญาก็จะทำให้เราไปถึงจุดที่ปรารถนาได้อย่างรวดเร็ว "

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก)
    เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
     
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    และแล้วก็มาต่อเด้งที่ 2 กันจ้า...ในนี้มีใครรู้จัก..ท่านจิตโต..กันบ้างเอ๋ย...เป็นความตั้งใจอย่างสูงของเราที่มีมานานมากแล้ว ที่ต้องการไปกราบท่าน เห็นตัวจริง ตัวเป็นๆ ของท่านสักครั้งหนึ่ง เพราะท่านเป็นหนึ่งในพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่สำคัญของเรา ที่จิตเรารู้สึกรักเคารพและศรัทธาในตัวท่านมากๆๆๆๆ ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย..แต่มันเป็นความตั้งใจ ที่ไร้ความคาดหวังใดๆ ทั้งสิ้น ว่าจะได้พบท่านหรือไม่...

    ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ เราก็ถามทุกคนว่า รู้จักท่านจิตโตมั้ย (คือจะหาเพื่อนไปว่างั้นเถอะ อิๆๆ) แต่ปรากฎว่า..ไม่มีใครรู้จักท่านสักคน (หื้อ..เชยจังเลย..อะไรกันนี้..เราอยู่ตั้งแคนาดายังรู้จักท่านเลย..ฮึ..แอบค้อน..)

    พอแยกย้ายกันกลับแล้ว เรากะน้องชาย ก็อยู่ในอารมณ์ฉิวๆ ค่ะทีนี้ เพราะว่ามันเร่งรีบมาตลอดตั้งกะเมื่อวานเช้าเลย หมดภาระหน้าที่แล้ว ก็อยู่ในอารมณ์ส่วนตั๊ว ส่วนตัว ได้เวลาสำรวจพื้นที่..555...เพราะที่ผ่านมาไม่ได้มองอะไรเลย สายตามุ่งหาวัดท่าซุงอย่างเดียว ก็บอกน้องชายขับรถช้าๆ เราก็นึกในใจอาศรมท่านจิตโตอยู่ตรงไหนน๊า..เห็นบอกว่าอยู่ข้างๆ วัด ไม่เห็นเลย พอขับมาได้สักพัก เราก็เห็นรถยนต์จอดเรียงยาวกันมาตามถนนในซอยเล็กๆ เราก็รีบกวาดสายตาเลยเข้าไปข้างในซอย ก็ปรากฎเห็นเป็นบ้านเรือนไทยหลังไม่ใหญ่ไม่เล็ก โอ้ย..ใช่แน่เลย ก็บอกน้องชายขับรถเลี้ยวเข้าไป ก็จอดต่อท้ายคันสุดท้ายนั่นแหล่ะ ขับเข้าไปเดี๋ยวไม่มีที่จอด (ถึงตรงนี้คนอ่านคงจาลุ้นน่าดู ว่าเด้งที่ 2 มันอยู่ตรงไหนเนี่ย เมื่อไรจะเข้าเนื้อซะที มีแต่น้ำมาได้หม้อหนึ่งแล้ว..555..)

    พอเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงท่านเทศน์ออกลำโพงมาเลย เสียงนี้ช่างคุ้นเคยจริงหนอ...(ไม่ได้คาดหวังมาตั้งแต่ต้น พอมาเห็นจำนวนรถยิ่งดูลิบลี่ ยิ่งพอมาเห็นจำนวนคนข้างในก็แทบจะเดินกลับ เพราะผู้คนจำนวนมากนั่งดูการถ่ายทอดผ่านทางจอทีวีอยู่ด้านล่างอาศรม แล้วข้างบนอาศรมจะขนาดไหนเนี่ย) แต่ด้วยความที่เราเป็นคนที่ทำอะไรต้องให้สุดๆ ก่อน อีกอย่างอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมา แถมขับรถมาไกลขนาดนี้แล้ว ต้องลองดูก่อน เราก็มองไปที่คุณแม่ขาวท่านหนึ่งท่าทางใจดี ก็เลยเดินตรงเข้าไปถามท่านว่า หนูจะมากราบท่านจิตโตค่ะ จะมาทำบุญกับท่าน ขึ้นไปได้มั้ยค่ะ ไปทางไหนค่ะ คุณแม่ก็ชี้ทาง เราก็ยังงงๆ ว่าทางไหน ท่านเลยลุกเดินนำหน้าพาขึ้นไปชั้นบนส่งถึงหน้าประตูเลยค่ะ ท่านบอกเปิดประตูเข้าไปเลย เรามองเห็นท่านผ่านประตูกระจก ความประหม่าเริ่มเข้ามา พอดีมีคนเปิดออก เรากะน้องชายก็เลยสวมรอยเดินเข้าไปทันที ก็เกือบแน่นห้อง เราก็นั่งตรงประตูนั่นแหล่ะก่อน ก้มลงกราบท่าน โอ้โห..น้ำตาไม่รู้มันมาจากไหน ไหลอาบสองแก้มไม่ยอมหยุด ปีติเหลือเกิน อะไรกันนี้ ไม่เคยคิดว่าจะขนาดนี้น่ะเนี่ย จิตมาเจอจิตซะแล้ว ท่านส่งสายตามาทักทายเราตั้งแต่ตอนเราเข้ามาเลย เราก็มองสบตาท่านตลอด ท่านก็มองทักทายด้วยสายตามาตลอด จนอดรนทนไม่ไหวค่ะ ก็แอบถามกระซิบคุณพี่ข้างๆ ว่าถ้าจะไปข้างหน้าได้มั้ยค่ะ ถ้าจะนำเงินไปถวายทำบุญกับท่านต้องยังไงค่ะ ก็ได้แรงหนุนจากคุณพี่ใจดีท่านนั้นว่า เดินขึ้นไปเลยค่ะ (ด้วยความที่เราไม่เคยมา ถ้าทำอะไรไป อาจจะเสียมารยาทรึเปล่า ก็ต้องถามดูก่อนค่ะ) ในที่สุดเราก็หยิบกระเป๋าเดินค่อมตัวรี่ๆ ขึ้นไปข้างหน้า ท่านก็หยุดพูด แล้วก็มองมาที่เรา...ด้วยความเกรงใจ กลัวจะเสียมารยาทต่อสหายธรรมที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว เราก็เลยหยุดอยู่ตรงด้านหลังคุณพี่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดแล้วก็นั่งฟังท่านเทศน์ไป น้ำตาไหลไปไม่ยอมหยุด มองสบตาท่าน ท่านก็มองสบตามาทักทายเราตลอด ยิ่งฟังท่านเทศน์ ยิ่งซาบซึ้งกินใจตลอดเลย ฮื้อ ฮือๆๆๆๆๆ อะไรกันนี้ น้ำหู น้ำมูก น้ำตาไหล รู้ว่ามีคนมองเรา แต่เราไม่สนใจที่จะมองใคร เพราะเดี๋ยวยิ่งเขินไปกว่านี้อีก..555.. ทำไมจิตเรารู้สึกผูกพันธ์มักคุ้นสนิทชิดเชื้ออะไรกับท่านขนาดนี้เนี่ย ความรู้สึกเหมือนซี้กันปึ้กๆ เลยโห..ความรู้สึกเหมือนท่านเป็นทั้งเพื่อนรักเก่า พี่ชาย และครูที่ไม่ได้เจอกันมานานมากกกก แล้วได้กลับมาเจอกันใหม่อีกครั้งในชาตินี้...เราได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านเพียงเล็กน้อยตอนเลิกค่ะ ปีติมาก จนพูดเกือบไม่ออก เพราะร้องไห้โฮออกมาเลย จนลูกศิษย์ท่านที่นั่งอยู่ข้างๆ บอกใจเย็นๆ ตอนนี้เราเลยเข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยล่ะ ว่าทำไมพระพุทธเจ้า ท่านถึงไม่ยอมเทศน์ให้ พาหิยะ (ถ้าจำผิดต้องขอโทษด้วย ถ้าใครอ่านเจอก็ช่วยแก้ไขให้ด้วยน่ะค่ะ) ฟังขณะที่พาหิยะพบพระพุทธเจ้าในขณะกำลังบิณฑบาตร เพราะพาหิยะมีปีติมากนั้นเอง พูดอะไรไปก็ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ถ้าในขณะที่จิตยังมีปีติมากอยู่ สาธุๆๆ
    :z16
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 มกราคม 2015
  10. เกียรติ_K

    เกียรติ_K เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +139
    [​IMG]

    เหมือนไหมครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      287.2 KB
      เปิดดู:
      523
  11. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    นี้คือ สิ่งที่ท่านมอบให้เราเองกับมือท่านค่ะ สาธุ (ธงเขียวแดงท่านให้มาแจกเพื่อนกัลยาณมิตรด้วยค่ะ)[/CENTER]

    อย่าเพิ่งเบื่อกันน่ะค่ะ...ขออนุญาตใช้เวทีนี้สรรเสริญคุณครูค่ะ (รอบนี้สามช่า ครูเกษขอเหมา รอบหน้าลูกทุ่งหมอลำ ขอใจเธอแลกเบอร์โทร จองให้คุณพี่ลินดาน่ะค่ะ..อิๆๆ) แทนการที่เรายังไม่ได้มีโอกาสพูดที่อาศรมของท่าน แต่คราวหน้ารับรองไม่พลาดแน่นอนค่ะ...:cool:

    รู้จักท่านจิตโตได้อย่างไร?....ก็เมื่อประมาณ 3-4 ปีก่อน การปฏิบัติธรรมของเรากำลังเริ่มเข้มข้นเลยทีเดียว ตอนนั้นอยู่ที่แคนาดาค่ะ ครูบาอาจารย์ทางธรรม เพื่อนทางธรรม ก็อาศัยอินเตอร์เน็ตนี้แหล่ะค่ะ ก่อนอื่นก็ต้องกราบขอบพระคุณเวปพลังจิต ที่ทำให้รู้จักท่านจิตโต ครั้งแรกเราเห็นชื่อท่านก็ เฮ้ยย..ใครอ่ะ ชื่อแปลกดี ลองเข้าไปฟังดูซิ พอฟังแล้ว ชอบเสียงเลยค่ะ แล้วก็ชอบถ่วงทำนอง คำพูดที่ท่านเทศน์ เนื้อหาธรรมมะที่ท่านเทศน์ก็ เฮ้ยย..ทำไมมันโดนยังเงี้ยอ่ะ..พระธรรมเทศนาแต่ละครั้งที่ได้ฟัง เหมือนท่านมานั่งในจิตเราเลยอ่ะ ทุกครั้งที่ติดขัดข้อธรรมนั้นๆ อยู่ก็จะได้เฉลย หรือคำตอบจากท่านทันทีทุกครั้งไป ไม่ว่าจะเป็นการวางกำลังใจในการปฏิบัติในแต่ละขั้นแต่ละตอนในการเดินทางของจิต ภาษาธรรมของท่าน สำหรับเราแล้ว ช่างเข้าใจง่ายเหลือเกิน ช่างเป็นธรรมที่ละเอียด ละเมียดทุกความรู้สึก ทุกครั้งที่ฟังท่านเทศน์ เราสามารถจับสิ่งที่มี ที่เกิดขึ้นกับเราอยู่แล้ว แต่มันวางกันอยู่สะเปะสะปะ ให้นำมาเรียงต่อกันเป็นรูปได้ง่ายขึ้น ง่ายๆ คือ เหมือนนำภาพจิ๊กซอร์ที่เรามีอยู่แล้ว นำมาต่อเรียงกันเป็นภาพได้ง่ายขึ้น สมบูรณ์ขึ้นนั้นเอง ก็ได้เสียงท่านนี้แหล่ะค่ะ เป็นเพื่อนตลอดเลยตอนอยู่แคนาดา แล้วก็ท่านจิตโตนี้แหล่ะค่ะ ที่ทำให้เราได้รู้จัก ลพ.ฤาษีลิงดำ และวัดท่าซุง เพราะตอนนั้นท่านจิตโตทำให้เราอยากจะรู้ว่า เอ..ท่านเก่งขนาดนี้แล้ว อาจารย์ท่านจะเก่งขนาดไหนเนี่ย แล้วอาจารย์ท่านเป็นใครกันน๊า? นั่นแหล่ะค่ะ..ก็ได้สืบสาวราวเรื่องขึ้นมาจนถึง ลป.ปาน กันเลยทีเดียว สาธุๆๆ
    _/\__/\__/\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 มกราคม 2015
  12. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    เออ..อึม..คุณเกียรติ..ภาพใหญ่ไปมั้ยค่ะนั้น..555..จะลดขนาดลงหน่อยก็ได้น่ะค่ะ ไม่มีใครว่าค่ะ..คิๆๆ...(ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะ วิ่งหาหมอ ทำไวน์เทนนิ่งแล้วเนี่ย..555):z10
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ตุลาคม 2013
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    อย่าไปติดแต่ทฤษฎี พอถึงคราปฏิบัติจริงพังราบเลย


    .....วันคืนที่ล่วงไปๆ ในทุกโมงยามนั้น ได้ให้สิ่งใดกับเราบ้าง ได้ให้ประโยชน์ หรือให้โทษทิ้งไว้กับอารมณ์ใจของเราบ้าง เราต้องมองเห็นทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนั้นให้เป็นครู ด้วยการปฏิบัติลัดตรงสู่ความพ้นทุกข์ที่แท้จริงนั้น ต้องอาศัยโลกที่เราอยู่นี้แหละ เป็นห้องเรียน...จงจำไว้ว่านักปฏิบัติธรรม ย่อมต้องเจอแบบทดสอบ ต้องหมั่นเจออารมณ์กระทบเสมอ อย่าไปติดแต่ทฤษฎี พอถึงคราปฏิบัติจริงพังราบเลย เยี่ยงนี้ใช้ไม่ได้..

    ก็ในเมื่อ องค์สมเด็จพ่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แลพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านได้เมตตาสอนไว้แล้วว่า โลกนี้ไม่เที่ยงแท้ โลกทั้งโลกเป็นทุกข์ หาจุดใดจุดหนึ่งของโลกที่จักเป็นสุขไม่ได้ แลทุกอย่างในโลกก็ต้องพังลงทั้งหมด...

    ท่านได้เมตตาเตือนไว้แล้ว แต่เราพากันลืมเอง มิได้ใส่ใจกันเอง เมื่อใดที่ความทุกข์ลดลงให้พอยิ้มได้ หัวเราะได้ ก็พากันหลง พากันหลอกตัวเองว่า นี่เป็นความสุข แลก็ติดใจ ยินดี ยึดเกาะเอาไว้ ไม่ต้องการให้อารมณ์นี้ สิ่งเหล่านี้หายไป

    แต่ในเมื่อทุกสภาวะนั้นมันไม่คงทนถาวร ไม่ว่าจักเป็นเรา เป็นเขา เป็นวัตถุธาตุสิ่งใดๆในโลกก็ดี สภาวะอารมณ์ใดๆ ไม่ว่าจักรัก ใคร่ หึง หวง โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท จองเวร แม้แต่อารมณ์ใจสบายๆ ก็ตาม เหล่านี้เป็นต้น มันก็มีสภาพไม่คงทน ไม่แน่นอน แปรปรวน เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเพลา

    นี่ไง..! ที่เราพากันลืม อ่านได้ ฟังได้ เข้าใจ รู้ทุกอย่าง แต่พอได้ประสบพบเจอกับของจริง กูรับไม่ได้ กูไม่ยอม กูจักเอาแบบนั้น กูจักให้มันเป็นแบบนี้ กูๆๆๆๆๆ สารพัดที่กูจักปรารถนาให้ได้ดั่งใจ ก็ด้วยเราเอา "กู" ไปแทรกไว้ ไปใส่ไว้ ไปฝังไว้ ในทุกอย่าง ในทุกที่ ที่เราตั้งเงื่อนไขตามใจตัวเอง

    โดยที่ลืมพระธรรมคำสอนของคุณพระฯ ว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี่ล่ะ มันเป็นของมันเช่นนี้ล่ะทั้งโลก...จงอย่าให้ความสำคัญกับตนเองนัก ด้วยนั่นเป็นการสร้างตัวตนให้เกิดซ้อนขึ้นมาอีก หัดมองเห็นตนเองให้เป็นเพียงแค่เศษฝุ่นในห้วงจักรวาลบ้าง อย่าได้ริอาจทำตัวเองเป็นแกนใจกลางโลก เรามิได้มีความสำคัญกับสิ่งใดๆขนาดน้านนนน ...

    จงอย่าไปคาดหวังกับสิ่งใด สภาวะใดในโลก ด้วยนั่นเป็นการสร้างสร้างนาฬิกาในอนาคต แลเราก็ต้องคอยตามดูเพลากับนาฬิกาเรือนนั้นไปตลอดชีวิต ที่ผ่านมาทั้งชีวิต มันก็ทุกข์กันพอแล้วววว อย่าไปหาเรื่องทุกข์อีก...

    อย่าไปทุกข์เพราะความคิดของใครอื่น อย่าไปทุกข์เพราะคำพูด เพราะการกระทำของใครอื่น อย่าไปทุกข์เพราะความคิดของตนเองที่ไม่ยอมวาง ไม่ยอมปล่อย ยึดเอาไว้เหมือนคนแบกก้อนหิน แบกถังขี้ แบกนั่นนี่ไม่พอ ก็ยังเอาเชือกมาผูกคอ ผูกมือ ผูกตีนตนเองเอาไว้กับสิ่งนั้น สิ่งนี้ในโลกให้ยุ่งนุงนังไปหมด...

    จงพิจารณาว่าที่ผ่านมา แลแม้กระทั่งในปัจจุบันเราทุกข์อยู่กับสิ่งใด หากทุกข์เพราะคน ก็ให้เลิกคบ หากทุกข์เพราะวัตถุธาตุ ก็ให้โยนทิ้งไป ไม่ยึด ไม่เกาะ ไม่เหนี่ยวรั้ง ไม่พันผูก กับสิ่งใดๆในโลก....

    ทำตามหน้าที่ แต่ไม่ยึดติดกับหน้าที่ แลอารมณ์ พยายามกันนะ พยายามปรับอารมณ์ใจตนเอง พากเพียรไปเรื่อยๆๆๆ ...ในที่สุดก็จักเหลือเพียง อารมณ์รับรู้ที่โปร่งเบา แลสักแต่ว่า... เพียงกระนั้น..!!



    พระครูวิบูลสรกิจ (พระคุณหลวงพ่อเอก)
    วัดเขาแร่ฯ กรุงสุโทัย
     
  14. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]
    ของที่ระลึกจากงานบุญ และบูชามาจากวัดค่ะ

    [​IMG]
    [​IMG]
    หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา หรือ หลวงพ่ออุ้มบาตรค่ะ ถ้าใครได้ไปวัดท่าซุง ห้ามพลาดเลยน่ะค่ะ..ขอบอก..อธิษฐานดีๆ..ท่านศักดิ์สิทธ์มากค่ะ..

    [​IMG]
    พระสถูปเจดีย์อะไร?...จำชื่อไม่ได้แล้วค่ะ...แต่อยู่ในบริเวณเดียวกับ ลพ.อุ้มบาตร..

    ยัง..ยังไม่หมดเท่านี้ค่ะ..สำหรับความประทับใจในทริปบุญนี้(ต้องให้สมกับที่เดินทางมาซะไกล)...555...เราค้างคืนอีก 1 คืน...ตื่นเช้ามาก็ตั้งใจไปตึกรับแขก ไปดูของที่ระลึก และบูชาพระมาด้วยค่ะ ดังภาพที่ถ่ายมาให้ชม เสร็จแล้วที่ขาดไม่ได้เลย คือ ต้องไปไหว้หลวงพ่ออุ้มบาตรค่ะ พอขับรถมาจอดตรงด้านหน้าทางเข้า พอเราลงรถมา เอ้า..นี้มันตรงด้านข้างท่านพ่อองค์ปฐมองค์ทองที่เรามาเที่ยวเมื่อวานนี้นา...แต่ทำไมเราไม่ยังกะเห็นแหะ..องค์ท่านก็ไม่ใช่จะเล็กๆ ซักกะหน่อย...ฮู้ย..อะไรมาปิดตาฉ๊านไว้เนี่ย..หุๆๆ ต้องรีบทำเวลาค่ะ เสร็จแล้วก็เข้ามาวิหาร 100 เมตรอีกครั้งเพื่อกราบลาหลวงพ่อ ก่อนกลับเราก็ได้ฝากท้องที่โรงทานอีก 1 มื้อ กับข้าวไข่คน เฮ้ย..ไข่ไก่คนจ้าาา..555..ต้องขอบคุณพี่แนทที่เป็นคนต้นเรื่องบุญนี้ค่ะ ทริปบุญนี้เลยเหมือนเป็นทริปบังคับกลายๆ ที่ทำให้เราต้องเป็นตัวแทนลงไปทำบุญนี้ให้กับสมาคมจิตเกาะพระ ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะงานบุญนี้ เราเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้มีโอกาสได้ลงไปกราบหลวงพ่อ และคงจะยังไม่มีโอกาสได้พบกับท่านจิตโตเป็นแน่แท้...หวังว่าทุกท่านคงจะร่วมอิ่มบุญไปกับเราในทริปบุญนี้น่ะค่ะ..

    สาธุ ด้วยอำนาจของพระรัตนตรัย หากบุญใดที่เกิดแล้วสำเร็จแล้วจากการที่ข้าพเจ้าได้เขียนให้ธรรมทานในทริปบุญนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศบุญทั้งหมดให้กับเทวดาและวิญญาณที่รักษาตัวแม่ข้าฯ เมื่อท่านได้รับบุญนี้แล้ว ขอท่านได้โปรดดลจิตดลใจแม่ข้าหันหน้าเข้าหาธรรมในเร็วไวที่สุดนี้ด้วยเถิด สาธุ..
    catt9
     
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
     
  16. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ขอสาธุด้วยคนคร้าาา...คนสวยใจบุญ ^^
    เห็นภาพแล้วอยากกลับเมืองไทยวันนี้เลยจริงๆ !
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นิพพาน อยู่ที่ใด

    แดนนิพพาน เขามิได้เอาขันธ์๕ไปกันนะ
    โดยเฉพาะสังขารขันธ์(คราบมนุษย์) และวิญญาณขันธ์(อั่ย..ตัวดี)


    เอาแต่ความว่างของจิตไปเท่านั้น ซึ่งก็มีอยู่ที่จิตในจิตตน
    นิพพาน มิใช่อยู่ที่ไหน แต่อยู่ที่ข้างในจิตของจิตตนเอง

    เพียงแต่ผู้ปฎิบัติแค่ตามหาจิตของตนให้พบเจอก่อน
    วิธีหาจิตตนก็คือ การเจริญสติภาวนา หรือกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง
    เมื่อหาจิตตนพบเจอแล้ว ต่อไปก็จะพบปัญญา
    แล้วปัญญาก็จะพาไปพบธรรม แล้วธรรมก็จะพาจิตพบความว่าง

    ตอนแรกจะพบกับความชั่วคราวก่อน แต่ความว่างถาวรก็ขึ้นอยู่กับสติ+ปัญญาของผู้นั้นเอง

    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติพยายามทรงความว่าง หรือทรงเอกัคคตารมณ์บ่อยๆอย่างต่อเนื่อง
    เดี๋ยวจิตเขา่จะค่อยๆพัฒนาขึ้นไปเอง
    ตอนที่จิตเข้าความว่าง จะเป็นว่างแบบไหน ว่างชั่วคราวหรือถาวร เราก็อย่าไปสนใจ
    ขยันทรงความว่างเข้าเห่อ ช่วงนี้ที่ผมจึงอยากให้ผู้ปฎิบัติเน้น การเข้า การเข้าถึงอารมณ์ของพระพุทธเจ้า
    จู่ๆครั้งแรกจะสามารถเข้าไปได้เลยนะ ไม่มีทาง ถามใจในขณะที่จิตว่าง ที่เราทรงเอกัคคตารมณ์อยู่นั้น
    เอาสติถามจิตตนบ่อยๆว่า ขณะนี้จิตเรานิ่งทรงตัวดีหรือยัง แต่ถ้ายังก็ปล่อยไปสักพักนึงก่อน
    แล้วค่อยมาถามกันใหม่ ถามจนเรามั่นใจว่านิ่งได้ที่แล้ว ต่อไปให้ถามใจเราว่าในขณะนี้จิตเราตั้งอยู่ที่ฝ่ายบุญกุศลรึยัง
    แต่ถ้าเรามั่นใจว่า ทั้งจิตนิ่งสงบดีแล้ว ทั้งจิตตั้งอยู่ที่ฝ่ายบุยกุศลดีแล้ว
    ต่อไปก็ค่อยๆเลื่อนจิตไปหาพระพุทธเจ้า แต่ถ้าใครนึกไม่ได้ก็ให้นึกถึงพระพุทธคุณแทน
    คือคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า
    เมื่อผู้ใดปฎิบัติได้แล้ว เราจะรู้สึกว่าจิตของเราหายไป ก้อย่าไปตามหาจิตตนเองนะ ปล่อยไปเลย
    เพราะจิตเขากำลังละจิตตนเอง หมายความว่า จิตเขากำลังเคลื่อนตัวไปสู่ความว่างแบบถาวร
    ทำไมถึงเชื่ออย่างนั้น เพราะลองทดสอบมาหลายรอบแล้ว ปรากฎว่าสีทนได้ เหมือนคนบ้าที่ไม่เอาความรู้สึกตนเป้นที่ตั้งอีกต่อไป
    จะเหมือนคนที่ปฎิเสธความรู้สึกนึกคิดของตนเองโดยสิ้นเซิง
    ในกรณีนี้ จะเกิดเฉพาะผู้ที่รับอารมณ์ของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะพระพุทธคุณแล้วเท่านั้น
    ถามว่าทำไมต้องนำจิตไปทรงอารมณ์นี้ ก็เพราะว่า เราจะรู้สึกว่าจิตมันใหญ่โต มีพลังจิต และมีกำลังใจมากเป็นพิเศษ

    และสำคัญที่สุด นั่นก็คือ มีกำลังใจในการละกิเลส ละทุกข์ โดยเฉพาะนามละเอียด อย่างเช่น สังขารขันธ์และวิญญษณขันธ์ได้เป็นอย่างดี

    อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ผมพูด แต่ขอให้ลองปฎิบัติตามดู เผื่อเป็นไปได้ เผื่อละได้จริงๆ
    ตรงนี้เป็นอารมณ์ละเอียดมาก(ขอบอก) มีกำลังใจมาก มีการสำรวมใจดีมากเลย
    แล้วคุณจะเข้าใจอารมณ์ของพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าไปตามลำดับเอง

    แต่ผมมิได้ประมาทใด ยังคงติดตามดู+รู้+เข้าใจ+เข้าถึงพระรัตนตรัยกันต่อไป
    เพียงแต่มิได้สงสัยแต่อย่างใด

    แต่อยากจะบอกกับทุกท่านว่า...
    พลังอะไรจะเหนือพลังพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ มิได้เลย
    เพราะพลังพุทธะหรือพลังพระพุทธคุณนั้น ยิ่งใหญ่มหาศาลมาก หาประมาณมิได้

    ตอนนี้จิตข้าพเจ้าก็เลยไม่ไปไหนเลย เกาะอยู่กับพระพุทธคุณแต้เลย
    เหมือนจิตเขาไปได้ดีมีที่อยู่ใหม่ดีกว่าเดิม
    แต่ก็คล้ายๆเราปฎิบัติธรรมในแนวจิตเกาะพระเลย แต่จิตจะแน่นกว่าจิตเกาะพระ
    อาจจะได้พลังจากพระพุทธคุณด้วย

    มาถึงตรงนี้จึงเข้าใจว่า จิตศักดิ์สิทธิืได้อย่างไร นี่ไง ผมพอจะเข้าใจบ้างแล้ว
    แต่อาจจะกล่าวที่สาธารณะได้ไม่มากนัก
    เพราะการพูดให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนได้ฌานชั้นนั้นชั้นนี้ สำเร็จมรรคผลอย่างนั้นอย่างนี้
    เขาเรียกว่า อวดอุตริมนุสธรรมหรืออวดอุตริมนุษยธรรม
     
  18. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    " โอ๊ย ศาสนาล่วงไปนานแล้ว พระพุทธเจ้าปรินิพพานนานแล้ว หมดเขตหมดสมัยหมดมรรคผลนิพพานแล้ว ทำยังไงก็ไม่ได้ ใครจะบำเพ็ญความดิบความดีเต็มความสามารถขนาดไหน ถูกต้องแม่นยำตามหลักธรรมขนาดไหน ก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จมรรคผลนิพพาน

    นี่คือเพลงกล่อมของกิเลส กล่อมเช่นนี้

    ก็กิเลสมันไม่เคยเห็นมรรคผลนิพพาน เกิดมาเต็มอยู่ในหัวใจของสัตว์นับแต่โคตรแต่แซ่ของมันลงมา มันจะเอามรรคผลนิพพานมาอวดสัตว์โลกอย่างไร เพราะคำว่ามรรคผลนิพพานก็คือแดนสุดวิสัยของมันแล้ว มันเอื้อมไม่ถึง จิตดวงใดถ้าได้เข้าสู่แดนนิพพานแล้ว กิเลสประเภทต่าง ๆ เรียกว่ากิเลสมารสุดเอื้อมหมดหวัง หมดอาลัยตายอยากแล้ว

    มันจะอุตริไปสอนจิตดวงใดโลกใดสัตว์ตัวใดให้ไปสู่สวรรค์นิพพานเล่า นอกจากมันจะกว้านเข้ามาเพื่อผลรายได้ของมันโดยอุบายต่าง ๆ เท่านั้น เช่น บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี นี่เป็นอุบายที่จะให้เกิดผลรายได้แก่มันโดยถ่ายเดียวเท่านั้น "

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๗
    [url=http://www.luangta.com][/COLOR][/SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2013
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ตรัสรู้ธรรม

    -อย่าเข้าใจว่าธรรมเป็นของผู้นั้นผู้นี้.

    -ให้นึกว่าเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วลงมือปฏิบัติตาม

    ...พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า...

    "ท่านทั้งหลายพึงทำความเพียร เครื่องเผากิเลส

    -พระตถาคตทั่งหลายเป็นเพียงผู้บอก

    -ชนทั้งหลายผู้ดำเนินไปแล้ว มีปกติเพ่งพินิจย่อมหลุดพ้นจากเครื่องผูกมาร"

    ...หมายความว่า พระพุทธองค์เป็นผู้บอกหนทางเท่านั้น...

    -ส่วนการเดินทางตามนั้นเป็นหน้าที่ของพวกเราทั้งหลายที่...

    -จะเพิ่มความเพียรของตนเอง ปฏิบัติตามพระพุทธองค์...

    ...คัดจากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ หลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง จ. เชียงใหม่...

    ...กราบนมัสการหลวงปู่ทอง และกราบขอบพระคุณในพระธรรมคำสอนเจ้าค่ะสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2013
  20. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    รีบกลับมาน่ะจ๊ะ น่ะจ๊ะ...เค้ารออยู่นี้แล้วน่ะ...ตัวเอง...อิๆๆsleeping_rb
     

แชร์หน้านี้

Loading...