แขวนพระอะไรกันบางคร๊าฟฟฟฟฟ (เพื่อการศึกษาครับ)

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย sonny52, 31 สิงหาคม 2013.

  1. jaturong_tun

    jaturong_tun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +2,473
    ไม่มีให้โชว์ ติดตามชมอย่างเดียวครับ5555
     
  2. oad006

    oad006 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    599
    ค่าพลัง:
    +1,082
    หวังให้เป็นยังงั้นครับ พี่hidden
     
  3. hiddenbhume

    hiddenbhume เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    2,513
    ค่าพลัง:
    +7,067
    ผมมีน้อง ไม่มีจะโชว์เหมือนกันครับ เลยเข้ามาชมมมมมมม
    ^^
     
  4. hiddenbhume

    hiddenbhume เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    2,513
    ค่าพลัง:
    +7,067
    จริงๆ ต่างจิตต่างศรัทธา เคารพซึ่งกันและกัน โลกก็เป็นสุขแล้วครับพี่

    ความหมายของกิเลส

    กิเลส[2][แก้]

    กิเลเสนฺติ อุปตาเปนฺตีติ = กิเลสา แปลว่า ธรรมชาติใดย่อมทำให้เร่าร้อน เศร้าหมอง ธรรมชาตินั้นชื่อว่า กิเลส
    กิลิสฺสติ เอเตหีติ = กิเลสา แปลว่า สัมปยุตธรรม คือ จิต เจตสิก ย่อมเศร้าหมอง เร่าร้อน ด้วยธรรมชาติใด ฉะนั้นธรรมชาติที่เป็นเหตุแห่งความเศร้าหมองเร่าร้อนของสัมปยุตนั้น จึงชื่อว่า กิเลส
    ประเภทของกิเลส[แก้]

    อโนตตัปปะ ความไม่รู้สึกตื่นกลัวต่อการทุจริต
    โทสะ ความโมโห โกรธ ความไม่พอใจ
    โมหะ ความหลงใหล ความโง่
    อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา
    ทิฏฐิ ความเห็นผิดเป็นชอบ
    วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงใจ สงสัย ไม่แน่ใจ ลังเลใจ ในสิ่งที่ควรเชื่อ
    โลภะ ความพอใจ ชอบพอ เต็มใจ ในโลกียอารมณ์ต่างๆ
    ถีนะ ความหดหู่ เงียบเหงา
    อหิริกะ ความไม่ละอายต่อการกระทำผิด ทุจริต
    มานะ ความ ทะนงตน ถือตัว เย่อหยิ่ง ความเป็นตัวตน
     
  5. oad006

    oad006 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    599
    ค่าพลัง:
    +1,082
    พี่ hidden ออกตัวว่าไม่มีโชว์ ชมอย่างเดียว เลยนะพี่

    เออออออ หรือว่ากลัวโดนสวดกันแน่ครับ. อิอิอิอิอิ.......
     
  6. hiddenbhume

    hiddenbhume เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    2,513
    ค่าพลัง:
    +7,067
    วิธีแก้กิเลส จากพระโอฐ

    พระอนุรุทธ ได้สนทนากับพระผู้มีพระภาค และถามคำถามเกี่ยวกับการนึกนิมิต

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเรื่องนี้ พวกข้าพระองค์ผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างและการเห็นรูป แต่ไม่ช้าเท่าไร แสงสว่างและการเห็นรูปอันนั้นของพวกข้าพระองค์ ย่อมหายไปได้ พวกข้าพระองค์ยังไม่แทงตลอดนิมิตนั้น ฯ

    ดูกรอนุรุทธ พวกเธอต้องแทงตลอดนิมิตนั้นแล แม้เราก็เคยมาแล้ว เมื่อก่อนตรัสรู้ ยังไม่รู้เองด้วยปัญญาอันยิ่ง ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างและการเห็นรูปเหมือนกัน แต่ไม่ช้าเท่าไร แสงสว่างและการเห็นรูปอันนั้นของเรา ย่อมหายไปได้ เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้แสงสว่างและการเห็นรูปของเราหายไปได้

    ความลังเลสงสัย
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า วิจิกิจฉาแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็วิจิกิจฉาเป็นเหตุสมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉาขึ้นแก่เราได้อีก ฯ

    ความไม่ใส่ใจ
    ดูกรอนุรุทธเรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า อมนสิการแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็อมนสิการเป็นเหตุสมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา และอมนสิการขึ้นแก่เราได้อีก ฯ

    ความง่วง
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า ถีนมิทธะแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ถีนมิทธะเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉาอมนสิการ และถีนมิทธะขึ้นแก่เราได้อีก ฯ

    ความสะดุ้งหวาดเสียว
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า ความหวาดเสียวแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความหวาดเสียวเป็นเหตุสมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ ดูกรอนุรุทธ เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกล เกิดมีคนปองร้ายเขาขึ้นที่สองข้างทาง เขาจึงเกิดความหวาดเสียว เพราะถูกคนปองร้ายนั้นเป็นเหตุ ฉันใด ดูกรอนุรุทธ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความหวาดเสียวแลเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความหวาดเสียวเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะและความหวาดเสียวขึ้นแก่เราได้อีก ฯ

    ความตื่นเต้น
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า ความตื่นเต้นแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความตื่นเต้นเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ดูกรอนุรุทธ เปรียบเหมือนบุรุษแสวงหาแหล่งขุมทรัพย์แห่งหนึ่ง พบแหล่งขุมทรัพย์เข้า ๕ แห่งในคราวเดียวกัน เขาจึงเกิดความตื่นเต้น เพราะพบแหล่งขุมทรัพย์ ๕ แห่งนั้นเป็นเหตุ ฉันใด ดูกรอนุรุทธ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความตื่นเต้นแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความตื่นเต้นเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะความหวาดเสียว และความตื่นเต้นขึ้นแก่เราได้อีก ฯ

    ความชั่วหยาบ
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า ความชั่วหยาบแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความชั่วหยาบเป็นเหตุสมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น และความชั่วหยาบขึ้นแก่เราได้อีก ฯ

    ความเพียรเกินไป (ตั้งใจเกินไป)
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า ความเพียรที่ปรารภเกินไปแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความเพียรที่ปรารภเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ ดูกรอนุรุทธ เปรียบเหมือนบุรุษเอามือทั้ง ๒ จับนกคุ่มไว้แน่น นกคุ่มนั้นต้องถึงความตายในมือนั้นเอง ฉันใด ดูกรอนุรุทธ ฉันนั้น เหมือนกันแล ความเพียรที่ปรารภเกินไปแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แลความเพียรที่ปรารภเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ และความเพียรที่ปรารภเกินไปขึ้นแก่เราได้อีก ฯ

    ความเพียรย่อหย่อนเกินไป
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้วแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ ดูกรอนุรุทธ เปรียบเหมือนบุรุษจับนกคุ่มหลวมๆ นกคุ่มนั้นต้องบินไปจากมือเขาได้ ฉันใด ดูกรอนุรุทธ ฉันนั้นเหมือนกันแลความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ ความเพียรที่ปรารภเกินไป และความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปขึ้นแก่เราได้อีก ฯ

    ความอยาก
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า ตัณหาที่คอยกระซิบแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ตัณหาที่คอยกระซิบเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ ความเพียรที่ปรารภเกินไป ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป และตัณหาที่คอยกระซิบขึ้นแก่เราได้อีก ฯ

    ความใส่ใจไปในสิ่งต่าง ๆ
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ ดังนี้ว่า ความสำคัญสภาวะว่าต่างกันแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความสำคัญสภาวะว่าต่างกันเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้วแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เรานั้นจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ ความเพียรที่ปรารภเกินไป ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ตัณหาที่คอยกระซิบ และความสำคัญสภาวะว่าต่างกันขึ้นแก่เราได้อีก ฯ

    การเพ่งรูป/นิมิตเกินไป
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้วแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อมนสิการ ถีนมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ ความเพียรที่ปรารภเกินไป ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ตัณหาที่คอยกระซิบ ความสำคัญสภาวะว่าต่างกัน และลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปขึ้นแก่เราได้อีก ฯ


    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นแลรู้ว่า วิจิกิจฉาเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละวิจิกิจฉาตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่าอมนสิการเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละอมนสิการตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่าถีนมิทธะเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละถีนมิทธะตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่า ความหวาดเสียวเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละความหวาดเสียว ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่า ความตื่นเต้นเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละความตื่นเต้นตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่า ความชั่วหยาบเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละความชั่วหยาบตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่า ความเพียรที่ปรารภเกินไปเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละความเพียรที่ปรารภเกินไปตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่า ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่า ตัณหาที่คอยกระซิบเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองจึงละตัณหาที่คอยกระซิบตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่า ความสำคัญสภาวะว่าต่างกันเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละความสำคัญสภาวะว่าต่างกันตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ รู้ว่า ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ ฯ

    เห็นแสงสว่างแต่ไม่เห็นรูป - เห็นรูปแต่ไม่เห็นแสงสว่าง
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวแล แต่ไม่เห็นรูป เห็นรูปอย่างเดียวแลแต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง เรานั้นจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้เรารู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวแล แต่ไม่เห็นรูป เห็นรูปอย่างเดียวแลแต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า สมัยใด เราไม่ใส่ใจนิมิตคือรูป ใส่ใจแต่นิมิตคือแสงสว่าง สมัยนั้น เราย่อมรู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวแล แต่ไม่เห็นรูป ส่วนสมัยใดเราไม่ใส่ใจนิมิตคือแสงสว่าง ใส่ใจแต่นิมิตคือรูป สมัยนั้น เราย่อมเห็นรูปอย่างเดียวแล แต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง ฯ

    เห็นแสงสว่างและรูปนิดหน่อย - เห็นแสงสว่างและรูปอย่างไม่มีประมาณ
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูปได้นิดหน่อย และรู้สึกแสงสว่างอย่างหาประมาณมิได้ เห็นรูปอย่างหาประมาณมิได้ ตลอดกลางคืนบ้างตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง เราจึงมีความดำริดังนี้ว่าอะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้เรารู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูปได้นิดหน่อย และรู้สึกแสงสว่างอย่างหาประมาณมิได้ เห็นรูปอย่างหาประมาณมิได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า สมัยใด เรามีสมาธินิดหน่อย สมัยนั้นเราก็มีจักษุนิดหน่อย ด้วยจักษุนิดหน่อย เรานั้นจึงรู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อยเห็นรูปได้นิดหน่อย ส่วนสมัยใด เรามีสมาธิหาประมาณมิได้ สมัยนั้น เราก็มีจักษุหาประมาณมิได้ ด้วยจักษุหาประมาณมิได้ เรานั้นจึงรู้สึกแสงสว่างหาประมาณมิได้ และเห็นรูปหาประมาณมิได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้างตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง ฯ


    ดูกรอนุรุทธ เพราะเรารู้ว่าวิจิกิจฉาเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้วเป็นอันละวิจิกิจฉาตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าอมนสิการเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละอมนสิการตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าถีนมิทธะเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละถีนมิทธะตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความหวาดเสียวเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความหวาดเสียวตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความตื่นเต้นเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความตื่นเต้นตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความชั่วหยาบเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความชั่วหยาบตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความเพียรที่ปรารภเกินไปเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความเพียรที่ปรารภเกินไปตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าตัณหาที่คอยกระซิบเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละตัณหาที่คอยกระซิบตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความสำคัญสภาวะต่างกันเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความสำคัญสภาวะว่าต่างกันตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ เรานั้นจึงได้มีความรู้ดังนี้ว่า เครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองนั้นๆ ของเรา เราละได้แล้วแล ดังนั้น เราจึงเจริญสมาธิโดยส่วนสามได้ในบัดนี้ ฯ

    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้เจริญสมาธิมีวิตกมีวิจารบ้าง ได้เจริญสมาธิไม่มีวิตกมีแต่วิจารบ้าง ได้เจริญสมาธิไม่มีวิตกไม่มีวิจารบ้าง ได้เจริญสมาธิมีปีติบ้าง ได้เจริญสมาธิไม่มีปีติบ้าง ได้เจริญสมาธิสหรคตด้วยสุขบ้าง ได้เจริญสมาธิสหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง ฯ

    ดูกรอนุรุทธ เพราะสมาธิชนิดที่มีวิตกมีวิจารบ้าง ชนิดที่ไม่มีวิตกมีแต่วิจารบ้าง ชนิดที่ไม่มีวิตกไม่มีวิจารบ้าง ชนิดที่มีปีติบ้าง ชนิดที่ไม่มีปีติบ้างชนิดที่สหรคตด้วยสุขบ้าง ชนิดที่สหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง เป็นอันเราเจริญแล้วฉะนั้นแล ความรู้ความเห็นจึงได้เกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้ความเกิดใหม่ย่อมไม่มี ฯ

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอนุรุทธจึงชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ
     
  7. hiddenbhume

    hiddenbhume เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    2,513
    ค่าพลัง:
    +7,067
    ผมใส่แต่ของปลอมครับพี่ ฮาได้ทุกวัน ^^

     
  8. เลนส์

    เลนส์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2012
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +55
    ร่วมแจมครับ ชุดประหยัดใช้ประจำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00437.JPG
      DSC00437.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 MB
      เปิดดู:
      93
    • DSC00454.JPG
      DSC00454.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 MB
      เปิดดู:
      78
    • DSC00456.JPG
      DSC00456.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 MB
      เปิดดู:
      94
    • DSC00459.JPG
      DSC00459.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 MB
      เปิดดู:
      76
    • DSC00457.JPG
      DSC00457.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.6 MB
      เปิดดู:
      87
    • DSC00460.JPG
      DSC00460.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.6 MB
      เปิดดู:
      91
    • DSC00462.JPG
      DSC00462.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 MB
      เปิดดู:
      85
    • DSC00466.JPG
      DSC00466.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 MB
      เปิดดู:
      85
    • DSC00442.JPG
      DSC00442.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 MB
      เปิดดู:
      100
    • DSC00438.JPG
      DSC00438.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.7 MB
      เปิดดู:
      88
  9. hemicuda

    hemicuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,357
    ค่าพลัง:
    +2,246
    เข้ามาฟังเซียนเขาคุยกัน แหะๆๆ
     
  10. hemicuda

    hemicuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,357
    ค่าพลัง:
    +2,246
    ชุดนี้เหลือเฟือแล้วท่าน ถ้าท่านแขวนองค์ละล้านแทนที่พระจะคุ้มครองท่าน ท่านกลับต้องคุ้มครองพระซะเอง อิอิ
     
  11. เลนส์

    เลนส์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2012
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +55
    ถ้าองค์ละล้าน เมียคงตีหัวแบะตั้งแต่คิดจะเช่าแล้วครับท่าน
     
  12. sonny52

    sonny52 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    770
    ค่าพลัง:
    +687
    ไม่มีวัด แค่บางคนบอกเก้ บางคนบอกแท้ แต่สำหรับผม ผมว่าเก้ เรยนำมาให้ ติกัน
     
  13. sonny52

    sonny52 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    770
    ค่าพลัง:
    +687
    สมเด็จ ที่วงการยอมรับมีแค่ 20 กว่าองค์เท่านั้น และนามปากกาหนังสือสมเด็จ (ของเก่า) ท่านตรียมปวาย บางคนคิดว่ามีเป็นร้อยเป์นพัน แต่จิงๆเค้ามีแค่ 6 องค์ แล้วท่านคนนั้นก็เป็นศิษย์ของสมเด็จโต สายตรงเรยยังมีแค่ 6 องค์

    จิงๆที่เห็นมวลสารต่างๆนาๆ จิงๆอาจจะเป็นแค่มวลสารที่สมเด็จโตถวายให้ แต่อาจจะไม่ใช้ของวัดระฆัง (ผมก็ไม่รู้อะไรมาก แต่สมเด็จวัดระฆังคงมีไม่มากเท่าทีเห็นกันทุกวันนี้หรอกครับ)
     
  14. chen55

    chen55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +518
    ข้อความนี้ไม่เกี่ยวกับ ท่าน sonny52 นะครับ...


    เรื่องตำราน่าจะถูกฆ่าตัดตอน ตัดตอนถอนให้เหลือแค่นี้มั้งจนถึงปจุบัน...ในเวปพลังจิตผมยอมรับไม่กี่คนครับ...เซียนพระสมเด็จในเวปพลังจิตบางท่าน เห็นสวดพระคนอื่นว่าไม่ใช่ แล้วนำพระที่ตัวเองสะสมเหลี่ยมทองหลายองค์มาเทียบว่าเนื้อพระสมเด็จต้องเป็นแบบนี้เหมือนของตนเอง พิมพ์อะไรก็ไม่รู้...+555555 หรือว่ามันไม่ตรงกับความคิดของตน...หรือว่ามันไม่เหมือนพระที่ตนมีอยู่ที่ตนเองคิดว่าเป็นพระแท้มาตัดสินพระคนอื่น...ว่าไม่ใช่...ที่นำมาเทียบไม่รู้ว่าเขายอมรับกันหรือเปล่า...ผมว่าสมาชิกบางท่านไม่อยากขัดคอเดี๋ยวจะมาโกธรเคืองกันเปล่าๆ...หรือว่ามั่วไปวันๆ...ตูจะบ่นไปทำไมเนี่ยยยยย...+5555555555
     
  15. paper_white

    paper_white เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    2,021
    ค่าพลัง:
    +4,804
    ผมว่าคุณ sonny52 สับสนอะไรหรือเปล่า ศึกษาไปศึกษามาอยู่กับที่ วงการยอมรับ 20 องค์หรือครับ แล้วอยู่ในหนังสือของวงการ (สมาคมจัดสร้าง) มีกี่องค์มากกว่า 20 องค์ไหม หรือ ว่าเฉพาะพิมพ์ไหนเป็นพิเศษที่มีแค่ 20 องค์ แต่ผมก็เชื่อว่าสมเด็จวัดระฆังนั้นไม่ได้มีเยอะ แต่ก็ไม่น้อย เพียงแต่อยู่ที่ใครตกทอดมาแล้วยังอยู่ในครอบครองของทยาทก็ยังเยอะ ถ้าศิษย์สายตรงสมเด็จโตคนนึงมี 6 องค์ แล้วสมเด็จโตมีศิษย์สายตรงคนเดียวหรือไม่ สมมุติว่ามี 200 คนและมีคนละเท่า ๆ กันรวมกันแล้วจะมีเท่าไหร่หรือครับ พยายามมองให้กว้างอย่าแคบครับ ถ้าจะศึกษาต้องรู้เนื้อและพิมพ์ถ้าแยกไม่ได้สรุปไม่ได้ก็อย่าไปฟังธงว่าพระใครเก๊
    แล้วมวลสารที่สมเด็จโตถวายให้ อยากรู้ว่าถวายให้ใครหรอครับ
     
  16. sonny52

    sonny52 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    770
    ค่าพลัง:
    +687
    ใช้ครับแต่หนังสือที่คุณดูมันเป็นของ สำนักไหน สมเด็จมีหลายสำนัก แต่ถ้าจะให้ก็ แล้วขายได้ราคา บุคคลทั่วไปยอมรับ มี 100 ตา ก็แท้ 100 ตา มีแต่ท่าพระจันทร์ หนังสือสมเด็จของท่พระจันทร์มีครับ แต่ส่วนใช้จะมีแค่องค์ดาราเท่านั้น ที่เหลือเป็น พิมพ์อื่นเช่น

    สมเด็จระฆังหลังฆ้อน ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณฉันทมหาเถร (เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) ไม่ใช้ของสมเด็จโต

    พระปิลัน ของสมเด็จปิลัน

    แต่ที่จะดูนะ มันไม่ใช้ของสมเด็จโตไงครับ
    หนังสือมีเยอะ เช่นของ อ.ไกรงู มีเป็นร้อยเป็นพันองค์ แล้วเคยมีคนมาลงในเว็บนี้ ทั้งรูปพระสมเด็จและรูปใบประกาศ แต่คนในนี้ก็ไม่ยอมรับว่านี้คือพระสมเด็จ ของสมเด็จ โต
     
  17. paper_white

    paper_white เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2011
    โพสต์:
    2,021
    ค่าพลัง:
    +4,804
    สับสนจริง ๆ ท่าน
    ผมบอกว่าหนังสือของสมาคมไงท่าน ชื่อเต็ม ๆ คือ สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย ผมไม่อ่านหนังสือของคนเขียนทั่ว ๆ ไปครับ ก็มีเกิน 20 องค์ครับที่เป็นสมเด็จวัดระฆังโดยเฉพาะ ไม่ใช่สมเด็จปิลันทน์ครับ
     
  18. narmja

    narmja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    7,921
    ค่าพลัง:
    +8,496
    ผมจำได้ละ ใช่สมเด็จโตงานประกวดที่ โนโวเทล หรือป่าวครับพี่ คือถ้าใช่ ผมว่าดูไม่เก่านะครับ ผมดูปู่ภูผมเก่ากว่าเยอะเลย
     
  19. sonny52

    sonny52 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    770
    ค่าพลัง:
    +687
    ครับผม คือผมมองกว่าแล้วนะครับ อันนี้ตัดเรื่องวงการไปเรยนะ ถ้าสมเด็จวัดระฆังมี 84,000 องค์ บางขุนพรหมมีอีก 84,000 เกศไชโยมีอีก 84,000 รวมเป็น 252,000 แล้วพระของท่านไปไหนหมดอะครับ ถ้าหักลบจากอายุและโรคห่า ในสมัยนั้น ก็น่าจะเหลือเยอะ กว่านี้ในปัจจุบัน แต่ผมรองยกตัวอย่างคือ ทำไมชมรมพระเครื่องท่าพระจันทร์ ถึงซื้อขายกันแค่ไม่เกิน 20 องค ที่บอกว่าเป็นองค์ดารา แต่ตามหนังสือพระทั่วไป มีพระที่สวยกว่าของที่ชมรมท่าพระจันทร์ เยอะแต่ทำไมชนกลุ่มนี้ ถึงไม่ยอมรับอะพี่
    ลองคุยด้วยเหตุนะ ว่าทำไม เพราะอะไร

    เท่าทีรู้มานะ ช่างในสมัยนั้นจะมีอยู่ 11 ประเภท
    1.สมเด็จพิมพ์ชาวบ้าน เท่าที่รู้จักศึกษามาก็มี **นายจอน นายเจิม นายเจียน บ้านช่างหล่อ ช่างจีนมี เจ็กตง เจ็กไต๋ เจ็กกง
    2.สมเด็จวังหน้า **กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทรงให้เจ้าฟ้าอิศราพงศ์และช่างของพระองค์แกะพิมพ์ถวายสมเด็จโตทำแจกพระประยูรญาติและเจ้านายผู้ใหญ่ ข้าราชบริภารในวังหน้า
    3.สมเด็จวังหลัง กรมหมื่นอดุลย์ลักษณสมบัติ์ สมัยรัชกาลที่4 ทรงให้เจ้ากรมช่างสิบหมู่ หลวงวิจิตรนฤมล (พึ่ง จิตรปฏิมากร) แกะพิมพ์ลักษณะสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก ถวายสมเด็จโต เป็นพิมพ์ทรงชลูด ทรงต้อลังกา ทรงกรวย ทรงโย้เกศเอียง พิมพ์จะลึกกว่ายุคต้น องค์พระเส้นซุ้มเล็กโปร่งบาง เน้นความเรียบร้อย ความอ่อนช้อยสวยงามเป็นหลัก
    4.สมเด็จช่างหลวง หลวงวิจารณ์เจียรนัย ช่างหลวงสมัยปลายรัชกาลที่ 4 และต้นรัชกาลที่ 5
    5. สมเด็จสองคลอง คือพระสมเด็จวัดระฆังที่สมเด็จพุฒาจารย์โตพรหมรังสี นำไปผสมกับพระสมเด็จวัดใหม่อมตะรสบางขุนพรหม เพื่อให้ครบจำนวน 84000 องค์เท่ากับพระธรรมขันธ์ตามหลักนิยมในการพระบรรจุกรุ
    6.สมเด็จตกเบ็ด คือพระสมเด็จกรุบางขุนพรหม ที่ถูกขโมยออกจากกรุก่อนเปิดกรุ เป็นพระที่อยู่ในช่วงบนหรือรอบนอกของกองพระในกรุและอยู่ในกรุได้ไม่นาน จึงมีคราบกรุน้อยและบาง
    7. สมเด็จบางขุนพรหมกรุเก่า คือสมเด็จบางขุนพรหมกรุวัดใหม่อมตะรสที่มีคนลักลอบตกเบ็ดขโมยขุด ออกมาจากเจดีย์ที่บรรจุกรุพระไว้ก่อนที่จะมีการเปิดกรุเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2500
    8. สมเด็จบางขุนพรหมกรุใหม่ คือพระสมเด็จบางขุนพรหมที่เปิดจากกรุบางขุนพรหม เมื่อพ.ศ. 2500 เรียกกันเป็นบางขุนพรหมกรุใหม่ จะมีคราบกรุมากและหนากว่าพระกรุเก่า สมเด็จบางขุนพรหมกรุใหม่และกรุเก่าก็คือสมเด็จบางขุนพรหมจากกรุเดียวกัน
    สมเด็จสัตตศิริ คือพระสมเด็จที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นศิริมงคล โดยสร้างพระให้มีสีตามวันทั้ง เจ็ดวัน คือวันอาทิตย์สีแดง วันจันทร์สีเหือง วันอังคารสีชมพู วันพุธสีเขียว วันพฤหัสสีส้ม วันศุกร์สีฟ้า วันเสาร์สีม่วง เป็นลักษณะพระสีประจำวัน แต่บางองค์จะทำองค์เดียวเจ็ดสีเลยก็มี สมเด็จสัตตศิริสร้างที่วัดพระแก้ว กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเจ้าฟ้าอิศราพงศ์แกะพิมพ์
    10.สมเด็จนางใน เรื่องสมเด็จนางในนี้ทราบว่า เมื่อครั้งสมเด็จโตได้เข้าไปเทศนาในวังสมัยรัชกาลที่ 4 ท่านได้แจกพระสมเด็จแก่คนในวังเป็นสมเด็จชิ้นฟักขนาดใหญ่
    11.สมเด็จยายจันทร์ ยายจันทร์เป็นแม่ค้าขายของอยู่แถวใกล้ๆวัดระฆัง มีฐานะยากจนแต่ใจบุญสุนทาน เอาสำรับกับข้าวมาถวายสมเด็จบ่อยๆ วันหนึ่งสมเด็จท่านถามยายจันทร์ว่าหมู่นี้ค้าขายเป็นอย่างไร ยายจันทร์ตอบว่า แย่มีแต่พอทุนและขาดทุนขายไม่ค่อยดี จึงต้องมาหาท่านบ่อยๆเผื่อจะขายของได้ดีบ้าง สมเด็จโตจึงให้พระพิมพ์ นางพญาเนื้อสมเด็จ แก่ยายจันทร์ไป แล้วบอกมาว่าต่อไปนี้คงขายของได้ดีมีกำไร รำรวยจะได้ไม่ต้องมาหาบ่อยๆ ตั้งแต่ยายจันทร์ได้ของไปก็ค้าขายร่ำรวยจริงๆ พระสมเด็จนางพญาพิมพ์นี้จึงเรียกขนานนามกันต่อมาว่า สมเด็จยายจันทร์ตั้งแต่นั้นมา

    (เพื่อความรู้ระกันครับ) พระสมเด็จ ไม่มีใครรู้จริงหรือรู้หมดทุกอย่างบางครั้งที่รู้ไปก็ผิด ฝากด้วยนะครับ
     
  20. sonny52

    sonny52 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    770
    ค่าพลัง:
    +687
    ผมก็จำไม่ค่อยได้นะ แต่มีคนบอกเก้หลายคนระ มาพร้อมใบเซอร์ ก็ไม่รู้ว่าใบเซอร์เก้ด้วยป่าวนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...