อยากไปนิพพานเป็นตัณหา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 31 กรกฎาคม 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พวกเรามันพวกสวดกิน ธรรมะเลยเป็นเครื่องมือหากินไปเสียหมด หากินข้าวต้มขนม ว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา คนตายที่ไหนละไปแล้ว ความฉลาดเอาไปสวดหากินข้าวต้มขนมเสีย ความฉลาด กุสลา ธมฺมา ธรรมยังคนให้ฉลาด มันฉลาดหากินข้าวต้มขนมไปเสียพวกเรา มันไม่ฉลาดนำมาแก้กิเลส มาฟันกิเลส อกุสลา ธมฺมา ธรรมพาคนให้โง่ สิ่งที่พาคนให้โง่ จงกุสลาเจ้าของให้พอตัวซิ เมื่อพอตัวแล้วอยู่ที่ไหนก็อยู่ รู้ชัดแล้วสงสัยไปไหน รู้พอตัวแล้ว ฟังแต่ว่าพอตัวซิ ไม่ได้สำคัญมั่นหมายกับเวล่ำเวลาดินฟ้าอากาศ กับการเป็นการตาย ไปสูงไปต่ำ เกิดที่ไหน อยู่ที่ไหน สุขทุกข์ประการใด คิดไปให้เสียเวลาทำไม เมื่อเห็นความจริงเต็มใจแล้ว ก็อยู่ตามความจริงนั้น แสนสบายยิ่งกว่าไปเที่ยวคว้าโน้นคว้านี้ คว้าลม ๆ แล้ง ๆ

    พระพุทธเจ้าท่านสอนจริงขนาดนั้น แต่มันไม่ชอบจริงมนุษย์เรา เฉพาะอย่างยิ่งพระกรรมฐานเราสอนอย่างนี้ ๆ ไปงมอย่างโน้น คว้าโน้นคว้านี้ อวิชชาสำคัญมากตัวเชื้อพาให้เกิด ละเอียดมากทีเดียว ถ้าไม่เคยดำเนินมันไม่รู้ ธรรมเครื่องดำเนินก็ต้องเป็นธรรมปฏิบัติ รู้เข้าไป ๆ ตามเข้าไป ๆ จนถึงตัวมันเลย

    นี่ก็ได้อธิบายให้หมู่เพื่อนฟังไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หน ทำไมมันไม่ถึงใจ การอธิบายนี้ไม่ได้สงสัยนะ อธิบายตามความจริงแท้ ๆ ทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผล ไม่ได้อธิบายด้วยความสงสัย อธิบายให้หมู่เพื่อนฟัง มันน่าจะจับเอาเงื่อนใดเงื่อนหนึ่งเข้าไปจริงจังกับตัวเอง อยู่ไปนานไปมันชินชานะ ความชินชาเป็นอะไรถ้าไม่ใช่กิเลส ถ้าธรรมจะราบรื่น จะคล่องตัวไปเรื่อยในการแก้การปลดความไม่ดีในตัว ใจจะเด่นขึ้น ๆ ความระมัดระวังสำรวมตัวก็จะเด่นขึ้น ๆ นั่นคือธรรม ถ้าเป็นเรื่องความชินชาแล้วมันจะไปไหน ถ้าไม่ไปหน้าด้านมันจะไปที่ไหน ถ้าชินชาแล้วหน้าก็ด้าน ภาษาภาคอีสานเขาเรียกเหล็กก้นเตาหรือทองก้นเบ้า นายช่างเหล็กจะทุบจะตียังไงมันก็ไม่ได้เรื่อง จะเอาไปทำอะไรก็ไม่เป็นประโยชน์ ถ้าลงมันได้เป็นเหล็กก้นเตา ทองก้นเบ้าแล้ว ฉะนั้นจงพากันระวังให้มาก พระกรรมฐานทั้งองค์อย่าลืมตัว จะเป็นเหล็กก้นเตา ทองก้นเบ้าไปเปล่า ๆ

    ในครั้งพุทธกาลท่านเอาจริงเอาจังนะ ท่านถือการภาวนาเป็นการเป็นงานเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นจิตเป็นใจจริง ๆ ท่านไม่ให้อะไรมายุ่งนะ จงทราบรากฐานหรือแก่นของการปฏิบัติธรรม แก่นของศาสนา แก่นของผู้พาดำเนิน ท่านดำเนินอย่างนั้นหนา พวกเราก็เห็นในตำรับตำรา แต่เมื่อความจริงไม่ถึงใจแล้ว มันไม่กระจายมันไม่ซึ้ง ในธรรมทั้งหลายที่ท่านดำเนินมาและพาดำเนินมา มันก็ไม่ซึ้ง

    ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วมันซึ้ง ไม่ว่ามันจะแย็บมาหมัดไหนละ เป็นเปิดคางยื่นคางให้มันเลย ปกตินิสัยก็เปิดให้มันอยู่แล้วตั้งแต่มันยังไม่ต่อยโน่นแน่ะ แล้วอะไรจะไปคิดปัดป้องมันวะ ถ้าเป็นกิเลสแล้วเหมือนกับว่ากวักมือเรียกมัน มาเข้ามา ๆ เอาตรงคางตรงขากรรไกรนี่นะ ให้มันหงายหมาลงไปเล้ย หงายไม่มีท่าก็เหมือนหงายหมาละซิ หงายมีท่ามันหงายต่อสู้ หงายหลบหลีก หงายหลบหมัด พวกเรามันหงายแบบไม่มีท่า เหมือนถูกน็อกน่ะ พวกเรามันพวกถูกน็อก พวกหงายไม่เป็นท่า

    พูดอยู่ขณะนี้เรายังโมโหวะ โมโหแทนหมู่แทนเพื่อนนะซิ เพราะเราเคยฟัดกับมันมาพอแล้ว โถ บางครั้งขณะฟัดกันเหมือนจะไปทั้งชีวิตนี่เลย เอ้าไป ไม่อาลัยเสียดาย นั่นจิต เวลามันแข็งแกร่ง แข็งแกร่งขนาดนั้นนะ เอ้าไปเถอะ ยังไงก็ไม่ถอย จิตพุ่งเลยนะเวลาเช่นนั้น เราถึงได้เห็นเรื่องของมัชฌิมาปฏิปทา เห็นได้ชัดอย่างนี้เอง ไม่ได้คุย เอาความจริงมาพูดกันซิ

    พระพุทธเจ้าว่า มัชฌิมาปฏิปทา พวกเราเอามาแปลกัน แปลไม่ได้ปฏิบัติว่า มัชฌิมาปฏิปทา เดินทางสายกลาง ไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนัก ไม่ยิ่งนักมันเป็นยังไง ไม่หย่อนนักมันเป็นยังไง สายกลางนั้นคือยังไง ก็เห็นแต่เสื่อกับหมอน สายกลางนั่นเห็นไหม นั่นมันคือมัชฌิมาของกิเลสต่างหาก ไม่ใช่มัชฌิมาของธรรมปฏิบัติ กิเลสมันมีมัชฌิมาของมันอย่างมั่นเหมาะ โลกถึงได้ติดมัน เดินทางสายกลางนี้หนา เอาลงเสื่อกับหมอนตรงกลางนี้หนา นั่น ถ้าจะทำความพากเพียรให้แข็งข้อบ้าง โอ๊ย ไม่ได้นะ จะเคร่งเกินไปนะ ทำพอดีให้สบายซิ ทำไป หลับไป สัปหงกไปซิ ถ้าชักง่วงบ้างก็รีบหงายท้องลงกลางเสื่อกลางหมอนนั้นซิ มัชฌิมาอยู่ที่นั่น นั่นเห็นไหม นั่นกิเลสมันกล่อม ล้มระนาวเลย

    ถ้าเป็นมัชฌิมาของธรรมแล้ว เอ้า กิเลสโผนมา ๆ ซิ ว่างั้นเลย มัชฌิมาต้องโผนไปถึงไหนถึงกัน เหมือนกับข้าศึกยกกองทัพใหญ่มา เครื่องมือของเขาเป็นยังไง เราต้องเตรียมเครื่องมือของเราให้พร้อม ฟัดกันเลย ถ้ากำลังและอาวุธตลอดอุบายวิธีการรบไม่เหนือมัน ชนะมันได้ยังไง ข้าศึกน่ะ สติปัญญาซึ่งเป็นอาวุธทันสมัยที่เรียกว่ามัชฌิมา ไม่เหมาะสมกับกิเลสจะปราบกิเลสได้ยังไง เวลากิเลสโผนมาก็ต้องโผนไปซิ นั่นละเรียกว่า มัชฌิมา คือ เหมาะสมกับการปราบกิเลสประเภทนั้น ๆ

    การบอกให้เดินทางสายกลาง แต่ไม่ทราบว่าสายกลางเป็นยังไง นั่นจะตรงเป้าหมายแห่งมัชฌิมาปฏิปทาได้อย่างไร สุดท้ายความอยากไปนิพพานก็เลยกลายเป็นตัณหาไปเสีย นั่นฟังดูซิ อยากไปนิพพานก็เป็นตัณหา ก็เห็นแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่อยากอะไรเลย แล้วมันไปนิพพานได้ไหมคนตายน่ะ เห็นแต่มันขึ้นกองฟอนกองไฟนั่นแหละ มันจะไปนิพพานได้ยังไงก็คนตาย อยากด้วยอำนาจของกิเลสและพันกันอยู่วันยังค่ำเป็นอย่างไรไม่เห็นคิด พอจะอยากไปนิพพาน เพียงจะหันหน้าออกจากกิเลสมองดูทางไปนิพพาน อุ๊ย นี่เป็นตัณหานะ ว่าอีกแหละ มันอะไรกัน จะไม่เป็นบ้ากันหมดแล้วหรือปราชญ์ชาวพุทธเราน่ะ ถึงได้ฆ่าตัวด้วยความอยากไปนิพพานว่าเป็นตัณหาขนาดนั้น

    ความอยากเป็นมรรคก็มี ความอยากเป็นกิเลสก็มี ทำไมความอยากเป็นมรรคมีไม่ได้วะ ถ้ามีไม่ได้มันจะแก้กันได้อย่างไร เอาตรงนั้นซิ ถ้าไม่พลิกอย่างนี้ไม่ทันกลของกิเลสนะ กิเลสมันแหลมคมขนาดไหน ธรรม มีสติปัญญาเป็นต้น ไม่แหลมคมไม่ได้ มันต้องพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคมซิถึงจะทันกัน เผ็ดมาเผ็ดไป ร้อนมาร้อนไป เอาให้ทันกัน แก้ไม้มวยเขาให้ได้ แก้ไม่ได้ตายจริง ๆ นะ นี่เราเสียท่าเขาด้วยวิธีนี้ เราจะแก้เขาด้วยวิธีใดต้องแก้ซิ ไม่แก้ก็ถูกน็อกจริง ๆ

    นี่เคยเห็นคุณค่าของการเด็ดเดี่ยวในเวลาจำเป็นจนตรอกจนมุม เห็นคุณค่าจริง ๆ ประจักษ์ใจ จำไม่ลืมตลอดไป จึงได้นำมาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง พูดด้วยความกล้าหาญด้วย มันไม่ได้จนตรอกหนาสติปัญญา ว่าอย่างนี้เลย ทุกข์หนาแน่นเข้าเท่าไร เหมือนจะมัดเราให้ตายในปัจจุบันนี้ สติปัญญาก็หมุนติ้วเข้าไปตรงนั้น ออกไปไหนไม่ได้ เหมือนกับตะลุมบอนกัน เผลอได้ยังไงเวลานั้น ราวกับนักมวยเข้าวงในกัน เผลอได้ยังไง นี่ก็สติปัญญาหมุนติ้ว ๆ ถอยไม่ได้ ทุกข์หนักเท่าไรมันยิ่งหมุนเข้าไปเรื่อย ๆ ต่อไปมันก็เข้าใจ ๆ ๆ เดี๋ยวข้าศึกก็พังทลาย

    ผมน่ะมันนิสัยหยาบ เพราะฉะนั้น เวลามาพูดกับหมู่เพื่อนจึงว่าหยาบ คือเราเคยปฏิบัติมายังไง ได้ผลมายังไง ก็ไม่พ้นที่จะนำนิสัยนั้นมาพูดมาใช้ ไม่ว่าครูบาอาจารย์องค์ใดก็เถอะ เราว่าอย่างนี้นะ เพราะเคยสมาคมกับท่านมาแล้ว อย่างหลวงปู่ขาวลองไปฟังภายในท่านซิ โอ้โห เสียงกังวานไปถึงสามแดนโลกธาตุแน่ะ ท่านเด็ดไม่ใช่เล่นนะหลวงปู่ขาวนี่ เวลาท่านพูดเปรี้ยง ๆ หลวงปู่แหวนโน้นก็เหมือนกัน ผมได้เคยไปคุยธรรมะกับท่านแล้ว เพราะท่านก็ร่ำลือมานาน เราเข้าถึงท่าน ไปคุยธรรมะกับท่าน โอ๋ย ธรรมะท่านบรรจุไว้ในใจเต็มเปี่ยม ถ้าเป็นตุ่มเป็นถังก็เต็มถังขนาดใหญ่ ไม่เคยได้เปิดออกใช้เลย อะไรสมควรหรือไม่สมควรแก่น้ำนี้ท่านก็รู้ น้ำนี่เป็นน้ำที่สะอาด น้ำที่มีคุณค่ามาก จะไปเปิดทิ้งเฉย ๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนเขาตำน้ำพริกละลายแม่น้ำนั่นเอง ท่านก็ไม่พูดน่ะซิ ท่านอยู่ไปอย่างนั้นแหละ จะมีพระมีเณรเต็มวัดเต็มวาก็ตาม ก็เหมือนกับหัวไม้หัวตอนั่นแหละ ท่านไปสนใจอะไร ก็มันไม่เกิดประโยชน์ เพราะพวกนี้มันไม่สนใจ แล้วท่านจะไปพูดอะไร

    พอเราไปแหย่ท่านปั๊บ ท่านเปิดผางออกมาเทียว ผมยังไม่ลืมนะ ก็เรามันคนขี้ดื้อนี่ ใส่ปั๊บเข้าไปเลย ไม่เอาหลายหมัดนะ สองหมัดเท่านั้นแหละ ใส่ปั๊บเข้าไป ท่านก็ปัดผึงเลย พูดเปรี้ยง ๆ เราไม่ลืม ๑๐ นาที เข้มข้นไปถึง ๑๐ นาที แล้วหยุด เราเข้าใจแล้ว หมดที่สงสัยแล้วในจุดนี้ว่างั้นเถอะ ใส่แย็บเข้าไปอีก ท่านผางออกมาเลย คราวนี้ ๔๕ นาที ไหลออกมาเลย ท่านไม่ทราบได้เสียงมาจากไหน ขึงขังตึงตังคึกคัก โอ๊ยพูดไม่ถูก เสียงลั่นเทียว ถ้ามีคนเดินไปบริเวณนั้นเขาจะว่า อะไรนี่พระทะเลาะกันหรือไง พอจบลง อ้าว ท่านมหาเห็นว่าไม่ถูกตรงไหน เอ้า ค้านขึ้นมา ๆ กระผมไม่ค้าน กระผมหาธรรมอย่างนี้แหละ ก็เราลงท่านแล้วนี่

    ต่อจากนั้นท่านก็ถาม องค์นั้นล่ะได้คุยกันแล้วหรือยัง กับองค์นั้นล่ะ ได้คุยกันแล้วหรือยัง ท่านถามไปเรื่อย ก็หมายความว่า ธรรมะขี้ดื้อ ปัญหาขี้ดื้อนี้ไปเที่ยวตีที่ไหนบ้าง ความหมายก็คงว่างั้น โอ๊ย ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ดูสีหน้าสีตาดูทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนขึ้นพร้อม ๆ กันเลย พลังของธรรมท่านออกเต็มที่ ถ้าเป็นโลกก็เป็นพลังของกิเลส ถ้าเป็นพลังจิตผู้บริสุทธิ์ก็เป็นพลังของธรรมออกมา เพราะธรรมไม่มีเครื่องมือสำหรับตนมาใช้ ก็เอาเครื่องมือของกิเลสมาใช้

    อวัยวะทุกส่วนเป็นเครื่องมือของกิเลส เป็นวิบากของกิเลส เมื่อธรรมไม่มีเครื่องมือเป็นของตัวแล้ว ก็ต้องนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ เพราะฉะนั้น กิริยาท่าทางของธรรมที่นำเครื่องมือของกิเลสมาใช้จึงเป็นเหมือนกับกิเลส เวลาแสดงอาการเข้มข้นออกมาเขาก็ว่าท่านดุ ท่านโกรธ นี่ละที่คนทั้งหลายว่า ท่านอาจารย์องค์นั้นดุ ท่านอาจารย์องค์นี้ดุ ก็อย่างนั้นแล เพราะเขาไม่เคยเห็น เห็นแต่พลังของกิเลส ถ้ากิริยาแสดงออกมาอย่างนั้นก็คือกิเลสดี ๆ ทีนี้เขาไม่เคยเห็นเรื่องของธรรมเป็นยังไง จะไปตำหนิเขาก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยรู้เคยเห็นว่าธรรมมีพลัง มีอำนาจ สามารถแสดงออกมาอย่างเปิดเผยได้เหมือนกิเลส เป็นแต่ต้องอาศัยร่างกาย วาจา กิริยา ซึ่งเป็นสมบัติของกิเลสออกแสดงเท่านั้น จึงคล้ายคลึงกันเวลาแสดงออก

    อย่างท่านอาจารย์มั่น ท่านแสดงผึง ๆ ท่านแสดงทั้งไม้ทั้งมือด้วย เวลาเอากันอย่างถึงพริกถึงขิง ทีนี้มือก็ปัดถูกกระโถนกลิ้งตกไปพักหนึ่ง เรายังไม่ลืมนะ ท่านก็เลยหยุด เมื่อมือโดนกระโถนกลิ้งผ่านพระไปลงโน่น ตกเป๊ะ ลงพักหนึ่ง เทศน์เลยเงียบพระก็รีบจับกระโถนมาวาง ท่านนิ่งเงียบไปนิดหนึ่ง โอ๊ะ เทศน์เอาจนกระโถนตกเทียวนะ จากนั้นก็ย้อนปั๊บ เป็นอย่างไรล่ะ กิเลสของพระตกไปบ้างไหมล่ะ หรือตกแต่กระโถน แน่ะ

    เทศน์วันไหนๆ ก็มีแต่พ่นลมให้หมู่เพื่อนฟัง หาเนื้อหาหนังไม่เจอ จะทำยังไงนี่พระเราก็มีมากเข้า ๆ แล้วนะ มันจะเหลว ๆ ไหล ๆ ไปนะ เราเข็ดเรื่องเหล่านี้ กิเลสพาให้ลืมตัวได้ง่าย ๆ หนา นี่มาแก้กิเลสจะกลายเป็นกิเลสมัดคอนะ ส่วนมากว่ามาแก้กิเลส ความจริงแล้วจะมีแต่ชื่อเท่านั้น บทกิเลสมัดคอไม่ได้พูด ทั้ง ๆ ที่มันมัดอยู่ตลอดเวลา

    หูของพระทั้งหลายกับหูของเรานี่มันยังไงกัน ชอบกลอยู่นะ หูเราก็ไม่เห็นหูดีอะไร ตาเราก็ฝ้า ๆ ฟาง ๆ แต่ทำไมเห็นอะไรก่อนเพื่อนว่ะ เวลาเราอยู่กุฏินี้หมู่เพื่อนคุยกันอะไรได้ยินหมด เวลาจำเป็น เราเคาะไม้ป๊อก ๆ หายเงียบเหมือนตายกันทั้งวัด บางทีเคาะถึง ๓ พัก เคาะแล้วก็หยุดไป เห็นไม่ได้เรื่องก็เลยเคาะอีก แล้วก็เงียบไปอีก พอเคาะอีกก็เงียบไปอีก เอ๋ เป็นยังไง ก็ด้อม ๆ มาดู ก็มีพระอยู่นี่ พระก็ยืน เดิน เก้ง ๆ ก้าง ๆ อยู่แถวบริเวณศาลานี้แหละ ดูมันจะทั้งหลับหูหลับตา ทั้งปิดหูปิดตาเข้าอีกด้วยก็ไม่รู้ มันถึงไม่ได้ยิน นี่แสดงว่าจิตไม่ได้อยู่กับตัว ถ้าสติอยู่กับตัวมันก็เหมือนคนอยู่ในบ้านในเรือน อะไรมาผ่านก็รู้ แต่นี้ไม่รู้ นอกจากโกโก้ กาแฟ เท่านั้นมันจะรู้ โกโก้ กาแฟ เคยผ่านมันก็รู้ได้เร็ว น้ำส้ม น้ำหวาน โกโก้ กาแฟ มันรู้เร็วแต่เสียงนั้นมันไม่รู้เพราะไม่มีหวัง เสียงมันไม่มีหวังรายได้ จะไปสนใจกับมันทำไม สิ่งมีหวังมีอยู่ถมไปนี่วะ

    พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแต่ละพระองค์กระเทือนโลก ในสามภพมีองค์เดียวเท่านั้นผู้รู้เรื่อง ผู้ละ ผู้ปราบข้าศึกแห่งภพได้ เพราะฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกจึงเป็นมหาอุตมมงคลอย่างยิ่งแก่โลก ให้ได้เห็นผิดถูก ดีชั่ว บาปบุญ นรกสวรรค์ สักทีหนึ่ง พอศาสนานี้สิ้นไปเพราะกิเลสครอบงำหัวใจของสัตว์ ไม่ให้มีความเชื่อความสนใจต่อศาสนา ศาสนาก็หมดไป ทีนี้ก็มีแต่อันเดียวนี้แหละครอบสัตว์โลกไว้ พุทธันดรหนึ่งพระพุทธเจ้ามาอุบัติพระองค์หนึ่ง โผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง พอรู้อะไร ๆ บ้าง จะทำยังไง

    พวกเราก็เหมือนกันนะ พุทธันดรหนึ่ง ๆ สติถึงโผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง ปัญญาแย็บบ้างก็ไม่ได้เท่าแสงหิ่งห้อย มืดมิดปิดตาไปอีก จนเลยพุทธันดรก็ไม่รู้แหละ วันหนึ่ง ๆ จะระลึกแค่ไหน ได้แค่ไหนก็ไม่รู้ สองพุทธันดร สามพุทธันดร ระลึกสติได้ทีหนึ่งก็ไม่รู้ ส่วนปัญญาน่าจะสี่ห้าพุทธันดรกว่าจะแย็บออกมาได้เท่าแสงหิ่งห้อย นอกนั้นจมน้ำอยู่ในสุญญกัปเสียทั้งนั้น

    เราก็สอนจนหมดภูมิหมดสติปัญญาจะมาสอนแล้ว จะเอาแบบศาสนาเซ็นเขาเรอะ เราก็ไม่ใช่เซ็นนี่วะ เซ็นเขาทำยังไง ใครนั่งสัปหงกงกงัน อาจารย์ก็เอาค้อนตีเอาน่ะซิ นี่ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว พระเณรเหล่านี้คงไม่มีหนังติดตัวเลยแหละ ถูกค้อนตีแตกกระจายไปหมดเลย พวกนี้พวกหนังไม่ติดตัว ดีไม่ดีไม้วัดป่าบ้านตาดจะไม่มีเหลือนะ ขนมาทำเป็นค้อนตีพระ ถ้าจะเอาแบบศาสนาเซ็นน่ะ นี่เรากลัวไม้ในวัดจะหมดเกลี้ยงทั้งวัด จึงไม่นำศาสนาเซ็นมาใช้ ทุก ๆ องค์ขอให้เห็นใจและสงสารไม้ในวัด แล้วพากันตื่นตัวระวังใจ รักษาสติ บำรุงปัญญาเอาเองเถอะ

    วันที่ 16 กรกฎาคม. 2525
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
    http://www.luangta.com/thammathamma_talk_text.php?ID=1870&CatID=3
    (คัดลอกมาบางส่วน)
     
  2. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ไม่อยากจะได้ไปเหรอนิพพาน
     
  3. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    เรียกว่า ธรรมฉันทะ
     
  4. Mon Treal

    Mon Treal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +536
    มีตัณหาอยากไปนิพพาน น่ะมันดีแล้ว ดีกว่ามีตัณหาอยากไปกินเหล้า
     
  5. Mon Treal

    Mon Treal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +536
    ธรรมาราโม
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    "ความอยากเป็นมรรคก็มี ความอยากเป็นกิเลสก็มี ทำไมความอยากเป็นมรรคมีไม่ได้วะ ถ้ามีไม่ได้มันจะแก้กันได้อย่างไร เอาตรงนั้นซิ ถ้าไม่พลิกอย่างนี้ไม่ทันกลของกิเลสนะ กิเลสมันแหลมคมขนาดไหน ธรรม มีสติปัญญาเป็นต้น ไม่แหลมคมไม่ได้ มันต้องพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคมซิถึงจะทันกัน เผ็ดมาเผ็ดไป ร้อนมาร้อนไป เอาให้ทันกัน แก้ไม้มวยเขาให้ได้ แก้ไม่ได้ตายจริง ๆ นะ นี่เราเสียท่าเขาด้วยวิธีนี้ เราจะแก้เขาด้วยวิธีใดต้องแก้ซิ ไม่แก้ก็ถูกน็อกจริง ๆ"

    มีประโยคที่หลวงตากล่าวเปรียบเทียบให้เข้าใจ แต่ต้องใช้ความละเอียดในใจเข้าพิจารณา
    จึงจะเห็นว่า เป็นคำสอนที่อยู่ในร่องในรอยเสมอ!!!!
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เทศนาของหลวงตาหากอ่านด้วยตา ฟังด้วยหู อาจเข้าใจไม่ตรงกับความหมายที่ท่านสอนหรือเข้าใจผิดไปเลย....แม้พระอริยะจะมีพลาดบ้างก็แค่กิริยาอาการภายนอกที่เราจะแปลความกันไปเอง ส่วนใจของพระอริยะเจ้าไม่มีพลาด!!!
     
  8. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ตัณหา หยั่งลงไปใน พระนิพพาน ไม่ได้
    เพราะพระ นิพพาน ไม่ได้เป็นอารมณ์ให้ ตัณหา
    พระนิพพานอยู่เกินขอบเขต ที่ตัณหาจะน้อมเอามาเป็นอารมณ์ได้
    ฉะนั้น ความอยากไปนิพพาน จึงไม่ใช่ ตัณหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 สิงหาคม 2013
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าว่า มัชฌิมาปฏิปทา พวกเราเอามาแปลกัน แปลไม่ได้ปฏิบัติว่า มัชฌิมาปฏิปทา เดินทางสายกลาง ไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนัก ไม่ยิ่งนักมันเป็นยังไง ไม่หย่อนนักมันเป็นยังไง สายกลางนั้นคือยังไง ก็เห็นแต่เสื่อกับหมอน สายกลางนั่นเห็นไหม นั่นมันคือมัชฌิมาของกิเลสต่างหาก ไม่ใช่มัชฌิมาของธรรมปฏิบัติ กิเลสมันมีมัชฌิมาของมันอย่างมั่นเหมาะ โลกถึงได้ติดมัน เดินทางสายกลางนี้หนา เอาลงเสื่อกับหมอนตรงกลางนี้หนา นั่น ถ้าจะทำความพากเพียรให้แข็งข้อบ้าง โอ๊ย ไม่ได้นะ จะเคร่งเกินไปนะ ทำพอดีให้สบายซิ ทำไป หลับไป สัปหงกไปซิ ถ้าชักง่วงบ้างก็รีบหงายท้องลงกลางเสื่อกลางหมอนนั้นซิ มัชฌิมาอยู่ที่นั่น นั่นเห็นไหม นั่นกิเลสมันกล่อม ล้มระนาวเลย

    ถ้าเป็นมัชฌิมาของธรรมแล้ว เอ้า กิเลสโผนมา ๆ ซิ ว่างั้นเลย มัชฌิมาต้องโผนไปถึงไหนถึงกัน เหมือนกับข้าศึกยกกองทัพใหญ่มา เครื่องมือของเขาเป็นยังไง เราต้องเตรียมเครื่องมือของเราให้พร้อม ฟัดกันเลย ถ้ากำลังและอาวุธตลอดอุบายวิธีการรบไม่เหนือมัน ชนะมันได้ยังไง ข้าศึกน่ะ สติปัญญาซึ่งเป็นอาวุธทันสมัยที่เรียกว่ามัชฌิมา ไม่เหมาะสมกับกิเลสจะปราบกิเลสได้ยังไง เวลากิเลสโผนมาก็ต้องโผนไปซิ นั่นละเรียกว่า มัชฌิมา คือ เหมาะสมกับการปราบกิเลสประเภทนั้น ๆ

    การบอกให้เดินทางสายกลาง แต่ไม่ทราบว่าสายกลางเป็นยังไง นั่นจะตรงเป้าหมายแห่งมัชฌิมาปฏิปทาได้อย่างไร สุดท้ายความอยากไปนิพพานก็เลยกลายเป็นตัณหาไปเสีย นั่นฟังดูซิ อยากไปนิพพานก็เป็นตัณหา ก็เห็นแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่อยากอะไรเลย แล้วมันไปนิพพานได้ไหมคนตายน่ะ เห็นแต่มันขึ้นกองฟอนกองไฟนั่นแหละ มันจะไปนิพพานได้ยังไงก็คนตาย อยากด้วยอำนาจของกิเลสและพันกันอยู่วันยังค่ำเป็นอย่างไรไม่เห็นคิด พอจะอยากไปนิพพาน เพียงจะหันหน้าออกจากกิเลสมองดูทางไปนิพพาน อุ๊ย นี่เป็นตัณหานะ ว่าอีกแหละ มันอะไรกัน จะไม่เป็นบ้ากันหมดแล้วหรือปราชญ์ชาวพุทธเราน่ะ ถึงได้ฆ่าตัวด้วยความอยากไปนิพพานว่าเป็นตัณหาขนาดนั้น

    ความอยากเป็นมรรคก็มี ความอยากเป็นกิเลสก็มี ทำไมความอยากเป็นมรรคมีไม่ได้วะ ถ้ามีไม่ได้มันจะแก้กันได้อย่างไร เอาตรงนั้นซิ ถ้าไม่พลิกอย่างนี้ไม่ทันกลของกิเลสนะ กิเลสมันแหลมคมขนาดไหน ธรรม มีสติปัญญาเป็นต้น ไม่แหลมคมไม่ได้ มันต้องพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคมซิถึงจะทันกัน เผ็ดมาเผ็ดไป ร้อนมาร้อนไป เอาให้ทันกัน แก้ไม้มวยเขาให้ได้ แก้ไม่ได้ตายจริง ๆ นะ นี่เราเสียท่าเขาด้วยวิธีนี้ เราจะแก้เขาด้วยวิธีใดต้องแก้ซิ ไม่แก้ก็ถูกน็อกจริง ๆ

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ควรเขียนว่า"อยากไปนิพพานเป็นตัณหา(ซะที่ไหน?)"
    ยังงี้จะช่วยรลดการเข้าใจผิด และทำให้น่าวิเคราะห์ขึ้นอีกมาก อีกทั้งตรงกับเนื้อหาในเทศนา-ของหลวงตาในคราวนั้น!!!

    จั่วหัวที่เป็นการตลาดอาจกลายเป็นอกุศโลบาย ที่ให้ผลตรงข้ามกับความคาดหมาย!!!
     
  11. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ก็ในเมื่อตัวตัณหา เอานิพพานมาเป็นอารมณ์ไม่ได้
    แล้วมันจะมีตัวอยากอยู่ในนิพพานได้ยังไง ก็ได้แต่นึกไปเรื่อยเปื่อย
     
  12. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    อุรุเวลากำลังถือใบกำกับรับรอง ("อย")
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ทางสายกลาง
    มัชฌิมาปฏิปทา
    อยากไปนิพพานเป็นตัณหา
    ความอยากเป็นมรรค
    ความอยากเป็นกิเลส

    ผมตั้งกระทู้ตามที่ผมยกตัวอย่างไว้ข้างบน ผมรับรองได้จะมีคนตำหนิผมอยู่ดี
    บางท่านเห็นชื่อกระทู้น่าสนใจก็เข้ามาอ่านเนื้อหาทั้งหมด
    บางท่านเห็นชื่อกระทู้น่าสนใจ แต่ไม่ได้อ่านเนื้อหาทั้งหมด ตำหนิไปต่างๆ นาๆ เพราะหัวข้อกระทู้ไม่ตรงกับทิฐิของตน

    หลวงตาสอนไว้ว่า

    "การบอกให้เดินทางสายกลาง แต่ไม่ทราบว่าสายกลางเป็นยังไง นั่นจะตรงเป้าหมายแห่งมัชฌิมาปฏิปทาได้อย่างไร สุดท้ายความอยากไปนิพพานก็เลยกลายเป็นตัณหาไปเสีย นั่นฟังดูซิ อยากไปนิพพานก็เป็นตัณหา ก็เห็นแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่อยากอะไรเลย แล้วมันไปนิพพานได้ไหมคนตายน่ะ เห็นแต่มันขึ้นกองฟอนกองไฟนั่นแหละ มันจะไปนิพพานได้ยังไงก็คนตาย อยากด้วยอำนาจของกิเลสและพันกันอยู่วันยังค่ำเป็นอย่างไรไม่เห็นคิด พอจะอยากไปนิพพาน เพียงจะหันหน้าออกจากกิเลสมองดูทางไปนิพพาน อุ๊ย นี่เป็นตัณหานะ ว่าอีกแหละ มันอะไรกัน จะไม่เป็นบ้ากันหมดแล้วหรือปราชญ์ชาวพุทธเราน่ะ ถึงได้ฆ่าตัวด้วยความอยากไปนิพพานว่าเป็นตัณหาขนาดนั้น"
     
  14. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
  15. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ตัณหา แปลว่า ความอยาก

    ถ้าจะใช้คำว่า ตัณหา เรื่องไปนิพพาน ก็ว่ากันตามคำว่า ตัณหากัน

    ความอยากไปพระนิพพาน คือ อยากจะพ้นทุกข์ โดยการ
    ใช้ ตัณหาดับตัณหา แล้วละตัณหานั้นซะ อุปมา เช่น
    เราอยากไป เกาะเสม็ด จะขึ้นรถลงเรือไป เมื่อถึงเกาะเสม็ดแล้ว ถามว่า
    ความอยาก(ตัณหา)ไปเกาะเสม็ดนั้นยังมีอยู่ไหม
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ความสิ้นไปแห่งตัณหาเป็นนิพพาน

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
    ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม
    พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า สัตว์ สัตว์ ดังนี้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร
    หนอแล จึงเรียกว่า สัตว์?
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรราธะ เพราะเหตุที่มี ความพอใจ
    ความกำหนัดความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในรูปแล
    เป็นผู้ข้องในรูป เป็นผู้เกี่ยวข้องในรูปนั้น ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์.
    เพราะเหตุที่มีความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในเวทนา
    … ในสัญญา
    … ในสังขาร
    … ในวิญญาณ
    เป็นผู้ข้องในวิญญาณ เป็นผู้เกี่ยวข้องในวิญญาณนั้น ฉะนั้น จึงเรียกว่า สัตว์.
    ดูกรราธะ เด็กชายหรือเด็กหญิง เล่นอยู่ตามเรือนฝุ่นทั้งหลาย
    เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจากความรัก
    ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความกระวนกระวาย ไม่ปราศจากความทะยานอยาก
    ในเรือนฝุ่นเหล่านั้นอยู่เพียงใด ย่อมอาลัย ย่อมอยากเล่น ย่อมหวงแหน ย่อมยึดถือเรือนฝุ่น
    ทั้งหลายอยู่เพียงนั้น. ดูกรราธะ แต่ว่าในกาลใด เด็กชายหรือเด็กหญิงเป็นผู้ปราศจากความ
    กำหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความกระวน
    กระวาย ปราศจากความทะยานอยากในเรือนฝุ่นเหล่านั้นแล้ว ในกาลนั้นแล เด็กชายหรือ
    เด็กหญิงเหล่านั้น ย่อมรื้อ ย่อมยื้อแย่ง ย่อมกำจัด ย่อมทำเรือนฝุ่นเหล่านั้น ให้เล่นไม่ได้
    ด้วยมือและเท้า ฉันใด ดูกรราธะ แม้เธอทั้งหลายก็จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำรูปให้
    เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำเวทนา
    ให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด จงทำ
    สัญญาให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง จงกำจัด
    จงทำสังขารให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา จงรื้อ จงยื้อแย่ง
    จงกำจัด จงทำวิญญาณให้เป็นของเล่นไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหา ฉันนั้น
    นั่นเทียวแล. ดูกรราธะ เพราะว่าความสิ้นไปแห่งตัณหาเป็นนิพพาน.

    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ข้อที่ ๓๖๗
     
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เมื่อไปถึงเกาะแล้ว ความอยากไปมันหายไปเอง เพราะมันหมดหน้าที่
    ถึงแม้ไม่ละ มันก็ไม่อยู่ครับ!!!
     
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    แต่เมื่อกลับมาบ้านสักพักหนึ่งมันก็อยากไปอีกอ่ะจะว่าไง
    หรือยอมตามมันไปอีกเพื่อให้ตัณหาจบหน้าที่อีก....

    ผมว่าต้องพิจารณาเมื่อตัณหานี้มันเริ่มกำเริบ
    หาเหตุให้ได้ว่าอะไรที่มันทำให้อยากไปอยู่เรื่อยๆ

    เพราะที่เกาะมันมีเเหม่ม มาแก้ผ้าเล่นน้ำ
    เดินตามชายหาดน่าตาเฉย
    ไม่เกรงสายตาผู้ปฏิบัติเสียเลย
    หรือเปล่า?????ไม่เชื่อ
    อีก 2 ปีลองไปดู

    (ตอนนี้แหม่มไม่มา
    เพราะไม่ชอบอาบน้ำมันดิบ)
     
  19. justpon

    justpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +467
    ถามว่า อยากกินน้ำเป็นตัณหาหรือเปล่าครับ เป็นตัณหา แต่มันไม่ได้เป็นตัณหาที่ไม่ดีไงครับ

    ถ้าไม่อยากจะได้ไปนิพพานหรอ ปฎิบัติไปเรื่อย ๆ พอถึงจุดนึง "บุญก็ไม่เกาะ บาปก็ไม่เกาะ ไม่ยึดติดกับขันธ์ 5 ร่างกาย กับ โลก นั่นแหละครับ พ้นทุกข์ "

    ได้ยินมาจาก หลวงพี่ วัดท่าขนุน อาจจะไม่ครบถ้วนตรงเป๊ะเพราะผมด้อยปัญญา แต่ก็ประมาณนี้
     
  20. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    การอุปมาอุปมัยนั้น จะสามารถทำให้พอเข้าใจตรงจุดนั้นได้ ไม่ต้องคิดต่อเนื่องนะครับ
    (พูดเล่นบ้าง)ส่วนเรื่องแหม่มนั้น ถึงจะแก้ผ้ายังไง พระอนาคามีก็เห็นเป็นซากศพ ส่วน
    พอเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่เป็นเช่นนั้นซิ สวยก็เห็นว่าสวย เพียงแต่ท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปทานนั้น

    อุปมาอีกเรื่อง คุณคงเคยเรียนชั้นอนุบาลมาแล้วนะ เริ่มที่ ก ข ....ฮ จนสามารถอ่านออกเขียนได้
    เมื่อจบแล้วคุณยังมี "ความอยาก"ที่จะเรียนให้อ่านออกเขียนได้ใน ก ข ....หรือไม่
     

แชร์หน้านี้

Loading...