{{หลวงพ่อคูณ257}}ศึกษาพระสมเด็จ/เบญจภาคีองค์ครู26ขุนแผนพรายกุมาร4ลพ.พรหม68พ่อท่านคลิ้ง105

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย Amuletism, 2 มกราคม 2012.

  1. สีจำปา

    สีจำปา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +343
    สวยงามมากครับ ไม่รู้ว่าคุณ Amuletism จะสะสมหลวงพ่อโอภาสีด้วย

    คนไม่ค่อยจะรู้จักพระรุ่นนี้ หลวงพ่อโอภาสีผมตามเก็บสมเด็จของท่าน แต่หายากมาก สมบูรณ์ยิ่งยากใหญ่ เพราะทำมาจากผงขี้เถ้า เคยเจอบนพันทิพ คนขายกำลังวุ่นกับลูกค้าคนอื่น คิดว่ามาวันหลังก็ได้คงไม่มีคนรู้จัก มาอีกที่หายไปซะแล้ว :'( :'(
     
  2. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    ประวัติหลวงพ่อโอภาสี

    สมัยสงครามอินโดจีน พระเกจิอาจารย์ดังหลายรูปต่างเป็นที่พึ่งทางกายและใจของบรรดาทหารหาญ และชาวบ้าน ดังนั้น วัตถุมงคล-เครื่องรางของขลังของพระเกจิในยุคนั้น จึงโด่งดังมาจนทุกวันนี้ และมีมูลค่าในการเช่าหาที่ค่อนข้างสูง “ผ้าประเจียด” ของ “หลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมบางมด กทม.” เป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้คนสมัยนั้น เพราะมีคุณานุภาพอันวิเศษยิ่ง ท่านจัดพิธีปลุกเสกที่วัดบวรนิเวศฯ โดยอาราธนาพระเถระผู้ทรงวิทยาคมมาร่วมพิธีด้วย 3 รูปคือ หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง นนทบุรี หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา และหลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา ฉะเชิงเทรา เมื่อทหารนำไปใช้ปฏิบัติการในสมรภูมิ ปรากฏว่ายิงไม่ออกบ้าง ยิงไม่ถูกบ้าง ข้าศึกเห็นทหารไทยก็พากันเสียขวัญ ถึงขนาดตั้งฉายาให้ว่า “ทหารผี” ไม่เพียงเท่านั้น พระเครื่องต่างๆ ของท่าน ยังสร้างประสบการณ์ให้ผู้คนร่ำลือมากมาย และเชื่อในความขลังไม่รู้คลาย

    หลวงพ่อโอภาสี เป็นศิษย์เอกรูปหนึ่งของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา จ.นครนายก ซึ่งสำเร็จทางเตโชกสิณ มีนามเดิมว่า “ชวน” เป็นชาว จ.นครศรีธรรมราช บุตรของนายมิตร นางล้วน นามสกุล “มลิวัลย์” อายุได้ 5 ขวบ บิดาและมารดานำไปฝากไว้กับอาจารย์ ณ สำนักวัดใต้ เพื่อที่จะได้เล่าเรียนหนังสือ ก่อนจะนำไปฝากบวชเป็นสามเณร ณ สำนักวัดโพธิ์ โดยมีท่านอาจารย์ที่วัดนี้เป็นพระอุปัชฌาย์ เล่าเรียนพระปริยัติธรรมอยู่เป็นเวลานานพอสมควรจนความรู้แตกฉาน จึงได้ลาบิดาและมารดาเดินทางมาศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ โดยฝากตัวเป็นศิษย์ของ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ศึกษาได้ระยะหนึ่งจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และเล่าเรียนทางด้านพระพุทธศาสนาในวิชาการต่างๆ เป็นเวลานานหลายปี จึงได้เข้าสอบไล่แปลพระปริยัติธรรม สอบได้เปรียญ 3 ประโยค กระทั่งถึงเปรียญ 7 ประโยคตามลำดับ ท่านมหาชวนได้เป็นที่เคารพของประชาชน ทำให้คนรู้จักท่านมากขึ้น เพราะเห็นว่าการปฏิบัติภารกิจประจำวันของท่านเริ่มเปลี่ยนไป เพราะแทนที่จะนั่งหลับตาภาวนาเหมือนกับพระเกจิอาจารย์อื่นๆ แต่ท่านกลับบูชาเพลิงพร้อมกันไปด้วย ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นทรัพย์สินเงินทองมีค่าใดๆ ก็ถูกนำเอาไปโยนเข้ากองไฟเสียหมด ไม่มีการเสียดายด้วยประการใดทั้งสิ้น แม้ท่านจะเผาไปมากเท่าใด ก็มีผู้ศรัทธานำไปถวายให้เผามากยิ่งขึ้น สิ่งของที่ท่านนำไปบูชาเพลิงนั้น หากท่านผู้ใดต้องการจะขอ ท่านก็ยินดีให้ การกระทำของท่าน ประชาชนจึงนำไปวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วกรุง บางคนก็มองในแง่อัศจรรย์ ซึ่งไม่เคยพบเห็น บางคนก็คิดว่าท่านวิกลจริต เพราะได้เห็นท่านมุ่งการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยจะจุดธูปเทียนบูชาพระมีควันตลบอบอวนไปทั่วห้อง ทำให้บางคนคิดว่าไฟกำลังไหม้กุฏิของท่าน แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ จะเห็นท่านนั่งสงบอยู่ที่หน้าบูชาพระในลักษณะของผู้ที่กำลังทำสมาธิ จึงจะเข้าใจว่าท่านเริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยที่ตัวท่านเองไม่มีความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะยึดมั่นความสันโดษเป็นที่ตั้ง และท่านจะฉันอาหารเพียงมื้อเพลมื้อเดียวเท่านั้น สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ที่หน้าโต๊ะบูชาในกุฏิของท่านและบริเวณรอบๆ จะเต็มไปด้วยพระบรมรูปหล่อ และพระบรมรูปฉายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจำนวนมากมาย ทุกวันเมื่อฉันเพลเสร็จท่านจะเข้าห้องเพื่อทำสมาธินานจนกระทั่งถึง 4 โมงเย็น หลังจากนั้นก็จะไปทำวัตรสวดมนต์เย็นในโบสถ์ เสร็จแล้วก็จะกลับเข้าห้องบำเพ็ญภาวนาทำสมาธิต่อไปจนเช้าของอีกวันหนึ่ง เมื่อท่านปฏิบัติเช่นนี้นานเข้า ได้มีผู้ที่เคารพไปหา ท่านมักจะกล่าวเสมอๆ ว่า “มหาชวนนั้นตายไปแล้ว อาตมาไม่ใช่มหาชวน” แต่ถ้าถามถึงอายุ ก็จะได้รับคำตอบว่า “อายุของอาตมานั้นไม่ทราบ แต่เวลานี้ 60 ปีเศษแล้ว” ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็แปลกใจและตีความหมายไม่ออก จึงทำให้มีผู้เชื่อกันไปว่า หลวงพ่อโอกาสีมิใช่ตัวของมหาชวนโดยแท้จริง แต่เป็นวิญญาณของเทพเจ้าหรือผู้วิเศษองค์หนึ่งที่มาอาศัยร่างของมหาชวนอยู่เท่านั้น

    ประมาณปีพ.ศ. 2484 หลวงพ่อโอภาสีได้ออกจากสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร นัยว่าเสด็จพระอุปัชฌาย์ไม่ทรงโปรดการกระทำของท่าน และได้จาริกธุดงค์ไปยังจังหวัดต่างๆ จนพบกับองค์พจนสุนทร พระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในการค้นคว้าเรื่องวิญญาณ และได้รับคำแนะนำให้ไปอยู่ที่ ต.บางมด อ.บางขุนเทียนซึ่งมีศาลเจ้าอยู่ด้วย เมื่อเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวก็เกิดความพอใจและได้ปักกลดลงในที่ของนายเนียม คหบดี ซึ่งเป็นผู้ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาคนหนึ่งในย่านนั้น ในตอนกลางคืน ท่านได้ใช้ความสงบวิเวกในบริเวณสวนนี้ทำกิจของท่านด้วยการนั่งหลับตาพนมมือเข้าสมาธิอยู่ใกล้กับกองไฟที่ท่านสุมไว้อย่างสว่างไสว ต่อมาเจ้าของสวนและชาวบ้านละแวกนั้นได้เรียกชื่อท่านว่า “หลวงพ่อโอภาสี” และได้พร้อมใจกันสร้างกุฏิเล็กๆ ถวายเพื่อป้องกันแดดฝน แต่ท่านก็ไม่ได้สนใจมากนัก และก็ยังคงเคร่งครัดการสุมไฟไว้ตลอดทั้งคืนเช่นเดิม ในเวลาต่อมา การก่อไฟของหลวงพ่อได้กลายมาเป็นการเผาจตุปัจจัยสิ่งของต่างๆ ที่ประชาชนนำมาถวาย เป็นต้นว่า ธนบัตรนับจำนวนหมื่นๆ ผ้าที่ประชาชนนำมาทอดเครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องกระป๋อง หรือแม้แต่เครื่องประดับต่างๆ ก็โยนเข้ากองเพลิงทั้งสิ้น เหล่าชาวบ้านที่รู้จุดประสงค์ของท่านก็ต่างนำน้ำมันก๊าซไปถวายเพื่อใช้ในการเผาปัจจัยต่างๆ นั่นเอง ซึ่งหลวงพ่อเคยกล่าวว่า “โดยปกติ แสงไฟที่เผาผลาญสรรพสิ่งอื่นๆ จนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปนั้นก็จัดเป็นธาตุที่มีความร้อนสูงอยู่แล้ว แต่ทว่าจิตใจของมนุษย์เรายังมีความร้อนยิ่งไปกว่า กล่าวคือ ร้อนด้วยความโลภ โกรธและหลง ไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้น การที่อาตมานำเอาจตุปัจจัยไทยทานทั้งหลายที่มีผู้นำมาถวายมาเผาเสียเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นพุทธบูชาขอให้ช่วยดับความร้อนในกายใจของมนุษย์ให้หมดไป หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ เผากิเลสทั้งหลายให้หมดไปนั่นเอง” หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพไปเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2498 เป็นเวลาเกือบ 60 ปีแล้ว แต่สังขารยังมิได้มีการเผา ยังคงอยู่ในสวนอาศรมบางมด มีพุทธศาสนิกชนผู้เคารพศรัทธาไปกราบไหว้บูชามิได้ขาด ประหนึ่งท่านยังมีชีวิตอยู่

    ข้อมูลจาก เกร็ดประวัติหลวงพ่อโอภาสี โดย แล่ม จันท์พิศาโล
     
  3. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    อันที่จริง ผมก็มีของหลวงพ่อโอภาสีแค่สองอย่าง
    คือ เหรียญครุฑ กับพระกริ่งองค์นี้
    พอดีไปอ่านเจอประวัติการสร้าง พิธีปลุกเสก
    บวกกับมวลสารศักดิ์สิทธิ์ก็เลยอยากได้ครับ
    ผมก็เป็นคนแปลก ไม่สนใจหรอกครับว่าใครจะเล่นไหม
    เป็นคนชอบพุทธคุณครับ ไม่ได้เน้นพาณิชย์อย่างเดียว
    ก็เลยไปหามาจนได้ เช่าแพงกว่าราคาทั่วไปด้วยครับ
    ก็ยังดีที่ติดรางวัลงานใหญ่ขนาดนี้ได้ ไม่ผิดหวังครับ
     
  4. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    พระกริ่งอรหัง ๒๔๙๘ วัดราชบพิธฯ ชนวนทองพันปีหลวงพ่อโอภาสี

    พระกริ่งอรหัง ๒๔๙๘ เป็นพระกริ่งที่วงการพระเครื่อง ส่วนหนึ่ง เช่าหากันในนาม พระกริ่งหลวงพ่อโอภาสี ทั้งนี้เนื่องจากได้รับ ทองชนวน (ทองเก่าพันปี) จากหลวงพ่อโอภาสี มาเป็นส่วนผสมในการหล่อสร้างด้วย พระกริ่งอรหัง เป็นองค์พระพุทธปฏิมากร ที่ได้จำลอง มาจากองค์ พระประธานในพระอุโบสถวัดราชบพิธฯ คือ "พระพุทธอังคีรส" และได้ ประกอบพิธีพุทธาภิเษก ณ วัดราชบพิธฯ โดยมีพระคณาจารย์ ๑๐๘ รูป นั่งปรกปลุกเสก ความเป็นมาของ พระกริ่งอรหัง นี้ อาจารย์ ส.พลายน้อย ได้เขียนไว้ในตอนหนึ่ง ของประวัติ หลวงพ่อโอภาสี...ว่า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในเรื่องกฤตยาคมอยู่มาก โดยเฉพาะท่านมีความเคารพศรัทธาเลื่อมใส หลวงพ่อโอภาสี และเคยได้รับครอบน้ำมนต์สำหรับเก็บใส่น้ำล้างหน้าจากหลวงพ่อโอภาสีไว้ด้วย ในสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มียศ พลเอก ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ท่านได้สร้าง พระกริ่งอรหัง ไว้รุ่นหนึ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ เนื่องจากในปีนั้นท่านมีอายุครบ ๔ รอบ ๘๔ ปี จึงเห็นว่า ควรจะสร้างพระพุทธปฏิมากร องค์พระประธานไว้ในบวรพุทธศาสนาสักองค์หนึ่ง พอดีกับในขณะนั้น ทาง วัดสุวรรณจินดาราม อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี กำลังวางรากโบสถ์ และยังไม่มีองค์พระประธาน พลเอกสฤษดิ์ จึงตกลงใจสร้าง พระประธานถวาย โดยได้ปรึกษากับ พระธรรมปาโมกข์ (สมเด็จพระสังฆราช-วาสน วาสโน) และ พระครูอาทรธรรมานุวัตร วัดราชบพิธฯ ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่พลเอกสฤษดิ์มีความเคารพนับถืออย่างยิ่ง พระพุทธรูปที่สร้างนี้เป็นแบบขัดสมาธิ แบบสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๒ ศอก ประกอบพิธีหล่อที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กทม.

    เมื่อวันที่ ๑๔ พ.ย. ๒๔๙๘ และได้ถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระพุทธสยมภูพรรณพิจิตร พร้อมกันนั้น ท่านก็ได้จัดสร้าง พระกริ่งอรหัง โดยจำลองรูปแบบจากองค์พระประธานในพระอุโบสถ วัดราชบพิธฯ คือ พระพุทธอังคีรส พระกริ่งอรหัง ที่สร้างมีจำนวน ๑๐,๐๐๙ องค์ และพระคะแนน ซึ่งเป็น พระกริ่ง ๒ หน้าเหมือนกัน อีกจำนวน ๑๐๐ องค์ ในการสร้างพระ-เททองผสมโลหะ-หล่อพระในคราวนั้น คณะกรรมการตกลงกันว่า จะว่าจ้างทีมสร้างและหล่อพระของ นายช่างฟุ้ง บ้านช่างหล่อ ไปปั้นหุ้นถอดแบบพระกริ่งและเทผสมโลหะหล่อพระในมณฑลพิธีภายในบริเวณวัดราชบพิธฯ สำหรับแผ่นโลหะ ทองคำ เงิน นาก ทองแดง ทองเหลือง ได้ลงอักขระเลขยันต์ โดยพระคณาจารย์จากทั่วเมืองไทย ประมาณกว่า ๑๐๘ แผ่น เท่าที่มีหลักฐานแน่นอน คือ สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ พระสังฆราช (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหาร, สมเด็จพระวันรัต สังฆนายก (สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ปลด กิตติโสภโณ) วัดเบญจมบพิตร, หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด, พระภาวนาโกศลเถระ (พระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อสด) วัดปากน้ำ, หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง, พระครูวินิตศีลคุณ (หลวงพ่อลา) วัดโพธิ์ศรี จ.สิงห์บุรี เป็นต้น สำหรับ หลวงพ่อโอภาสี ท่านได้บริกรรม ทองชนวน ให้กับพลเอกสฤษดิ์ไว้ผสมกับทองที่จะหล่อพระประธาน และพระกริ่งอรหังครั้งนั้นไว้ด้วย โดยท่านบอกว่าเป็น "ทองเก่าพันปี" พิธีผสมโลหะหล่อพระและพิธีพุทธาภิเษกฯ ได้ประกอบกันที่วัดราชบพิธฯ เมื่อวันที่ ๑๔ พ.ย. ๒๔๙๘ ปีมะแม เวลา ๐๙.๒๕ น. เป็นเวลาปฐมฤกษ์ เป็นการจัดพิธีทั้งหมดให้สำเร็จเสร็จสิ้นในคราวเดียวกัน โดยใช้เวลาตลอดทั้งวันทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า โดยมีพระครูอาทรธรรมานุวัตร เป็นผู้ดำเนินการฝ่ายพระสงฆ์, พลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส, สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ชื่น นพวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นประธานจุดเทียนชัย, สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (อยู่ ญาโนทัย) วัดสระเกศ เป็นประธานเจริญชัยมงคลคาถา และพระคณาจารย์ร่วมบริกรรมคาถา นั่งปรกปลุกเสก ภายในบริเวณพิธี อาทิ
    หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้, หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ, หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก, หลวงปู่ธูป วัดแค นางเลิ้ง, หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อแช่ม วัดนวลนรดิศ, หลวงพ่อไพฑูรย์ วัดโพธิ์นิมิตร, พระครูสมุห์อำพล วัดประสาทบุญญาวาส, ท่านพ่อลี วัดอโศการาม, หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว, หลวงพ่อเสงี่ยม วัดสุทัศนฯ, เจ้าคุณศรีฯ (ประหยัด) วัดสุทัศนฯ, หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม, หลวงพ่อสุด วัดกาหลง, หลวงพ่อมิ่ง วัดกก, เจ้าคุณผล วัดหนัง, หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว ฯลฯ
     
    หลังจากนั้นพลเอกสฤษดิ์ ได้ถวายพระกริ่งอรหัง แด่สมเด็จพระสังฆราช (ชื่น นพวงศ์) วัดบวรฯ จำนวนหนึ่ง ถวายพระครูอาทรฯ จำนวนหนึ่ง เพื่อแจกแก่ผู้ร่วมทำบุญในครั้งนั้น และอีกจำนวนหนึ่งได้ถวายให้วัดสุวรรณจินดาราม อ.ลาดหลุมแก้ว ส่วนที่เหลือพลเอกสฤษดิ์ได้แจกจ่ายแก่บรรดาญาติสนิทมิตรสหาย และเหล่าบรรดาทหารทั้งหลายที่ใกล้ชิด เนื่องในโอกาสทำบุญวันคล้ายวันเกิดอายุ ครบ ๔๘ ปี ของท่าน พระกริ่งอรหัง ในส่วนของพระครูอาทรฯ ท่านได้แจกไปส่วนหนึ่งและเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่งประมาณ ๑๕๐ องค์ ท่านได้มอบให้กับ พระครูวิบูลธรรมธัช วัดราชบพิธฯ เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อให้ศรัทธาสาธุชนได้ร่วมกันทำบุญเช่าบูชา นำปัจจัยถวายวัดราชบพิธฯ ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนเพื่อการศึกษาของเยาวชนในท้องที่ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก

    ขนาดขององค์ พระกริ่งอรหัง กว้าง ๒.๐ ซม. สูง ๓.๕ ซม. เป็นเนื้อโลหะผสม
    พระกริ่งอรหัง นี้ อาจารย์ ส.พลายน้อย ได้เขียนไว้ว่า...สร้างขึ้นด้วยพิธีแบบลงเลขยันต์และพิธีพุทธาภิเษก เพื่อให้ทรงคุณพระทั้งฝ่าย พระเดช และ พระคุณ ในฝ่ายพระเดช ทำหน้าที่กำจัดและป้องกันส่วนเสีย จึงแสดงผลดีในเชิงคงกระพันชาตรี อยู่คงคมศัตราวุธ แคล้วคลาด ปลอดภัย เพราะแสดงอำนาจปราบสิ่งตรงกันข้ามให้สลาย ในฝ่ายพระคุณ ทำหน้าที่รักษาและก่อส่วนดี จึงแสดงผลดีในทางให้เกิด เมตตา มหานิยม ศรีสวัสดี ลาภสักการะ ความสำเร็จ เพราะแสดงอำนาจ ฝ่ายสร้างความดี เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะนำ พระกริ่งอรหัง ติดตัวไปไหน จึงควรทำใจให้เลื่อมใสและเชื่อมั่นจริงๆ ในคุณพระ
    แล้วอาราธนาด้วยพระคาถา "อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวี คงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง"

    พระคาถานี้ หลวงพ่อโอภาสี ได้นำมาจารึกไว้หลังเหรียญกลมที่สร้างครั้งแรก ที่มีรูปสวัสติกะ (๒๔๙๕) นั่นคือข้อความส่วนหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในประวัติของหลวงพ่อโอภาสี อนึ่ง ตามที่เคยมีผู้เข้าใจกันว่า พระกริ่งอรหัง รุ่นนี้ หลวงพ่อโอภาสี ได้ปลุกเสกให้ด้วยนั้น เป็นความเข้าใจผิด ทั้งนี้เนื่องจากวันประกอบพิธีที่วัดราชบพิธฯ คือ วันที่ ๑๔ พ.ย. ๒๔๙๘ ซึ่งทางคณะกรรมการได้นิมนต์ หลวงพ่อโอภาสี ไปร่วมนั่งปรกปลุกเสกด้วย ตามความประสงค์ของ พลเอกสฤษดิ์ โดยตรง แต่พอดี หลวงพ่อโอภาสี ได้มรณภาพเสียก่อน คือ ท่านได้มรณภาพในตอนเช้าของ วันที่ ๓๑ ต.ค. ๒๔๙๘ ก่อนพิธี ๑๖ วันเท่านั้น (ในปัจจุบันสรีระของหลวงพ่อโอภาสียังคงอยู่ที่วัดหลวงพ่อโอภาสี บางมด) อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคารพเลื่อมใสใน หลวงพ่อโอภาสี ต่างก็ให้ความศรัทธาเช่าหา พระกริ่งอรหัง รุ่นนี้กันมาก เพราะถือว่ามีส่วนผสมของ "ทองเก่าพันปี" ที่หลวงพ่อโอภาสี ได้ปลุกเสกไว้แล้วนั่นเอง อีกทั้งยังมีพระคณาจารย์เก่งๆ ในสมัยนั้นลงจารแผ่นทองชนวนและร่วมนั่งปรกปลุกเสกหลายท่านด้วยกัน จึงมีความเชื่อกันว่าเป็นพระกริ่งที่มีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยเลยทีเดียว และถ้าหากจะนับถึงความเก่า "พระกริ่งอรหัง" มีอายุการสร้างมาแล้ว ๕๘ ปี นับว่าเป็นพระกริ่งเก่าพอสมควรอีกรุ่นหนึ่งที่น่าสักการบูชาเป็นอย่างยิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2013
  5. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372

    หลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง

    พ่อโต บางกระทิง สุดยอดพระคงกระพันชาตรีมหาอุด เป็นพระเครื่อง ที่มีองค์พระขนาดค่อนข้างใหญ่ ส่วนมากมักจะเรียกกันว่า พระหลวงพ่อโต และที่รู้จักกันดี ก็คือ พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง ต.หัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระเนื้อดินเผา มีทั้งชนิดเนื้อละเอียดและเนื้อค่อนข้างหยาบ รวมทั้งมีพระเนื้อชินปะปนอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก นอกจากกรุวัดบางกระทิงแล้ว พระหลวงพ่อโตยังพบตามกรุวัดต่างๆ ทั้งใน จ.พระนครศรีอยุธยา และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งบางวัดในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพระที่นำมาฝากกรุในภายหลัง พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง เป็นพระที่มีจำนวนสร้างมาก คาดว่าน่าจะเท่ากับ พระธรรมขันธ์ คือ ๘๔,๐๐๐ องค์ หรือมากกว่านั้น ทำให้พบเห็นโดยทั่วไป ในส่วนพระเนื้อดิน นับเป็นเนื้อดินที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองอยุธยาโดยเฉพาะ ราคาเช่าหาไม่แพงนัก แต่ที่สวยคมชัดมากๆ อาจจะมีราคาที่สูงกว่าพระทั่วๆ ไป พุทธศิลป์ เป็นฝีมือของช่างสมัยอยุธยา อายุกว่า ๔๐๐ ปี ชาวอยุธยารุ่นเก่าๆ เล่าว่า สมัยก่อนบริเวณวัดบางกระทิง มักพบพระหลวงพ่อโตตกหล่นอยู่ตามพื้นดินตามลานวัดโดยทั่วไป คนสมัยก่อนไม่นิยมนำพระเข้าบ้าน เมื่อนำพระมาใช้ติดตัวยามไปไหนมาไหน หรือนำออกสู้รบในสงครามเสร็จแล้ว ก็มักจะนำพระกลับมาเก็บไว้ที่วัดเหมือนเดิม สำหรับการแตกกรุของ พระหลวงพ่อโต นั้น ก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ที่ทางวัดเปิดกรุอย่างเป็นการ คือในปี ๒๔๘๑ ขณะรื้อโบสถ์เก่าเพื่อสร้างใหม่ จึงได้พบพระหลวงพ่อโต บรรจุอยู่ใต้ฐานพระประธาน ทางวัดจึงได้นำพระส่วนหนึ่งออกมาแจกสมนาคุณแก่ชาวบ้าน ที่ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์หลังใหม่ ส่วนพระที่เหลือได้นำบรรจุที่ฐานพระประธานในโบสถ์หลังใหม่ ในการพบกรุพระหลวงพ่อโต ครั้งนั้นได้พบ แม่พิมพ์ ของพระหลวงพ่อโตด้วย ต่อมาได้มีคนร้ายแอบขุดพระหลวงพ่อโต ที่ใต้ฐานพระประธานได้ไปจำนวนหนึ่ง พร้อมกับเอาแม่พิมพ์เก่าไปด้วย ทางวัดจึงได้เปิดกรุพระอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้คนร้ายแอบลักขุดขโมยพระได้อีก การขุดกรุครั้งนี้ ได้พบ พระหลวงพ่อโต อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละส่วนกับที่ขุดได้ในครั้งก่อน ทางวัดได้ให้กรมศิลปากร ตรวจสอบ ปรากฏว่า พระหลวงพ่อโต ในส่วนนี้เป็นการสร้างขึ้นภายหลัง ในสมัยรัตนโกสินทร์ เนื่องจากเนื้อหามวลสารแตกต่างกัน และอายุความเก่าไม่ถึงสมัยอยุธยา ไม่เหมือนกับพระหลวงพ่อโตที่ขุดพบก่อนหน้านี้

    พระหลวงพ่อโต มีสัณฐานเป็นรูปสามเหลี่ยม องค์พระประทับนั่งขัดสมาธิราบ บนฐานบัวคว่ำบัวหงาย มีทั้งปางสมาธิ และ ปางมารวิชัย องค์พระคมชัดนูนเด่น พระพักตร์ใหญ่ และมักปรากฏรายละเอียดต่างๆ บนพระพักตร์อย่างครบถ้วน รวมทั้งเส้นสังฆาฏิ ด้านหลังองค์พระ ส่วนใหญ่มีรอยปาด ที่เรียกกันว่า "รอยกาบหมาก" พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง มีของปลอมมานานแล้ว ทั้งที่ถอดพิมพ์ หรือสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาใหม่ รวมทั้งส่วนหนึ่งที่คนร้ายได้ขโมยแม่พิมพ์เก่าไป ได้เอาไปกดพิมพ์พระกันใหม่ ก็เป็นอีกฝีมือหนึ่งที่คนร้ายได้ทำ พระปลอม วางขายกันมาโดยตลอด การพิจารณาจากพิมพ์ทรงองค์พระ จึงอาจจะมีปัญหา เพราะ พระปลอม ส่วนหนึ่งมักจะมีจุดตำหนิเหมือนกับ พระแท้ มาก สิ่งที่ต้องยึดเป็นหลักในการพิจารณา คือ เนื้อพระ ที่ไม่สามารถทำได้เหมือน โดยเฉพาะ ความเก่า ที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ ซึ่งย่อมแตกต่างกับ ความเก่าที่แปลกปลอม อันเกิดมาจากการเร่งทำปฏิกิริยาด้วยน้ำยาทางเคมี หรือการเผาไปที่เป็นไปอย่างเร่งรีบ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาท หรือถามผู้รู้ไว้ก่อน ก็ย่อมจะปลอดภัยจาก พระปลอม ได้ในระดับหนึ่ง

    พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง เป็นพระที่ชายชาตรีสมัยก่อน หรือนักเลงโบราณ นิยมกันแขวนโชว์นอกเสื้อมานานแล้ว ด้วยความเชื่อมั่นในพุทธคุณ ที่เลื่องลือกันมานานแล้วว่า เป็นพระคงกระพันชาตรี มหาอุด ปืนผาหน้าไม้ทำอะไรไม่ได้เลย ขณะเดียวกัน คนสมัยใหม่ต่างยืนยันว่า ทางด้านเมตตามหานิยมก็เป็นเลิศ ที่สำคัญ คือ พระหลวงพ่อโต ที่เป็นของเก่า สร้างในสมัยอยุธยา เป็นพระเนื้อดินเผาที่ยึดเป็น เนื้อครู สำหรับการศึกษาพระเนื้อดินสมัยอยุธยาได้เป็นอย่างดี องค์นี้เป็นพิมพ์สมาธินิยมสุดหน้าตามาครบ องค์พระล่ำใหญ่ดูง่ายๆไม่มีศัลยกรรม
     
  6. สีจำปา

    สีจำปา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +343
    ขอบคุณครับสำหรับประวัติ พระกริ่งอรหัง :cool: :cool:

    พระดี ประวัติการสร้างดี พิธีดี น่าสะสมครับ ไม่ได้เชียร์ แต่สะสมไว้บูชาจริงๆไม่หวังกำไรอนาคต

    บ่อยครั้งงงกับการเก็บพระสมัยนี้ พระใหม่แพงเหลือหลาย เก็งกำไรกันเกินพอดี กลัวจะเป็นอย่างจตุคาม
     
  7. สีจำปา

    สีจำปา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +343
    ผมก็เก็บเหรียญครุฑ เหมือนกัน เช่ามาแพงกว่าตลาดอีก เพราะสวยมากดำสนิทเลยครับ

    และเหรียญไม่มีราวบันได สภาพใช้

    และมีอีกอย่างผมหามาเป็นปีๆ ไม่เจอเลย อยากได้มาก คือลูกอมของท่าน เพราะชอบงาน handmade สุดท้ายไปเจออยู่ที่พ่อผม ท่านใส่ที่คออยู่ครับ พ่อผมนับถือมากเพราะเพื่อนเป็นหลานหลวงพ่อโอภาสี มีปาฎิหาริย์ที่พ่อรู้มา จึงศรัทธามาก
     
  8. ryan boy

    ryan boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    452
    ค่าพลัง:
    +22,021
    แสดงความยินดีกับพี่Amuletism ด้วยครับ พระสวยและงามมากทั้งสามองค์เลยครับ ^__^

    (good)(good)(good)(good)(good)(good)(good)(good)(good)(good)
     
  9. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    ขอบคุณมากครับ พี่สีจำปาสำหรับคำแนะนำดีๆ
    สำหรับเรื่องข้อมูลพระเกจิและพระเครื่องนั้น 
    ต้องเรียนย้ำว่าเป็นเจตนารมณ์ในการตั้งกระทู้นี้เลยครับ
    เจตนาคือเพื่อแบ่งปันข้อมูลดีๆ ให้เพื่อนๆ ที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน
    ทั้งประวัติพระเกจิ ข้อมูลวัตถุมงคล ทั้งข้อมูลการสร้าง
    มวลสาร การปลุกเสก รวมไปถึงวิธีการพิจารณาเบื้องต้น
    ด้วยเหตุผลที่ว่า ตนเองเคยรู้สึกกลัววงการนี้มากครับ
    เคยได้ยินเรื่องพระปลอม การหลอกลวงของเซียนพระ
    ก่อนเริ่มสะสมพระก็เลยเริ่มศึกษาตำราอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
    ผมเริ่มรับนิตยสารพระเครื่องหลักๆ 3 เล่ม 
    และซื้อฉบับย้ำหลังมาอ่านทั้งหมด ก่อนจะตัดสินใจ
    เริ่มจากว่าเราชอบพระอะไร และพอตัดสินใจจะเช่าก็ไปซื้อปกแข็งมาอ่านต่อ
    ปรึกษาเพื่อน ผู้ใหญ่นักสะสมว่่าใครเชี่ยวชาญพระนี้
    ก็หาโอกาสไปดู ไปพูดคุย หาข้อมูลในสนามมากๆ ค่อยตัดสินใจ
    นานๆ ครั้ง ก็ได้ข้อมูลเชิงลึกบ้าง เพราะรู้จักคนมากขึ้น

    ถ้าจะพูดเรื่องการสะสมพระเครื่องแล้ว 
    วัตถุประสงค์มีหลายอย่างครับ ท่านที่สะสมเพื่อพุทธคุณ
    อาจจะไม่ต้องเช่าหาพระเครื่องตามกระแสนิยมก็ได้
    แต่หากมุ่งหวังจะปล่อยให้เช่าในอนาคต คงต้องดูกระแสตามสมควร
    เพราะที่จริงแล้ว หากต้องการเช่าไว้ใช้เอง มุ่งพุทธคุณเป็นหลัก
    ก็ยังมีพระดี มวลสารยอด ปลุกเสกโดยสุดยอดคณาจารย์
    อีกจำนวนมาก ที่ราคาไม่แพง เพราะขาดการตลาด ไม่มีลูกศิษย์เป็นเซียน
    ทำให้ถูกมองข้ามไป หรือกลายเป็นรู้กันในวงจำกัดเท่านั้น
    พระแบบนี้ หากผมเจอสภาพสวย ราคาไม่สูงก็จะเช่าไว้ใช้
    หรือแบ่งปันญาตพี่น้องครับ ถ้ามีข้อมูลก็จะนำมาแบ่งปัน
    พวกกลุ่มนี้ ผมจะไม่เน้นอนาคตเรื่องปล่อยให้เช่าบูชาต่อ
    เพราะราคาที่เช่ามา เทียบพุทธคุณที่ได้ก็เกินคุ้มแล้วครับ


    ลองมีเปรียบเทียบแนวการเช่าบูชาพระเครื่องกันนะครับ
    อันนี้ไม่มีเจตนาลบหลู่ หรือเปรียบเทียบวิชาของเกจิท่านต่างๆ
    เพียงแต่วิเคราะห์แนวทางการเช่าตามความพร้อมและคงไว้ซึ่งพุทธคุณ
    พระขุนแผนพรายกุมาร ลป ทิม พิมพ์เล็กบล็อคนิยม ราคาสี่ถึงห้าแสน
    สภาพสวย พุทธคุณสุดบรรยาย อนาคตไกล ถ้ามีกำลังเช่าได้เลยครับ
    ถ้ากำลังไม่พอ หลายท่านก็เปลี่ยนมามองของ ลพ สาคร ลูกศิษย์
    ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ เชื่อว่ารุ่นต้นๆ จะมีผงพรายของ ลป ทิม ผสมอยู่
    ราคาตอนนี้สภาพสวยๆ อยู่ประมาณสองถึงสามหมื่น

    แต่คนจำนวนมากก็มองข้ามพระเกจิ หรือไม่เคยศึกษาว่ามี
    พระเกจิสายนครปฐมท่านนึง ที่สร้างผงพรายกุมารได้เข้มขลัง
    ไม่แพ้ ลป ทิม คือ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม ท่านเป็นเกจิยุคเก่า
    ผู้สร้างกุมารทองที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย
    ท่านได้สร้างพระขุนแผน รุ่นอินโดจีน ผสมผงพรายกุมารไว้
    เมื่อ พ.ศ. 2500 เป็นพระดี ปีลึกมาก เก่ากว่าของ ลป ทิม
    ราคาเช่าหาปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณสามหมื่นกว่าเท่านั้น
    รุ่น 2 สร้าง พ.ศ. 2503 เป็นเนื้อดินเผา พิธีใหญ่มาก
    มวลสารก็มีส่วนผสมดินทวารวดี ว่านต่าง และผงพรายกุมารอยู่
    ราคาเช่าหาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณห้าพันถึงหนึ่งหมื่นบาทเท่านั้น
    จะเห็นได้ว่าถ้ามุ่งพุทธคุณของพระเครื่องที่มีพรายกุมารช่วยอยู่
    ก็ยังมีทางเลือกอยู่ไม่น้อย ผมเองมีของหลวงปู่ทิมแล้ว
    ก็ยังเช่าขุนแผนรุ่นสองของหลวงพ่อเต๋มาไว้ใช้เลยครับ

    พระอื่นๆ อย่าง 25 พุทธศตวรรษ เหรียญปล้องอ้อยของหลวงปู่เพิ่ม
    อยากให้ท่านที่สนใจลองศึกษาประวัติดู ทั้งมวลสาร พิธีปลุกเสก
    แล้วจะงงว่าพระระดับนี้ ราคาเป็นอย่างนี้ได้ไง นี่แหละเหมาะจะเก็บไว้ใช้
    ให้ลูกหลานพกติดตัวครับ แต่ระวังเก๊หน่อย เพราะพระที่ไม่แพงมาก
    หลายคนจะไม่ค่อยระวัง พวกใจบาปทำเก๊ไว้เยอะเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤษภาคม 2013
  10. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    เหรียญพิมพ์ครุฑแบกเสมา พ.ศ. 2498
    หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด


    [​IMG]

    [​IMG]

    ก่อนหน้าท่านมรณภาพในต้นปี2498 นั้น
    คณะศิษย์ได้ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคล
    ซึ่งหลวงพ่ออนุญาต แต่ได้สั่งว่า “ เหรียญนี้จะไม่มีรูปโอภาสี
    เพราะในโลกนี้จะไม่มีโอภาสีอีกต่อไป
    ครุฑ คือ อำนาจเสมากับอุณาโลม และรัศมีคือตัวโอภาสีต่อไป
    จึงเป็นเหรียญรุ่นแรก และ รุ่นเดียวที่ไม่มีรูปหลวงพ่อโอภาสี
    เป็นเหรียญรุ่นสุดท้ายที่หลวงพ่อท่านปลุกเสกครับ..

    พุทธคุณเป็นที่รู้จักกันทั่วโดยเฉพาะมีองค์ครุฑ
    เป็นสัตย์เทพที่ทรงอานุภาพป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้
    และมีความโดดเด่นเรื่องมหาอำนาจอย่างดีเยี่ยมเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤษภาคม 2013
  11. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    ว่างๆ พี่สีจำปาช่วยถ่ายภาพเหรียญครุฑ
    มาให้ชมและศึกษาหน่อยครับ ขอบคุณมาก
     
  12. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    'หลวงพ่อโอภาสี'อาศรมบางมด
    พระอภิญญาผู้สำเร็จ'เตโชกสิณ'

                  สมัยเมื่อประมาณปี ๒๔๘๕ ย่านบางมด ฝั่งธนบุรี พื้นที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยสวนส้มอันขึ้นชื่อ ที่เรียกกันว่า "ส้มบางมด" ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งเดินธุดงค์มาปักกลด ด้วยปฏิปทาอันน่าศรัทธาเลื่อมใสชาวบ้านจึงพากันไปกราบไหว้เป็นประจำ จนเศรษฐีเจ้าของที่ดินได้ยกที่ดินให้สร้างเป็น อาศรมบางมด และได้นิมนต์ให้ท่านอยู่เป็นการถาวร
     
                  นี่คือจุดเริ่มต้นของที่มาแห่งพระเกจิอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่งของเมืองไทย คือ หลวงพ่อโอภาสี พระภิกษุผู้มีอิทธิปาฏิหาริย์เป็นที่กล่าวขวัญอย่างกว้างขวาง รวมทั้งวัตถุมงคลหลากหลายรูปแบบของท่านที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังทางด้านพุทธคุณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอยู่ยงคงกระพันชาตรี หรือเมตตามหานิยม และที่ยอมรับกันเป็นอย่างมาก คือ การค้าขายให้เจริญรุ่งเรือง จนเรียกได้ว่าท่านเป็นพระอาจารย์รูปหนึ่งที่มีชาวไทยเชื้อสายจีน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่ประกอบกิจการค้าขาย นับถือท่านเป็นที่สุด เพราะเชื่อกันว่า ได้กราบไหว้ขอพรจากท่านแล้ว จะประสบความสำเร็จสมหวังเสมอ โดยเฉพาะเรื่องของธุรกิจการค้า จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นตลอดเวลา
         
                  ประวัติหลวงพ่อโอภาสี ท่านมีนามเดิมว่า “ชวน มะลิพันธุ์” เป็นชาวจ.นครศรีธรรมราช เกิดที่ อ.ปากพนัง เมื่อปี ๒๔๔๑ เมื่อโตขึ้นได้เล่าเรียนเขียนอ่านและได้บวชเป็นสามเณรที่วัดโพธิ์ ในเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมที่ ๖ ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ญาติได้นำไปฝากไว้กับ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ได้บวชเป็นพระภิกษุ โดยมี สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์
     
                  หลังจากบวชแล้ว หลวงพ่อได้ศึกษาเพิ่มเติมต่อที่วัดบวรฯ จนสอบได้เปรียญ ๕ ประโยค หลังจากนั้นท่านได้หันไปสนใจด้านวิชาอาคม และได้เดินธุดงค์ไปเรียนวิชาอาคมต่างๆ จากหลายพระอาจารย์  เป็นเวลานานเกือบ ๒๐ ปี โดยพระอาจารย์ที่ท่านได้ร่ำเรียนวิชานานที่สุด คือ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา จ.นครนายก ทำให้ท่านดำเนินรอยตามวิชาของอาจารย์ท่าน คือ บูชาเพลิงเป็นการศึกษาเรื่องเพ่งกสินไฟ เพื่อให้จิตใจสงบนิ่ง และหลุดพ้นจากกิเลสต่างๆ ด้วยการนำสิ่งของทุกอย่างที่ได้รับมาโยนเข้ากองไฟหมด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีมูลค่ามากมายเพียงใดก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นในวิชาที่เรียน ทำให้ท่านมีจิตใจที่กล้าแกร่ง วิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาจึงเข้มขลัง
     
                  จากการที่ท่านได้กลับมาอยู่วัดบวรฯ อีกครั้งหนึ่ง และได้ทำพิธีบูชาเพลิง ทำให้ไม่สะดวกในการประกอบพิธี เพราะเริ่มมีลูกศิษย์ที่นับถือต่างเดินทางมาหาท่านที่วัดมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนได้พบเห็นปาฏิหาริย์ต่างๆ ที่หลวงพ่อได้ช่วยเหลือในหลายๆ เรื่อง ท่านเห็นว่าเป็นการไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในวัดหลวงแห่งนี้ต่อไป จึงได้เดินทางธุดงค์ไปอยู่ที่ย่านบางมด ก็ยังลูกศิษย์ติดตามไปทำบุญกับท่านมากมายเหมือนเดิม
     
                  ขณะเดียวกัน ชาวบ้านในพื้นที่ก็ให้ความเคารพนับถือหลวงพ่อมาก จึงได้สร้างสำนักสงฆ์อาศรมบางมด ขึ้นถวายท่านให้อยู่อย่างถาวรสืบไป ทำให้สำนักสงฆ์แห่งนี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ จนถึงทุกวันนี้ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น วัดหลวงพ่อโอภาสี ด้วยมีผู้นับถือเดินทางมาหาขอให้ท่านช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ซึ่งหลวงพ่อได้เมตตาสงเคราะห์ให้ตามที่เห็นสมควร ผู้คนที่มาขอให้หลวงพ่อช่วยเป็นที่พึ่ง มีทั้งชาวบ้านชาวสวน รวมถึงคหบดี เจ้าสัวจากย่านเยาวราช สำเพ็ง บางลำพู ฯลฯ แม้แต่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ เช่น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ได้ไปกราบไหว้ท่าน พร้อมทั้งร่วมทำบุญสร้างวัดกับท่านเป็นประจำ
     
                  สำหรับเรื่องการบูชาเพลิงนั้น นับเป็นเรื่องที่สร้างความสงสัย และเป็นปาฏิหาริย์ที่มีผู้ประสบกับตัวเองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะถวายสิ่งของมีค่าใดๆ ให้ท่าน หลังจากนั้นไม่นานการงานการค้าจะเจริญด้วยดี เงินทองจะเพิ่มพูนขึ้นจนน่าแปลกใจ แต่ถ้าผู้ใดเกิดเสียดายของ เวลาที่เห็นท่านโยนเข้ากองไฟ เมื่อกลับมาถึงบ้าน จะเห็นสิ่งของหรือเงินที่ถวายแล้วท่านเผาไฟกลับมาอยู่ภายในบ้านได้เองอย่างมหัศจรรย์ เรื่องนี้เป็นที่ร่ำลือต่อๆ กันมา ในแต่ละวันจะมีผู้คนจำนวนมาก ไปกราบไหว้และร่วมทำบุญกับหลวงพ่อตลอดเวลา
     
                  ความมหัศจรรย์ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อโอภาสี ที่มีผู้พูดถึงกันเสมอๆ คือ การเดินทางไปปรากฏตัวในที่ต่างๆ ของหลวงพ่อ ในวันเวลาเดียวกัน มีผู้พบเห็นท่านในหลายจังหวัดพร้อมๆ กัน ทั้งๆ ที่สมัยก่อนการเดินทางไปแต่ละจังหวัดต้องใช้เวลานาน บางแห่งใช้เวลาเป็นวันก็มี เรื่องราวปาฏิหาริย์เช่นนี้มีผู้กล่าวถึงเป็นประจำ
     
                  หลวงพ่อโอภาสี มรณภาพเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ ปัจจุบันวัดหลวงพ่อโอภาสียังมีประชาชนมากราบไหว้สรีระของท่านอยู่เสมอๆ เพื่อขอพรให้หลวงพ่อช่วยเหลือในเรื่องการค้าการขาย ซึ่งมักจะประสบความสำเร็จสมหวังเสมอ นับได้ว่าแม้ท่านจะมรณภาพไปแล้ว ก็ยังเป็นที่พึ่งของลูกศิษย์ตลอดเวลา
     
                  ด้านวัตถุมงคล หลวงพ่อโอภาสี ได้สร้างแจกตั้งแต่สมัยที่มาอยู่ย่านบางมดใหม่ๆ เพราะเป็นช่วงที่ประเทศไทยเข้าร่วมรบในสงครามพอดี ในยุคแรกท่านจะทำผ้ายันต์ ผ้าประเจียด เหรียญสตางค์รู แจกให้ลูกศิษย์ มีผู้นำไปใช้แล้วเกิดประสบการณ์ต่างๆ เช่น คงกระพัน ถูกยิงถูกฟันไม่เข้า แคล้วคลาดจากภยันตรายต่างๆ จนมีผู้คนมาขอของท่านมากขึ้น ท่านจึงได้สร้าง พระปิดตาเนื้อตะกั่ว และ พระพิมพ์เนื้อผงผสมดิน ซึ่งล้วนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
      
                  สำหรับวัตถุมงคลประเภทเหรียญที่หลวงพ่อปลุกเสก และเป็นที่แสวงหากันมาก จนมีราคาเช่าหาสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ
     
                  ๑.เหรียญรุ่นแรก สร้างเป็นที่ระลึกเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ เป็นเหรียญรูปทรงกลม ด้านหน้ารูปหลวงพ่อครึ่งองค์ ด้านหลังเป็นยันต์สวัสดิกะ อันเป็นยันต์ประจำตัวของท่าน รอบๆ ขอบด้านหลัง มีคาถาที่หลวงพ่อมักให้ศิษย์ท่องจำเอาไว้เสมอ เพราะมีพุทธคุณดีในหลายๆ ด้าน คือ คาถา “อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง” นับเป็นคาถาที่ศิษย์หลวงพ่อโอภาสีทุกคนท่องจำจนขึ้นใจ เหรียญรุ่นนี้มีจำนวนการสร้างไม่แน่ชัด สร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงอย่างเดียว  ด้านหน้ามีแม่พิมพ์เดียว ด้านหลังมี ๓ แม่พิมพ์ เหมือนๆ กัน ต่างกันที่ขนาดยันต์ตรงกลาง และตัวหนังสือเท่านั้น
     
                  ๒.เหรียญรุ่น ๒ สร้าง พ.ศ.๒๔๙๖ เป็นเหรียญที่สร้างจำนวนน้อย และมักพบในย่านบางมดเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชาวสวนรุ่นเก่า นิยมใส่เหรียญนี้กันมาก โดยกล่าวตรงกันว่า ดีทางป้องกันเขี้ยวจากงูพิษ มีผู้ถูกงูพิษกัดแต่ไม่เข้า เรื่องนี้เล่าลือกันมาก เท่าที่เคยพบ เหรียญรุ่นนี้มีเนื้อทองแดง และเนื้อเงิน (มีน้อยมาก) ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อครึ่งองค์ ด้านหลังเป็นยันต์ มีพญานาคคู่ และตัว “อ” รัศมี ย่อมาจากชื่อของหลวงพ่อ
     
                  ๓.เหรียญรุ่น ๓ สร้าง พ.ศ.๒๔๙๗ มี ๒ รูปแบบ ที่รู้จักและพบกันบ่อยๆ เป็นเหรียญด้านหน้าหลวงพ่อหันข้าง ด้านหลังเป็นรูปศาลา ตรงกลางเป็นพญาครุฑ ด้านล่างบอกปี พ.ศ.ที่สร้าง มีทั้งแบบด้านหลังที่เรียกว่า พิมพ์มีราวบันได และ พิมพ์ไม่มีราวบันได (ดูที่เส้นตั้งตรงที่ลูกรงบันไดทางเดินขึ้นศาลา) เหรียญรุ่นนี้หลวงพ่อนำไปแจกที่บ้านเกิดของท่านด้วย คือ จ.นครศรีธรรมราช จำนวนมาก พบเห็นเฉพาะเนื้อทองแดง เพียงอย่างเดียว มีทั้งแบบรมดำและไม่รมดำ
     
                  ๔.เหรียญรุ่นสุดท้าย เป็นเหรียญรูปพญาครุฑแบกเสมา สร้าง พ.ศ.๒๔๙๘ เหรียญรุ่นนี้สร้างจำนวนมาก ชาวบ้านในพื้นที่บางมดนิยมกันมาก เพราะหลวงพ่อได้กำชับให้เอาไว้ติดตัว พร้อมกับบอกเป็นนัยๆ ว่าเป็นรุ่นสุดท้ายของท่าน หลังจากนั้นไม่นานหลวงพ่อก็มรณภาพ เหรียญรุ่นนี้พบเห็นเฉพาะเนื้อทองแดงรมดำและไม่ได้รมดำ นอกจากนี้ยังมีเนื้อเงิน แต่มีจำนวนสร้างน้อยหายากมาก
     
                  ตลอดเวลาที่ท่านพำนักอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ลูกศิษย์จะเห็นว่า หลวงพ่อนับถือเลื่อมใสองค์พญาครุฑ และล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ เป็นอย่างยิ่ง
     
                  เหรียญหลวพ่อโอภาสี ทุกรุ่น นับเป็นวัตถุมงคลที่มีพุทธคุณสูง น่าบูชาติดตัวเป็นอย่างยิ่ง เช่นเหรียญรุ่นแรก จัดเป็นเหรียญยอดนิยมอันดับต้นๆ ของวงการพระ มีราคาสูง เหรียญของท่านบูชาแล้วจะประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต ชาวไทยเชื้อสายจีนนิยมกันมาก ร่ำลือว่าดียิ่งนักในเรื่องค้าขายรุ่งเรือง รวมถึงเรื่องแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี มีเรื่องราวให้ได้ยินมาเนิ่นนาน นับเป็นเหรียญพระเครื่องชั้นยอดที่น่าศรัทธาเชื่อถือ บูชาติดตัวได้อย่างมั่นใจในอานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์

    อ้างอิง : ศาลมรดกไทย (นสพ คมชัดลึก)
     
  13. hemicuda

    hemicuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,357
    ค่าพลัง:
    +2,246
    สวยมากเลยครับ ผมอาราธณาคาถาท่านเวลาเดินหรือไปพักที่แปลกๆเสมอครับ เขาว่ากันว่าจะเป็นที่รักของเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา เดินทางปลอดภัย
     
  14. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    ขอบคุณมากครับ พี่ hemicuda
    สำหรับทั้งคำชมและคำแนะนำดีๆ
    เกี่ยวกับคาถาของหลวงพ่อโอภาสีครับ
     
  15. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    พระขุนแผน รุ่น 2 พิมพ์กุมารทอง
    เนื้อดินผสมพรายกุมาร พ.ศ. 2503
    หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม นครปฐม


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    พระขุนแผนกุมารนอน ปี2503 เนื้อดินผสมมวลสารต่างๆ
    เช่น ดินโป่ง 7 ดิน 7 ป่าช้า ดินท่าน้ำ 7 ท่า
    ไคลเสมา 7 วัด และที่สำคัญเถ้าอังคาร 7 ตน
    พระขุนแผนรุ่น 2 นี้ยังมีส่วนผสมเหมือนกับรุ่นแรก
    แต่พวกเถ้าอังคารเริ่มทีีจะน้อยลง
    พุทธคุณด้านเมตตาโชคลาภต่างๆ เชื่อถือได้มาก
    เหมือนกับกุมารทองของหลวงพ่อเต๋
     
  16. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    ประวัติหลวงพ่อเต๋ และ พระเครื่องหลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม
    "หลวงพ่อเต๋ คังคสุวัณโณ" วัดอรัญญิการาม (วัดสามง่าม) อ.ดอนตูม จ.นครปฐม หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า "หลวงพ่อเต๋ คงทอง" เป็นพระเถระที่มีชื่อเสียงโด่งดังและมีความเชี่ยวชาญพุทธาคม ทั้งด้านเมตตามหานิยมและอยู่ยงคงกระพันชาตรี 

    หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่ามสร้างพระเครื่อง-วัตถุมงคลไว้หลายชนิดด้วยกัน ตั้งแต่ครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พระเครื่องหลวงพ่อเต๋ มีทั้งแบบพระเนื้อดิน เนื้อผง เนื้อว่าน ที่นิยมมากคือ"ขุนแผน หลวงพ่อเต๋" เหรียญหลวงพ่อเต๋ รุ่นแรก เหรียญรูปเหมือน พระกริ่ง รูปหล่อ เหรียญหล่อ และ เครื่องรางของขลังหลวงพ่อเต๋ ตะกรุดหลวงพ่อเต๋ ที่โด่งดังได้แก่ ตะกรุดหนังเสือ ตะกรุดสามห่วง สีผึ้ง เป็นต้น

    แต่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ หลวงพ่อเต๋ คือ กุมารทอง "กุมารทองหลวงพ่อเต๋" จัดสร้างตามตำราที่ได้รับมาจากหลวงลุงแดง ประกอบด้วย ดินโป่ง 7 โป่ง ดิน 7 ป่าช้า ดินขุยปู เป็นต้น ปั้น กุมารทอง วัดสามง่ามแจกชาวบ้าน นำไปไว้เป็นเครื่องรางคุ้มครอง กุมารทองหลวงพ่อเต๋ นับเป็น กุมารทอง ที่มีราคาแพงที่สุดในประเทศไทย เนื่องจาก กุมารทองหลวงพ่อเต๋ มีประสบการณ์สูงบอกเล่นกันปากต่อปาก ถึงประสบการณ์

    เหรียญหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จ.นครปฐม
    [​IMG]

    พระเครื่องหลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม
         พระเครื่องหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่ามและวัตถุมงคลของหลวงพ่อเต๋ท่านไม่ได้เน้นเรื่องความสวยงาม แต่เน้นเรื่องพุทธคุณเป็นสำคัญ ด้วยท่านตั้งใจสร้างให้บูชาติดตัว เพื่อป้องกันภัยต่างๆ มีพุทธคุณรอบด้าน ทั้งด้านมหาอำนาจ เมตตามหานิยม แคล้วคลาด เนื้อพระส่วนมากเป็นแบบเนื้อดินผสมผงปนว่าน ผสมลงไปในพระทุกพิมพ์ ด้านหลังองค์พระจะประทับชื่อ หลวงพ่อเต๋ กดลึกลงไปในเนื้อพระ

    สำหรับเหรียญหลวงพ่อเต๋ รุ่นแรก สร้างเมื่อปีพ.ศ.2486 โดยคณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกับวัดวัดอรัญญิการาม (วัดสามง่าม) อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ขออนุญาตจัดสร้างขึ้น

    ด้านหน้าเหรียญ เป็นรูปหลวงพ่อเต๋ ห่มจีวรเฉียงบ่า ปลายสังฆาฏิแตก เป็นเหรียญปั๊มตัดโบราณ ด้านบนมีหูเหรียญ ด้านหลังมีอักขระโบราณอักษรลึกคมชัด ด้านหลังเหรียญ เป็นพระพุทธรูปปางลีลา มีเส้นแซมตรงส้นเท้าใกล้ฐานดอกบัว มีอักขระโบราณ 5 คำ ล้อมรอบองค์พระ

    เหรียญหลวงพ่อเต๋ รุ่นแรก เท่าที่พบมีเนื้อทองแดง เนื้อเงิน ปัจจุบันเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมมาก และมีของปลอมเลียนแบบค่อนข้างใกล้เคียงและยังมีการสร้างเสริมขึ้นมาภายหลัง คือ รุ่น 2 ซึ่งรุ่น 2 นี้ด้านหลังเหรียญไม่มีเส้นขนานแขน และเหรียญหลวงพ่อเต๋จะหนากว่าเหรียญหลวงพ่อเต๋ รุ่นแรก

    พระขุนแผน หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม รุ่นแรก

    [​IMG]

    พระขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงพ่อเต๋ ขุนแผนนี้เรียกอีกชื่อว่าขุนแผนรุ่นอินโดจีน ขุนแผนหลวงพ่อเต๋ สร้างราวปีพ.ศ.2500 หรือกว่าเล็กน้อย ที่นิยมจะเป็นสีเนื้อพิกุลครับ ที่เห็นขาวๆ เขาว่ากันว่าคือกระดูกผีตายโหง ส่วนดินที่นำมาทำก็เป็นดินเจ็ดป่าช้า ซึ่งตำหรับนี้เป็นต้นตำหรับของพรายกุมารของจริง ขุนแผนหลวงพ่อเต๋ ดีมากทางเมตตามหานิยม แม้แต่ศิษย์เอกท่าน หลวงพ่อแย้มซึ่งยังมีชีวิตอยู่ยังพูดว่า พระขุนแผนหลวงพ่อเต๋ ดีทางผู้หญิง แต่ก็ลองยิงดูได้

    นอกจากนี้ ในปีพ.ศ.2503 ท่านยังได้จัดสร้างพระเครื่องเนื้อดินพิธีใหญ่อีกครั้ง เพื่อฉลองอายุครบ 5 รอบ เนื้อดินที่ใช้ ได้นำดินทวารวดีที่ชำรุดหัก ผงว่านและผสมผงพรายลงไปด้วย สังเกตเนื้อองค์พระเมื่อเผาแล้ว เนื้อดินจะนุ่มเมื่อถูกเหงื่อถูกสัมผัส ปรากฏมวลสารและว่านแลดูเก่ามาก พิมพ์ที่จัดสร้าง ประกอบด้วย พระรูปเหมือนซุ้มเรือนแก้ว พระปรกโพธิ์ใหญ่ พระปรกโพธิ์เล็ก พระตรีกาย (พระสาม) พระทุ่งเศรษฐี เป็นต้น

    พระเครื่องเนื้อดินดังกล่าว ด้านหลังจะมียันต์อักขระนูน เรียกว่า ยันต์สามง่าม เนื่องจากด้านหลังมีรูปตรี เป็นสัญลักษณ์ของวัดสามง่าม ส่วนพิมพ์พระทุ่งเศรษฐี ด้านหลังมียันต์และชื่อฉายา คงทอง กดประทับลึกลงไปในเนื้อทั้งนี้ วัตถุมงคลหลวงพ่อเต๋ แต่ละชิ้นล้วนแล้วแต่มีอภินิหารเป็นที่ประจักษ์และเล่าขานสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้

    ประวัติหลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม

    [​IMG]

         สำหรับ ประวัติหลวงพ่อเต๋ เกิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ตรงกับวันที่ 15 มิถุนายน 2434 ณ บ้านสามง่าม หมู่ที่ 4 อ.ดอนตูม จ.นครปฐม เมื่อท่านอายุ 15 ปี หลวงพ่อเต๋ได้บรรพชาเป็นสามเณร ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่กับหลวงลุงแดง ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆ ได้ศึกษาเล่าเรียนวิทยาอาคมด้านเมตตามหานิยมและอยู่ยงคงกระพันชาตรี ด้วยความที่มีศักดิ์เป็นหลานของท่าน จึงได้รับถ่ายทอดวิชามาอย่างครบถ้วนโดยไม่มีการปิดบังอำพราง

    ครั้นมีอายุครบ 21 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมี พระครูอุตตรการบดี หรือหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก เป็นพระอุปัชฌาย์, พระสมุห์เทศ วัดทุ่งผักกูด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการจอม วัดลำเหย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า คงทอง แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็น คังคสุวัณโณ แต่ชาวบ้านยังคงเรียกติดปากว่า คงทอง

    หลวงพ่อเต๋ ยังได้ศึกษาวิทยาคมกับหลวงพ่อทา ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ ด้วยในยุคนั้น หลวงพ่อทา มีชื่อเสียงโด่งดังมากในฐานะพระเกจิอาจารย์ที่มีพุทธาคมเข้มขลัง กุมารทอง หลวงพ่อแย้ม วัดสามง่าม

    หลวงพ่อเต๋ มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2524
    สิริอายุ 90 ปี พรรษา 69

    อ้างอิง... ฉบับที่ 6716 ข่าวสดรายวัน
     
  17. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    พระขุนแผน รุ่น 2 พิมพ์กุมารทอง
    เนื้อดินผสมพรายกุมาร พ.ศ. 2503
    หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม นครปฐม องค์ที่ 2


    [​IMG]

    [​IMG]
     
  18. สีจำปา

    สีจำปา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +343
    เหรียญสภาพสมบูรณ์มากครับ ประกวดน่าติดรางวัลสบายๆ :cool: :cool:

    ว่างๆเดี๋ยวจะไปจ้างเค้าถ่ายรูป เพราะถ่ายเองไม่เก่ง มีกล้องแต่ยังขาดเลนส์ มาโคร :'( :'(
     
  19. สีจำปา

    สีจำปา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +343
    วิธีคิดในการสะสมดีมากครับ คนที่สะสมพระควรใช้เป็นแนวทางในการเช่าหา

    ถ้าอยากเก็งอนาคต ก็เลือกพระสากลที่นิยมเล่นหา แต่เอาไว้ใช้บูชาก็เลือกที่เราศรัทธา พิธีดีๆ ไม่ดัง ไม่แพงก็ไม่ต้องไปแคร์ใคร

    สำหรับผมคิดว่า พระดีๆมีมากมาย เราจะบูชาทั้งหมดไม่ไหวแน่ ต้องกรองหาที่ต้องการจริงๆ ผมตกผลึกได้ พระพิธีวัดราชบพิตร ปี 2481 , หลวงปู่ทวด วัดปราสาท ปี 2505-06 บูชาแล้วอุ่นใจครับ แต่เฉพาะตอนเดินทางไกล ถ้าแขวนคอทุกวัน จะเป็นหลวงพ่อวัดบ้านแหลมครับ ศรัทธามาก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2013
  20. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,372
    เหรียญรูปเหมือนตลับยาหม่อง
    หลังหนังหน้าผากเสือ พ.ศ. 2507 พิมพ์เล็ก
    หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม นครปฐม


    [​IMG]

    [​IMG]

    หนึ่งในวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมมากในวัตถุมงคลของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเต๋ คงทอง เหรียญรูปเหมือน ตลับยาหม่อง หลังหน้าผากเสือ สร้างประมาณปี พ.ศ.2507 โดยมีลักษณะเป็นเหรียญปั๊มมีขอบคล้ายกับฝาของตลับยาหม่อง จึงนิยมเรียกกันว่าตลับยาหม่อง โดยด้านในบรรจุผงแร่และผงพุทธคุณที่หลวงพ่อเต๋ท่านลบด้วยตัวเอง ซึ่งผงพุทธคุณนี้มีคุณวิเศษหลายประการ บางตำราบอกว่ามีส่วนผสมผงพรายกุมารด้วย และได้นำหนังหน้าผากเสือซึ่งหลวงพ่อได้จารยันต์นะเสือโคร่งไว้ปิดไว้ด้านหลัง หลวงพ่อเต๋ท่านได้ปลุกเสกให้ยาวนาน พุทธคุณสูงครอบจักวาลทั้งด้านคงกระพันชาตรี มหาอำนาจ เมตตามหานิยม และด้านอื่นๆก็มีครบครัน เหรียญตลับยาหม่องนี้มีประสบการณ์มาก ได้รับความนิยมสูง สำหรับปัจจุบันนี้ของแท้ 
    เริ่มหายากแล้วครับ องค์นี้เป็นพิมพ์เล็กขนาดประมาณ 1.9 cm.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 พฤษภาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...