เขมรไม่จบปมพระวิหาร ไทยจัดทัพใหญ่ชน 15 – 19 เมษาฯ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย surer, 14 เมษายน 2013.

  1. ผู้มาใหม่

    ผู้มาใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +618
    ป้าผมเอาโพสต์ของป้าไปลงในเวปอื่นเขาชมป้าหลายคนด้วยอะครับ
    ผมละชื่นชมเพื่อนผมจริงๆเลยที่เห็นความเก่งของป้า
     
  2. ผู้มาใหม่

    ผู้มาใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +618
    ชอบมากมายครับคำนี้โอท็อปอพยพ
    คิดได้ไงเนี่ยเก่งจังเลยครับ:cool:
     
  3. Zigor

    Zigor Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +73
    เขมรบางคนเค้ามาตายในไทย วิญญาณเลยได้มาเกิดในไทย แต่ยังไงมันก็เขมร ไม่มีทางมองคนไทยดีไปกว่าชาติอื่นได้หรอก
     
  4. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    ผม เชื้อจีน-ขอม พูดไทย-ขะแม เกิดที่อีสานใต้ และหัวใจไทย
    ไม่เชื่อว่าเขมรส่วนใหญ่ในปัจจุบันเขาจะเป็นขอมแท้ๆ 100%
    เพราะขอมแท้หัวใจรักชาติถูกทหารของพ่อขุนฯกุดหัวหมดแล้ว
    การอ้างเป็นเจ้าของปราสาทฯก็ใช่เรื่อง แถมยังจะเนียนฮุบที่อีก

    สงสัยมันเรียนประวัติศาสตร์มากไป เลยคิดว่าสยามประเทศใจดี
    ดูได้จากการทะยอยสูญเสียแผ่นดินอันแลกมาด้วยเลือดด้วยเนื้อ
    แต่อย่าลืมว่า สยามไม่เคยพ่ายประเทศเมืองขึ้นในแบบตัวต่อตัว
    จะมีก็แต่พวกฝรั่งมากด้วยปืนไฟ จีนมากด้วยปืนไฟ ที่เข้ามาเสริม

    จุดอ่อนของคนไทยคือ รักสงบ ทำตัวเป็นพระเอก ยอมถูกทำก่อน
    ความสมัครสมานสามัคคีมันอยู่ลึกกลางใจ อายที่จะแสดงออกมา
    จุดแข็งคือ เรายังมีจิตสำนึกที่ดี ให้โอกาสเพื่อนร่วมโลกเสมอมา
    และเชื่อหรือไม่ เมื่อถึงคราวคับขันจริงๆเหล่านักรบสยามจะกลับมา
     
  5. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    [​IMG]

    รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์อ้างข้อกำหนดในสนธิสัญญา พ.ศ.2447 ต้องใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดนธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้เขาพระวิหารเป็นของไทย แต่กัมพูชาอ้างแผนที่ ที่มีการจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการผสมตามสนธิสัญญา พ.ศ.2447 ซึ่งมีพลเอกหม่อมชาติเดชอุดม เป็นประธานกรรมการฝ่ายไทย และพันโท แบร์นาร์ด เป็นประธานกรรมการฝ่ายฝรั่งเศส แล้วส่งให้ฝ่ายไทย 50 ฉบับ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ตอบรับเมื่อปี พ.ศ.2451 และได้ทรงขอแผนที่ฉบับนี้เพิ่มเติมอีก 15 ฉบับ เพื่อแจกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นฝ่ายไทย แสดงว่าฝ่ายไทยยอมรับแผนที่นี้
    ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นทนายแก้ต่างให้รัฐบาลไทยในคดีพิพาทเกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหาร
    15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ได้พิจารณาลงความเห็นด้วยคะแนนเสียงเก้าต่อสามว่า ซากปราสาทเขาพระวิหาร ตั้งอยู่บนดินแดนใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ทั้งนี้เป็นไปตามแผนที่ซึ่งฝรั่งเศสทำขึ้นตามสนธิสัญญา พ.ศ.2447 และ พ.ศ.2450 โดยอาศัยเหตุผลว่าราชอาณาจักรไทย เพิกเฉยมิได้ประท้วงแผนที่ดังกล่าวนั้น ขณะที่ฝ่ายไทยได้ยืนยันต่อศาลโลก โดยตลอดว่ารัฐบาลไทยถือสันปันน้ำ เป็นเขตแดนตามข้อกำหนดในสนธิสัญญาทุกฉบับ
    15 กรกฎาคม พ.ศ.2505 พลเอก ประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวคำปราศรัยที่จำต้องสละอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร และทำการรื้อถอนทุกสิ่งออกนอกเขต รวมทั้งเคลื่อนย้ายเสาธงพร้อมธงชาติ จากหน้าผาเป้ยตาดี ลงมาโดยไม่มีการลดธงลงจากยอดเสาแต่อย่างใด
    พื้นที่เขาพระวิหารที่เสียไปเป็นรูปห้าเหลี่ยมคางหมู พื้นที่ประมาณ 150 ไร่
     
  6. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    เปิดบันทึกสยาม-ฝรั่งเศส 103 ปีที่แล้ว : “สันปันน้ำอยู่ที่หน้าผา”

    กัมพูชาซึ่งเป็นประเทศที่เล็กมากกว่าไทย มีแสนยานุภาพทางการทหารด้อยกว่าไทยอย่างเทียบกับไม่ได้ แต่กัมพูชากลับมีชั้นเชิงและเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเหนือกว่าไทย จนทำให้ศักยภาพทางการทหารของไทยไม่สามารถนำมาใช้ผลักดันกัมพูชาได้ และไม่สามารถนำความแกร่งกล้าสามารถของทหารไทยมาใช้อำนาจต่อรองกับกัมพูชาได้อีกเลย เพราะฝีมือทางการทูตของกัมพูชาโดยแท้

    เพราะถ้าประเทศไทยยืนยันในเส้นเขตแดนของตัวเอง ว่าอยู่ขอบหน้าผาซึ่งเป็นสันปันน้ำซึ่งได้ตกลงยืนยันไปแล้วในระหว่างการสำรวจและปักปันกันระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ตั้งแต่สมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 สถานการณ์จะไม่เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน

    เส้นเขตแดนไทยกัมพูชานั้นได้จัดทำเสร็จสิ้นไปเมื่อ 103 ปีที่แล้ว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยกำหนดให้เส้นเขตแดนบริเวณทิวเขาดงรัก จากช่องสะงำ จ. ศรีสะเกษ จนถึง ช่องบก จ.อุบลราชธานี ความยาว 195 กิโลเมตร (รวมเขาพระวิหาร) นั้นให้ใช้ขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำและเส้นเขตแดนตามธรรมชาติ และสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงไม่ต้องทำหลักเขตแดนใดๆทั้งสิ้น

    ตัวอย่างหลักฐาน “ผลงาน” การเดินสำรวจและปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศสได้แก่ เอกสารบันทึกการปาฐกถาของพันโท แบร์นาร์ด ประธานฝ่ายฝรั่งเศสของคณะกรรมการปักปันผสมสยามกับฝรั่งเศสชุดแรก ที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 ซึ่งได้แสดงที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2450 ความตอนหนึ่งว่า:

    “ทางเหนือยอดภูเขาดงรัก เป็นเส้นเขตแดนที่เห็นได้อย่างถนัดชัดแจ้ง”

    ปกติแล้วเส้นสันปันน้ำหากไม่ใช้ขอบหน้าผาแล้วจะมองเห็นด้วยตาเปล่าไม่ง่ายนักจึงย่อมต้องทำหลักเขตแดนเป็นสัญลักษณ์เอาไว้ แต่การที่ประธานสำรวจและปักปันฝ่ายฝรั่งเศส มองเห็นได้อย่างถนัดชัดแจ้งย่อมแสดงว่าต้องเป็นขอบหน้าผาเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

    หลักฐานอีกชิ้นหนึ่งก็คือบันทึกรายงานของ พันเอก มองกิเอร์ ประธานกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสในคณะกรรมการปักปันผสมสยามกับฝรั่งเศส ชุดที่ 2 ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ได้ยืนยันตามผลงานการสำรวจและปักปันของคณะกรรมการชุดแรกว่าขอบหน้าผาคือสันปันน้ำอย่างชัดเจนว่า:

    “เส้นเขตแดนเดินไปตามเส้นสันปันน้ำ ซึ่งอยู่ที่หน้าผาเห็นได้จากตีนภูเขาดงรัก”

    นี่คือเหตุผลหลักในการตอบคำถามว่าทำไมคณะกรรมการปักปันสยาม-ฝรั่งเศส ชุดที่ 2 จึงเริ่มทำหลักเขตแดนทางบก “หมายเลข 1” ที่ ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันตก จรดไปจนถึงจังหวัดตราดและตัวเลขหลักเขตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไปทางทิศตะวันตก โดยปล่อยทิ้งด้านทิศตะวันออกจนถึงช่องบก จ.อุบลราชธานี ความยาวถึง 195 กิโลเมตรว่าไม่ต้องทำหลักเขตแดน เพราะสามารถเห็นหน้าผาเป็นเส้นเขตแดนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากตีนภูเขาดงรัก

    บันทึกผลประชุมระหว่างสยามกับฝรั่งเศส และรายงานเอกสารทางประวัติศาสตร์ข้างต้นนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า “ผลงานของคณะกรรมการปักปัน” ที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่กลับไปไม่มีการกล่าวถึงว่าให้เป็นเงื่อนไขในการสำรวจเขตแดนใน บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ระหว่างไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 หรือ MOU 2543 แต่ประการใด

    การไม่อ้างอิงถึง ผลบันทึกการประชุมระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเมื่อ 103 ปีที่แล้ว คือความผิดพลาดอันสำคัญในการทำ MOU 2543 แต่ MOU 2543 กลับไปยอมให้ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ระบุว่า ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่จะต้องกล่าวถึงในบทปฏิบัติการของคำพิพากษา ให้กลับมาอยู่ในเงื่อนไขของ MOU 2543 ว่าให้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ได้ด้วย ทำให้ปัญหาบานปลายมาจนถึงทุกวันนี้

    จากที่ไม่เคยต้องทำหลักเขตแดนทางบกบริเวณเขาพระวิหารเพราะมีหน้าผาเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ามาเป็นร้อยปีแล้ว ก็ต้องมากลับมาสำรวจเพื่อทำหลักเขตแดนกันใหม่!

    จากที่เส้นเขตแดนตกลงกันระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเสร็จสิ้นมาเป็นร้อยปีแล้ว ก็ต้องมาและตกลงกันใหม่ระหว่างไทย-กัมพูชา!

    เวลากัมพูชาไปออกแถลงการณ์ หรือ ร้องเรียนไปยัง คณะกรรมการมรดกโลก องค์การยูเนสโก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และ อาเซียนนั้น กัมพูชาอาศัย MOU 2543 เป็นฐานในการยืนยันอย่างชัดเจนว่า เส้นเขตแดนย่อมหมายถึงแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 แต่เพียงอย่างเดียว โดยอาศัยการบรรยายกฎหมายปิดปากเป็นใหญ่เหนือเหตุผลอื่นในคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหารถึงเหตุผลที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินให้ตัวปราสาทอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชานั้น เพราะสยามนิ่งเฉยและไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ดังนั้นเมื่อปรากฏข้อความแผนที่ฉบับนี้ให้กลับมาผูกพันระหว่างไทย-กัมพูชาใน MOU 2543 แล้ว ไทย-กัมพูชาจึงย่อมต้องใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 แต่เพียงอย่างเดียว

    MOU 2543 จึงเสมือนขยายผลกฎหมายปิดปากในเรื่องแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ในคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งจากเดิมเป็นเพียงแค่การบรรยายเนื้อความที่ฝ่ายไทยเสียเปรียบและไม่ใช่บทปฏิบัติการในคำพิพากษา ให้กลายเป็นข้อผูกพันระหว่างไทย-กัมพูชาเป็นครั้งแรก

    ด้วยเหตุผลนี้ทำให้กัมพูชายืนยันมาโดยตลอดภายใต้ MOU 2543 ว่าหมายถึง “แผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 และไทยเป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชาตามแผนที่ดังกล่าว” อีกทั้งพยายามดึงนานาชาติมาเป็นสักขีพยานให้มาเข้าข้างกัมพูชาตาม MOU 2543 โดยใช้เหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น

    ส่วนฝ่ายไทยในเวทีนานาชาติต่อสู้ในเรื่อง MOU 2543 ว่า “การจัดทำหลักเขตแดนไม่แล้วเสร็จ” โดยฝ่ายไทยไม่ได้ยืนยันเส้นเขตแดนของตัวเองว่าอยู่ที่ใด

    ที่ฝ่ายไทยไม่กล้ายืนยันว่าเส้นเขตแดนไทยอยู่ที่ใด อาจมีหลายเหตุผล เหตุผลแรกอาจเป็นเพราะไม่รู้เรื่องประสีประสาอะไร เหตุผลที่สองคือ ฝ่ายไทยไม่สามารถเถียงความหมายใน MOU 2543 สู้กัมพูชาได้จึงยอมจำนนแล้วใช้วิธีถ่วงเวลาแทน หรือเหตุผลที่สามคือมีการสมรู้ร่วมคิดเพื่อให้กัมพูชายึดครองดินแดนไทยได้โดยไม่ต้องมีกำหนดระยะเวลาและไม่ต้องผลักดันจึงไม่ต่อสู้ยืนยันเรื่องเส้นเขตแดนของตัวเอง

    ลองคิดดูว่านานาชาติเมื่อเห็นเหตุผลในการใช้ MOU 2543 ของฝ่ายกัมพูชาและไทยรวมกันเช่นนี้ ย่อมทำให้นานาชาติหลงเข้าใจผิดว่า เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชานั้นหมายถึง“แผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 (ตามที่กัมพูชาอ้าง) เพียงแต่ปัจจุบันยังทำหลักเขตแดนกันยังไม่เสร็จ (ตามที่ไทยอ้าง) ตามแผนที่ดังกล่าว”

    ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้คือ ทหารอินโดนีเซีย ในนามตัวแทนอาเซียนกำลังจะลงมาเป็นสักขีพยานและผู้สังเกตการณ์ที่จะไม่ให้มีการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชาอีก โดยไม่มีใครได้เห็นปัญหาว่า กัมพูชานั้นเป็นฝ่ายรุกรานและยึดครองดินแดนไทยอยู่

    สิ่งที่คนไทยควรจะต้องตระหนักอย่างยิ่งก็คือ สภาพที่เป็นอยู่นี้ก็เสมือนว่าประเทศไทยได้สูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนในทางปฏิบัติไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งวัดแก้วสิขะคีรีสะวารา, ภูมะเขือ และทางขึ้นตัวปราสาทพระวิหาร ฯลฯ โดยอาเซียนได้ส่งทหารอินโดนีเซียเข้ามาแทรกแซงเสมือนเป็นพยานในการห้ามใช้กำลังทหารไทยในการผลักดันกัมพูชาออกไป หากกัมพูชาไม่ได้ผลการเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนตามที่กัมพูชาต้องการ กัมพูชาก็จะใช้สิทธิในการครอบรองดินแดนไทยไปชั่วนิรันดร์

    ในทางตรงกันข้าม "หากไม่มี MOU 2543" ประเทศไทยย่อมมิสิทธิ์อ้างข้อผูกพันระหว่างไทย-กัมพูชา ตามรายงานผลบันทึกการประชุมสยาม-ฝรั่งเศส ที่ยืนยันเส้นเขตแดนของประเทศไทย และอาศัยกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 2 วรรค 7 และ กฎบัตรอาเซียน ข้อ 2 (F) ว่า สหประชาชาติ และอาเซียน ไม่มีอำนาจเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในอำนาจของรัฐไทยได้

    แต่ที่ประเทศไทยทุกวันนี้ไม่ใช้กำลังผลักดัน ไม่ใช้กฎบัตรสหประชาชาติมาตรา 2 วรรค 7 และ กฎบัตรอาเซียน ข้อ 2 (F) ก็เพราะ MOU 2543 ที่ทำให้ไม่กล้ายืนยันว่า แผ่นดินไทยอยู่ที่ใด ใช่หรือไม่ !!!?


    ที่มา เปิดบันทึกสยาม-ฝรั่งเศส 103 ปีที่แล้ว : “สันปันน้ำอยู่ที่หน้าผา” โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ | Facebook
     
  7. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    ประเทศไทยในยุคล่าอาณานิคม
    ประเทศไทยได้เสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสรวม 5 ครั้ง เป็นพื้นที่ทั้งสิ้น 481,600 ตารางกิโลเมตร นับตั้งแต่ปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โดยไทยต้องยินยอมเสียดินแดนบางส่วนไป เพื่อรักษาเอกราชและดินแดนส่วนใหญ่ไว้ ทำให้พื้นที่ประเทศไทยเหลืออยู่เพียง 513,600 ตารางกิโลเมตร
    ดินแดนที่เสียไปตามลำดับมีดังนี้
    1. แคว้นกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 2410
    2. แคว้นสิบสองจุไทย เมื่อปี พ.ศ. 2431 เป็นพื้นที่ 87,000 ตารางกิโลเมตร
    3. ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง อันได้แก่ ประเทศลาวปัจจุบัน ในพื้นที่เมืองหลวงพระบาง เมืองเวียงจันทร์ และอาณาเขตนครจัมปาศักดิ์ตะวันออก ตลอดจนบรรดาเกาะต่าง ๆ ในแม่น้ำโขง เมื่อปี พ.ศ. 2436 หรือที่รู้จักกันดีคือ ร.ศ. 112 เป็นพื้นที่ 143,000 ตารางกิโลเมตร
    4. ดินแดนทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง บริเวณที่อยู่ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง และตรงข้ามเมืองปากเซ เมื่อปี พ.ศ. 2446 เป็นพื้นที่ 62,000 ตารางกิโลเมตร เพื่อแลกกับเมืองจันทบุรี ที่ฝรั่งเศสยึดไว้เมื่อ ร.ศ. 112
    5. มณฑลบูรพา ได้แก่ พื้นที่เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ เมื่อปี พ.ศ. 2449 เป็นพื้นที่ 51,000 ตารางกิโลเมตร เพื่อแลกกับเมืองตราด เกาะกง และเมืองด่านซ้าย พร้อมทั้งอำนาจศาลไทย ต่อคนในบังคับฝรั่งเศส
    ต่อมาประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย เพื่อเตรียมรับสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษและฝรั่งเศสจึงได้ประชุมพิจารณาปรองดองกัน ในปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับอาณานิคมโดยทั่วไป สำหรับประเทศไทยนั้นได้ตกลงแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
    ส่วนที่ 1 เป็นพื้นที่ภาคตะวันออก ตั้งแต่มณฑลนครราชสีมาไปทางตะวันออกทั้งหมด เป็นเขตผลประโยชน์ของฝรั่งเศส
    ส่วนที่ 2 เป็นพื้นที่ด้านตะวันตกของมณฑลราชบุรีลงไป เป็นเขตผลประโยชน์ของอังกฤษ
    ส่วนที่ 3 คงเหลือเฉพาะพื้นที่ภาคกลางคงเป็นของไทย
    สัญญานี้ทำกันเมื่อปี ค.ศ. 1911 แต่เนื่องจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มหาประเทศคู่สงคราม ต่างพากันอ่อนกำลังลงไป นอกจากนี้ การที่ประเทศไทยเข้าร่วมสงคราม โดยอยู่ทางฝ่ายพันธมิตร ซึ่งเป็นฝ่ายชนะ จึงทำให้มีฐานมั่นคงขึ้น
    การเสียดินแดนครั้งนี้ ฝรั่งเศสได้ถือโอกาสที่เกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันทางชายแดน ได้ส่งเรืรบ 2 ลำ เข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 โดยใช้เรือพาณิชย์นำร่องเข้ามาถึงพระนคร แล้วยื่นเงื่อนไขคำขาดกับไทย
    ฝ่ายอังกฤษ เห็นพฤติกรรมฝรั่งเศส ที่จะยึดประเทศไทยโดยสิ้นเชิง ก็เข้าประท้วงคุมเชิงอยู่ ฝ่ายรัสเซียพระเจ้าซาร์นิโคลาส ได้มีพระราชโทรเลขไปยังรัฐบาลฝรั่งเศส ให้ยับยั้งการยึดครองประเทศไทย ฝรั่งเศสจึงยอมถอยเรือ กลับไปตามสัญญาลง 3 ธันวาคม 2435 แต่ได้ยึดครองดินแดนฝั่งแม่น้ำโขงไว้โดยสิ้นเชิง
    กับเรียกค่าทำขวัญอีก 3 ล้านบาท กับเงินฝรั่งเศสอีก 2 ล้านฟรังค์ พร้อมทั้งยึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกัน 10 ปี รวมทั้งให้ดำเนินคดี พระยอดเมืองขวาง ที่มีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส
    ครั้นครบกำหนด 10 ปี ฝรั่งเศสไม่ยอมถอนทหารออกจากจันทบุรี แล้วกลับตั้งเงื่อนไขเรียกร้องให้ยกเขต จัมปาศักดิ์ ให้แก่ฝรั่งเศสอีก รัฐบาลไทยต้องจำยอมตามสัญญาลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2446 แต่แล้วฝรั่งเศสก็ถอยไปยึดจังหวัดตราด และเรียกร้องให้ไทยยอมยกดินแดน 4 จังหวัด เมื่อปี พ.ศ. 2449 เพื่อให้ฝรั่งเศสถอนทหารออกไปจากแผ่นดินไทย รัฐบาลไทยจึงต้องยอมยกให้ไป
    ในการกระทำของฝรั่งเศสดังกล่าว ได้ใช้มองซิเออร์ ปาวี อัครราชฑูตฝรั่งเศส เป็นผู้ดำเนินการ คนผู้นี้ทางราชการได้จ้างมาทำแผนที่ประเทศไทย และเคยถูกจีนฮ่อทำร้ายที่เมืองหลวงพระบาง แต่เจ้าหน้าที่ไทยได้ช่วยชีวิตไว้
    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้นในปี พ.ศ. 2482 ฝรั่งเศสมีความห่วงใย อาณานิคมของตน ในอินโดจีนเป็นอันมาก จึงได้เสนอขอทำสัญญาไม่รุกรานกันกับประเทศไทย เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยถือโอกาสยึดดินแดนคืน
    คณะรัฐมนตรีของไทยในครั้งนั้น ซึ่งมีนายพันเอกหลวงพิบูลย์สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งที่ได้เคยไปศึกษาที่ฝรั่งเศส ต่างก็เห็นอกเห็นใจฝรั่งเศสที่ถูกรุกรานอยู่ จึงได้ตอบสนองการทำสัญญานั้นด้วยดี แต่ได้เสนอให้ฝรั่งเศสปรับปรุงดินแดนฝั่งลำน้ำโขง ที่ล้ำเข้ามาในประเทศไทยเสียใหม่ ให้เป็นการถูกต้อง ได้มีการต่อรองประวิงเวลากันมาหลายเดือน ในที่สุดก็ได้ทำสัญญาไม่รุกรานกันเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2484 อันเป็นห้วงเวลาที่กรุงปารีส ใกล้จะเสียแก่ฝ่ายเยอรมัน ดังนั้น การที่ฝ่ายฝรั่งเศสประนามว่าไทยใช้มีดทะลวงหลัง เมื่อตนเพลี่ยงพล้ำนั้นจึงไม่เป็นความจริง
    สนธิสัญญาดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากยังไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันซึ่งกันและกัน ต่อมาฝรั่งเศษได้ขอให้สนธิสัญญามีผู้ใช้บังคับ โดยไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันเพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ ของตนในอาณานิคมอินโดจีน เนื่องจากการสงครามในทวีปยุโรป ฝรั่งเศษกำลังพ่ายแพ้เยอรมัน และในทวีปอาเซียน ดินแดนส่วนใหญ่ กำลังถูกคุกคามจากญี่ปุ่น รัฐบาลไทยได้ตอบฝรั่งเศษไปว่ายินดีตกลงปฏิบัติตามสนธิสัญญา ถ้าฝรั่งเศษยอมรับข้อเสนอของไทย 3 ประการ คือ
    1. ขอให้มีการวางแนวเส้นเขตแดนตามลำน้ำโขงให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่งประเทศ โดยให้ถือร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดน
    2. ขอให้ปรับปรุงเส้นเขตแดนให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือถือแม่น้ำโขงเป็นเส้นเขตแดนระหว่าง ไทยกับอินโดจีนตั้งแต่ทิศเหนือจรดทิศใต้ จนถึงเขตกัมพูชา โดยให้ฝ่ายไทยได้รับดินแดนทางฝั่งแม่น้ำโขงตรงข้ามกับหลวงพระบาง และตรงข้ามกับปากเซคืนมา
    3. ขอให้ฝรั่งเศษรับรองว่าถ้าไม่ได้ปกครองอินโดจีนแล้ว ฝรั่งเศษจะคืนลาวและกัมพูชาให้กับไทย
    ต่อมาเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2484 วันเดียวกับที่รัฐบาลฝรั่งเศสที่เมืองวิซี่ได้ทำสัญญา ตกลงยินยอมให้ญี่ปุ่นใช้ เมืองฮานอย และเมืองไฮฟอง เป็นฐานทัพ ญี่ปุ่นได้ส่งทหารขึ้นบก ในอินโดจีนถึง 35,000 คน เป็นการเปลี่ยนสภาพอาณานิคมของฝรั่งเศสในอินโดจีนโดยสิ้นเชิง ทำให้การทำสัญญาไม่รุกรานกับไทยไร้ความหมาย เกิดปัญหาความเป็นความตาย สำหรับประเทศไทย
    ประเทศไทยได้ประท้วงไปยังประเทศฝรั่งเศสอย่างรุนแรงว่า การกระทำของฝรั่งเศสนั้น เป็นอันตรายแก่ประเทศไทย ฉะนั้นเมื่อฝรั่งเศสจะรักษาอธิปไตยในอินโดจีนไว้ ประเทศไทยก็จำต้องเรียกร้องเอาดินแดนคืน เพื่อประโยชน์ในการป้องกันประเทศ และเพื่อมิให้ประชาชนชาวไทย ที่อยู่ในปกครองของฝรั่งเศส ต้องตกเป็นอยู่ในปกครองของประเทศที่ 3 ต่อไปอีก
    รัฐบาลได้ส่งคณะทูตไปเจรจากับรัฐบาลฝรั่งเศสที่กรุงฮานอย การเจรจาเป็นไปอย่างเผ็ดร้อน
    ฝรั่งเศสกล่าวหาว่าไทยใช้มีดแทงด้านหลัง ในขณะที่ฝรั่งเศสปราชัย ฝ่ายฝรั่งเศสใช้ถ้อยคำรุนแรง โดยกล่าวว่ายกดินแดนไทยให้ญี่ปุ่นดีกว่าที่จะคืนให้แก่ประเทศไทย
    หนังสือพิมพ์ของทั้งสองฝ่ายต่างโจมตีกันอย่างหนัก ฝ่ายฝรั่งเศสได้ระดมทหาร เข้ารักษาพื้นที่ตามชายแดน
    และได้ยิงปืนข้ามแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทย พร้อมทั้งส่งเครื่องบินข้ามแดนเข้ามา เป็นทำนองท้าทายอยู่ตลอดเวลา
    สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นตามลำดับ รัฐบาลจึงเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฝรั่งเศส
    เพื่อแก้ปัญหาเรื่องดินแดนให้เด็ดขาด
    ในที่สุดนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการเมืองซึ่งเป็นยุวชน
    นายทหาร ได้ตั้งผู้แทนไปพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขอร้องเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืน ซึ่งทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้วางหลักไว้เป็นบรรทัดฐานที่จะไม่ให้พระสงฆ์องค์เจ้า และนักเรียนนิสิตนักศึกษา ที่อยู่ในวัยศึกษา เข้าเกี่ยวข้องกับการเมืองเรื่องลัทธิและเรื่องพรรค ฯลฯ
    แต่ในกรณีนี้เห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักชาติอันเป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชน จึงไม่มีอำนาจที่จะห้ามได้ เมื่อได้ปรึกษากับอธิบดีกรมตำรวจแล้ว มีความเห็นสอดคล้องกัน จึงได้รับทราบไว้ และตักเตือนไม่ให้ล่วงเกินสถานทูต หรือคนสัญชาติฝรั่งเศส ส่วนข้อความบนแผ่นป้ายต่าง ๆ ก็ไม่ให้ใช้คำพูดที่หยาบคายก้าวร้าว
    การเดินขบวนได้เริ่มขึ้น เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2483 ประชาชนนับหมื่นทุกเพศทุกวัย พากันมาจากทุกสารทิศ คนเฒ่าคนแก่ อุ้มลูกจูงหลาน ร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเคียดแค้นที่ไทยต้องเสียดินแดนไป ความรู้สึกนี้ได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศ เป็นการแสดงมติมหาชนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั้งชาติ
    ขบวนการเรียกร้องดินแดนคืนของยุวชนนายทหาร ไหลหลากมาเต็มหน้าพระลานและท้องสนามหลวง และได้มาหยุดชุมนุมกันหน้ากระทรวงกลาโหม
    พลตรี หลวงพิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พันเอก หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต รองผู้บัญชาการทหารบก เจ้ากรมยุวชนทหาร และรองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มาต้อนรับที่หน้ากระทรวงกลาโหม ผู้แทนของมหาวิทยาลัยทั้งสองในเครื่องแบบยุวชนทหาร ได้เรียนเสนอการเรียกร้องดินแดนคืนต่อ พลตรี หลวงพิบูลสงคราม ขอให้เป็นผู้นำกองทัพของชาติ เข้ายึดเอาดินแดนของไทยกลับคืนมา ให้พี่น้องชาวไทยที่อยู่ในดินแดนดังกล่าว ได้กลับมาร่วมเป็นบ้านพี่เมืองน้องของไทยตามเดิม และยุวชนนายทหาร ทั้งสองมหาวิทยาลัย จะมอบชีวิตไว้เป็นชาติพลี
    พลตรี หลวงพิบูลสงคราม ได้กล่าวปราศรัยต้อนรับ และสรรเสริญสดุดีในความรักชาติ ความสามัคคี และความเสียสละ เพื่อประเทศชาติของชาวไทยทั้งมวล และได้ร่วมกันกล่าวปฏิญาณตน หน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จบแล้วได้กล่าวอวยชัยให้พร ไชโยสามครั้ง เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ซาบซึ้งตรึงใจเป็นที่สุด
    การเตรียมกำลังตามแผนยุทธศาสตร์ ได้ดำเนินไปตามลำดับ ฝ่ายฝรั่งเศสได้เคลื่อนกำลังเข้าประชิดแดนไทย ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2483 ในที่สุดกองทัพไทย เคลื่อนกำลังเข้าสู่ดินแดนเดิมของเราเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2483 ทางด้านอำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีณบุรี
    ในการนี้ ทางรัฐบาลไทยได้ส่งทูตไปเจรจากับรัฐบาลเยอรมัน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2483 เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง และความจำเป็น ที่ประเทศไทยต้องทำสงครามกับฝรั่งเศส ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในความยึดครองของประเทศเยอรมัน โดยคณะทูตที่ไปเป็นนายทหารบก 2 นาย กับนายทหารเรือ 1 นาย คณะทูตได้เข้าพบ จอมพล เกอริง โดยการประสานงานของพระยาพหล ฯ ซึ่งเป็นนักเรียนร่วมรุ่นกับ จอมพล เกอริง ในโรงเรียนนายร้อยเยอรมัน จึงได้รับความสะดวก และความร่วมมืออย่างดีทุกประการ จอมพล เกอริง มีความกังวลว่า การพิพาทกับฝรั่งเศสในอินโดจีน จะบานปลาย เป็นการเปิดแนวรบที่สองขึ้นในตะวันออก และรับรองยินดีสนับสนุน การเรียกร้องดินแดนคืนของประเทศไทย แต่ขอให้เป็นดินแดนเดิมของไทย จะได้ไม่เป็นปัญหาสู้รบกันต่อไปไม่จบสิ้น จากนั้น ได้ติดต่อให้ไปเจรจากับรัฐมนตรีต่างประเทศ การเจรจาเป็นไปด้วยดี โดยทางเยอรมัน ยินดีช่วยเหลือเรื่องการคืนดินแดนที่สูญเสียไปโดยไม่เป็นธรรม ไม่เฉพาะแต่ด้านอินโดจีนฝรั่งเศส แม้ทางด้านพม่า และมลายู ของอังกฤษ มีเมืองมะริด ทวาย ก็ยินดีสนับสนุน
    จากนั้นได้จัดเป็นคณะทูตพิเศษ ประกอบด้วยนายทหารบก 3 นาย และนายทหารเรือ 3 นาย ออกเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส เข้าพบผู้บัญชาการทหารที่ยึดครองกรุงปารีส ซึ่งก็ได้สั่งการไปยังรัฐบาลวิซี่ของฝรั่งเศส ให้ยับยั้งการสู้รบ คณะทูตไทยได้ถือโอกาสเยี่ยมชมป้อมมายิโนต์ อันมีชื่อเสียงของฝรั่งเศส ที่ถูกเยอรมันตีแตกในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ และได้พบกับคณะนายทหารญี่ปุ่น ที่มาชมป้อมนี้เหมือนกัน จึงได้ทราบว่าญี่ปุ่นมีแผนที่จะบุกอาเซียอาคเนย์ ในอนาคตอันใกล้
    กองทัพไทย มีชัยชนะกองทัพฝรั่งเศสในทุกด้าน ดังนี้
    กองพลพายัพ ยึดได้แคว้นหลวงพระบาง ฝั่งขวาห้วยทราย ตรงข้ามเชียงแสน มีเมืองปากลาย หงสา และเชียงฮ่อน
    กองทัพอิสาน กองพลอุบลยึดได้แคว้นนครจัมปาศักดิ์ กองพลสุรินทร์ ยึดได้เมืองสำโรงจงกัล ทางจังหวัดเสียมราฐ
    กองทัพบูรพา ยึดได้พื้นที่ทางทิศตะวันตกของศรีโสภณ กองพลจันทบุรี ยึดได้บ้านกุบเรียง และบ้านห้วยเขมร ทางด้านทิศตะวันตกของบ่อไพลิน และพระตะบอง
    กองทัพเรือ ได้มีการรบที่เกาะช้าง เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2484 ซึ่งมีรายละเอียดอยู่แล้วโดยเฉพาะ
    กองทัพอากาศ ได้ทำการรบจนมีชัยทางอากาศ และได้ไปทำลายสถานที่สำคัญทางทหาร ในอินโดจีนอีกหลายแห่ง
    ในช่วงแรกของการรบ ญี่ปุ่นซึ่งมีฐานทัพอยู่ในอินโดจีนได้เฝ้าดูอยู่ โดยยังมิได้มีปฏิกิริยาใด ๆ
    แต่เมื่อรบกันไปได้ไม่นาน ก็เห็นว่ากองทัพไทยมีทีท่าว่า จะตีกองทัพฝรั่งเศสตกทะเลในไม่ช้า ถ้าไม่มีชาติใดมาหยุดยั้งเสียก่อน ญี่ปุ่นเห็นว่าชัยชนะของกองทัพไทย กำลังจะเป็นอันตรายต่อแผนการของตน ที่จะรุกรานลงทางใต้ จึงได้เสนอตนต่อรัฐบาลไทย และรัฐบาลฝรั่งเศสขอเป็นคนกลาง เพื่อไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทนี้ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2484 ทั้งสองฝ่ายจึงได้ตั้งคณะผู้แทนขึ้นสองคณะ คณะหนึ่งไปเจรจาทำความตกลงพักรบที่ไซ่ง่อน อีกคณะหนึ่งไปเจรจาสันติภาพ ณ กรุงโตเกียว ไทย และฝรั่งเศส ได้หยุดยิงตั้งแต่ เวลา 10.00 น เป็นต้นไป
    ประเทศไทยได้ส่งคณะผู้แทนไปเจรจาพักรบที่ไซ่ง่อน มีทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนร่วมกัน เดินทางจากพระนคร เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2484 การเจรจาใช้เวลา 3 วัน ก็ได้ลงนามพักรบบนเรือลาดตระเวณญี่ปุ่น ชื่อ นาโตริ ซึ่งจอดอยู่หน้าเมืองไซ่ง่อน เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2484 ข้อกำหนดพักรบมีกำหนด 15 วัน
    ต่อจากนั้นรัฐบาลได้ส่งคณะผู้แทนอีกคณะหนึ่ง มีพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวรรณไวทยากร เป็นประธาน พร้อมด้วยข้าราชการทหารและพลเรือน เดินทางไปยังกรุงโตเกียว เพื่อเจรจาสันติภาพและปรับปรุงเขตแดน การประชุมเริ่มเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2484 โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น เป็นประธานฝ่ายญี่ปุ่น เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำกรุงโตเกียว เป็นประธานฝ่ายฝรั่งเศส
    การเจรจาตกลงกันได้ในสาระสำคัญ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2484 ฝ่ายไทย และฝ่ายฝรั่งเศส ตกลงยอมรับแผนการไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2484 โดยฝ่ายฝรั่งเศส ยอมยกดินแดนแขวงหลวงพระบางฝั่งขวาแม่น้ำโขง แคว้นจัมปาศักดิ์ และแคว้นเขมร ให้แก่ไทย ความตกลงข้อนี้เป็นที่พอใจของฝ่ายไทยทุกประการ ในการนี้รัฐบาลไทยได้ประกาศให้หยุดราชการในวันที่ 12 มีนาคม 2484 และได้ประดับธงชาติไทยคู่กับธงชาติญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกมีกำหนด 3 วัน กับได้มีการสวนสนามฉลองชัยชนะที่พระนคร เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2484
    ได้มีพิธีรับมอบดินแดนที่จังหวัดพระตะบอง เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2484 มีการสวนสนาม โดยมีแม่ทัพบูรพาเป็นประธาน มีผู้แทนจากคณะรัฐมนตรี 3 นาย และผู้แทนฝ่ายทหาร 3 นาย ไปรับมอบดินแดน
    ต่อมาผู้แทนฝ่ายไทย ฝ่ายฝรั่งเศส และฝ่ายญี่ปุ่น ได้ร่วมกันร่างอนุสัญญาในเรื่องนี้ขึ้น และได้ลงนามเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2484 โดยสนธิสัญญานี้ประเทศไทยได้ดินแดนคืนมาประมาณ 90,000 ตารางกิโลเมตร และได้จัดตั้งเป็นจังหวัดใหม่ขึ้น 4 จังหวัด คือ พระตะบอง พิบูลสงคราม นครจัมปาศักดิ์ และลานช้าง และเพื่อเป็นการถ้อยทีถ้อยตอบแทนกันโดยไมตรี ฝ่ายไทยให้เงินทดแทนค่าก่อสร้างทางรถไฟ ของอินโดจีนฝรั่งเศส เป็นเงิน 6 ล้าน เปียสตร์อินโดจีน โดยแบ่งใช้มีกำหนด 6 ปี อนุสัญญาสันติภาพฉบับนี้ ได้ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2484 สภาผู้แทนได้ให้ความเห็นชอบ ให้สัตยาบันอนุสัญญานี้ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2484 พร้อมทั้งมีมติขอบคุณรัฐบาลและผู้ที่ได้ไปทำงานให้แก่ประเทศชาติจนบรรลุผล ควรจารึกเกียรติคุณไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติชั่วกาลปาวสาน
    ในพิธีสารภาคผนวกของอนุสัญญาสันติภาพ ลงวันที่ 5 กรฎาคม 2484
    ได้กำหนดให้จัดตั้งคณะกรรมการปักปันดินแดนขึ้น เพื่อดำเนินงานให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 1 ปี กรรมการดังกล่าวประกอบด้วยฝ่ายไทย ฝ่ายฝรั่งเศส และฝ่ายญี่ปุ่น โดยมีฝ่ายญี่ปุ่นเป็นประธานกรรมการ
    การปักปันดินแดนได้ดำเนินการอย่างเร่งรีบ ตั้งแต่เดือน สิงหาคม 2484
    งานได้เสร็จสิ้นลงตามกำหนดเวลา ได้มีการลงนามในพิธีสาร เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2485 ณ เมืองไซ่ง่อน และไทยได้เริ่มเข้าครอบครองดินแดนที่ได้ ตั้งแต่ วันที่ 12 กรกฎาคม 2485
    ไทยได้รับดินแดนบางส่วนที่เสียให้แก่ฝรั่งเศษกลับคืนมารวมประมาณ 69,000 ตารางกิโลเมตร จากดินแดนลาวและเขมรที่ไทยเสียให้แก่ฝรั่งเศษในเหตุการณ์หลายครั้ง รวมทั้งสิ้นประมาณ 467,800 ตารางกิโลเมตร
    ดินแดนที่ไทยได้คืนจากฝรั่งเศษได้จัดตั้งเป็นอำเภอและจังหวัด เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่แม่ทัพนายกองของไทย และผู้ที่เป็นหลักในการดำเนินการต่อกรณีพิพาทอินโดจีน ดังนี้คือ
    อำเภอไพรีระย่อเดช อำเภอเกรียงศักดิ์พิชิต อำเภอพรหมโยธี อำเภออธึกเทวเดช อำเภอสินธุสงครามชัย อำเภอวรรณไวทยากร อำเภออดุลย์เดชจรัส อำเภอหาญสงคราม และจังหวัดพิบูลสงคราม และได้จัดการปกครองดังนี้
    1. เมืองเสียมราฐ (เขมร) ได้ยกฐานะท้องที่เมืองนี้ขึ้นเป็นจังหวัดพิบูลสงครามปกครองด้วยอำเภอไพรีระย่อเดช อำเภอกลันทบุรี อำเภอพรหมขันธ์ อำเภอเกรียงศักดิ์พิชิต อำเภอวารีแสน และอำเภอจอมกระสานต์
    2. เมืองพระตะบอง (เขมร) ยอท้องที่เมืองนี้ขึ้นเป็นจังหวัดพระตะบอง ประกอบด้วยอำเภอเมืองพระตระบอง อำเภอพรหมโยธี อำเภออธึกเทวเดช อำเภอมงคลบุรี อำเภอไพลิน อำเภอศรีโสภณ และอำเภอสินธุสงครามชัย
    3. นครจัมปาศักดิ์ (ลาว อยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง) ยกท้องที่แขวงนี้ขึ้นเป็นจังหวัดนครจัมปาศักดิ์ ประกอบด้วยอำเภอเมืองนครจัมปาศักดิ์ อำเภอวรรณไวทยากร อำเภอธาราบริวัติ อำเภอมโนไพร และอำเภอโพนทอง
    4. หลวงพระบาง (ลาว อยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง) ยกท้องที่แขวงนี้ขึ้นเป็นจังหวัดลานช้าง ประกอบด้วยอำเภอสะมาบุรี อำเภออดุลย์เดชจรัส อำเภอแก่นท้าว อำเภอเชียงฮ่อน และอำเภอหาญสงคราม
    ได้มีการเปลี่ยนแปลงใช้ร่องน้ำลึกในแม่น้ำโขงเส้นเขตแดน บรรดาเกาะที่อยู่ฝั่งขวาของเส้นเขตแดน (ด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำโขง) เป็นของไทย ยกเว้นเกาะโขง และเกาะโดน ให้ไทยและฝรั่งเศษปกครองร่วมกัน


    สมัยปฎิรูปการปกครอง ในปี พ.ศ.2433 ทางกรุงเทพ ฯ ได้รวมกลุ่มหัวเมืองต่าง ๆ เป็นสี่หัวเมือง แล้วแต่งตั้งข้าหลวงจากส่วนกลางไปเป็นข้าหลวงกำกับราชการ
    หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก ตั้งที่ทำการข้าหลวงกำกับราชการที่เมืองจำปาศักดิ์ มีเมืองในสังกัดเป็นเมืองเอก 11 เมือง เมืองขุขันธ์อยู่ในกลุ่มเมืองเอก เมืองที่เป็นเมืองโท เมืองตรี และเมืองจัตวาอีก 16 เมือง
    หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งที่ทำการ ฯ ที่เมืองอุบล ฯ มีเมืองในสังกัดเป็นเมืองเอกอยู่ 12 เมือง เมืองศรีสะเกษ อยู่ในกลุ่มเมืองเอก เมืองที่เป็นเมืองโท เมืองตรี และเมืองจัตวาอีก 29 เมือง
    หัวเมืองลาวฝ่ายเหนือ ตั้งที่ทำการ ฯ ที่เมืองหนองคาย มีทั้งหมด 52 เมือง
    หัวเมืองลาวฝ่ายกลาง ตั้งที่ทำการ ฯ ที่เมืองนครราชสีมา มีทั้งหมด 19 เมือง
    สงครามกับฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) เกิดวิกฤตการณ์สงครามระหว่างฝรั่งเศสกับไทย รัฐบาลฝรั่งเศสแต่งตั้งเรสิดังปัสตา เป็นแม่ทัพคุมทหารญวนเมืองไซ่ง่อน 200 คน และกำลังเมืองเขมร พนมเปญ เป็นอันมาก ลงเรือ 33 ลำ ยกขึ้นมาตามลำแม่น้ำโขง เข้ามาในเขตไทยขับไล่ทหาร ซึ่งรักษาด่านบงขลา แขวงเมืองเชียงแตง และด่านเสียมโบก ยึดด่านทั้งสองไว้ได้ ต่อมาได้ยึกเมืองเชียงแดง จึงเกิดสงครามขึ้นโดยมีพระประชาคดีกิจ (แช่ม) ข้าหลวงฝ่ายไทย ณ เมืองสีทันดรคอยปะทะต้านทานไว้ ข้าหลวงใหญ่หัวเมืองลาวกาว กรมหลวงพิชิตปรีชากร ประทับอยู่ ณ เมืองอุบล ฯ ได้เกณฑ์กำลังเมืองศรีสะเกษ เมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ เมืองมหาสารคาม เมืองร้อยเอ็ด เมืองละ 800 คน เมืองสุวรรณภูมิและเมืองยโสธร เมืองละ 500 คน เป็นกองทัพไปต่อสู้กับฝรั่งเศส
    นอกจากนั้นยังให้เกณฑ์กำลังคนจากเมืองขุขันธ์อีก 500 คน ให้ข้าหลวงเมืองขุขันธ์คุมกำลังไปตั้งอยู่ ณ เมืองมโนไพร และเมืองเซลำเภา พร้อมทั้งให้เมืองใหญ่ทุกเมือง ในมณฑลลาวกาว เตรียมกำลังพลให้พร้อมอีกเมืองละ 1,000 คน
    โปรดให้ราชวงศ์ ราชบุตร เมืองยโสธร คุมคนเมืองยโสธร 500 คน ให้อุปฮาด (บัว) เมืองกมลาไสยคุมคนเมืองศรีสะเกษ 500 รวมเป็น 1,000 คนร ไปสมทบกำลังที่เมืองสีทันดร และให้ผู้ช่วยเมืองศรีสะเกษ คุมคนเมืองศรีสะเกษ 500 ไปตั้งรักษาอยู่ ณ ช่องโพย และด่านพระประสบ แขวงเมืองขุขันธ์ เกิดการต่อสู้จนบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย
    โปรดให้ยกกำลังเมืองสุวรรณภูมิ 500 เมืองร้อยเอ็ด 300 รวม 800 ยกจากเมืองอุบล ฯ ไปช่วย ณ ค่ายดอนสาคร นำกำลังจากเมืองจัตุรภักตร์ 105 เมืองร้อยเอ็ด 210 เมืองมหาสารคาม 210 รวม 525 คน ยกไปรักษาอยู่ ณ เมืองมโนไพร และธาวาบริวัตร และด่านลำจาก
    ให้ข้าหลวงเมืองศรีสะเกษ ทำหน้าที่ส่งเสบียงไปยังกองพระศรีพิทักษ์ กองกำลังที่ตั้งประจันกันบริเวณลำน้ำโขงมีการต่อสู้กันหลายครั้ง ต่อมาทั้งสองฝ่ายตกลงสัญญากันเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 ใช้เวลาครึ่งปีในการรบ
    กบฎเสือยง เกิดในปี พ.ศ.2437 ได้คุมสมัครพรรคพวกทำการปล้นตามหมู่บ้านต่าง ๆ ทางเมืองอุบล ฯ และเมืองศรีสะเกษ ร่วมกันปราบปราม เจ้าเมืองศรีสะเกษได้ขอให้เมืองขุขันธ์ช่วยปราบ จับเสือยงได้ นำไปประหารชีวิตที่บริเวณศาลหลักเมือง
    พ.ศ.2438 ย้ายเมืองราษีไศล จากบ้านโนนหินกองมาตั้งที่บ้านท่าโพธิ์ อำเภอราษีไศล ปัจจุบัน
    กบฎผีบุญบุญจัน ในปี พ.ศ.2443 ท้าวบุญจัน บุตรเจ้าเมืองขุขันธ์ ได้เสนอขอย้ายอำเภอกันทรลักษ์ จากบ้านปักดองมาที่บ้านสิ หรือแยกบ้านสิเป็นอำเภอ และขอเป็นนายอำเภอเอง แต่ข้าหลวงเมืองขุขันธ์ไม่เห็นด้วย ท้าวบุญจันไม่พอใจได้ไปซ่องสุมผุ้คนที่ภูฝ้าย ต่อมาได้ย้ายไปที่ซำปีกา มีผู้สมัครเข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก
    ข้าหลวงเมืองขุขันธ์ ได้ขอกำลังจากข้าหลวงผู้สำเร็จราชการมณฑลอีสานไปปราบ จับท้าวบุญจันได้ ตัดศีรษะไปที่เมืองขุขันธ์แห่ตระเวณไปรอบเมือง แล้วเสียงประจานที่ทางสี่แพร่ง
    พ.ศ.2455 ให้รวมเมืองขุขันธ์ เมืองศรีสะเกษและเมืองเดชอุดม เป็นเมืองเดียวกันเรียกเมืองขุขันธ์
    พ.ศ.2459 ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย ให้เปลี่ยนคำว่าเมืองเป็นจังหวัด
    พ.ศ.2470 ยุบเลิกมณฑลทั่วประเทศ จังหวัดขุขันธ์จึงขึ้นต่อส่วนกลาง และในปีเดียวกันนี้ทางการได้เปิดเดินรถไฟจากกรุงเทพ ฯ ถึงสถานีห้วยทับทันและเดินรถถึงศรีสะเกษ ในปี พ.ศ.2471
    สมัยประชาธิปไตย ให้จังหวัดเป็นนิตบุคคล อำนาจบริหารจากเดิมอยู่ที่กรมการจังหวัด เปลี่ยนมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด โดยมีกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษา
    พ.ศ.2481 เปลี่ยนนามจังหวัดขุขันธ์เป็นจังหวัดศรีสะเกษ เปลี่ยนชื่ออำเภอห้วยเหนือเป็นอำเภอขุขันธ์ อำเภอน้ำอ้อมเป็นอำเภอกันทรลักษ์ อำเภอดงเป็นอำเภอราษีไศล อำเภอศรีสะเกษเป็นอำเภอเมืองศรีสะเกษ
    เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์
    กรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาอาเซียบูรพา ในปี พ.ศ.2483 เกิดกรณีพิพาทไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสได้ใช้เครื่องบิน เข้ามาทิ้งระเบิดในจังหวัดชายแดนไทย ที่จังหวัดนครพนมกับจังหวัดปราจีนบุรีที่อำเภออรัญประเทศ และได้ส่งกำลังทหารเข้าโจมตี อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ช่องจันทบเพชร ช่องโอบก อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
    กองทัพบูรพาของไทย จึงได้รุกเข้าไปในเขตอินโดจีนของฝรั่งเศส ยึดค่ายปอยเปต รุกเข้าไปเกือบถึงเมืองเสียมราฐและศรีโสภณ ยึดนครจำปาศักดิ์ได้ กองกำลังทหาร ตำรวจ ของจังหวัดเลยยึดเมืองปากลาย ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงข้ามเมืองหลวงพระบางได้ ต่อมาได้ทำสัญญาหยุดยิงโดยมีญี่ปุ่นเป็นผู้ไกล่เกลี่ย
    ผลของการรบครั้งนั้นฝ่ายไทยได้จังหวัดที่เคยเป็นของไทยมาก่อนหลายจังหวัดคือ นครจำปาศักดิ์ พระตะบอง พิบูลสงครามและจังหวัดลานช้าง บางจังหวัดมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดศรีสะเกษ จึงมีข้าราชการชาวศรีสะเกษที่รู้ภาษาเขมรไปอยู่ประจำทำงานหลายคน
    ต่อมาในปี พ.ศ.2484 เกิดการสู้รบระหว่างกองกำลังของไทยกับกองทัพญี่ปุ่น ต่อมาเมื่อมีคำสั่งหยุดยิงแล้ว ไทยได้ทำสัญญากับญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร เป็นเหตุให้คนไทยส่วนหนึ่งจัดตั้งขบวนการเสรีไทยจากทั่วประเทศ รวมทั้งบจากจังหวัดศรีสะเกษด้วย มีการเตรียมการจัดทำสนามบินเพื่อให้เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรมาลง เช่นที่บริเวณศูนย์การศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ และที่บ้านสมานสามัคคี ตำบลโสน อำเภอขุขันธ์
    กบฎสันติภาพและผลสืบเนื่อง ในปี พ.ศ.2494 รัฐบาลไทยได้ส่งกองทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลี ฝ่ายที่ต่อต้านสงคราม ได้ก่อตั้งขบวนการสันติภาพสากลขึ้น และได้ส่งตัวแทน 9 คน ไปร่วมประชุมสภาผู้สนับสนุนสันติภาพที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อปี พ.ศ.2495 คณะกรรมการสันติภาพได้นำสิ่งของมาบริจาคให้ราษฎรที่บ้านคูซอด จังหวัดศรีสะเกษ หลังจากนั้นชาวบ้านคูซอดก็ถูกจับกุมในข้อหากบฎสันติภาพ 11 คน
    หลังจากนั้นบ้านคูซอดก็เป็นที่สนใจของขบวนการสังคมนิยม มีการติดต่อประสานงานกันกับนักการเมืองฝ่ายซ้าย เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้ทำการปราบปรามผู้มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ นำไปสู่การกวาดล้างจับกุมแกนนำประชาชนบ้านคูซอด และอื่น ๆ รวม 59 คน


    เหตุการณ์เสียเขาพระวิหาร ในปี พ.ศ.2505 ศาลโลกได้ตัดสินให้ประเทศไทยยกปราสาทเขาพระวิหาร ตำบลบึงมะลู อำเภอกันทราลักษ์ ให้เป็นของประเทศกัมพูชา นับเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของโลก เนื่องจากเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลโลก ซึ่งมีเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มากนัก และเป็นเหตุการณ์เดียวในประวัติศาสตร์ไทย มีลำดับความเป็นมาดังนี้
    11 สิงหาคม พ.ศ.2406 สมเด็จพระเจ้านโรดม กษัตริย์เขมร ทำสัญญายกเขมรให้เป็นของฝรั่งเศส
    7 ธันวาคม พ.ศ.2406 มีการทำสนธิสัญญาลับระหว่างราชอาณาจักรสยาม กับราชอาณาจักรกัมพูชา ยืนยันว่ากัมพูชาเป็นเมืองขึ้นของราชอาณาจักรสยาม
    15 กรกฎาคม พ.ศ.2410 มีการทำสัญญาระหว่างราชอาณาจักรสยามกับฝรั่งเศส ยอมรับว่ากัมพูชาเป็นเมืองขึ้นในอารักขาของฝรั่งเศส
    10 ตุลาคม พ.ศ.2436 ราชอาณาจักรสยามทำสนธิสัญญายกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และเกาะแก่งต่าง ๆ ให้แก่ฝรั่งเศส
    พ.ศ.2441 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เสด็จเขาพระวิหาร ประทานนามว่า เทพพระวิหาร
    13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2447 ฝรั่งเศสทำสนธิสัญญากับราชอาณาจักรสยาม โดยราชอาณาจักรสยาม ยอมยกเมืองหลวงพระบางบนฝั่งขวาแม่น้ำโขง และดินแดนทางใต้ของทิวเขาพนมดงรัก ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองจันทบุรี ที่ฝรั่งเศสยึดไว้
    29 มิถุนายน พ.ศ.2447 มีการทำสนธิสัญญาเพิ่มเติม โดยราชอาณาจักรสยามเสียดินแดนให้ ฝรั่งเศสระหว่างทะเลสาบกับทะเลหลวง
    23 มีนาคม พ.ศ.2450 มีการทำสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรสยามกับฝรั่งเศส โดยราชอาณาจักรสยามยอมยกดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับเมืองด่านซ้าย เมืองตราด และเกาะทั้งหลายที่อยู่ภายใต้แหลมสิง ไปจนถึงเกาะกูดให้แก่สยาม
    30 มกราคม พ.ศ.2472 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จปราสาทเขาพระวิหาร มีเรสิดัง กำปงธม และนักโบราณคดีฝรั่งเศส มาคอยรับที่ริมบันไดขึ้นพระวิหาร มีการชักธงฝรั่งเศสที่กลางเขาพระวิหารด้วย สร้างความไม่พอใจแก่พระองค์เป็นอย่างยิ่ง
    11 ตุลาคม พ.ศ.2483 กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร เป็นโบราณสถาน และจัดให้หลวงศรี จำศีลภาวนาที่ถ้ำขุนศรี เป็นผู้รักษาเขาพระวิหาร
    พ.ศ.2484 ญี่ปุ่นซึ่งชนะฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีน โดยยกดินแดนบางส่วนรวมทั้งปราสาทเขาพระวิหารคืนแก่ไทย เป็นผลให้เกิดจังหวัดจำปาศักดิ์ จังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม
    พ.ศ.2492 ฝรั่งเศสและกัมพูชา คัดค้านอำนาจอธิปไตยของไทยเหนือปราสาทเขาพระวิหาร อย่างเปิดเผยและประท้วงไทยไม่ให้ส่งคนไปรักษาเขาพระวิหาร หลังจากที่ไทยไม่ยอมรับข้อแนะนำของคณะกรรมการประนีประนอม ณ กรุงวอชิงตัน เมื่อ พ.ศ.2490
    พ.ศ.2501 กระทรวงโฆษณาการกัมพูชา พิมพ์เผยแพร่บทความสรุปว่า ปราสาทเขาพระวิหาร เป็นของกัมพูชาตามอนุสัญญา ฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2447 อันได้รับการยืนยันจากสนธิสัญญา วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2450 สนธิสัญญานี้กลับบังคับใช้อีกตามข้อตกลงที่วอชิงตัน เมื่อปี พ.ศ.2489
    4 สิงหาคม พ.ศ.2501 รัฐบาลไทยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทางชายแดนไทยด้านกัมพูชารวม 6 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบล ฯ สื่อมวลชนทั้งสองประเทศมีการโจมตีกันมากขึ้น
    1 ธันวาคม พ.ศ.2501 รัฐบาลกัมพูชาประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับราชอาณาจักรไทย หลังจากที่การเจรจาไม่ได้ผล
    6 ตุลาคม พ.ศ.2502 รัฐบาลกัมพูชา ได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ขอให้ศาลวินิจฉัยให้ราชอาณาจักรไทยถอนกำลังคือ อาวุธออกจากบริเวณเขาพระวิหาร และขอให้ศาลชี้ขาดว่าอธิปไตยเหนือเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา
    4 ธันวาคม พ.ศ.2502 ราชอาณาจักรไทยประกาศขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นโบราณสถานแห่งชาติอีกครั้ง ตามประกาศฉบับที่ 2 ลงวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2502 กับทั้งมีแผนที่แสดงประสาทเขาพระวิหารแนบท้ายด้วย
    รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์อ้างข้อกำหนดในสนธิสัญญา พ.ศ.2447 ต้องใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดนธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้เขาพระวิหารเป็นของไทย แต่กัมพูชาอ้างแผนที่ ที่มีการจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการผสมตามสนธิสัญญา พ.ศ.2447 ซึ่งมีพลเอกหม่อมชาติเดชอุดม เป็นประธานกรรมการฝ่ายไทย และพันโท แบร์นาร์ด เป็นประธานกรรมการฝ่ายฝรั่งเศส แล้วส่งให้ฝ่ายไทย 50 ฉบับ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ตอบรับเมื่อปี พ.ศ.2451 และได้ทรงขอแผนที่ฉบับนี้เพิ่มเติมอีก 15 ฉบับ เพื่อแจกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นฝ่ายไทย แสดงว่าฝ่ายไทยยอมรับแผนที่นี้
    ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นทนายแก้ต่างให้รัฐบาลไทยในคดีพิพาทเกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหาร
    15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ได้พิจารณาลงความเห็นด้วยคะแนนเสียงเก้าต่อสามว่า ซากปราสาทเขาพระวิหาร ตั้งอยู่บนดินแดนใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ทั้งนี้เป็นไปตามแผนที่ซึ่งฝรั่งเศสทำขึ้นตามสนธิสัญญา พ.ศ.2447 และ พ.ศ.2450 โดยอาศัยเหตุผลว่าราชอาณาจักรไทย เพิกเฉยมิได้ประท้วงแผนที่ดังกล่าวนั้น ขณะที่ฝ่ายไทยได้ยืนยันต่อศาลโลก โดยตลอดว่ารัฐบาลไทยถือสันปันน้ำ เป็นเขตแดนตามข้อกำหนดในสนธิสัญญาทุกฉบับ
    15 กรกฎาคม พ.ศ.2505 พลเอก ประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวคำปราศรัยที่จำต้องสละอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร และทำการรื้อถอนทุกสิ่งออกนอกเขต รวมทั้งเคลื่อนย้ายเสาธงพร้อมธงชาติ จากหน้าผาเป้ยตาดี ลงมาโดยไม่มีการลดธงลงจากยอดเสาแต่อย่างใด
    พื้นที่เขาพระวิหารที่เสียไปเป็นรูปห้าเหลี่ยมคางหมู พื้นที่ประมาณ 150 ไร่
     
  8. เล็กชิ้นสด

    เล็กชิ้นสด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +178
    ท่านเชื่อฝรั่งเพราะ
    - ยาทุกวันนี้ก็กินยาฝรั่ง
    - รถขับทุกวันนี้ฝรั่งคิด
    - ระบบทุกอย่างทุกวันนี้ ฝรั่งสร้าง
    - ของฝรั่งอายุคุณครบหกสิบ เงินบำนาน เข้าบัญชีคุณอัตโนมัต


    คือเรารู้ว่าแต่ว่าฝรั่งสร้าง สร้างปัญหาให้โลก
    - ยาทุกวันนี้ที่เรากิน สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะรักษาเชื้อโรคที่ฝรั่งสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะได้ขายยา ร่ำรวยบนความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
    - รถทุกวันนี้ฝรั่งคิดขึ้นมา ได้สร้างปัญหาอุบัติเหตุ ควันพิษ ก๊าซเรือนกระจก
    ให้แก่เพื่อนมนุษย์มากมาย
    -ระบบทุกวันนี้ ฝรั่งสร้างขึ้นมา ให้คนเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ
    - สร้างแผนที่ กินอาณาเขต ให้เขาทะเลาะกัน ฆ่ากัน
    -เข้าไปกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติ ทิ้งกากของเสียทางอุตสาหกรรม
    - เข้าไปเผยแพร่วัฒนธรรมตะวันตกที่ไร้สัมมาคารวะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง และ
    ทำลายวัฒนธรรมท้องถิ่น

    ท่านคิดว่าประเทศไทยทำสิ่งนี้
    - สนับสนุน โครงการ Amazing Thailand แล้วให้มีพับบาร์ ผู้หญิงหากินเป็นรายได้หลักเข้าประเทศ
    - หมาขี้เรื้อน คนบ้า คนสติไม่ดี ยังปล่อยเดินไปทั่ว ไม่คิดจะรักษา
    - คนชรารับห้าร้อยบาทต้องไปต่อแถวกันที่อำเภอคร่งค้อนวัน ถ้าใครแก่มากลูกหลานไม่มี ไปอำเภอไม่ได้ก็ไม่ได้เงิน
    - สร้างกระแสนิยมครั่งชาติ
    - คนจนทั้งประเทศ แต่ มีเงินมาทำ เทวรูปหล่อทองคำ อลังการ แล้วพอถึงพิธีก็เอาไปลอยน้ำทิ้งเปล่าๆ แค่ ยังไม่มีจะกิน


    ท่านคิดผิด
    - เศรษฐกิจไทย เป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ มีการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยมีมูลค่าการส่งออกคิดเป็นสองในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวมีสัดส่วนราว 6% ของจีดีพี
    - หมาขี้เรื้อนคือหมาที่เป็นโรคผิวหนัง ส่วนมากไม่มีเจ้าของ บ้านเรายังดีครับแต่ต่างประเทศบางประเทศ หมาไม่มีเจ้าของเขาต้องกำจัดทิ้ง
    คนบ้า คนสติไม่ดี พ่อแม่ญาติพี่น้องเข้าประกาศตามหาอยู่ทุกวัน ไม่เชื่อถามคุณอรอุมา tpbs ช่วงบ่าย ๆ เขาไม่ปล่อยเดินไปทั่วหรอกเพราะเขาเป็นห่วง
    ว่าแต่ เมืองฝรั่ง ระวังดีๆนะ คนบ้าเมืองไทยไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่เมืองฝรั่ง คนบ้าบ้านเขา เล่นเอาปืนกราดยิงทั้งโรงเรียนเลย
    - ส่วนเรื่องรับเงินผู้สูงอายุ บางที่ก็มีการโอนเข้าบัญชีธนาคารแล้ว
    และถือว่า ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำให้ต้องมา ยกฝรั่งแล้วเหยียบคนไทย
    -เขาเรียกว่า การรักชาติไม่ใช่ครั่งชาติ
    - เรื่อง เทวรูปหล่อทองคำ อลังการ แล้วพอถึงพิธีก็เอาไปลอยน้ำทิ้งเปล่าๆ
    ยังไม่เคยได้ยินครับ ท่านน่าจะได้ข้อมูลมาผิด
     
  9. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ดิฉันจบมหาลัยคะตระกูล พ่อแม่ตายายก็จบมหาลัยคะ รับราชการด้วย พูดไปพวกคุณก็ไม่เข้าใจหรอก เพื่อนดิฉันนะ อย่าเรีกเพื่อนดีกว่า เธอ ขนาดเธอทำงานระดับราชการ ของที่เนเธอแลนด์ และเธอก็จงรักภักดีพระนางเบียร์ทริกซ์ เธอยังไม่เห็นด้วยในหลายๆประเด็นที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเลย คนต่างชาติเขามีคุณธรรม ไม่เหมือนคนไทยหรอกคะ คุณจะดูถูกดิฉัน พวก โอทอป ทั้งที่ไม่เป็นความจริงก็พูดไปเถอะ มันแสดงสันดารที่ไม่ได้ส่อเลยว่าตัวเองเป็นคนพุทธ มี พรหมวิหาร สี่ คนระดับศาลโลกไม่มีทางตัดสินให้เสีผลประโยชน์ เพราะศาลนี้ ทำทุกอย่างเพื่อสันติภาพมาสู่ภูมิภาค นี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2013
  10. เล็กชิ้นสด

    เล็กชิ้นสด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +178
    ประเทศเนเธอร์แลนด์ เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศษครับ ลองไปศึกษาดูดี ๆ ว่าฝรั่งเศษมีอิทธิพลอย่างไรกับ เนเธอร์แลนด์

    ศาลโลกมันเป็นเครื่องมือทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ

    เรื่องปราสาทที่เขาตัดสินกันเมื่อ50กว่าปีที่แล้ว มันเป็นเรื่องของ ประเทศเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศษ กับไทย คุณลองคิดดูว่า เนอเธอร์แลนด์ และประเทศทางยุโรปเข้าจะเข้าข้างใคร อย่าลืมว่าฝรั่งเศษเขาเคยเป็นประเทศมหาอำนาจมาก่อน
     
  11. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    เนเธอแลนด์เคยเป็นเมืองขึ้นเสปนคะไม่ใช่ฝรั่งเศษ แต่คนที่นี้เขาเคารพบูชา ท่าน วิลเลี่ยม ฟาน ออรานเยอร์ ท่านเป็นเจ้าชายเชื้อสายฝรั่งเศษ,ดัตช์ และเยอรมัน กับที่กอบกู้เอกราชเนเธอร์แลนด์จากเสปนคะ ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรกับฝรั่งเศษ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2013
  12. ในนภา

    ในนภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    709
    ค่าพลัง:
    +1,689
    ความขาดซึ่งสิ่งดังกล่าว
    เป็นปัญหาที่มีมาก่อนยุคจอมพล ป. อีกนะครับนั่น
    เป็นโจทย์ระดับมหภาค บนโลกทุนนิยมอันเต็มไปด้วยกิเลสเย้ายวน ที่ไม่ง่ายเหมือนกัน
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ไม่หลงจนเกินไป ****

    ทุกสิ่งที่เห็น. ...
    ไม่มีของใคร ไม่เป็นของใครเลย

    สิ่งที่เป็นของท่าน
    คือ ตัวกระทำของท่านเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2013
  14. DarkTanKun

    DarkTanKun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +392
    ประเด็น เนเธอร์แลนด์
    - ในช่วงปี พ.ศ. 1906-2025 เนเธอร์แลนด์อยู่ภายใต้การปกครองของดยุคแห่งเบอร์กันดี และในศตวรรษที่ 16 เนเธอร์แลนด์ถูกปกครองโดยสเปน

    - ต่อมาเจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์และขุนนางจำนวนหนึ่ง ได้ก่อการปฏิวัติต่อสมเด็จพระราชาธิบดีฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน เพื่อเรียกร้องให้ประชาชนเนเธอร์แลนด์และได้สถาปนาสาธารณรัฐดัตช์และ สามารถนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ได้ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2191 (ค.ศ. 1648) จึงได้มีการลงนามในสนธิสัญญามุนสเตอร์ เพื่อสงบศึกระหว่างเนเธอร์แลนด์และสเปน ซึ่งดำเนินมาถึง 80 ปี และถือเป็นการประกาศเอกราชของเนเธอร์แลนด์ด้วย

    - เมื่อปี พ.ศ. 2338 (ค.ศ. 1795) กองทัพปฏิวัติฝรั่งเศสนำโดยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ได้กรีฑาทัพเข้ายึดครองเนเธอร์แลนด์ และในปี พ.ศ. 2353 (ค.ศ. 1810) เนเธอร์แลนด์ก็ได้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อจักรวรรดิฝรั่งเศสเสื่อมอำนาจลงเนเธอร์แลนด์จึงได้รับเอกราชคืนมาอีกครั้งในปี พ.ศ. 2357 (ค.ศ. 1814)

    - เนเธอร์แลนด์ประกาศความเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างปี พ.ศ. 2457-2461 และประกาศความเป็นกลางอีกครั้งหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ดี กองทัพเยอรมนีได้รุกรานและยึดครองเนเธอร์แลนด์ ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2483-2488 ปัจจุบันเนเธอร์แลนด์เป็นสมาชิกที่มีบทบาทแข็งขันในสหภาพยุโรปและองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต

    ตัดมาบางส่วนจาก ประเทศเนเธอร์แลนด์ - วิกิพีเดีย
     
  15. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    ไปอยู่เขมรเลย
     
  16. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    คนต่างชาติเขามีคุณธรรม ไม่เหมือนคนไทยหรอกคะ

    คำนี้เนี๊ยมันแทงหัวใจผมยังไงไม่รู้อ่ะ เจ็บจี๊ดเลย คุณกำลังว่าบรรพบุรษผมอยู่รู้ตัวไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2013
  17. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    เกิดเป็นคนอย่าลืมบ้านเกิดเมืองนอน
    อย่าเป็นวัวลืมตีน
     
  18. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=lTRcHqTzXYo]เพลงรักเมืองไทย - YouTube[/ame]

    รักเมืองไทย ครับผม บ้าน ก เมือง ก :VOอย่ามาด่ามาว่านะ ไอ้หรั่ง
    รักเมืองไทย ชูชาติไทย ทำนุบำรุงให้รุ่ง เรือง สมเป็นเมืองของไทย
    เราชาวไทยเกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย ไม่เคยอ่อนน้อมเราไม่ยอมแพ้ใคร
    ศัตรูใจกล้ามาแต่ทิศใด ถ้าข่มเหงไทย คงจะได้เห็นดี
    รักเมืองไทย ชูชาติไทย ทำนุบำรุงให้รุ่ง เรือง สมเป็นเมืองของไทย
    เราชาวไทยเกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย เรารักเพื่อนบ้าน เราไม่รานรุกใคร
    แต่รักษาสิทธิ์อิสสระของไทย ใครทำช้ำใจเราจะไม่ถอยเลย
    รักเมืองไทย ชูชาติไทย ท่านบำรุงให้รุ่ง เรือง สมเป็นเมืองของไทย
    เราชาวไทยเกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย ถ้าถูกข่มเหงแล้ว ไม่เกรงผู้ใด
    ดังงูตัวนิดมีพิษเหลือใจ เรารักเมืองไทยยิ่งชีพเราเอย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2013
  19. Zigor

    Zigor Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +73
    สนใจไรกับเขมรมาเกิด ถ้าคนไทยเกิดเป็นไทยไม่มีทางดูถูกคนไทยแบบนี้หรอก ไม่รู้พ่อแม่ปู่ย่าตายายที่มาอาศัยเค้าเกิดเป็นคนไทยหรือเปล่าถ้าใช่ก็โดนลูกหลานตัวเองด่าไปด้วย เฮ้ย หรือจะเป็นเขมรทั้งครอบครัว
     
  20. noway

    noway เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +3,969
    อย่าเอาปรมัตถ์มาอ้างผิดที่ผิดทาง

    สมมุติก็สมมุติ ปรมัตถ์ก็ปรมัตถ์

    เมื่อเกิดเป็นคน ก็ต้องรู้หน้าที่

    เกิดเป็นไทย ก็ต้องรู้หน้าที่ ทำเพื่อชาติบ้านเมือง

    มิใช่อ้างปรมัตถ์ ยกแผ่นดินให้ศัจตรู

    สำหรับผู้ที่หวังโลกตุระ ควรทำอุเบกขา

    ไม่ควรมาทำให้ผู้มีหน้าที่ ที่เขากำลังปฏิบัติอยู่อย่างสุดความสามารถ

    เขาต้องเสียกำลังใจ
     

แชร์หน้านี้

Loading...