จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Amata_club

    Amata_club เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    27,076
    ค่าพลัง:
    +52,178
    ขณะนี้ทางวัดดอนแก้ว อำเภอปัว จังหวัดน่าน ซึ่งพระอาจารย์พรหมฤทธิ์ได้ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสอยู่นี้ กำลังจะก่อสร้างกุฏิเพิ่มเติม เพื่อให้พระ เณร ที่จะมาบวชในช่วงเข้าพรรษาได้มีที่จำวัด และยังขาดปัจจัยอยู่อีกมาก พี่ๆ เพื่อนๆ ท่านใดสนใจจะร่วมบุญหรือจะทำบุญตามกำลังศรัทธา สามารถแจ้งรายละเอียดในกระทู้ได้เลยนะครับ

    วันที่ 15 เมษายน 2556 ที่วัดท่าซึ่งมีพิธีต่อชะตานะครับ
     
  2. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    คำอธิษฐานขอพร. ข้าพเจ้าขออาราธนาพระบารมี30ทัศ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จนิพพานไปแล้ว มากยิ่งกว่าเม็ดกรวดเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้งสี่ ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพ .......พระธัมมานุภาพ........พระสังฆานุภาพ..........พระบารมี........พระโพธิสัตว์เจ้า........พระปัจเจกโพธิสัตว์เจ้า.......พระอรหันต์ทั้งหลาย.......และพระบารมีขององค์พระสมณะโคดมบรมครู..........ขอได้ส่งพลังมายังตัวข้าพเจ้า.......จงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บ และสรรพเคราะห์ทั้งหลายในกายของข้าพเจ้า........จงหายไปสิ้นทั้งหมด..........ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ชนะต่ออุปสรรคและมารทั้งหลาย.........ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ปลอดภัยจากราชภัยทั้งปวง........ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย..........ขอให้การประกอบอาชีพของข้าพเจ้า ประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าตลอดไป........ขอให้ข้าพเจ้าสมบูรณ์ พร้อมด้วยอำนาจและตะบะเดชสมบัติ ธนสารสมบัติ และบริวารสมบัติ........ขอให้ข้าพเจ้าประสบความสุข ความเจริญ ความสำเร็จตามที่ข้าพเจ้าปรารถนาทุกประการ........หากข้าพเจ้ายังไม่ถึงซึ่งนิพพาน......ชาติหน้าขอให้ข้าพเจ้าได้ไปเกิดในตระกูลที่ดี......เป็นผู้มีธรรมะบริสุทธิ์.....สมบูรณ์พูนสุขทุกประการเทอญ (ปรารถนาสิ่งใด ขอจงตั้งจิตอธิฐานตามที่ต้องการ)......ขอทุกท่านจงสมความปรารถนาที่ต้องการเทอญ.สาธุ สาธุ สาธุ.......
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,164
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,045
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    supatorn
    *******************************
    ไม่มีใครอยู่เลย ดีจัง เดี๋ยวขอเขียนกระดานเล่นๆ(ครูก็ไม่อยู่)
    chearr

    Titanic sank ,Submarine float
    Dhammanee(ครูเกษ)she invented a boat
    With the wheel of Dhamma driving on the ground
    Destination to "Nippan" homeward bound

    Anonymous
     
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ....หยดน้ำอบ ลงในขัน พรรณดอกไม้
    ยกมือไหว้ ทุกทิศ อธิษฐาน
    ให้ทุกท่าน สุขสันต์ วันสงกรานต์
    แล้วจรดขัน รดน้ำ ชื่นฉ่ำใจ

    มาอวยพร สงกรานต์ ในวันนี้
    ให้น้อง-พี่ ปลอดทุกข์ สุขสดใส
    คำอวยพร ที่ขอนั้น ได้ทันใด
    อิ่มเอมใจ เปรมปรีย์ ทุกที่เร้ยยย.....​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2013
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,164
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,045
    ความว่าง

    สมเด็จพระญาณสังวร

    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    วัดบวรนิเวศวิหาร

    คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์

    อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

    ]

    บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

    การปฏิบัติธรรมะ บุคคลทุกคนย่อมปฏิบัติได้ ไม่ว่าจะเป็นสตรีบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์บรรพชิต ไม่ว่าจะเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ และในการปฏิบัติธรรมะนั้นก็ปฏิบัติให้รู้จักศีล ให้รู้จักสมาธิ ให้รู้จักปัญญา ก็ให้รู้จักที่จิตนี้เอง เมื่อจิตเป็นศีลก็จะรู้จักศีลที่จิต เมื่อจิตเป็นสมาธิก็รู้จักสมาธิที่จิต เมื่อจิตเป็นปัญญาก็รู้จักปัญญาที่จิต และก็จะรู้จักผลของการปฏิบัติ อันเป็นความว่าง อันเป็นความสงบ หรือเรียกชื่ออย่างอื่นว่าเป็นความหลุดพ้นเป็นต้น

    ซึ่งล้วนมีศัพท์แสง และเมื่อใช้ศัพท์แสงหากไม่เข้าใจก็จะทำให้ฝั้นเฝือ แต่ถ้าเข้าใจก็จะทำให้เข้าถึงความหมายด้วยศัพท์แสงที่เป็นคำสั้นๆ

    อันความหลุดพ้นเมื่อใช้ศัพท์แสงก็เรียกว่า วิมุติ หรือเรียกว่า นิพพาน อันความสงบก็เรียกว่า สันติ หรือ สมถะ อันความว่างก็เรียกว่า สุญญตา เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมะในพุทธศาสนา เมื่อรู้จักผลเหล่านี้แม้เพียงเล็กน้อย คือรู้จักความว่าง รู้จักความสงบ รู้จักความหลุดพ้น แม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้เข้าใจพุทธศาสนาได้ดีขึ้น ได้รู้จักพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นพระรัตนตรัยนี้ ได้ดีขึ้น ได้ถูกต้องขึ้น

    สุญญตา

    ดังจะยกขึ้นมากล่าวสักคำหนึ่ง คือคำว่าความว่าง หรือเรียกตามศัพท์ว่า สุญญตา ที่แปลว่าความว่าง อันความว่างนั้นก็เป็นคำที่พูดกันอยู่ และก็พูดกันทั้งในด้านที่ดี และทั้งในด้านที่ไม่ดี ว่าถึงในด้านที่ไม่ดีก็ดังคำว่า ว่างการว่างงาน ไม่มีอะไรทำ อยู่ว่างๆ ก็ทำให้ขาดประโยชน์ที่จะพึงได้ และทำให้จิตใจกลัดกลุ้ม ดังเช่นเมื่อเคยทำการทำงานต่างๆ อยู่เป็นประจำ เมื่อมาว่างงาน ไม่ทำอะไร เป็นเหมือนอยู่เฉยๆ ก็ทำให้กลัดกลุ้ม และสำหรับผู้ที่ต้องการประโยชน์จากการงาน เมื่อว่างงานก็แปลว่าขาดประโยชน์ ก็ทำให้เกิดความขัดข้องต่างๆ ในการดำรงชีวิต เหล่านี้เป็นความว่างที่ใช้ในทางที่ว่าไม่ดี แต่อีกอย่างหนึ่งความว่างที่ใช้ในทางดี ก็คือความที่ว่างโดยที่ได้พักผ่อน เมื่อต้องการความพักผ่อน และเมื่อได้โอกาสซึ่งเป็นความว่าง ได้พักผ่อน ก็ทำให้บังเกิดความผาสุข

    ในทางพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้รู้จัก สุญญตา คือความว่าง มุ่งถึงความว่างกิเลส และว่างทุกข์ซึ่งเกิดจากกิเลส ว่างบาปอกุศลทุจริต ก็เป็นการว่างจากความทุกข์เพราะเกิดจากบาปอกุศลทุจริต

    ในการปฏิบัติธรรมะนั้นต้องการผลคือความว่างกิเลส ว่างบาปอกุศลทุจริต และว่างความทุกข์ที่เกิดเพราะกิเลส และบาปอกุศลทุจริตต่างๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องเข้าใจความว่าง ดังที่กล่าวมานี้

    การปฏิบัติธรรม

    การปฏิบัติธรรมะนั้น การเข้ามาบวชก็เป็นการเข้ามาปฏิบัติธรรมะ หรือแม้การไม่เข้ามาบวช แต่ว่าการที่มาสมาทานศีลฟังธรรม ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะ หรือแม้การที่ตั้งใจปฏิบัติด้วยตัวเองในศีลในสมาธิในปัญญาก็เป็นการปฏิบัติธรรมะ ก็มุ่งผลให้จิตนี้ว่างกิเลสและความทุกข์ที่เกิดเพราะกิเลส ว่างบาปอกุศลทุจริตทั้งหลาย และว่างความทุกข์ อันเป็นผลของบาปอกุศลทุจริตทั้งหลาย ให้จิตนี้มีความว่างดังกล่าวนี้ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็ให้กายวาจาใจนี้เองว่างจากบาปอกุศลทุจริตทั้งหลาย

    ความว่างดังกล่าวนี้แหละ ก็เป็นความสงบ และก็เป็นความพ้น สงบก็คือสงบกิเลส โลภ โกรธ หลง สงบบาปอกุศลทุจริตต่างๆ ทางกายทางวาจาทางใจ และก็เป็นความหลุดพ้น คือว่าหลุดพ้นจากบาปอกุศลทุจริตต่างๆ ตลอดจนถึงหลุดพ้นจากกิเลสต่างๆ กองโลภ กองโกรธ กองหลง จะเป็นความพ้นได้ชั่วคราว หรือว่าความพ้นได้นานๆ หรือตลอดไปก็ตาม ก็เป็นความหลุดพ้นทั้งนั้น แล้วก็เป็นความสงบทั้งนั้น และอันนี้เองก็เป็นความว่าง

    (เชิญอ่านต่อข้างล่างค่ะ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2013
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,164
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,045
    (อ่านต่อค่ะ)
    อาลัยของจิต

    แต่จิตใจของบุคคลทั่วไปนั้นมีความไม่ว่างประจำอยู่ ก็คือมีนันทิคือความเพลิน มีราคะคือความติดใจยินดี มีตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากของใจอยู่เป็นประจำ ซึ่งเรียกว่าอาลัย หรือเรียกว่ากังวลบ้าง เรียกว่ากามฉันท์ความพอใจรักใคร่อยู่ในกาม คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย

    หรือเรียกอำนาจกิเลสกาม มีอยู่เป็นประจำ จิตย่อมอยู่ในอาลัย หรืออาศัยอยู่กับอาลัยดังกล่าวนี้ อาลัยดังกล่าวนี้จึงเหมือนอย่างเป็นบ้านของจิต ท่านจึงเปรียบเหมือนอย่างว่าอาลัย คือน้ำเป็นที่อาศัยอยู่ของปลา ฉะนั้น

    เพราะฉะนั้นจิตนี้จึงไม่ว่างอยู่โดยปรกติ และเมื่อปล่อยให้จิตนี้ท่องเที่ยวไปในอาลัยอันเป็นที่อยู่ อันเรียกว่ากามคุณ หรือเรียกว่ากามฉันท์ก็จะไม่รู้สึกเดือดร้อน แม้ว่าจะต้องมีความทุกข์มาสลับกับความสุขเป็นครั้งเป็นคราว ก็อยู่ได้ เพราะอำนาจของความเพลิดเพลิน และความติดอยู่ ลักษณะของจิตสามัญทั่วไปย่อมเป็นไปอยู่ดั่งนี้ และการที่ได้ปฏิบัติจัดทำต่างๆ ไปตามวิสัยของกิเลสดังกล่าว หรือของอาลัยดังกล่าว จึงทำให้รู้สึกเพลิดเพลินไป ไม่รู้สึกเดือดร้อน

    แต่เมื่อต้องมาอยู่กับความว่าง แม้ในบางครั้งบางคราว อันหมายความว่าไม่ขวนขวายจัดทำทางกายทางวาจาทางใจ ไปตามอำนาจของกิเลสหรืออาลัยดังกล่าวนั้น ก็จะรู้สึกเหมือนอย่างว่า เหมือนอย่างการที่มานั่งทำความสงบก็ดี นั่งฟังอบรมหรือฟังเทศน์ก็ดี หรือการเข้ามาบวชก็ดี ซึ่งเป็นการหยุดพักจากการวิ่งเต้นขวนขวายไปต่างๆ ตามอำนาจของอาลัย หรืออำนาจของกิเลส ก็ทำให้รู้สึกเหมือนอย่างว่าว่าง และทำให้เกิดความรำคาญ หรือความดิ้นรนไปเพื่อที่จะได้ปฏิบัติจัดทำ เหมือนอย่างที่จะทำตามปรกติ จึงทำให้เข้าใจว่าความว่างทำให้เดือดร้อน

    แต่อันที่จริงนั้น เมื่อศึกษาดูให้ดี กำหนดดูให้ดีที่จิตแล้ว จึงจะเข้าใจว่าอันที่จริงไม่ว่าง เพราะจิตนี้ยังมีนันทิความเพลิดเพลิน

    ราคะความติดใจยินดีไปด้วยกันอยู่กับตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ในอารมณ์คือเรื่องทั้งหลายอยู่เป็นประจำ และเมื่อต้องมาหยุด แม้ในขณะที่มานั่งสมาธินี้ก็ต้องมาหยุดจิต ไม่ให้คิดไปในอารมณ์คือเรื่องทั้งหลายตามใคร่ตามปรารถนา ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดรำคาญไม่สบาย ก็ทำให้เข้าใจว่าเพราะว่าง

    เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมะจึงต้องหัดกำหนดจิตให้รู้จักว่า อันที่จริงเป็นความไม่ว่าง จิตยังไม่ว่าง จิตยังมีนันทิความเพลิน ราคะความติดใจยินดี ไปด้วยกันอยู่กับตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก จึงทำให้ยินดีเพลิดเพลินยิ่งๆ ขึ้นไปอีกในอารมณ์คือเรื่องนั้นๆ โดยไม่หยุด เพราะฉะนั้นจึงต้องทำความรู้จักว่าอันที่จริงไม่ว่าง ยังไม่เป็นความว่าง

    ความว่างในขั้นศีลสมาธิปัญญา

    การที่จะเป็นความว่างนั้นต้องหัดกำหนดให้รู้จัก ความสงบกายสงบวาจาสงบใจ ซึ่งเป็นศีล ไม่ดิ้นรนไปเพื่อที่จะประพฤติก่อภัยก่อเวรต่างๆ จิตพร้อมทั้งกายทั้งวาจาสงบเรียบร้อย ดั่งนี้ก็เป็นศีล ตัวศีลนี่แหละเป็นความว่าง ว่างจากภัย ว่างจากเวรทั้งหลาย ไม่ก่อภัยไม่ก่อเวรอะไรๆ ขึ้น ทางกายวาจาพร้อมทั้งทางใจ คือใจก็ไม่คิดที่จะไปก่อภัยก่อเวรแก่ใคร ไปทำร้ายเบียดเบียนใคร กายวาจาก็ไม่ไปประพฤติกระทำร้ายใครเบียดเบียนใคร ก็ว่างจากภัยจากเวรทั้งหลาย ใจที่ว่างดั่งนี้ กายวาจาที่ว่างดั่งนี้เป็นศีล

    จิตก็เหมือนกัน เมื่อจิตสงบได้จากความคิดฟุ้งซ่านไป ในอารมณ์ตามใคร่ตามปรารถนาต่างๆ มาตั้งมั่นอยู่ในกิจที่ควรทำต่างๆ ตลอดจนถึงมีความสงบอยู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านออกไป ความสงบจิตดั่งนี้ก็เป็นสมาธิ และปัญญาคือตัวความรู้ ความรู้ที่รู้จักศีลตามเป็นจริง รู้จักสมาธิตามเป็นจริง

    ตลอดจนถึงรู้จักตัวความว่าง ว่าความว่างที่เป็นความว่างจริงนั้น ต้องว่างจากความเพลิดเพลิน ความติดใจยินดีที่ไปกับตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ดั่งนี้ก็เป็นปัญญา คือรู้จักสัจจะคือความจริงที่กายวาจาใจของตัวเอง ดั่งนี้ก็เป็นปัญญา จิตที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญานี้เอง ก็เป็นตัวความว่างซึ่งเป็นตัวผล เป็นความสงบที่ยิ่งๆ ขึ้นไป และเป็นความรู้ที่ยิ่งๆ ขึ้นไป

    เมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว จึงจะรู้จักธรรมะ รู้จักพุทธศาสนา เมื่อรู้จักธรรมะรู้จักพุทธศาสนาดั่งนี้ แม้น้อยหนึ่งก็เป็นประโยชน์มาก เพราะได้รู้จักของจริงของแท้ ว่าพุทธศาสนาที่จริงที่แท้นั้นเป็นอย่างนี้ และจะทำให้รู้จักลู่ทางที่จะปฏิบัติให้พบกับความว่าง ให้พบกับความสงบ ให้พบกับความหลุดพ้นของตนยิ่งๆ ขึ้นไปได้

    ความจริงที่ตนเอง

    พระบรมศาสดาผู้ทรงรู้ทรงเห็น ได้ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน ก็เพื่อให้ผู้ปฏิบัติทุกคนได้รู้ได้เห็นสัจจะคือความจริงนี้ ที่ตนเองของทุกๆ คน ไม่ใช่ที่อื่น แม้ที่ทรงแสดงสติปัฏฐานทั้ง ๔ ตั้งสติกำหนดดูกายเวทนาจิตธรรม ก็เป็นการดูให้รู้เข้ามาในการที่จะปฏิบัติอาศัยกายเวทนาจิตธรรมนี้เอง ให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาขึ้นมา และให้พบกับความว่าง ให้พบกับความสงบ ให้พบกับความหลุดพ้น ไม่ใช่อย่างอื่น

    และก็ทรงจำแนกแจกธรรม ก็คือตรัสสอนให้ผู้ฟัง รู้จักจำแนกทางปฏิบัติออกไปเป็นกาย เป็นเวทนา จิต ธรรม ดูให้รู้จักกาย รู้จักเวทนา รู้จักจิต รู้จักธรรม ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว และโดยเฉพาะในข้อที่เกี่ยวกับธรรมะนั้น ก็ได้ทรงสรุปเข้าในสัจจะคือความจริง

    ความทุกข์ ความสุข

    (เริ่ม ๓๑/๒) อันได้แก่ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็ให้รู้จักตัวทุกข์ที่ กาย เวทนา จิต ธรรม นี้นี่เอง คือให้รู้จักว่าตัวทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องทน โดยสามัญบุคคลนั้น สิ่งที่ทนยากจึงเรียกกันว่าทุกข์ แต่สิ่งที่ทนง่ายเรียกกันว่าสุข แต่ที่จริงนั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องทนทั้งนั้น เป็นทุกข์ทั้งนั้น โลกเรียกว่าสุข เรียกว่าทุกข์ แต่อย่างละเอียดตามคดีธรรมนั้นเป็นทุกข์ทั้งนั้น คือเป็นสิ่งที่ต้องทนทั้งนั้น ทั้งสุขและทั้งทุกข์ที่คนเข้าใจกันอยู่ และเมื่อทนง่ายก็ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์มาก แต่อันที่จริงนั้นเป็นทุกข์คือทุกข์น้อย แต่ว่าเมื่อต้องทนยากจึงเรียกกันว่าเป็นทุกข์

    เพราะเหตุว่าทุกๆ สิ่งนั้น ที่เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งหมด ย่อมเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ต้องเกิดต้องดับ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ ก็เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์คือทนยากทั้งนั้น คือทนอยู่ไม่ได้ ถ้าหากว่าทนอยู่ได้แล้วก็จะไม่ต้องดับ เหมือนอย่างความสุขที่ว่าเป็นความสุขกันทางคดีโลกนั้น แม้ไม่กล่าวว่าทนง่าย คือว่าทุกข์น้อย เรียกกันว่าสุข หรือกล่าวกันว่าสุขนี่แหละ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ตั้งอยู่ตลอดไป อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป เมื่อหายไปอาการที่ต้องทนมาก หรือทนยาก ที่เรียกกันว่าความทุกข์ตามธรรมดานั้น ก็บังเกิดขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เป็นความสุขอะไรที่แท้จริง แต่เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว คือตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป

    เพราะฉะนั้นจึงต้องหัดดูให้รู้จัก ว่าแม้ความสุขที่เข้าใจกันนี้ก็เป็นตัวทุกข์ คือเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป และแม้สิ่งที่น่าปรารถนาพอใจทั้งหลายอย่างอื่น เช่นลาภยศสรรเสริญต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ ไม่ตั้งอยู่คงที่ อาจจะมีอยู่ ตั้งอยู่ นานบ้าง แต่ในที่สุดก็ต้องดับ ต้องหายไป

    แม้ว่าจะดำรงอยู่นาน ชีวิตนี้ก็จะต้องดับไปก่อน เพราะชีวิตนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ เมื่อชีวิตนี้ดับไปก่อนก็เป็นอันว่า ก็ต้องละทุกอย่าง ไม่เป็นเจ้าเข้าเจ้าของในสิ่งทั้งปวงอยู่ได้ตลอดไป พิจารณาให้รู้จักดั่งนี้ ว่าเป็นทุกข์ทั้งนั้นคือเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป

    พิจารณาให้รู้จักทุกข์ตามเป็นจริง

    แต่ว่าบุคคลนั้น เมื่อยังไม่กำหนดให้รู้จักทุกข์อย่างละเอียดลงไปจริงๆ จึงทำให้มีความเพลินอยู่ในทุกข์ มีความติดอยู่ในทุกข์ ยึดเอาทุกข์ไว้ เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ปล่อยไม่ได้ พระบรมศาสดาจึงได้ตรัสสอนให้กำหนดให้รู้จักทุกข์ตามความเป็นจริง และก็ตรัสสอนไว้เป็นอันมากในเรื่องนี้ เพื่อให้หมั่นพิจารณาให้รู้จักทุกข์ตามความเป็นจริง และเมื่อมองเห็นทุกข์แล้ว ก็จะทำให้ผ่อนคลายความเพลิดเพลิน ความติดใจยินดี ความดิ้นรนไปในทุกข์ต่างๆ ก็จะทำให้ปล่อยทุกข์ได้

    พระบรมศาสดาได้ตรัสสอนไว้โดยปริยายคือทางเป็นอันมาก และในสติปัฏฐานก็ได้ตรัสสอนให้พิจารณาให้รู้จัก ตลอดจนถึงตัวสมุทัยคือเหตุเกิดทุกข์ คือตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ว่าก็เกิดขึ้นที่ทุกข์นี่แหละ แล้วก็ดับไปที่ทุกข์นี่แหละ และโดยที่ตรัสขยายทุกข์ออกไปเป็นอายตนะภายใน อายตนะภายนอก เป็นวิญญาณ เป็นสัมผัส เป็นเวทนา เป็นสัญเจตนา เป็นตัณหา เป็นวิตก เป็นวิจาร ทั้งหมดนี้ก็รวมอยู่ในคำว่าทุกข์ทั้งนั้น คือตัวทุกข์นี้เอง อันสรุปเข้าได้ว่าตัณหาก็บังเกิดขึ้นตั้งอยู่ที่ตัวทุกข์ ดับไปก็ดับไปที่ตัวทุกข์นี้เอง ไม่ใช่ที่อื่น

    เพราะฉะนั้น การที่จะพิจารณาให้เห็นทุกข์นั้น จึงต้องพิจารณาให้ผ่านตัวทุกข์ที่เข้าใจว่าเวทนาต่างๆ ที่ทนง่ายทนยากดังกล่าวนั้น

    เข้าไปจนถึงตัวสังขารอันเป็นที่ตั้งของทุกข์ทั้งปวง ที่ตรัสเรียกว่าขันธ์บ้าง อายตนะบ้าง ธาตุบ้าง หรือที่ตรัสจำแนกไว้ในหมวดที่ทรงแสดงถึงสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ และความดับทุกข์ดังกล่าวนี้ รวมเข้าในคำว่าทุกข์คำเดียวทุกๆ ข้อ ตัณหาก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ที่ทุกข์ แต่เพราะยังไม่เห็นทุกข์ จึงได้มีความเพลินอยู่ในทุกข์ และมีความติดใจอยู่ในทุกข์ แต่ว่าเมื่อเห็นทุกข์แล้วก็จะทำให้ปล่อยวาง ไม่ต้องการ ก็เป็นความดับทุกข์ ก็ดับที่ทุกข์นั้นเอง เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติจึงสมควรที่จะหมั่นฝึกหัดพิจารณา ให้รู้จักสัจจะคือตัวความจริงนี้ และจะพบกับสุญญตาคือความว่าง พบกับสันติคือความสงบ จะพบกับวิมุติคือความหลุดพ้น ตามสมควรแก่ความปฏิบัติที่ได้ที่ถึง

    ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

    http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-051.htm
    *****************************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2013
  7. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    pporjai*, supatorn+, Natcha@uk

    ไม่หลงทุกข์ ไม่หลงสุข
    มองให้เห็นตามความเป็นจริง
    สาธุ ค่ะ
     
  8. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    [​IMG]

    สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ..
     
  9. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ทิ้งรูป ทิ้งนาม........คือการตัดร่างกายให้ขาดอยู่เหนือขันธ์5ให้ได้ ทิ้งนาม......ละเวทนา , สัญญา , สังขาร , วิญญาณ......การมีร่างกายหรือการยึดติดกับนามมันเป็นทุกข์ ก็รู้กันอยู่......ก็อย่าไปยึดมันซิถ้ายึดอยู่ก็คงต้องทุกข์ต่อไปถ้าท่านใดเลิกยึดแล้วก็ขอให้นึกถึงมรณานุสติอยู่เป็นประจำ........และขอจงพิจารณาตัดอารมณ์ที่มากระทบ........ไม่ว่าจะเป็นรัก.....โลภ.......โกรธ.......หลง.........พอใจ........ไม่พอใจ และละความเพลิดเพลินยินดีออกเสียได้......ถ้าทำได้อย่างนี้แล้วก็จะไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป........เพราะทุกข์มันไม่ได้วิ่งเข้ามาหาเราหรอก........ตัวจิตของเรานี่แหละวิ่งไปหาทุกข์เข้ามา....คือคนส่วนใหญ่ชอบไปคิดถึงเรื่องอดีตที่ผ่านไปแล้ว และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง.....ไปคิดถึงอยู่ทำไมกับสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง (ความแน่นอน......คือสิ่งที่ไม่แน่นอน)ไม่มีอะไรหรอกที่คงทนถาวร มันเกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแล้วขอท่านทั้งหลายจงตรวจสอบตัวเองดูว่า .......ความนึกคิดของเราเป็นแบบไหน......คือ1สิ่งที่สมควรคิดกลับไม่คิด หรือ2 ไปคิดในสิ่งที่ไม่สมควรคิด(คงไม่ต้องอธิบายความหมายให้ฟังนะ) ขอเล่าเรื่องนี้ให้ฟังนะ.........คือมีชายหนุ่ม2คนเป็นเพื่อนกัน.......เดินอยู่ในตลาดมองไปเห็นแผงขายหวย.......ทั้งสองคนเลยคุยกันว่าจะซื้อหวย......แต่ยังไม่ทันได้ซื้อนะเพียงคิดว่าจะซื้อ ทันใดนั้นเพื่อนคนแรกก็ถามขึ้นมาว่า.....ถ้าแกถูกหวยแล้วแกจะเอาเงินไปทำอะไร........เพื่อนคนที่ถูกถามตอบว่าจะเอาเงินไปทำถนนทางลาดยางอย่างดีเข้าให้ถึงหน้าบ้าน.......แล้วคนแรกก็ถามต่อว่า.........แล้วแกจะให้ข้าขับรถผ่านถนนที่แกสร้างไหม.......เพื่อนที่ถูกถามตอบกลับทันทีว่าไม่ให้........พอตอบเสร็จก็หันกลับมาถามเพื่อนบ้างว่า.....แล้วถ้าแกถูกหวยแกจะเอาเงินไปทำอะไร.........เพื่อนคนแรกตอบว่าจะเอาเงินไปซื้อรถเบนซ์.......เพื่อนเลยถามต่อว่าแล้วแกจะให้ข้านั่งรถแกหรือเปล่าละ.........ถูกคนแรกสวนกลับทันทีเลยว่า...........แกยังไม่ให้ข้าขับรถผ่านถนนที่แกสร้างเลยแล้วเรื่องอะไรข้ามาให้แกมานั่งรถข้า......หลังจากนั้นก็เกิดการโต้เถียงกัน มีเรื่องถึงชกต่อยกันสุดท้ายก็ต้องไปจบที่สถานีตำรวจ..........เห็นไหมละหวยยังไม่ได้ซื้อเลย..........คิดเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนแล้ว เขาเรียกว่า........คิดไม่รู้กู่ไม่กลับ.........เพราะว่าขาดสติ........ทำให้ขาดความยั้งคิด.........ต้องจับมาฝึกจิตเกาะพระน่าจะดีนะ จะได้หาจิตตัวเองเจอและมีสติที่ดีกว่านี้.......อย่าไปคิดเลยว่าข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น.........ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก........สิ่งที่เราต้องคิดคือ ณ ปัจจุบันนี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้........นอกนั้นไม่สมควรคิด.......สิ่งที่ควรทำคืออยู่กับลมหายใจเข้าออก......ฝึกสติให้เป็นสติสัมปชัญญะคือรู้ตัวทั่วพร้อม.........อยู่กับกฏของธรรมดา และธรรมชาติ.........ดูเข้าไปให้จิตเห็นจิต........กายเห็นกาย......ใจเห็นใจ.......มองธรรมให้เห็นธรรม ขอท่านทั้งหลายจงอบรมจิตให้อยู่กับปัจจุบัน.........มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง......มีศีลคอยคุ้มครอง........มีภาวนาอยู่เป็นมิตร..........มีสมาธิเพื่อความสงบปล่อยวาง..........มีปัญญามาวิปัสนา..........กิเลส ตัญหา อุปทาน............มีปัญญาญานมาตัดรูป ตัดนาม........ให้มองเห็นถึงกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ถึงละเอียดยิบๆๆๆๆ............ขอให้ท่านทั้งหลายจง สุขกาย สบายใจ มีธรรมะที่บริสุทธิ์ทุกทั่วหน้ากันเทอญ.......สาธุ สาธุ สาธุ.........
     
  10. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน"...ท่านเป็นต้นไม้ใหญ่...

    ท่านเป็นบุญต้นใหญ่ในปัจจุบัน...มีดอกผลที่เกิดจากปลูกฝังทะนุบำรุงต้นบุญต้นกุศล

    ...สมบูรณ์...แข็งแรง...สง่างดงาม...ผลิดอกออกผล...

    ...ในฝูงนก...กาได้พึงอาศัย...ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา...

    ...ดอกไบ...ไปทั่วดินแดน...แต่ขณะนี้ต้นไม้ใหญ่ได้หักโค่นลง...

    ...ใครหนอที่จะได้เพาะพันธ์เชื้อไม้ต้นใหญ่นี้ไว้ในหัวใจ...เหมือนท่าน...

    ...ฝูงนก...กาน้อยใหญ่จะได้คอย...โผโบยบินอาศัยจิกกิน...

    ...ผลไม้ที่หวานหอมนี้...รัาษาชีวิต...ตราบจนวันตาย...

    ...พระมหาบัว ญาณสัมปันโน หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน...

    ...ท่านฝากคำสอนนี้ไว้กับลูกหลาน...ด้วยความห่วงใย...ต้นไม้ต้นเล็กๆ...

    ...ขอน้อมกราบขอบพระคุณองค์หลวงตา ญาณสัมปันโน.กราบ กราบๆ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2013
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนาสาธุ กับ คุณพี่มาลินี ที่ได้นําธรรมะขององค์หลวงตามาเล่าสู่พวกเราฟัง เพราะองค์หลวงตาท่านได้ทําคุณงามความดีมาตลอดตั้งแต่ท่านได้ออกบวช...ไม่เคยมีความบกพร่องต่อธรรมและวินัย และยังได้ประกาศสอนโลกที่พวกเราได้ฟังธรรมของท่านมาโดยตลอด...และน้อมนํามาปฏิบัติและได้เห็นผลคือ ความสุขความร่มเย็น และพวกเราก็เหมือนฝูงนกที่บินมาพึงร่มเงาของท่านที่ได้รับสุขและความอบอุ่นเพราะไม่มีนายพรานที่จะคอยยิงพวกเรา หรือ (นก)เพราะเป็นสถานที่ที่มีแต่ความเมตตาต่อฝูงสัตว์ทั้งหลายได้ร่มเงาเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ...จากทั้งใกล้และไกลได้มาพึงใบบุญของท่าน ผู้เขียนจึงขอกล่าวคําอนุโมทนาสาธุ และขอให้พวกเราทั้งหลายจงเป็นเหมือนนกที่มีความสามัคคีต่อกันและกัน แล้วเราก็จะรอดพ้นจากบ่วงของนายพรานไปได้...สาธุค่ะ
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2013
  12. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ)

    "ท่านได้ให้ธรรมะคำสั่งสอนไว้ว่า...

    สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน...เป็นผู้รับผลของกรรม

    ...มีกรรมเป็นกำเนิด...มีกรรมเป็นเผาพันธุ์...

    ...มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย...กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลาย...

    ...ให้เลวและประณีต"

    คัดมาจากหนังสือแก้กรรมปัจจุบัน...ให้ทันชาตินี้...

    กราบหลวงปู่จรัญด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะสาธุ สาธุ สาธุ.
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    สวัสดีปีใหม่ไทย 2556 ทุกๆท่าน​
    พากันเล่นน้ำ พากันสาดน้ำอย่างสนุกสนานกันแล้ว
    ก็อย่าลืม!
    ถือโอกาสนี้เข้าไปรดน้ำดำหัว กราบไหว้ ขอขมากรรมพร้อมขอพรจากผู้มีพระคุณ
    โดยเฉพาะคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ดูแลเลี้ยงจนเราเติบใหญ่
    และอย่าลืม!
    เข้าวัด เข้าวาทรงน้ำพระ ทำบุญทำทาน สวดมนต์ไหว้พระ ฟังเทศน์ฟังธรรม พากันรักษาศีล ทำภาวนากัน
    เพราะเห็นมีแต่ภาวนาเท่านั้น ที่พอจะชำระล้างกิเลสตัณหาฯให้สิ้นซากไปจากจิตใจของเรา
    เล่นน้ำ ขับรถ เดินทาง หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ขอให้เรามีสติ หรือมีความรู้สึกตัว+ทั่วพร้อม

    ข้าพเจ้าขอเป็นตัวแทนพวกเรา ขออวยพรให้กับพวกเราทุกคนปลอดภัยมีความสุขกายสบายใจเจริญในธรรม
    และขอให้จิตเข้าถึงซึ่งอารมณ์พระพุทธเจ้าหรือพระนิพพานด้วยเทอญ​

    [​IMG]
    ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสนี้ ขอขมากรรมกับพวกเรา ที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินทั้งกายวาจาใจทั้งด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม
    โดยเฉพาะครูเพ็ญ น้องดัช น้องหนู น้องวิทย์ และทุกๆท่าน ได้โปรดยกโทษ อโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
    และข้าพเจ้าอโหสิกรรมให้กับผู้ที่เคยล่วงเกินทั้งกายวาจาใจข้าพเจ้า ทุกๆท่านด้วยเช่นกัน​

    "กรรมย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"​

    ข้าพเจ้าหยุดแล้ว พวกเราหยุดหรือยัง?
    กรรมทุกอย่างเริ่มต้นที่เราและก็หยุดที่เราเอง แต่ผู้ใดจะไปทำกรรมเพิ่มก็เป็นเรื่องของผู้นั้น
    หมดหน้าที่ของเราแล้ว เพราะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎแห่งกรรม​
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=RdgKbUTYHEY]ดำหัวปีใหม่ : อักษรธรรมล้านนา (ช) - YouTube[/ame]​
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=1YdwTVqN9ZA]อีสานลำเพลิน - YouTube[/ame]​
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Hyxil-ubJME]Nellyka (เนลลี) - น่องเหง๊า [ลูกทุ่งใต้] - YouTube[/ame]

    เดี๋ยวจะหาว่ารักภาคเดียว
    วันนี้ขอนิดนึงนะ สงกรานต์ สงกรานต์!!!
    เอาเพลงมาฝากคุณพี่ต้อย คุณพี่พอใจ คุณพี่จุ๋ม และทุกๆท่าน
    คิดถึงกันเหมือนเดิมนะครับ
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    ของหวานหน้าร้อน!
    ไม่ใช่ขนมหวาน(ฌาน นิมิต อภิญญา)ของนักภาวนากันนะ..คิคิ
    เอาขนมหวานมาฝากสว.ตามเคย คุณพี่พอใจอย่าทานมากนะ
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,164
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,045
    ขนมหวาน

    **************************************
    สวัสดีปีใหม่ทุกๆท่านค่ะ ขอให้มีความสุข ปลอดภัย โชคดี แวดล้อมด้วยกัลยาณมิตร และสัตบุรุษทั้งทางโลกและทางธรรม ตราบจนถึงซึ่ง"นิพพาน"จงทุกท่านเทอญ
    ***เพิ่งถูกใจคราวนี้เอง ขอบพระคุณค่ะ น้องจุ๋มก็ทําเก่งมากเลย ยังสงสัยเกี่ยวกับคุณน้องLinda น้องอ้อมทําไข่ลูกเขย(ไข่นกกระทาหรือเปล่า)เก่งค่ะ
    เดี๋ยวในไม่ช้าน้องพอใจจะมาร้องเพลงจิตเกาพระ เอ๊ยยไม่ใช่ "จิตเกาะพระ"ให้ฟังค่ะ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    Oh yeah 555+ คิดได้ไงเนี๊ย น่าตีจริง!

    เรือครูเกษเป็นแบบนี้ใช่หรือเปล่าครับ?
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอให้จิตพวกเราเป็นดั่งเรือสะเทือนน้ำสะเมือนบกกันนะครับ
    "จิตเอนกประสงค์" จิตหมวดพร้อม
    เอ๊า คราวนี้แถมให้ดูกันใหญ่เลย


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=VLgOQwAyuw4"]???????????? ????????? ?????????? - YouTube[/ame]
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ptsKev_Zphs"]???????? - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 เมษายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...