จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    กตัญญู...รู้คุณ

    ความกตัญญู คือ ความรู้คุณ หมายถึงความเป็นผู้มีใจกระจ่าง มีสติ มีปัญญาบริบูรณ์ รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นกระทำแล้วแก่ตน ผู้ใดก็ตามที่ทำคุณแก่ตนแล้ว ไม่ว่าจะมากก็ตาม น้อยก็ตาม เช่น เลี้ยงดูสั่งสอน ให้ที่พัก ให้งานทำ ฯลฯ
    ย่อมระลึกถึงด้วยความซาบซึ้งอยู่เสมอ ไม่ลืมอุปการคุณนั้นเลย

    สิ่งที่ควรกตัญญู ๕ ประการ ได้แก่
    ๑.กตัญญูต่อบุคคล คือ ใครก็ตามที่เคยมีพระคุณต่อเรา ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงไร จะต้องกตัญญูรู้คุณท่าน ติดตามระลึกถึงเสมอด้วยความซาบซึ้งพยายามหาโอกาสตอบแทนคุณท่านให้ได้ โดยเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์ บิดามารดา ครู อุปัชฌาย์อาจารย์ พระมหากษัตริย์หรือผู้ปกครองที่ทรงทศพิธราชธรรม จะต้องตามระลึกนึกถึงพระคุณของท่านให้จงหนัก ให้ปฏิบัติตัวให้เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของครูอาจารย์ เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ และเป็นพุทธมามกะสมชื่อ

    ๒.กตัญญูต่อสัตว์ คือ สัตว์ที่มีคุณต่อเรา เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ที่ใช้งาน จะต้องใช้ด้วยความกรุณาปรานี ไม่เฆี่ยนตีมันจนเหลือเกิน อย่าใช้งานหนักจนเป็นการทรมาน และเลี้ยงดูให้อาหารอย่าให้อดอยากให้ได้กินได้นอนได้พักผ่อนตามเวลา ตัวอย่างในเรื่องกตัญญูต่อสัตว์นี้มีอยู่ว่า
    ในสมัยก่อนพุทธกาล วันหนึ่ง พระเจ้ากรุงราชคฤห์ เสด็จประพาสอุทยาน และได้บรรทมหลับในอุทยานนั้น ขณะนั้นมีงูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามาและกำลังจะฉกกัดพระองค์ เผอิญมีกระแตตัวหนึ่งเห็นเข้าแล้วร้องขึ้น พระองค์จึงสะดุ้งตื่นและไล่งูหนีไปทัน ทรงระลึกถึงคุณของกระแตว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตพระองค์ไว้ จึงรับสั่งให้พระราชทานเหยื่อแก่กระแตในอุทยานนั้นทุกวัน และห้ามไม่ให้ใครทำอันตรายแก่กระแตในอุทยานนั้น คนทั้งหลายจึงเรียกอุทยานนั้นว่า “เวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน” แปลว่า ป่าไผ่อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต ซึ่งต่อมาก็คือ “เวฬุวันมหาวิหาร” วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา

    ๓.กตัญญูต่อสิ่งของ คือ ของสิ่งใดก็ตามที่มีคุณต่อเรา เช่นหนังสือ ธรรมะ หนังสือเรียน สถานศึกษา วัด ต้นไม้ ป่าไม้ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการหาเลี้ยงชีพ ฯลฯ จะต้องปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ให้ดี ไม่ลบหลู่ดูแคลน ไม่ทำลาย
    ตัวอย่าง เช่น ไม้คานที่ใช้หาบของขาย เมื่อเจ้าของตั้งตัวได้ ร่ำรวยขึ้นก็ไม่ทิ้ง ยังคิดถึงคุณของไม้คานอยู่ ถือเป็นของคู่ชีวิต ช่วยเหลือตนสร้างฐานะมา จึงเลี่ยมทองเก็บไว้เป็นที่ระลึก อย่างนี้ก็มี
    มีกล่าวไว้ในเตมียชาดกว่า
    “อย่าว่าถึงคนที่เราได้พึ่งพาอาศัยกันเลย แม้แต่ต้นไม้ที่ได้อาศัยร่มเงา ก็หาควรจะหักกิ่งลิดก้านรานใบของมันไม่ ผู้ใดพำนักอาศัยนั่งนอนใต้ร่มเงาของต้นไม้ใดแล้ว ยังขืนหักกิ่งลิดก้านรานใบ เด็ดยอดขุดรากถากเปลือก ผู้นั้นชื่อว่าทำร้ายมิตร เป็นคนชั่วช้าเลวทราม จะมีแต่อัปมงคลเป็นเบื้องหน้า"

    ๔.กตัญญูต่อบุญ คือ รู้ว่าคนเราเกิดมามีอายุยืนยาว ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณดี สติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความสุขความเจริญ มีความก้าวหน้า มีทรัพย์สมบัติมาก ก็เนื่องมาจากผลของบุญ จะไปสวรรค์หรือกระทั่งไปพระนิพพานได้ก็ด้วยบุญ กล่าวได้ว่า ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยบุญ ทั้งบุญเก่าที่ได้สะสมมาดีแล้ว และบุญใหม่ที่เพียรสร้างขึ้นประกอบกัน จึงมีความรู้คุณของบุญ มีความอ่อนน้อมในตัว ไม่ดูถูกบุญ ตามระลึกถึงบุญเก่าให้จิตใจชุ่มชื่น และไม่ประมาทในการสร้างบุญใหม่ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

    ๕.กตัญญูต่อตนเอง คือ รู้ว่าร่างกายของเรานี้เป็นอุปกรณ์สำคัญที่เราจะได้อาศัยใช้ในการทำความดี ใช้ในการสร้างบุญกุศลนานาประการเพื่อความสุข ความเจริญก้าวหน้า แก่ตนเองต่อไป จึงทะนุถนอมดูแลร่างกายรักษาสุขภาพให้ดี ไม่ทำลายด้วยการกินเหล้าเสพสิ่งเสพย์ติด เที่ยวเตร่ดึกๆ ดื่นๆ และไม่นำร่างกายนี้ไปประกอบความชั่ว เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เจ้าชู้ อันเป็นการทำลายตนเอง


    อานิสงส์การมีความกตัญญู
    ๑.ทำให้รักษาคุณความดีเดิมไว้ได้
    ๒.ทำให้สร้างคุณความดีใหม่ได้อีก
    ๓.ทำให้เกิดสติ ไม่ประมาท
    ๔.ทำให้เกิดหิริโอตตัปปะ
    ๕.ทำให้เกิดขันติ
    ๖.ทำให้จิตใจผ่องใส มองโลกในแง่ดี
    ๗.ทำให้เป็นที่สรรเสริญของคนดี
    ๘.ทำให้มีคนอยากคบหาสมาคม
    ๙.ทำให้ทั้งมนุษย์และเทวดาอยากช่วยเหลือ
    ๑๐.ทำให้ไม่มีเวรไม่มีภัย
    ๑๑.ทำให้ลาภผลทั้งหลาย เกิดขึ้นโดยง่าย
    ๑๒.ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย


    ที่มา : http://www1.freehostingguru.com/thaigenx/mongkhol/mk25.htm
     
  2. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ท่านใดเกิดมาเพื่อสะสางกรรมกันบ้าง??...โดยเฉพาะ..ผู้หญิง


    พระอิสิทาสีเถรี
    ชาตินี้ขอสะสางกรรม


    แสงโสมสาดส่องอาบทั่วชินทัตตาราม เสียงไก่โห่เริ่มแว่วมาเป็นระยะๆ ลมปลายปัจฉิมยามพัดแผ่ว รำเพยเอากลิ่นไม้ป่าบางชนิดติดมาด้วย หอมเย็นระรื่น แสงโคมไฟตามทิวไม้ที่จุดไว้เพื่อจงกรม เป็นเหมือนแสงแห่งดวงดาว

    ภิกขุนูปัสสะยะในยามนี้ ช่างน่าทัสสนายิ่งนัก! เพราะนักบวชหญิงทั้งหลายเป็นผู้มีความเพียรกล้าเยี่ยงชายชาติอาชาไนย !

    "จริงอยู่ ธรรมชาติของจิตนี้มันดิ้นรนกวัดแกว่งรักษายาก ห้ามได้ยาก ผู้มีปัญญาจึงพยายามทำจิตนี้ให้หายดิ้นรน และเป็นจิตตรงเหมือนช่างศรดัดลูกศรให้ตรง จิตนี้คอยแต่จะกลิ้งเกลือกลงไปคลุกเคล้ากับกามคุณ เหมือนปลาซึ่งเกิดในน้ำถูกนายพรานเบ็ดยกขึ้นจากน้ำแล้ว คอยแต่จะดิ้นลงไปในน้ำอยู่เสมอ ผู้มีปัญญาจึงพยายามยกจิตขึ้นจากอาลัยในกามคุณ ให้ละบ่วงมารเสีย"

    ภิกษุณีนางหนึ่งเพ่งพิศขึ้นภายในใจ ในขณะที่นางเดินจงกรมในทิวไม้ที่มีแสงจันทร์นวลใยและโคมไฟสาดส่อง พร้อมไปกับประคองจิตและสติให้อยู่ในกาย เพื่อพิจารณาหัวข้อธรรมบางประการ

    ฤดูนี้ เป็นปลายเหมันตฤดู ย่างเข้าสู่สารทกาล ลมหนาวโชยแผ่วไหวพัดใบไม้ให้ร่วงไปทั่วบริเวณชินทัตตาราม อันชินทัตตารามนี้เป็นที่พระชินทัตตาภิกษุณีผู้สิ้นอาสวะอยู่จำพรรษา ให้โอวาทพร่ำสอนนางภิกษุณีทั้งหลาย ฤดูนี้เป็นฤดูหนาวก็จริงแต่ความหนาวเย็นเยือกเข้าสู่ขั้วหัวใจนั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับมุนีผู้มุ่งต่อพระนิพพาน

    ส่วนทางด้านทิศตะวันออกนั้น ดวงทินกรกลมโต เริ่มจะโผล่เหนือทิวไม้มาบ้างแล้ว ส่องแสงเงินแสงทองร่ำไร หมู่วิหกนกกาเริ่มออกจากรวงรัง ส่งเสียงครวญคร่ำร่ำร้องมาเป็นระยะๆ

    ปัจจุสกาล...แสงสีขาวทางทิศตะวันออกเริ่มทาบขอบฟ้าจากทิศเหนือจรดทิศใต้ ลมรุ่งอรุณพัดเฉื่อยฉิว นั่นแสดงว่าใกล้เวลาออกสู่โคจรเพื่อบิณฑบาตแล้ว ภิกษุณีน้อยใหญ่ต่างก็เร่งความเพียรเพื่อความสิ้นกิเลสให้เหมือนที่พระแม่เจ้าชินทัตตาสิ้นแล้ว พลางรำลึกถึงธรรมของพระศาสดาเพื่อเทียบกับใจที่เหนื่อยล้าต่อโลกและกิเลสอันเป็นประดุจภูเขาขวางกั้นธรรม

    ภิกษุณีนางหนึ่งนามว่า "อิสิทาสี" ผู้ซึ่งผ่านวัยที่ทำให้หน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา นางบากหน้าเดินดุ่มสู่อาราม เพิ่งได้อุปสมบทเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง อาศัยป่าทางด้านทิศตะวันออก กำลังเพ่งพิศธรรมที่พระศาสดาทรงสั่งสอนนี้ ว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ริเริ่มเป็นเบื้องต้นแห่งดวงอาทิตย์เมื่อจะอุทัย ก็คือแสงเงินแสงทองที่ร่ำไร ฉันใด

    ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ริเริ่มเป็นเบื้องต้นของกุศลธรรมทั้งหลาย ก็คือ การฝึกจิตให้ดี ฉันนั้นเหมือนกัน"

    "ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดทำความดีในเวลาเช้า ฤกษ์จะพึงดีในเวลาเช้า
    ผู้ใดทำความดีในเวลากลางวัน ฤกษ์จะพึงดีในเวลากลางวัน
    ผู้ใดทำความดีในเวลาเย็น ฤกษ์จะพึงดีในเวลาเย็น
    ภิกษุทั้งหลาย! บุคคลใดทำความดีในเวลาใดๆ ฤกษ์จะดีในเวลานั้นๆ"

    พระดำรัสของพระศาสดานี้ช่างกินใจนางเสียเหลือเกิน พร้อมๆ กันนั้นปีติก็ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย นางย้อนรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา "แต่ก่อนเราเป็นทาสของความรักเป็นทาสของสามี เป็นสตรีผู้ซื่อสัตย์ จนชาวเมืองทั้งหลายขนานนามว่า อิสิทาสี อันหมายความว่า หญิงผู้เป็นทาสของผัว เราทำความดีดั่งพระพุทธองค์ทรงสอน เรื่องการครองเรือนเกือบจะสมบูรณ์แล้ว แต่แล้วความสุขนั้นก็ไม่อาจอำนวยผลให้สมประสงค์ได้ เราเคยฟังธรรมเรื่องการครองเรือน เรื่องการเป็นภรรยาที่ดี ที่พระผู้มีพระภาคตรัสแก่พระนางสุชาดาว่า

    ดูก่อนสุชาดา ! ภรรยาใดมีจิตคิดประทุษร้าย ไม่อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล ยินดีในชายอื่น ดูหมิ่นสามี เป็นผู้อันเขาซื้อมาด้วยทรัพย์ พยายามฆ่าผัว ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า"ภรรยาเปรียบด้วยเพชฌฆาต"

    ส่วนสามีของหญิงใดประกอบด้วยศิลปกรรม พาณิชกรรม และกสิกรรม ได้ทรัพย์ใดๆ มา ภรรยาปรารถนาจะยักยอกทรัพย์ แม้ที่มีอยู่น้อยนิดนั้นเสีย ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า"ภรรยาเปรียบด้วยโจร"

    ดูก่อนสุชาดา ภรรยาใดที่ไม่สนใจการงาน เกียจคร้าน กินมาก ปากร้าย ปากกล้า ร้ายกาจ กล่าวคำหยาบข่มขี่สามีผู้ขยันขันแข็ง ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า "ภรรยาเปรียบด้วยนาย"

    ส่วนภรรยาใดที่เป็นเสมือนพี่สาวน้องสาว มีความเคารพยำเกรงในสามี เป็นคนละอายเกรงกลัวต่อบาป เป็นไปตามอำนาจสามี ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า "ภรรยาเปรียบด้วยพี่สาวน้องสาว"

    ดูก่อนสุชาดา ! ส่วนภรรยาใดอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ ตามรักษาสามีเหมือนมารดารักษาบุตร รักษาทรัพย์ที่สามีหามาไว้ได้ ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า "ภรรยาเปรียบด้วยแม่"

    ส่วนภรรยาในโลกนี้ เห็นสามีแล้วชื่นชม ยินดีเหมือนเพื่อนผู้จากไปนานแล้วกลับมา เป็นหญิงมีตระกูล มีศีล มีวัตร ปฏิบัติสามี ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า "ภรรยาเปรียบด้วยเพื่อน"

    ดูก่อนสุชาดา ! ภรรยาใด สามีเฆี่ยนตี ขู่ตะคอก ก็ไม่โกรธ ไม่คิดพิโรธโกรธตอบ อดทนได้รับได้ เป็นไปตามอำนาจสามี ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า "ภรรยาเปรียบด้วยทาสี"

    "ภรรยาเปรียบด้วยทาสี" นางย้ำคิดภายในใจ เราเป็นภรรยาเปรียบด้วยทาสี คอยทำการรับใช้เมื่อสามีและญาติสามีต้องการ ถึงกระนั้นก็ตามเราก็ยังไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ปรารถนาของสามี

    อนึ่งเล่า ! ชีวิตนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องที่น่าละอาย ทรงตัวอยู่ด้วยเรื่องที่ยุ่งยากสับสน แต่ท้ายสุดแล้ว ถ้าจบลงด้วยบรมสุข ชีวิตนั้นก็จัดว่าเป็นชีวิตที่น่าพึงใจอยู่มิใช่น้อย ชีวิตนี้อย่ามุ่งหวังกังวลอะไรนัก เพราะชีวิตนี้เหมือนความฝันอันกระจัดกระจายไปตามสายลม เหมือนเกลียวคลื่น ซึ่งก่อตัวขึ้นแล้วม้วนเข้าหาฝั่ง และแตกกระจายเป็นฟองฝอย จงยืนดูชีวิตเหมือนคนที่ยืนอยู่บนฝั่งมองดูเกลียวคลื่นในมหาสมุทรฉะนั้น

    อันการที่เราปฏิบัติสามีด้วยดี แต่สามีไม่รักนั้น คงไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุอื่นดอกกระมัง เป็นเพราะกงกรรมที่เราก่อขึ้นมาเอง พระพุทธองค์ตรัสว่า กรรมชั่วอย่าทำเลยดีกว่าเพราะกรรมชั่วเมื่อทำแล้วย่อมตามเดือดร้อนในภายหลัง ช่างเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ! อันตัวเรานี้เป็นหญิงผีหรือไรสามีจึงได้เกลียดนักแต่สามีก็หาใช่เทวดาไม่ เรื่องนี้ พระพุทธองค์เมื่อประทับใต้โคนไม้ข้างทางแห่งหนึ่ง ระหว่างเมืองมธุรากับเมืองเวรัญชา ในครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนบทธรรมสำหรับครองเรือนอันกินใจมากกว่า

    ดูก่อนท่านผู้ครองเรือนทั้งหลาย การอยู่ร่วมกันของสามีและภรรยามีอยู่ 4 อย่างคือ

    1. ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี
    2. ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา
    3. ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผี
    4. ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา

    ดูก่อนท่านผู้ครองเรือนทั้งหลาย ! สามีของหญิงใดในโลกนี้ เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จและดื่มน้ำเมา คือสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นคนทุศีล มีธรรมอันเลว มีใจอันเป็นมลทิน ถูกความตระหนี่ครอบงำ ด่าและบริภาษสมณะ อยู่ครองเรือน แม้ภรรยาของเขาก็เป็นเช่นนั้นคือมักฆ่าสัตว์เป็นต้นนั้น สามีภรรยาเช่นนี้แล เราตถาคตเรียกว่า "ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี"

    ดูก่อนท่านผู้ครองเรือนทั้งหลาย ! สามีของหญิงใดในโลกนี้เป็นผู้มักทำผิดศีลห้ามีฆ่าสัตว์เป็นต้นนั้น เป็นคนทุศีล มีธรรมอันเลว มีใจอันเป็นมลทิน ถูกความตระหนี่ครอบงำ ด่าและบริภาษสมณะ ส่วนภรรยาของเขาหาเป็นเช่นนั้นไม่ เป็นผู้มีศีลห้าคืองดเว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นต้น เป็นคนไม่ประมาทมีกัลยาณธรรม มีใจอันปราศจากมลทิน คือไม่ถูกความตระหนี่ครอบงำ ไม่ด่าและบริภาษสมณะ สามีภรรยาเช่นนี้แล เราตถาคตเรียกว่า "ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา"

    ดูก่อนท่านผู้ครองเรือนทั้งหลาย ! สามีของหญิงใดในโลกนี้เป็นผู้ประพฤติศีลห้าคืองดเว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นต้นนั้น มีกัลยาณธรรม มีจิตใจงาม ชอบให้ทานรักษาศีลสำรวมกายวาจาใจ ส่วนภรรยาของเขาหาเป็นเช่นนั้นไม่ เป็นคนทุศีลคือมักฆ่าสัตว์เป็นต้น มีธรรมอันเลว มีใจไม่สะอาด มักด่าและบริภาษสมณะอยู่เสมอ สามีภรรยาเช่นนี้แลเราตถาคตเรียกว่า "ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผี"

    ดูก่อนท่านผู้ครองเรือนทั้งหลาย ! สามีของหญิงใดในโลกนี้เป็นผู้ประพฤติศีลห้าคืองดเว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นต้น เป็นผู้ไม่ประมาทมีสติยั้งคิด มีธรรมอันงาม มักให้ทานรักษาศีลมีใจใสสะอาด เชื่อฟังคำสอนของนักปราชญ์ผู้ผ่านโลกมานาน เป็นคนกตัญญูกตเวทิตา ไม่ดูหมิ่นและเหยียดหยามสมณะผู้ประพฤติธรรม ส่วนภรรยาของเขาก็เป็นเช่นเดียวกันนั้น สามีภรรยาเช่นนี้แลเราตถาคตเรียกว่า "ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา"
    นางคิดถึงพระดำรัสของพระศาสดานี้ก็ทำให้สลดใจอยู่ไม่น้อย พระธรรมกถาก็หลั่งไหลวนเวียนย้ำเตือนนางอยู่เสมอ

    ภิกขุนูปัสสะยะเวลาเช้าช่างเงียบสงัดเหลือเกิน ภิกษุณีทั้งหลายต่างก็เร่งความเพียรเหมือนไม่รู้จักคำว่า "หลับ" ประคองธรรมะภายในใจประดุษพระพายรำเพยที่แผ่วไหว เมื่อกระทบกายใจใคร ก็จะรู้สึกสดชื่น

    จริงอยู่มนุษย์ผู้ตื่นอยู่ไม่ใคร่จะหลับมีอยู่ 5 ประเภท ที่พระบรมศาสดาตรัสแก่ภิกษุภิกษุณีทั้งหลายเมื่อคราวที่พระองค์เสด็จผ่านมาโปรดเวไนยสัตว์ที่ชินทัตตารามแห่งนี้เองว่า "ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลผู้ตื่นอยู่ไม่รู้จักหลับ คือผู้หลับน้อยแต่ตื่นนานในราตรีมีอยู่ 5 จำพวก คือ

    1. สตรีผู้มีความประสงค์กำหนัดในบุรุษแล้วเธอก็ดำริคำนึงถึง
    2. บุรุษผู้มีความกำหนัดในสตรีกระหายใคร่ได้ใคร่สัมผัส มีใจอันส่งไปกระสับกระส่าย
    3. โจรผู้มีความประสงค์จะลักทรัพย์และคิดหาวิธีคอยโอกาส ที่ผู้คนหลับไหล
    4. พระราชาผู้ประกอบในราชกรณียกิจเป็นห่วงประชาราษฎร์และการรบ
    5. ภิกษุผู้ปรารถนาความหลุดพ้นหรือพุทธสาวกสาวิกาผู้ปรารถนาความหลุดพ้นเร่งความเพียร

    อิสิทาสีภิกษุณีเธอเป็นผู้หลับน้อยตื่นนานเร่งความเพียร ปรารถนาความหลุดพ้น เมื่อคืนนี้นางพิจารณาธรรมอยู่ตลอดทั้งคืน พระพุทธคุณ เล่า ! ก็ไหลวนเวียนเข้ามาสู่ความสำนึกอันลึกซึ้ง นางคิดว่า ภายใต้พุทธฉายานี้ ช่างมีความสงบเย็น ตื่นตาตื่นใจ วิปัสสนาธรรมเล่า ! ก็นำมาซึ่งความบริสุทธิ์ที่น่าพึงใจ

    เสียงไก่โห่อยู่ไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มสาง ลมเย็นตอนรุ่งอรุณพัดแผ่วตามทิวไม้ แสงแดดในยามเช้าก็ชุ่มชื่นพอสบาย พระอาทิตย์เพิ่งจะยอแสงสาดส่องทั่วพื้นพิภพไม่นานนัก สายลมที่แผ่วไหวพัดเฉื่อยฉิวหอบเอากลิ่นดอกไม้ธรรมชาติติดมาด้วย นกตัวเล็กๆ กระโดดโลดเต้นด้วยความสำราญเบิกบานใจ บินจากต้นนี้ไปสู่ต้นโน้น บินจากต้นโน้นไปสู่ต้นนั้น อันธรรมชาติของสัตว์นั้นเป็นธรรมชาติซื่อตรงไม่คดโกง นกตัวเล็กๆ พลางร้องเหมือนทักทายกันด้วยความสดชื่นในเวลาอรุณรุ่ง

    ท้องฟ้าสางแล้ว แสงสว่างสาดไปทั่วไพรสณฑ์ โน้มน้อมดวงหทัยของนางภิกษุณีให้แจ่มใสชื่นบานแลแล้ววิปัสสนาปัญญาก็โพลงขึ้น ชำแรกกิเลสแทงทะลุบาปธรรมทั้งมวลที่หุ้มห่อจิต แหวกอวิชชาและโมหะเป็นประดุจตาข่ายด้วยศัสตราคือวิปัสสนาปัญญา พิจารณาเห็นสภาวธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งมวล บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยวิชชา 3 ในวันที่ 7 แห่งการอุปสมบท

    นางลงจากที่จงกรมผินพักตร์ไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ กราบถวายบังคมพระศาสดาด้วยความเห็นบุญเห็นคุณอันสุดจะประมาณได้

    "อา ! นางอุทานเบาๆ จิตนี้เป็นธรรมชาติผ่องใสมีรัศมีเหมือนจันทร์เจ้า แต่อาศัยกิเลสที่จรมาเป็นครั้งคราว จิตนี้จึงเศร้าหมอง เหมือนก้อนเมฆบดบังดวงจันทร์ให้อับแสง

    จิตอันเป็นบาปใดที่เราเคยกระทำแล้ว แต่ภายหลังมาละได้ด้วยวิปัสสนาญาณ เป็นเหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากเมฆหมอกส่องแสงสว่างจ้าได้ฉะนั้น"

    นางเตรียมนุ่งอันตรวาสก ครองอุตราสงค์ให้เป็นปริมณฑลเรียบร้อยถือบาตรเข้าสู่นครปาฏลีเพื่อบิณฑบาต ในระหว่างทางนั้นนางได้เจอกับเพื่อนภิกษุณีนางหนึ่ง สนทนากันพอประมาณได้ทราบชื่อว่า "โพธิ" เธอทั้ง 2 ได้ร่วมโคจรเที่ยวบิณฑบาตในสายทางเดียวกัน มีผู้คนคอยดักถวายอาหารเป็นแห่งๆ ภิกษุณีพุทธสาวิกาเหล่านี้เป็นที่คุ้นตาของประชาชนชาวเมืองปาฏลีอยู่แล้ว เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้วฉันอาหารท่ามกลางหาดทรายที่ศรัทธานำมาถวายด้วยอาการสามีบริโภค อันเป็นแบบอย่างแห่งพระอรหันต์ทั้งหลาย ทำภัตตกิจเสร็จแล้วภิกษุณีทั้ง 2 ก็ยับยั้งอยู่ ณ ที่นั้น สนทนาธรรมด้วยวิหารธรรมอันประเสริฐ

    "ข้าแต่แม่อิสิทาสีผู้ประพฤติพรหมจารีย์" โพธิภิกษุณีกล่าวถามขึ้น ท่านเป็นผู้หลับน้อยตื่นนานเร่งความเพียรรื่นเริงในธรรม มุ่งสันติวรบทคือพระนิพพาน ไม่คลุกคลีอยู่เดียวดาย ปรารถนาวิเวก มักน้อยและตั้งจิตไว้ชอบ ท่านทำประการใดหรือ ? ท่านจึงตามรักษาจิตของท่านไว้ในอำนาจได้

    "แนะแม่โพธิผู้บำเพ็ญตบะ" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวตอบ "ข้าพเจ้าปฏิบัติตามพระดำรัสของพระศาสดาที่ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่วัดเชตวัน พระองค์ตรัสว่า

    "ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลายเห็นท่อนไม้ใหญ่อันกระแสลมพัดลอยมาในแม่น้ำคงคาบ้างหรือไม่ พระพุทธองค์ตรัสแล้วทรงชี้พระหัตถ์ไปทางฝั่งแม่น้ำคงคา ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าท่อนไม้นี้จะไม่ลอยมาติดฝั่งข้างนี้หรือข้างโน้น จะไม่จมเสียในท่ามกลางแม่น้ำ ไม่เกยบก ไม่ถูกผู้คนลากเข้าฝั่ง ไม่ถูกน้ำวนวนเอาไว้ และไม่ผุเน่าในภายใน ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการดังกล่าวมาเช่นนี้แล ไม้ท่อนนั้นจะลอยไหลเรื่อยลงไปสู่มหาสมุทรได้ เพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่ากระแสน้ำแห่งแม่น้ำคงคาลุ่มลาดไหลเทลงไปสู่มหาสมุทรฉันใด

    ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าเธอทั้งหลายประพฤติธรรมมีความเห็นชอบ จะไม่แวะเข้าฝั่งข้างนี้ หรือแวะเข้าฝั่งข้างโน้น ไม่จมลงในท่ามกลาง ไม่เกยบก ไม่ถูกมนุษย์หรืออมนุษย์จับไว้ พวกเธอไม่ถูกเกลียวน้ำวนวนไว้ ไม่เป็นผู้เน่าเสียภายในไซร้ ด้วยประการดังกล่าวมานี้ พวกเธอทั้งหลายจักโน้มเอียงไปสู่พระนิพพานอันเป็นแดนเกษม เหมือนขอนไม้นั้นเข้าถึงฝั่งได้ฉันนั้น ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่า ความเห็นชอบย่อมโน้มเอียงโอนเทลาดไหลลงไปสู่พระนิพพานฉันนั้นเหมือนกัน

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ 'ฝั่งนี้และฝั่งโน้น' ได้แก่อะไรพระเจ้าข้า" ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามขึ้นด้วยความสนใจเป็นที่ยิ่ง

    ภิกษุทั้งหลาย ! พระศาสดาตรัสด้วยพระสุรเสียงอันกังวาล

    คำว่า "ฝั่งนี้" ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    คำว่า "ฝั่งโน้น" ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพผะ ธรรมารมณ์ที่เข้ามาสัมผัส
    คำว่า "จมลงในท่ามกลาง" ได้แก่ นันทิราคะ คือความเพลิดเพลินหลงใหลมัวเมา
    คำว่า "เกยบก" ได้แก่ อัสมิมานะ คือความถือตัวถือตน หลงตัวหลงตน

    คำว่า "ถูกมนุษย์จับไว้" ได้แก่ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้คลุกคลีเพลิดเพลินเศร้าโศกอยู่กับพวกคฤหัสถ์ เมื่อเขาสุขก็สุขด้วยเมื่อเขาทุกข์ก็ทุกข์ด้วย ยอมรับใช้เขาเป็นต้น

    คำว่า "ถูกอมนุษย์จับไว้" คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยศีลด้วยตบะโดยหวังเป็นเทวดาหรือเทพองค์ใดองค์หนึ่ง

    คำว่า "เกลียวน้ำวนๆ ไว้" ได้แก่ การลุ่มหลงในกามคุณทั้งห้า

    คำว่า "เน่าในภายใน" ได้แก่ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ทุศีลมีธรรมอันลามกไม่สะอาด มีความประพฤติน่ารังเกียจ มีการงานชั่วแต่ปกปิดไว้ ไม่เป็นสมณะก็ปฏิญาณตนว่าเป็นสมณะ เป็นผู้เน่าในภายในมีใจชุ่มไปด้วยกาม และเป็นประดุจถังขยะ

    ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเธอทั้งหลายประกอบด้วยความเห็นชอบ ย่อมโน้มเอียงและโอนไปสู่พระนิพพาน เหมือนท่อนไม้ไม่มีสิ่งกีดขวางย่อมไหลลาดเทลงไปสู่ทะเลลึกได้ฉะนั้น

    พระพุทธพจน์อันลึกซึ้งนี้ทำให้โพธิภิกษุณีหยุดชะงักและนิ่งงันไปชั่วครู่หนึ่ง อาจจะเป็นเพราะความลึกซึ้งแห่งบทธรรมอันกินใจที่นางไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ใดมาก่อน "ข้าแต่แม่อิสิ" นางกล่าวชื่อสั้นๆ ของอิสิทาสีภิกษุณี ข้าแต่แม่อิสิ ! บทธรรมเหล่านี้ข้าพเจ้าใคร่กระหายอยากฟังมานานแล้ว นับเป็นบุญของข้าพเจ้าจริงๆ ที่ท่านได้โปรดอนุเคราะห์เล่าธรรมะภาษิตของพระศาสดา ข้าพเจ้าจึงเป็นเสมือนโคตัวกระหายนมแม่ เมื่อได้ดื่มนมแม่ก็สดชื่น ถึงซึ่งการโลดคนอง เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังพระธรรมที่ท่านเล่า ก็รื่นเริงเป็นประดุจลูกโคน้อยตัวนั้น

    "แนะแม่โพธิผู้ยินดีในการเพ่งฌาณ !" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้น อันจิตที่เห็นชอบนั้นเหมือนลูกโคตัวดื้อรั้นวิ่งออกนอกทางแล้วก็กลับเข้ามาสู่ทาง อันจิตเข้าสู่ทางอันประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 นั้น เป็นจิตตรง คำว่า "ตรง" นั้น คือตรงต่อพระนิพพานโดยส่วนเดียว จิตที่ตรงนั้นไม่สามารถจะกลับมาทำความชั่วโดยเจตนาได้อีกแม้แต่น้อย มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสพระธรรมเทศนาอันเปรียบด้วยเลื่อยไว้ดังนี้ว่า

    ภิกษุทั้งหลาย ! แม้นพวกโจรใจบาปผู้มีความประพฤติต่ำช้า พึงตัดทอนอวัยวะน้อยใหญ่ของพวกเธอทั้งหลายด้วยเลื่อยอันคมกริบ อันมีด้ามสองข้างไซร้ ภิกษุผู้มีใจคิดประทุษร้ายตอบในโจรนั้น ย่อมไม่ชื่อว่า "ทำตามคำสอนของเราตถาคต"

    "ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุนั้นควรตั้งจิตไว้ชอบอย่างนี้ว่า ความเพียรอันเราบำเพ็ญแล้ว จักไม่ย่อหย่อน สติอันเราตั้งมั่นไว้ดีแล้ว จักไม่หลงลืม กายอันเราให้สงบแล้วจักไม่กระวนกระวาย จิตอันเราฝึกตั้งมั่นไว้ดีแล้ว จักมีอารมณ์เป็นอย่างเดียว การประทุษร้ายด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนหิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศัสตราทั้งหลายที่เหล่าโจรกระทำจงเป็นไปในกายนี้เถิด คำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะตั้งไว้ชอบและทำให้จงได้ดังนี้"

    นี่แหละแม่โพธิ พวกเราจึงควรเห็นพระธรรมะวินัยอันเป็นคำสอนสำคัญยิ่งกว่าอย่างอื่นที่จะมาถึงเข้า

    ข้าแต่แม่อิสิ ข้าพเจ้าเห็นท่านเคร่งครัดในวัตรปฏิบัติ ทั้งก็เป็นผู้มีชาติตระกูลดี รูปร่างและวัยก็ยังไม่เสื่อมโทรม แม้แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงยังต้องนึกชมว่า ท่านเป็นผู้มีรูปร่างผิวพรรณอันบุญหนุนส่ง ท่านเห็นประโยชน์หรือโทษอะไร ถึงได้ออกบวช ขอท่านเล่าความเป็นมาให้ข้าพเจ้าฟังเถิด
    ท่านเอย...อันความมีผิวพรรณดี ความมีเสียงไพเราะ ความมีสันฐานรูปร่างสมส่วน ความเป็นคนมีรูปงามมองดูไม่จืดไม่น่าเบื่อหน่าย เหล่านี้ได้มาด้วยบุญทั้งนั้น อันรูปร่างนี้ข้าพเจ้าอาจได้มาด้วยบุญ แต่บุญนี้ก็เหมือนมีกรรมบัง กรรมมันคงบังไว้ อิสิทาสีภิกษุณีย้ำ "แนะแม่โพธิ" ข้าพเจ้าก่อนจะออกบวชก็เหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไป ชอบงมงายทายดวงชะตาราศีและการบูชาไฟ ไม่มีอะไรจะทำให้มีโชควาสนาเท่ากับการบูชาเพลิง ศาสดาของศาสนาพราหมณ์ท่านสอนว่า คน 3 ประเภทต่อไปนี้จะไม่ได้ไปสวรรค์แน่นอนคือ

    1. พราหมณ์ที่กลัวความหนาวไม่กล้าอาบน้ำลอยบาปในแม่น้ำคงคา
    2. คนในวรรณะกษัตริย์ที่กลัวสงคราม
    3. ภรรยาที่กลัวไฟไม่กล้าเผาตัวตายตามสามี

    ข้าพเจ้ากลัว กลัวจะไม่ได้ไปสวรรค์ จึงต้องบูชาไฟและงมงายกับดวงดาว

    วันหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นผู้คนเดินมุ่งหน้าสู่ชินทัตตารามเพื่อกราบฟังพระธรรมเทศนาจากพระแม่ชินทัตตาเถรี ก็ลองมาฟังดูบ้าง แต่มันเหมือนท่านแม่ชินทัตตารู้ใจ แสดงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ท่านอุรุเวลกัสสปะให้ข้าพเจ้าฟัง มีอยู่ตอนหนึ่งข้าพเจ้าฟังแล้วติดใจมาจนทุกวันนี้ เป็นบทความสั้นๆ ว่า

    "ดูก่อนอุรุเวลกัสสปะ ท่านเองและบริวารบำเพ็ญตบะด้วยการบูชาไฟมาหลายปีแล้วหรือ"

    "ท่านสมณะโคดม พวกข้าพเจ้าทำมาหลายปีดีดักแล้ว"

    "แนะอุรุเวลกัสสปะ ท่านมีความมุ่งหมายอะไรในการบูชาเพลิง และท่านได้รับผลอะไรเป็นเครื่องตอบแทนบ้าง"

    "ท่านสมณะ" อุรุเวลกัสสปะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน "ท่านสมณะโคดม เพลิงนั้นมีควันพลวยพรุ่งไปสู่อากาศ ข้าพเจ้าทราบมานานแล้วว่า สิ่งนั้นเป็นสื่อไปถึงเทพเจ้า แล้วท่านก็จะโปรดปรานประทานพรสิ่งที่เราพึงประสงค์ให้ได้"

    "อุรุเวลกัสสปะเอย พระพุทธองค์ทรงถามขึ้นแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ตัวท่านเคยได้รับอะไรตอบแทนบ้าง จากการที่ท่านเฝ้าบูชาอยู่เป็นเวลานาน ตถาคต หมายถึง ท่านเคยได้เห็นหรือเคยได้รับรางวัลอะไรจากเทพเจ้าที่ท่านบูชาอยู่บ้าง ขอให้ท่านตอบตามความเป็นจริง"

    "ไม่เคยเลยพระโคดม" อุรุเวลกัสสปะตอบหลังจากตรึกตรองเป็นอย่างดี

    "ถ้าอย่างนั้นการบูชาไฟของท่านก็ไม่ได้ผลใช่หรือไม่ การบูชาไฟของท่านก็เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟมีแต่จะตายไปเปล่าๆ"

    "ข้าพเจ้าก็สงสัยเหมือนกันพระโคดม แต่นี่เป็นจารีตที่โบราณาจารย์พาดำเนินมา ข้าพเจ้าไม่กล้าละทิ้ง"

    "อุรุเวลกัสสปะเอย ถ้าบุคคลสามารถได้สิ่งที่ตนปรารถนาด้วยกิจเพียงง่ายๆ เพียงเพราะถวายเพลิงฆ่าสัตว์บูชาเทพเจ้าแล้วในโลกนี้ ใครเล่า ! จะเป็นผู้ยากจนแร้นแค้นระทมทุกข์ ใครเล่า ! จะพลาดจากสิ่งที่ตนประสงค์ ท่านอาจพิสูจน์ด้วยตัวของท่านเองก็ได้ว่า หากใครสักคนหนึ่งกระโจนลงไปในกองเพลิง เพื่อนำเอาชีวิตตัวเองเป็นเครื่องสังเวยเทพเจ้า คนนั้นก็ต้องตายไปเปล่าๆ เทพเจ้าจะช่วยอะไรไม่ได้เลยแม้สักเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้อะไรเล่า จะช่วยให้เราบรรลุจุดประสงค์ได้ นอกจากตัวของเราเอง ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็เอาตนนั้นแหละเป็นที่พึ่ง พยายามบากบั่นในทางที่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งผลที่ต้องการนั้น"

    "แม่โพธิเอย !" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้นเหมือนเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ข้าพเจ้าเป็นผู้หลงระทมทุกข์มา เมื่อได้ฟังพระธรรมคำสอนที่คมคายเช่นนั้น ก็อัศจรรย์ใจว่า เป็นทางพอที่จะนำพาเราออกจากทุกข์ได้

    "ข้าแต่แม่อิสิทาสี ท่านเป็นอะไรหรือ ? ท่านถึงได้รับทุกข์" โพธิภิกษุณีกล่าวขึ้นด้วยความอยากรู้

    "พูดถึงชาติตระกูลแล้วข้าพเจ้าไม่ทุกข์หรอกนะ" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้น ข้าพเจ้าเกิดในกรุงอุชเชนี เมืองหลวงแห่งแคว้นอวันตี บิดาของข้าพเจ้าเป็นคนมีศีล ข้าพเจ้าเป็นธิดาคนเดียวของท่าน จึงเป็นที่รักที่โปรดปรานที่เอ็นดู

    อยู่มาวันหนึ่ง พวกคนสนิทของบิดาเป็นเศรษฐีมีตระกูลสูงมาจากเมืองสาเกตุมาขอข้าพเจ้าเป็นสะใภ้ บิดาจึงยกข้าพเจ้าให้ ข้าพเจ้านั้นปฏิบัติสามีและพ่อผัวแม่ผัวประดุจนางทาส ทำตัวเป็นภรรยาประดุจทาสดั่งที่บิดาสั่งสอน เข้าไปกระทำความนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า กราบเท้าเช้าเย็น เป็นหญิงดีบำรุงสามีตามเวลา เข้าเรือนไปที่ประตูห้องต้องล้างมือล้างเท้า ประณตประนมมือเข้าไปหาสามี ข้าพเจ้าต้องถือหวีเครื่องลูบไล้ ยาหยอดตาและกระจก แต่งตัวให้สามีเองทีเดียวเหมือนหญิงรับใช้ หุงต้มแกงเอง ล้างภาชนะเอง ปรนนิบัติสามีเสมือนมารดาปรนนิบัติบุตรสุดที่รักคนเดียวฉะนั้น

    กิจอันใดที่คนเขาว่าดี ข้าพเจ้าทำให้สามีด้วยกิจนั้นทั้งหมด จงรักภักดี ทำหน้าที่ครบถ้วน เลิกมานะถือตัว ขยันไม่เกียจคร้าน มีศีลธรรมอย่างนี้สามีก็ยังเกลียด แล้วเขาก็ทิ้งข้าพเจ้าไปแบบไม่ใยดี แม้แต่พ่อผัวแม่ผัวนั้นยังอาลัยอาวรณ์เป็นทุกข์ แต่สามีนั้นทิ้งข้าพเจ้าไปไม่ใยดีเหมือนวัตถุสิ่งของที่ควรทิ้ง ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ไม่มีที่พึ่งสุดที่จะพรรณา


    มีต่อด้านล่างค่ะ
     
  3. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ต่อน่ะ (ไม่ใช่แตน..คิๆ):cool:

    ท่านเอย...อันหม้ายสาวสามีร้างนั้นจะระทมขมขื่นสักปานใด เราทำความดีสักเท่าใดเวลาทุกข์ใจไม่เห็นความดีใด มาช่วยเราได้บ้าง ข้าพเจ้าน้อยใจและปลอบใจตัวเองไปวันๆ

    ท่านเอย...บุคคลบางคนเดือดร้อนเพราะไม่มีบุตร บางพวกเดือดร้อนเพราะมีบุตรมากเกินไป บุคคลบางคนเดือดร้อนเพราะไม่มีสามี บางพวกเดือดร้อนเพราะมีสามี แต่พระศาสดาตรัสว่า ผู้มีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร ผู้มีโคย่อมเศร้าโศกเพราะโค ผู้มีความรักย่อมเศร้าโศกเพราะสิ่งที่รัก บุคคลย่อมเศร้าโศกเพราะมีสิ่งยึดมั่นถือมั่น เมื่อปล่อยวางได้แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น ความทุกข์ก็ไม่มี ความโศกก็สิ้นสูญ

    อยู่มาวันหนึ่งท่านบิดาได้ยกข้าพเจ้าให้กุลบุตรผู้มีทรัพย์น้อยกว่าสามีคนแรก อยู่กับสามีคนที่สองได้เพียงเดือนเดียว เขาก็ขับไล่ข้าพเจ้าออกจากบ้านนั้นเหมือนหมา ทั้งๆ ที่มีความประพฤติดี จนจะหาที่ต้องติมิได้

    "แนะแม่โพธิผู้แสวงหาสัจจะ" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้นด้วยการเห็นโทษในการครองเรือน "มีคนจำนวนไม่น้อยที่เหมือนกับข้าพเจ้า พยายามแบกก้อนหินแห่งชีวิตคือความหนักอกหนักใจ วิ่งฝ่ากองไฟคือความทะยานอยากไปสู่ภูเขาแห่งความว่างเปล่า"

    สมมติว่ามีใครสักคนหนึ่ง กลิ้งก้อนหินอันแสนหนักหน่วงขึ้นสู่ยอดเขา แล้วก็ปล่อยให้หินนั้นตกลงมา และก็กลิ้งกลับขึ้นไปอีกอยู่อย่างนี้ ปีแล้วปีเล่า ท่านจะรู้สึกอย่างไรต่อบุคคลนั้น บุคคลสมมติดังกล่าวนั้นฉันใด คนในโลกนี้ส่วนมากก็เป็นฉันนั้น ได้ลงทุนลงแรงไปเป็นอย่างมาก เข็นก้อนหินคือชีวิตอันเป็นภาระหนักของตน เพื่อไปสู่ยอดเขาแห่งความว่างเปล่า ต่างคนก็ต่างกลิ้งขึ้นไป ถูกความทะยานอยากแห่งตนผลักดันให้กลิ้งขึ้นไป ด้วยเข้าใจว่า บนยอดเขานั้นจะมีอะไร เมื่อถึงยอดเขาแล้วจึงได้รู้ว่า มันไม่มีอะไร คนทั้งหมดนั้นต้องนั่งกอดเข่าเฝ้ารำพึงรำพันว่า "เหน็ดเหนื่อยและเสียแรงเปล่าๆ"

    มนุษย์โดยส่วนมากจึงถูกลงทัณฑ์ ให้ประสบชะตากรรม คือการลงแรงที่สิ้นหวังและไร้ผลตอบแทนอันคุ้มเหนื่อย ก็เพราะความเขลาของมนุษย์เอง ที่ไม่รู้ความจริงแห่งชีวิตและสิ่งอันเป็นแก่นสารที่ตนเองพึงหวังเอาได้ มนุษย์จึงเหนื่อยหน่ายตรากตรำท่ามกลางแสงแดดสายลม เพื่อสมบัติอันไร้ค่า ที่ตนพึ่งพาอาศัยไม่ได้ ท้ายสุดแล้วก็นำตนไปสู่ความว่างเปล่า คือเขาจะไม่ได้อะไรติดกายติดใจที่แท้จริงไปเลย คือเขาสูญเปล่าจากความดี แต่เต็มตื้นไปด้วยความชั่วเสียหาย

    ท่านเอย คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมิใช่เพราะความเป็นใหญ่เป็นโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุขสงบเยือกเย็นปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย ท่านลองคิดดูเถิดจะเอาอย่างไหนคือ คนพวกหนึ่งต่ำต้อยกว่า แต่มีความสุขมากกว่า อีกพวกหนึ่ง ยิ่งใหญ่กว่าแต่มีความสุขน้อยกว่า

    "แนะแม่โพธิผู้เป็นพุทธสาวิกาเอย !" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้นท่ามกลางแสงแดดอุ่นๆ ในยามเช้าแห่งเหมันตฤดู "กว่าที่ข้าพเจ้าจะได้มานั่งบนหาดทรายขาวสนทนาธรรมกับท่านนี้ ข้าพเจ้าแทบเป็นแทบตาย หลังจากเป็นหม้ายร้างสามีคนที่สองแล้ว ท่านบิดามีความสงสารอยากให้ข้าพเจ้ามีความสุขอบอุ่น ท่านพยายามหาชายหนุ่มที่ดีมาเป็นสามีของข้าพเจ้าอีก"

    อยู่มาวันหนึ่งมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินบากหน้าขอทาน ผ่านมาทางหน้าบ้านของบิดา ลักษณะเป็นประดุจนักบวชแต่มิใช่นักบวช มีกายวาจาที่สงบระงับ เที่ยวสั่งสอนผู้คนให้รู้จักฝึกจิต ท่านบิดาจึงเชื้อเชิญมาว่า "ท่านพ่อหนุ่ม ท่านจงทิ้งผ้าเก่าที่นุ่งห่มเสีย จงทิ้งภาชนะขอทานเสียเถิดนะ มาเป็นบุตรเขยของเราผู้เป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก"

    แม้บุรุษหนุ่มผู้นั้นอยู่กับข้าพเจ้าได้ครึ่งเดือนก็พูดขึ้นว่า "ข้าแต่ท่านพ่อตา โปรดคืนผ้าเก่าและภาชนะขอทานแก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะไปขอทานต่อดีกว่าอยู่กับอิสิทาสีบุตรีของท่าน"

    "ท่านเอย เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้น จึงเสียใจเป็นที่สุด" น้ำตาเท่านั้นจริงๆ ที่เป็นเพื่อนในยามยาก เพื่อนที่ดีสำหรับผู้หญิงในยามทุกข์ก็คือน้ำตา เราเป็นคนไร้ค่าไร้ราคาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แม้แต่สามีที่เป็นขอทานเราไม่เคยดูหมิ่น พูดแต่วาจาเป็นเครื่องรักษาน้ำใจ แต่สามีผู้เป็นขอทานนั้นกลับดูหมิ่นข้าพเจ้า แม้พวกญาติๆ จะปลอบโยนให้เขาอยู่ด้วยถ้อยคำต่างๆ และไม่ต้องทำกิจอะไรทั้งมวลเขาก็หาพอใจยินดีไม่ ซ้ำยังพูดขึ้นว่า "ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่กับผู้หญิงเช่นนี้" ในที่สุดเขาก็จากไปแบบไม่ใยดี

    ท่านเอย ชีวิตเช่นนี้มันมีอะไรที่ต้องหวังอีกมั๊ย การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นเรื่องทรมานอยู่แล้ว แต่การถูกเย้ยหยันเหยียดหยามจากคนที่รักเป็นการทรมานยิ่งกว่า ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่ตนเองรักนักรักหนา ในท่ามกลางหมู่ญาติที่ร่ำรวยมากไปด้วยทรัพย์นั้น ข้าพเจ้าจึงคิดไว้ในใจว่า ถ้าไม่ลาบิดามารดาไปตายก็จะบ่ายหน้าไปบวช
    แนะแม่โพธิผู้แสวงหาสัจจะ สนิมที่เกิดจากเหล็กย่อมกัดเหล็กนั่นแหละให้กร่อนไป ใจที่ไม่ดีนั่นแหละย่อมกระทำใจให้เสียหาย ข้าพเจ้าก็ย้อนคิดถึงพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้ากระตุ้นเตือนอยู่เสมอว่า

    คนที่ไร้ยางอายกล้าเหมือนดั่งกา ชอบทำลายคนอื่นลับหลัง ชอบเอาหน้าอวดดี และมีพฤติกรรมสกปรกมักมีชีวิตอยู่อย่างสบาย ส่วนคนที่มีความละอายแก่ใจ ใฝ่ความบริสุทธิ์เป็นนิตย์ ไม่เกียจคร้าน อ่อนน้อมถ่อมตน มีอาชีพบริสุทธิ์ และมีปัญญา มักมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก

    บุคคลผู้อาศัยความสะดวกสบายเป็นทางดำเนินของชีวิต มักจะประสบทุกข์ ส่วนบุคคลผู้อาศัยความทุกข์ยากลำบากเป็นทางดำเนินของชีวิต ก็มักจะประสบสุข

    การอยู่คนเดียวประเสริฐกว่า ความเป็นเพื่อนที่แท้จริงไม่มีในหมู่คนพาล พึงอยู่คนเดียว ไม่พึงทำความชั่ว และไม่พึงกังวลใจ ควรทำตัวเป็นประดุจช้างโทนอยู่ในป่าเพียงตัวเดียว ฉะนั้น พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้พอชโลมจิตใจของข้าพเจ้า ให้คลายทุกข์คลายโศกลงไปได้บ้าง

    วันหนึ่งข้าพเจ้านั่งอยู่หน้าบ้านด้วยความเหม่อลอย มองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย มองไปเห็นภิกษุณีมีผ้าสีเหลืองหม่นคลุมกาย ผิวขาวละเอียดอ่อนลักษณะแสดงว่ามาจากวรรณะสูง นามว่า "พระแม่เจ้าชินทัตตาเถรี" ท่านเป็นภิกษุณีผู้ทรงวินัย เป็นพหูสูตรสมบูรณ์ด้วยศีล โคจรมาเพื่อเที่ยวบิณฑบาต เข้ามายังบ้านตระกูลของบิดา ข้าพเจ้าเห็นท่านแล้วจึงเข้าไปจัดอาสนะถวาย ผิวพรรณของท่านผ่องใสยิ่งนัก มีอินทรีย์สงบ ท่านมีจักษุทอดลงต่ำ จะเหลียวซ้ายแลขวาก็มีแต่ความสำรวมระวัง

    "อา...ผ้ากาสาวพัสตร์ สัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์" ข้าพเจ้าน้อมนึกภายในใจด้วยความทราบซึ้ง พระบรมศาสดาตรัสว่า "ผู้ใดคลายกิเลสที่เหนียวแน่นอันเป็นประดุจน้ำฝาดได้แล้ว มั่นคงในศีลประกอบด้วยการฝึกอินทรีย์และมีสัจจะ ผู้นั้นสมควรห่มผ้ากาสายะ" พระดำรัสนี้เราเคยได้ฟังเมื่อคราวพระพุทธองค์เสด็จผ่านนครแห่งดอกไม้นามว่า ปาฏลีนี้เอง

    เมื่อข้าพเจ้าจัดขาทนียโภชนียาหารแก่พระแม่เจ้าชินทัตตาเถรีแล้ว จึงคลานเข้าไปใกล้ๆ แล้วกราบเรียนท่านว่า "ข้าแต่พระแม่เจ้า ลูกมีทุกข์มีโศกเบื่อโลกเหลือเกิน เห็นภัยในการเกิดแก่เจ็บตาย และไม่ประสงค์จะเกิดอีก อยากจะบวชมากเจ้าข้าฯ"

    อิสิทาสี ! พระแม่เจ้าชินทัตตาเถรีกล่าวขึ้นด้วยความเมตตา พระศาสดาของเราตรัสว่า "ผู้ใดไม่เศร้าโศกถึงอดีต ไม่กังวลหวังอย่างเร่าร้อนถึงอนาคต มีชีวิตอยู่ด้วยปัจจุบันธรรม แม้จะบริโภคอาหารมื้อเดียวต่อวัน ประพฤติพรหมจรรย์สงบนิ่งอยู่ในป่า ผิวพรรณของผู้นั้นย่อมผ่องใส ส่วนผู้ที่มัวเมาเศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว กังวลหวังอย่างเร่าร้อนถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง ย่อมซูบซีดเศร้าหมอง เหมือนไม้สดที่ถูกตัดแล้วย่อมเหี่ยวเฉาไปฉะนั้น"

    อิสิทาสีเอย ! ร่มเงาของต้นไม้ย่อมอำนวยความสุขให้ได้บ้าง ร่มเงาแห่งญาติย่อมอำนวยความสุขให้ได้ยิ่งกว่าร่มเงาแห่งต้นไม้นั้น ร่มเงาแห่งบิดามารดาย่อมอำนวยความสุขให้ยิ่งกว่าร่มเงาแห่งญาติ ร่มเงาแห่งอาจารย์ย่อมอำนวยความสุขให้ยิ่งกว่าร่มเงาแห่งบิดามารดา ร่มเงาแห่งพระราชาย่อมอำนวยความสุขให้ยิ่งกว่าร่มเงาแห่งอาจารย์ แต่ร่มเงาแห่งคำสอนของพระบรมศาสดา ย่อมอำนวยความสุขให้ยิ่งกว่าร่มเงาทั้งมวล

    แนะอิสิทาสีผู้มีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา นกทั้งหลายย่อมละทิ้งต้นไม้ที่มีผลวายแล้ว นกกินปลาแล้วย่อมละทิ้งสระน้ำที่แห้งขอด ชายรักสนุกทั้งหลายย่อมละทิ้งหญิงที่แสนดี อำมาตย์ราชมนตรีย่อมละทิ้งพระราชาราชินีที่หมดอำนาจ ผึ้งทั้งหลายย่อมละทิ้งดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา สัตว์ทั้งหลายย่อมละทิ้งป่าที่ถูกไฟเผาผลาญ คนโดยส่วนมากย่อมรักกันเพราะเห็นแก่ประโยชน์ทั้งนั้น อิสิทาสีเอย ! ก็ใครเล่าจะพึงเป็นที่รักของใครจริงๆ

    อิสิทาสีเอย มิใช่แต่เพียงบุรุษเท่านั้นที่จะพึงเป็นบัณฑิตได้ แม้สตรีที่มีสติปัญญาเห็นประจักษ์คิดความได้ฉับพลัน ก็พึงเป็นบัณฑิตได้เหมือนกัน พระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย ! สังสารวัฏฏ์คือการเทียวเกิดเทียวตายนี้ มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายที่เราไม่สามารถจะตามไปรู้ได้ สังสารวัฏฏ์นี้มีเงื่อนต้นไม่ปรากฏ สำหรับเหล่าสัตว์ที่มีอวิชชาเป็นฝ้าบังปัญญา มีตัณหาเป็นเครื่องผูกไว้ ซึ่งโลดแล่นท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ ภิกษุทั้งหลาย ! น้ำตาที่ไหลพรากอาบแก้มของเหล่าสัตว์ผู้ครวญคร่ำร่ำไห้ เพราะประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ หรือเพราะพรัดพรากจากอารมณ์ที่น่าพอใจ โลดแล่นท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏ์ด้วยกาลอันยาวนานนี้ น้ำในมหาสมุทรทั้ง 4 นี้มิอาจเทียมเท่าได้ ภิกษุทั้งหลาย ! กองกระดูกของบุคคลหนึ่งๆ ที่เทียวเกิดเทียวตายนั้นใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาเวปุลบรรพต อันภูเขาเวปุลบรรพตนั้นใหญ่กว่าภูเขาคิชฌกูฏเสียอีก

    แนะอิสิทาสี อันคนเรานี้ถ้าไม่รู้จักสำรวจใจของตนเองบ้างแล้ว แม้จะอยู่มีอายุยืนเป็นหมื่นปีก็จะไม่ประเสริฐอะไร สู้ทารกน้อยที่เกิดเพียงหนึ่งราตรีก็ไม่ได้ อันคนเรานี้ถึงจะมี 1000 ลิ้น 1000 ปาก และอายุ 1000 ปี แต่ถ้าคนเหล่านี้มามัวแต่สาธยายชั่วดีของบุคคลอื่น โดยไม่มองดูจิตใจของตนเองบ้างแล้ว 1000 ลิ้น 1000 ปาก และอายุ 1000 ปีนี้ คงไม่เพียงพอต่อการสาธยายหรอก แต่ถ้าเขามองดูใจของเขาเองด้วยความมีสติ นั่นแหละจะมีที่ยุติและจบลงได้ อันเรื่องคนชั่วสัตว์ชั่วนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้อย่างนี้ว่า "อันสัตว์มีเขาตัวดุร้ายพึงหลีกให้ห่างสัก 5 ศอก อันม้าตัวดุร้ายพึงหลีกให้ห่างสัก 100 ศอก อันช้างตัวตกมันพึงหลีกให้ห่างสัก 1000 ศอก แต่สำหรับคนชั่วนั้นพึงหลีกให้ห่าง โดยยอมทิ้งถิ่นฐานหนีไปเลยทีเดียว"

    "อิสิทาสีเอย !" พระชินทัตตาเถรีกล่าวต่อไปด้วยความเมตตา "เธอได้ทำหน้าที่ในการครองเรือนสมบูรณ์แล้ว อันน้ำที่อยู่ใต้ดินนั้นนับว่าเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ ส่วนภรรยาที่ซื่อสัตย์ต่อสามีพระพุทธองค์ตรัสว่า "เป็นภรรยาที่บริสุทธิ์" เธอเป็นภรรยาที่บริสุทธิ์และซื่อจนเกินไป เธอซื่อเสียจนเซ่อ จงดูป่าไม้นั้นเป็นตัวอย่างเถิด ต้นไม้ที่มีลำต้นตรงๆ เท่านั้นที่ถูกตัด ส่วนต้นที่คดๆ งอๆ บิดๆ เบี้ยวๆ จะคงอยู่และไม่ค่อยมีใครสนใจมากนัก"

    อิสิทาสี ! มนุษย์ในโลกนี้โดยส่วนมากมักติดอยู่ในบ่วง คือ บุตร ภรรยา สามี ทรัพย์สมบัติ และกามคุณอันเป็นเครื่องล่อลวง ส่วนบ่วงคือภพชาตินั้นเป็นบ่วงที่เราทั้งหลายละได้โดยยากยิ่ง เราจะนำคำภาษิตที่เคยสดับต่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาเล่าให้เธอฟังบ้าง

    พระพุทธองค์ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ! เนื้อป่าที่ติดบ่วงแล้ว นอนทับบ่วงอยู่ ย่อมถึงความเสื่อมความพินาศ หนีไปไม่ได้ตามปรารถนา ถูกพรานเนื้อกระทำเอาได้ตามความต้องการฉันใด สมณะพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่ยังหลงใหลใฝ่ฝันติดพันมัวเมา เข้าไปเกี่ยวข้องกับกามคุณ 5 โดยไม่เห็นโทษ ไม่มีปัญญาเครื่องสลัดตนออก สมณะพราหมณ์พวกนั้นย่อมถึงความเสื่อมความพินาศ ถูกมารผู้มีใจบาปกระทำเอาได้ตามความต้องการฉันนั้น"

    ส่วนสมณะพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งไม่หลงใหลใฝ่ฝันไม่ติดพันมัวเมา ไม่เอาใจเข้าไปข้องเกี่ยวกับกามคุณ 5 เพราะพิจารณาเห็นโทษ มีปัญญาเครื่องสลัดตนออก สมณะพราหมณ์พวกนั้น ย่อมไม่เข้าถึงความเสื่อมความพินาศ ไม่ถูกมารผู้มีใจบาปกระทำเอาได้ตามความต้องการเหมือนเนื้อป่าที่ไม่ติดบ่วง แม้จะนอนทับบ่วงอยู่ย่อมไม่ถึงความเสื่อมความพินาศ เมื่อนายพรานเดินเข้ามา ก็หนีไปได้ดังปรารถนาตามความต้องการฉันนั้นเหมือนกัน"

    "แนะแม่โพธิผู้มีอินทรีย์ผ่องใส !" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้น "เมื่อพระแม่เจ้าชินทัตตาเถรีแสดงพระธรรมเทศนาจบลง ข้าพเจ้ามีปีติซาบซ่านเป็นที่ยิ่ง เสมือนพระธรรมของพระศาสดาสว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีปภายในจิตใจ และแยกแยะพระธรรมเทศนานั้นเป็นเอนกปริยาย พิจารณาเห็นสัตว์โลกผู้ยังติดอยู่ในความหลง ต้องตกอยู่ในความมืด มีน้อยคนนักที่จะรู้เห็นตามความเป็นจริง ยิ่งพิจารณาเห็นว่า มีน้อยคนนักที่จะไปสู่สวรรค์ พรหมโลกและพระนิพพาน เหมือนนกที่ติดตาข่ายของนายพรานแล้ว มีน้อยตัวนักที่จะรอดพ้นไปได้"

    ข้าพเจ้าขอบิดาบวช ท่านบิดาจึงพูดขึ้นว่า "ลูกเอ๊ย ! จงประพฤติธรรมอยู่ในเรือนก็แล้วกันจงทำบุญใส่บาตรเลี้ยงดูสมณะพราหมณ์ด้วยข้าวน้ำไปเถิด" ข้าพเจ้าร้องไห้พร้อมๆ กับประคองมือประนมพูดว่า "ท่านพ่อคะ ความจริงลูกก็ทำบาปมามากแล้วลูกจักชำระบาปให้สิ้นไปเสียที ชาตินี้มีกรรมอะไรนัก จักชำระสะสางให้สิ้นสุด ด้วยพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นดวงตาของโลก"

    ท่านบิดาจึงพูดขึ้นว่า "ลูกรักผู้เป็นดั่งดวงตาของพ่อเอย ขอลูกจงบรรลุโพธิญาณอันเป็นธรรมที่เลิศ และขอให้ได้พระนิพพานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐที่สุดแห่งสัตว์สองเท้า ทรงกระทำให้แจ้งแล้ว พ่อขออวยพร"

    "แนะแม่โพธิผู้เป็นเพื่อนร่วมประพฤติพรหมจรรย์" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้นพร้อมกันกับสะบัดสไบน้อยผืนบางขึ้นบนบ่า "ข้าพเจ้ากราบลาบิดามารดาและหมู่ญาติออกบวช บวชได้ 7 วันก็บรรลุวิชชา 3 ได้ครองบรมธรรมไม่มีความอาลัยกับสิ่งใดๆ เพิกถอนกิเลสทั้งมวลด้วยอรหัตมรรค และระลึกชาติได้ 7 ชาติ"

    "แม่อิสิทาสีภิกษุณีผู้นำมาซึ่งความเลื่อมใสแก่ผู้พบเห็น" โพธิภิกษุณีกล่าวขึ้นด้วยความอยากรู้ "ขอท่านจงเล่าวิบากกรรมให้ข้าพเจ้าฟังด้วย คงจะเป็นบุญแก่โสตของข้าพเจ้าหาน้อยไม่"
    อิสิทาสีภิกษุณีผู้ประเสริฐนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า "แม่โพธิ ข้าพเจ้าจักเล่าวิบากกรรมให้ท่านฟัง ในชาติที่ข้าพเจ้าระลึกได้ทั้ง 7 ชาตินั้น ขอท่านโปรดมีใจเป็นอันหนึ่งฟังวิบากกรรมนั้นเถิด

    ชาติที่ 1 ข้าพเจ้าระลึกได้ด้วยอตีตังสญาณว่าตนเองเกิดในนครเอระกัจฉะ เป็นนายช่างทองมีทรัพย์มากมัวเมาในวัยหนุ่มเป็นชู้กับภรรยาของบุคคลอื่น

    เมื่อตายลงต้องหมกไหม้อยู่ในนรกเป็นเวลาช้านาน ชาติที่ตกในนรกนี้เป็นชาติที่ 2 ข้าพเจ้าระลึกชาติที่ตกอยู่ในนรกนั้นได้ รู้สึกสงสารสัตวโลกผู้ไม่รู้ความจริงเป็นอย่างยิ่ง พระบรมศาสดาตรัสว่า คนพาลทำกรรมชั่วอยู่ ย่อมไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังทำชั่ว กลับเข้าใจว่าเป็นกรรมดี คนพาลนั้นย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมชั่วนั้นที่ตนกระทำแล้วประดุจถูกไฟนรกเผาไหม้อยู่ ข้อความนี้ช่างเป็นความจริงเสียนี่กระไร

    "แนะแม่โพธิเอย !" ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะน่าหัวเราะยิ่งไปกว่านี้อีกแล้วคือ คนชั่วๆ มักเรียกคนดีว่าเป็นคนชั่ว ส่วนคนชั่วๆ นั้นมักเรียกตนเองว่าเป็นคนดี ในชาติที่เกิดเป็นนายช่างทองนั้นข้าพเจ้าก็เป็นทำนองเช่นนี้

    ครั้นออกจากนรกนั้นแล้วก็เข้ามาเกิดในท้องนางวานรอันเป็นชาติที่ 3 ที่ข้าพเจ้าระลึกได้ด้วยอตีตังสญาณ เมื่อเป็นลูกวานรมีอายุได้เพียง 7 วัน ก็ถูกวานรใหญ่จ่าฝูงกัดอวัยวะสืบพันธุ์อันเป็นเครื่องหมายของเพศผู้ขาดเสีย นี่เป็นผลกรรมที่ข้าพเจ้าทำชู้กับภรรยาผู้อื่น ข้าพเจ้าตายเพราะโรคเน่าฟอนเฟะแห่งอวัยวะสืบพันธุ์นั้นแล้ว

    ในชาติที่ 4 ก็มาเกิดในท้องแม่แพะที่ตาบอดทั้งเป็นง่อยในแคว้นสินธพ เมื่ออายุได้ 12 ปี ถูกเด็กขี่หลังแล้วเดินโซเซไปกระแทกไม้มีคมเกิดเป็นโรคหนอนฟอนที่อวัยวะเพศ นี่ก็เป็นผลกรรมที่ทำชู้กับภรรยาผู้อื่น

    ชาติที่ 5 ข้าพเจ้าระลึกได้ด้วยอตีตังสญาณว่า ตนเองได้มาถือกำเนิดในท้องแม่โคของพ่อค้าโค เป็นลูกโคขนแดงดั่งน้ำครั่ง อายุ 12 เดือน ก็ถูกตอน ถูกใช้ลากไถลากเกวียน แล้วก็ป่วยเป็นโรคตาบอดตาย นี่ก็เป็นผลกรรมที่ทำชู้กับภรรยาผู้อื่น

    ชาติที่ 6 ไปเกิดในท้องนางทาสี ณ ริมถนน เกิดมาร่างกายและจิตใจวิปริตผิดแปลกจากมนุษย์ทั้งหลาย จะว่าชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง มีรูปร่างไม่สมส่วนแห่งการจะเป็นชายหรือเป็นหญิง มีอายุได้ 30 ปีก็ตาย นี่ก็เป็นผลกรรมแห่งการทำชู้กับภรรยาผู้อื่น

    ส่วนในชาติที่ 7 นี้ ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลช่างทำเกวียนผู้ตกทุกข์ได้ยาก มีโภคะน้อยขัดสน บิดามีหนี้สินสะสมรุงรัง ข้าพเจ้าเป็นลูกสาวของช่างทำเกวียนนั้น เมื่อบิดาไม่มีเงินใช้หนี้นายกองเกวียน นายกองเกวียนก็ฉุดเอาข้าพเจ้าผู้ยังอยู่ในวัยรุ่นสาวอายุ 16 ปีมาอยู่ในบ้านด้วย เมื่อบุตรของนายกองเกวียนนามว่า คิริทาสเห็นเข้าก็เกิดจิตปฏิพัทธ์หลงรัก และขอไปเป็นภรรยา

    แต่นายคิริทาสนั้นมีภรรยาอยู่ก่อนคนหนึ่งแล้ว เธอเป็นคนมีศีล มียศ มีคุณ จงรักภักดีต่อสามี ข้าพเจ้าได้ทำให้สามีเกลียดนาง ข้อที่สามีทั้งหลายเลิกร้างกับข้าพเจ้าซึ่งปรนนิบัติประดุจทาส ก็เป็นเพราะผลของกรรมนั้น ในที่สุดกรรมนั้นข้าพเจ้าก็สะสางได้หมดแล้ว ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว ภพนี้เป็นภพสุดท้าย ข้าพเจ้าจะไม่กลับมาเป็นบ่อแห่งน้ำตาให้ใครอีก

    "แม่โพธิเอย !" โดยที่สุดแล้วมนุษย์ล้วนไม่ได้ตามสิ่งที่ตนพึงหวัง แต่ถ้าเรามาทราบตามความเป็นจริงในข้อนี้แล้ว จะแจ่มจ้าภายในใจเบิกบานอยู่ มนุษย์โดยส่วนมากคลุกกรุ่นอยู่กับสิ่งต่างๆ โดยไม่ทราบตามความเป็นจริง

    กามทั้งหลายที่มนุษย์หลงใหลคลั่งไคล้นั้น อุปมาเหมือนหอกและหลาว มีขันธ์ทั้งหลายเป็นเขียงรองสับ บัดนี้ความยินดีในกามไม่มีแก่ข้าพเจ้าแล้ว กำจัดความเพลิดเพลินในกามทั้งปวงได้แล้ว ทำลายความมืดคืออวิชชาเสียแล้ว

    "แม่โพธิ" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้นด้วยความซาบซึ้งในรสพระธรรม "พวกคนเขลาทั้งหลายเมื่อไม่รู้ตามความเป็นจริง ย่อมพากันนอบน้อมดวงดาวทั้งหลาย ทายโชคชะตาราศี บูชาเพลิงและทำพิธีตัดเวรตัดกรรม โดยหาเข้าถึงสัจจะแห่งชีวิตไม่ แล้วก็สำคัญตนเองว่า "เป็นคนบริสุทธิ์"

    บทธรรมที่มนุษย์ควรคิดให้มากในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คือ ความมีสติ ไม่ประมาท หมั่นระลึกถึงความตายอันเป็นมรณัสสติ อันนี้แก้ความหลงได้ชะงัดนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระพุทธพจน์อันกินใจไว้ว่า

    ทหรา จ มหนตา จ เย พาลา เย จ ปณฑิตา
    สพเพ มจจุวสํ ยนติ สพเพ มจจุปรายนา ฯ

    ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนเขลาและคนฉลาด ต่างบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของมฤตยู อนึ่งเล่า ! ความไม่มีโรคจบสิ้นลงด้วยโรค ความเป็นหนุ่มเป็นสาวจบสิ้นลงเพราะชรา ชีวิตทั้งมวลจบสิ้นลงเพราะความตาย ความแก่และความตายเป็นเสมือนภูเขาศิลาใหญ่ สูงตระหง่านระฟ้า กลิ้งหมุนมาจากทิศทั้ง 4 ย่อมบดขยี้สัตว์ทั้งหลายมิให้หลงเหลือเล็ดลอดไปได้เลย เราจะเอาชนะด้วยกองทัพใดๆ ด้วยเวทมนต์ใดๆ ด้วยทรัพย์ใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ ก็ไม่ได้ทั้งนั้น ทุกชีวิตจบลงด้วยความตาย

    เมื่อรู้ดังนี้บัณฑิตมองเห็นประโยชน์อยู่ พึงตั้งศรัทธาลงให้มั่นในพระรัตนตรัย ประพฤติธรรมปฏิบัติชอบด้วยกายวาจาจิต บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญผู้นั้นในโลกนี้ แม้ละโลกนี้ไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์เป็นอย่างน้อย ส่วนพุทธสาวกผู้มีอาสวะสิ้นแล้วย่อมบ่ายหน้าไปสู่พระนิพพานอันเป็นบรมธรรม

    "แม่โพธิ !" ธรรมวิสัชนาที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้ท่านคงเป็นที่เข้าใจ เพลานี้พระอาทิตย์ใกล้จะถึงกึ่งฟ้าสายมากแล้ว เราควรจะรีบกลับภิกขุนูปัสสะยะ (สำนักนางภิกษุณี) เดี๋ยวพระแม่เจ้าจะเป็นห่วง ข้าพเจ้าขอสรุปใจความบทธรรมสั้นๆ ให้ท่านฟังได้เลยว่า

    "เมื่อใดก็ตามเรามาทราบว่าบาปโดยความเป็นบาปแล้ว เมื่อเห็นโทษว่าบาปโดยความเป็นบาปแล้ว จงเบื่อหน่ายคลายความติดในบาปนั้น ด้วยปัญญาที่พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง จิตก็จะหลุดพ้นไปได้ กรรมอันทารุณเผ็ดร้อนที่จะทำให้ข้าพเจ้ายินดียินร้ายไม่มีอีกแล้ว ทุกข์อะไรต่อไปนี้ไม่มีกันอีกหล่ะ เพราะพระอรหัตมรรคแจ่มชัดในใจแล้ว คำสอนของพระศาสดาข้าพเจ้าทำเต็มบริบูรณ์แล้ว

    คำว่า "อิสิทาสี" อันเป็นนามที่ติดกายติดใจของข้าพเจ้านี้ จะเป็นชื่อที่จะพึงมีในชาติสุดท้าย"

    เมื่ออิสิทาสีภิกษุณีและโพธิภิกษุณี สนทนาธรรมกันจบลงด้วยดวงใจชื่นบานดุจดวงตะวันและจันทราที่ส่องแสงประกาย หาดทรายขาวในฤดูใบไม้ร่วงช่างวิเวกเสียนี่กระไร ! ลมหนาวในเหมันตกาลยามพระอาทิตย์กึ่งฟ้าช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน แต่สำหรับดวงใจของภิกษุณีทั้ง 2 นางนั้น ยากที่บุคคลสามัญจะเอื้อมอาจคาดเดาได้

    เสียงวายุโบกสะบัดพัดหอบเอาเม็ดทรายลอยละลิ่ว เสียงดังหวีดหวิว ขับกล่อมเหมือนดั่งคีตะลีลาของนักดนตรีผู้สุนทรีย์ โอ...ธรรมชาตินี้ช่างดูดีงามนัก สำหรับบุคคลผู้โง่เขลาเบาปัญญาพึงเพ่งมองด้วยความเพลิดเพลินใจที่ไหลหลง แต่สำหรับผู้มีปัญญาแล้วไซร้ พึงพิจารณาเห็นความเป็นไปว่า "ไม่เที่ยง...เป็นอนิจจา" อิสิทาสีภิกษุณีออกอุทานขึ้นมาเบาๆ เพราะรู้ชัดตามความเป็นจริง

    ภิกษุณีทั้ง 2 นาง ย่างเท้าก้าวย่างสะพายบาตรประดุจวิลาสวิไลแห่งสีหไกรสร มุ่งหน้าเดินดุ่มสู่ภิกขุนูปัสสะยะ...กว่าจะถึงชินทัตตาราม ทินกรคงลาลับขอบฟ้าไปแล้ว เหมือนม่านดำธรรมชาติถูกดึงปิดฉากลงยังความมืดให้แผ่ปกคลุมไปทั่ว แต่ดวงใจของภิกษุณีผู้ประเสริฐทั้ง 2 นั้น สว่างสดใสด้วยแสงสว่างคือปัญญา อันไม่มีแสงสว่างอื่นยิ่งไปกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 เมษายน 2013
  4. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    พระอรหันต์เขาเป็นกันก่อนตาย มิใช่ตายแล้วถึงเป็น ดังนั้น จงอย่าเพิ่งคิดว่าตายก็ช่างมัน ผู้ที่จักคิดเช่นนี้ได้ก็เมื่อผู้นั้นเข้าถึงพระอรหัตผลแล้ว คืออยู่กับตายมีผลทรงตัวแล้ว แม้พระอรหันต์เอง เมื่อจบกิจแล้ว ท่านก็ดูแลร่างกายเป็นอย่างดี เพื่อเป็นการบรรเทาทุกขเวทนา เป็นการทำหน้าที่ ตายแล้วหรือถึงที่ตาย ตรงนั้นแหละช่างมัน ไม่ใช่จิตยังไปไม่ถึง แล้วคิดว่าตายๆ ก็ช่างมัน พิจารณาจุดนี้ให้ดี จักได้ไม่สำคัญผิด ดังนั้นจงอย่าประมาทในความตาย ถ้ากฎของกรรมเข้าแทรก เวลาร่างกายเจ็บป่วย มันเอาทั้งนั้นไม่เคยยกเว้นให้ใครเลย แม้แต่พระตถาคตเจ้าทุกๆ พระองค์ก็ยังป่วย จึงต้องรักษาเยียวยาร่างกายไว้ให้ดี เพราะหากจิตไม่ถึงพระอรหัตผลเพียงใด คำว่าประมาทในความตายไม่พึงมีในใจ เพราะร่างกายนี้ยังคงอยู่ ก็พึงเร่งรีบมรรคผลให้ถึงที่สุด ก่อนที่ร่างกายนี้จักพังลงไป
    การมีชีวิตร่างกายอยู่ ก็อยู่อย่างผู้ไม่ประมาท และเมื่อความตายเข้ามาถึงก็พร้อมที่จะละร่างกายไปได้ โดยไม่มีความกังวลเกี่ยวกับร่างกาย เพราะซ้อมตาย และพร้อมที่จะตายไว้เป็นปกติธรรมของจิตด้วยความไม่ประมาท มี มรณาและอุปสมานุสสติอยู่เสมอ ผู้มีสติ สัมปชัญญะอยู่ ย่อมไม่ประมาททั้งการอยู่และการตาย จงพยายามทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมในทุกๆ อิริยาบถ และทุกๆ ขณะจิตเถิด

    ให้ติดตามดูสภาวะของร่างกายที่ไม่เที่ยงอยู่นี้ ให้เป็นปกติ จิตจักได้เย็นไม่ร้อนไปกับความไม่เที่ยง แปรปรวนของร่างกายนี้ โดยอาศัยหลักของมหาสติปัฎฐาน ๔ มีสติกำหนดรู้อยู่กับธรรม ๔ ประการ แยกกาย - เวทนา - จิต - ธรรมซึ่งไม่เที่ยง เกิดแล้วดับๆ ๆ อยู่อย่างนั้นเป็นปกติธรรม จิตคือตัวเราที่ไปกำหนดรู้ เห็นธรรมทั้ง ๔ ตัวนั้นเกิด - ดับๆ อยู่ว่ามันไม่ใช่เรา มันไม่มีในเรา มันเป็นแค่ สภาวะธรรม ที่เกิด - ดับๆ อยู่อย่างนั้นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา จิตรับรู้ความเป็นจริงแล้วไม่ปรุงแต่งธรรมนั้นต่อ เห็นเป็นธรรมดา มันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา นี้เป็นธรรมภายใน คือธรรมของร่างกายที่แปรปรวนไม่เที่ยงอยู่นี้ ส่วนธรรมภายนอกคือ เหตุการณ์ต่างๆ เข้ามากระทบ ก็จงเห็นเขาเกิดได้ เขาดับไป (เกิด - ดับๆ) มันก็เป็นเรื่องของเขา จิตอย่าไปยึดสิ่งกระทบให้เป็นที่เร่าร้อน ปล่อยวางเหตุการณ์ทั้งหมดไปตามกรรม จักทำอะไรให้ใจเย็นๆ จึงจักเห็นผลดี ไม่ว่าจักเป็นงานทางโลกหรือทางธรรม ใจเย็นมีความรอบคอบ ใจร้อนงานไม่เรียบร้อย ขาดความรอบคอบ งานใดไม่แน่ใจ ให้ใคร่ครวญพิจารณาเสียก่อนจึงทำ นั่นแหละจักได้ผลสมบูรณ์

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น (เล่ม ๑๑)
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
    Frameset-11
     
  5. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    นิมิต เป็นเหมือน งูพิษ

    คนที่จับงูพิษเป็น ก็จะรีดพิษงูมาทำยาได้ ทำประโยชน์ได้
    แต่คนที่จับงูไม่เป็น ก็จะถูกงูกัดตายได้
    นักภาวนาในเบื้องต้นจึงไม่ควรไปยุ่งกับเรื่องนิมิต
    เพราะยังไม่มีความสามารถเอาประโยชน์จากนิมิตได้
    จะกลายเป็นเครื่องมือของกิเลสไป
    จะทำให้หลงทาง เสียเวลา ไม่เกิดมรรคผล
    ได้แค่นิมิต ได้แค่สมาธิ ไม่ได้อริยมรรค อริยผล
    ไม่ได้พระนิพพาน ได้เพียงโลกียวิชชา
    ที่จะเป็นเครื่องมือของกิเลสตัณหา


    พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

    Cr.. Fb Dhammacafe.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2013
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...หลวงปู่สอนไว้...

    ...โลกเราทุกวันนี้ยังมีความเร่าร้อนวุ่นวายสับสน...

    ...ยังหนีสิ่งชั่วซึ่งมีมาแต่เดิมไปไม่พ้น...

    ...การดูถูกดูหมิ่น...การอิจฉาริษยา การเบียดเบียนกัน การทะเลาะวิวาท...

    ...ตลอดจนรบราฆ่าฟัน...ยิ่งมีอยู่ในมนุษย์ทั่วไป...

    ...ความชั่วทั้งหลายเหล่านี้...ธรรมชาติมิได้เกิดขึ้นเลย มนุษย์นั่นเองเป็นผู้ก่อ...

    ...บรรดาศาสดาของลัทธิและศาสนาต่างๆ...พยายามคิดค้น...

    ...และวางหลักไว้สำหรับมนุษย์ปฏิบัติ...

    ...เพื่อสร้างความสันติสุขให้แก่โลก...โดยให้มนุษย์ทำแต่ความดี...

    ...และให้ละความชั่ว...แต่ศาสดาของพระพุทธศาสนา...

    ...ยังทรงสอนให้มนุษย์ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์อีกด้วย.ดังปรากฏในโอวาทปาฏิโมกข์

    "การไม่ทำบาปทั้งปวง...ทำกุศลให้ถึงพร้อม ชำระจิตใจใหผ่องแผ้ว"

    ...พระทำคำสอนของหลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่...

    ลูกขอน้อมรับพระธรรมคำสอนของท่านค่ะ กราบหลวงปู่เจ้าค่ะสาธุ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2013
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อปาน โสนันโท"

    อารมณ์ที่กระทบแต่ละวัน และในขณะนี้มันก็เป็น

    ...อารมณ์แห่งนามขันธ์ที่ไม่เที่ยง...มีแต่ความคิดว่าใช่

    ...แล้วก็หลงอารมณ์นั้น...ว่าเป็นของตน...

    ...เป็นของของตน...จึงหลงยินดี...เมื่อพอใจและถูกใจ...

    ...จึงหลงยินดียินร้าย...เมื่อไม่พอใจ และไม่ถูกใจ...

    ขอน้อมรับพระธรรมคำสอนของท่าน และน้อมกราบท่านด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ.
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "ชีวิตมีค่า"

    ถ้ามีธรรมประจำจิต...

    คนเดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงทางจิตใจไปมาก...ไม่เหมือนสมัยโบราณทางราชการ

    ...มีโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง...มีแผ่นดินทองแผ่นดินธรรมแล้ว...

    ...ควรคิดถึงแผ่นดินทวดด้วย...ปู่ย่าตาทวดหาแผ่นดินให้มาทำกินกันมาเป็น...

    ผื่นแผ่นดินธรรม...แผ่นดินธรรมคืออะไร...มีธรรมะประจำใจไหม...

    ...เดี๋ยวนี้ไปวัดไปทัวร์บุญ...แต่มันไม่ใช่บุญจริง ออกวัดโน้น ทัวร์วัดนี้...

    ...เที่ยวกันไป เที่ยวกลับมา เสียเงินทอง เสียเวลาด้วย จะให้ชีวิตอับเฉาอับจน...

    ...ไร้สาระ ไม่มีคุณค่าของคนเลย...

    ...คนเราถ้ามีแผ่นดินธรรมจริงๆ...ชีวิตจะมีค่า เวลาจะมีประโยชน์มาก...

    ...ถ้าชีวิตไร้คุณค่า เวลาก็ไม่มีประโยชน์...พระพุทธเจ้าสอนนักสอนหนา...

    ...ให้หาวิชาใส่ตัวเสียก่อนแล้วค่อยไปเที่ยว...เพราะมัวเที่ยวทัวร์บุญอย่างนั้น...

    ...มันไม่มีโอกาสเข้าหาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วจะไปเข้าใจ

    ความเป็นไปของชีวิตให้ถูกต้องอย่างไรกัน...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของ หลวงพ่อจรัญ พระธรรมสิงบุราจารย์...

    ...กราบหลวงพ่อด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    " อำนาจแห่งจิต"

    เรื่องนี้เกิดขึ้นที่อเมริกา หลายปีมาแล้ว
    ชายคนหนึ่งเป็นคนทำความสะอาดรถแช่เย็น วันนั้นขณะที่เขากำลังทำความสะอาดห้องเย็นของรถคันหนึ่ง
    อยู่ เกิดลมพัดปิดประตูห้องเย็น
    เขาพยายามตะโกนเรียกให้คนช่วย แต่ไม่มีใครได้ยิน คนอื่นกลับบ้านไปแล้ว เพราะเป็นเย็นวันศุกร์
    กว่าจะมีคนมาอีกทีก็เช้าวันจันทร์!!!
    เขาคิดว่าเขาคงต้องตายแน่ๆ ในอุณหภูมิ -10 องศา คนปรกติคงรอดได้ไม่นาน
    เขาเลยคิดจะทำความดีครั้งสุดท้ายโดยเขียนให้รู้ว่า คนที่ต้องตายเพราะความเย็นจัดนั้นจะมีอาการเช่น
    ไร อย่างน้อยมันยังเป็นประโยชน์กับวงการแพทย์ เขาเขียนทุกอย่างที่เขารู้สึกอย่างละเอียด...

    เช้าวันจันทร์มีคนมาพบศพ ชายผู้นี้ พร้อมกับกระดาษที่เขาเขียนเอาไว้
    ทางการแพทย์ บอกว่า มันเป็นอาการของคนที่ตายจากความเย็นจัด จริงๆ ตรงทุกประการ
    แต่สิ่งเดียวที่ผิดปรกติก็คือ...ห้องเย็นนั้น ไม่ได้เปิดระบบทำความเย็นเอาไว้ มันเป็นอุณหภูมิปกติ!!!!!
    เขาตายเพราะเขาคิดไปเอง!!!!!
    **********************
    เรื่องต่อมา เป็นเรื่องที่โด่งดังมาก เกิดเมื่อ 100 ปีมาแล้ว ที่ประเทศอังกฤษ
    คุกที่เมือง บริสตอล นักโทษคนหนึ่งโดนตัดสินประหาร ชีวิตด้วยการแขวนคอในวันรุ่งขึ้น
    เย็นวันก่อนประหาร มีนักจิตวิทยา2คนที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้ทำงานทดลอง ได้ปลอมตัว มาบอก
    กับนักโทษประหารคนนี้ว่า พรุ่งนี้แทนที่เขาจะโดนแขวนคอ ได้มีการเปลี่ยนกฎหมายใหม่จากการแขวนคอ
    มาเป็นเชือดคอแทน!!!!

    นักโทษผู้น่าสงสาร คงไม่ได้นอนทั้งคืนและคิดแต่ว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะต้องโดนเชือดคอ และเมื่อตอนเช้า
    มาถึง เขาถูกมัดมือไพล่หลังเอาผ้าปิดตา และถูกพาตัวมา ณ ห้องแห่งหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้เลยว่า มัน เป็น
    แค่ห้องสังเกตการณ์ เฉยๆ เขานึกว่าเป็นห้องประหาร!!!

    ได้มีการจัดฉากไว้เรียบร้อย ในห้องนั้นมี นักจิตวิทยา เจ้าหน้าที่ของรัฐบาล และ มีพระมาสวดครั้งสุดท้ายให้เขา
    และนักจิตวิทยาคนแรก แสดงเป็นคนลงมือเชือดคอนักโทษคนนี้
    มีดที่ใช้เชือดคอ ก็คือมีดแบบที่เขาใช้โกนหนวด แต่เขาเอาด้านทื้อของมีดพาดผ่านไปที่ลำคอ
    (เขาบอกว่ามีดนั้นไม่ได้สัมผัสลำคอนักโทษเลยแม้แต่น้อย ) แล้วนักจิตวิทยา อีกคน ทำเสียงน้ำไหล ให้
    เหมือนเลือดกำลังไหล

    นักโทษคนนี้ รู้สึกเย็นที่ลำคอเพราะโลหะของมีดโกน และได้ยินเสียงน้ำไหลเขาคิดว่า เลือดเขากำลัง
    ไหลออกจากคอหอย แล้วเขาก็ล้มลงสิ้นใจตรงนั้นเอง !!!!! เขาตายเพราะเขาเชื่อว่าเขาตายแน่
    เขาคิดไปเอง!!!!

    .....................................................


    ละเหตุได้ เป็นสุขในที่ทั้งปวง
    ความหมดกิเลสทั้งปวงเป็นทางดับทุกข์ทั้งหลาย

    มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน ( ตามความเป็นจริง )
    เหตุมี ผลย่อมมี ทำสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้นแล
    แสดงกระทู้ - " อำนาจแห่งจิต" • ลานธรรมจักร
    *******************************
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    เรื่องข้างบนนี้ทําให้นึกถึงคนไข้คนหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว อายุน้อย ปรกติทุกอย่างหมอเลยให้นอนค้างคืนในICUหนึ่งคืน คุยกันดีแล้วก็นอนหลับไป บอกเขาว่าเผลอๆอาจกลับบ้านก็ได้นะพรุ่งนี้ พอตีห้า ข้างเตียงเขาไกล้จะไปก็พยายามช่วยกันสุดฝีมือ แต่พอหกโมงเช้าก็ช่วยเขาไม่ได้ พอคราวนี้เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างเตียงเขาได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็กลัวมากบ่นว่า"ผมจะเป็นแบบนั้นไหมเนี่ย?"พอกลัวขึ้นมาหัวใจก็เต้นแรงและเร็ว หมอก็พยายามปลอบใจให้ยาระงับประสาทพอจะง่วงเขาก็ฝืนเพราะคิดว่าเขาจะตายแน่ ไปๆมา เครื่องฉุกเฉินที่ใช้อีกคนหนึ่งก็ต้องมาใช้กับเขา ถึงชม กว่าๆเขาก็ไปจริงๆ
    นี่แหละนะจิตที่มีความกลัวตายก็เลยตายจริงๆ ควรเตรียม"ใจ"กันไว้ดีกว่านะท่านทั้งหลายเพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าเราจะไปกันเมื่อไหร่เพียงแค่ลมหายใจเข้า-ออกเท่านั้นเอง


    ธรรมะสวัสดีค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2013
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ::เถรส่องบาตร::

    เล่ากันมาว่า มีพระเถระเจ้าสำนักปฏิบัติแห่งหนึ่งท่านเป็นผู้ที่เคร่งครัดในพระวินัยยิ่งนัก ด้วยเหตุดังกล่าวก่อนจะออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ประจำวัน ตอนฟ้าสางๆ ท่านมักจะยกบาตรขึ้นส่องกับแสงสว่าง เพื่อจะดูว่าบาตรลูกนี้มีรูรั่วหรือไม่ ? ส่วนพระลูกวัดไม่ทราบความมุ่งหมาย และมิได้ไต่ถามถึงเหตุผล ครั้นเห็นผู้นำยกบาตรขึ้นส่องดู พวกตนก็ยกบาตรขึ้นส่องดูตามไปด้วยเป็นแถว แต่มิได้ยกขึ้นดูรูรั่วของบาตร ครั้นล่วงกาลนานมา ประเพณีเถรส่องบาตรจึงระบาดไปทั่วในหมู่นักปฏิบัติกรรมฐาน มีผู้เล่าขานต่อๆ กันมาจนทุกวันนี้

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

    อันการที่เรา ทำอะไรโดยไม่รู้จริง ๑ ไม่รู้แล้วก็ไม่สอบถามท่านผู้รู้ ๑ ไม่ศึกษาและไม่ค้นคว้าด้วยตนเอง ๑ นอกจากจะเป็นบ่อเกิดแห่งความงมงายแล้ว ยังเป็นแบบอย่างในทางลบแก่อนุชนอีกด้วย เพราะการทำอะไรตามๆ กันมาโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือด้วยความหลงผิดก็ตาม เมื่อทำจนติดเป็นนิสัยแล้วก็ย่อมจะแก้ภายหลังยาก แม้จะมารู้ภายหลังว่าไม่ถูกต้อง เหมือนผ้าที่ขาวสะอาดถูกย้อมด้วยน้ำสีแล้วเอามาซักออกภายหลัง ฉะนั้น

    วิธี ที่จะปลอดจากความงมงายที่นับว่าได้ผลชะงัดนัก ก็คือ การเล่าเรียนพระธรรมวินัย โดยเฉพาะจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา (เป็นดีที่สุด) การฟังมาก อ่านมาก หรือเมื่อเกิดสงสัยอะไรแล้ว ก็อย่าได้ถือรั้น อย่าเดาสุ่มทำไป ควรรีบสอบถามท่านผู้รู้ในทันที ไม่ควรที่จะเก็บความสงสัยไว้นานๆ เพราะอาจจะลืมได้ ถ้าไม่สะดวกก็ควรจดบันทึกไว้ก่อน เมื่อมีโอกาสพบท่านผู้รู้ก็นำไปกราบเรียนถามเสียให้หายสงสัย

    เมือง ไทยเรานี้ดีนัก มีนักปราชญ์มาก ถ้าเราไม่ถือทิฐิมานะและอัตตาที่รุนแรงแข็งขันแล้ว ก็ยังมีท่านที่มีเมตตาช่วยชี้แนะให้มากมาย ขอแต่ว่าให้เราทำตนเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่หยิ่ง ยะโสโอหัง สุภาพก็ย่อมจะมีบัณฑิตให้ความเมตตาช่วยเหลืออื้อซ่าไปเลยทีเดียว

    http://www.dhammajak.net/book-dhammaraksa/-14-2.htm
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    บุญที่ให้ทานแก่ปลา

    ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพ่อค้าโกงชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง
    ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายของพ่อค้าตระกูลหนึ่งในเมืองพาราณสี มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง
    เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้วสองพี่น้องได้ปรึกษาหารือกันเรื่องบริหารกิจการค้าขาย ตกลงกันเดินทางไปสะสางบัญชีการค้า
    ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้เงินพันหนึ่งแล้วก็เดินทางกลับมานั่งกินข้าวห่อรอเรือข้ามฟากที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา

    หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ให้อาหารที่เหลือแก่ปลาในแม่น้ำแล้วอุทิศส่วนบุญกุศล
    ให้สรรพสัตว์รวมถึงเทวดาที่แม่น้ำนั้นด้วย เทวดาพออนุโมทนารับส่วนบุญเท่านั้น ก็เป็นผู้บริบูรณ์ด้วย
    ลาภยศอันเป็นทิพย์ เมื่อให้อาหารปลาหมดแล้วเขาก็ลาดผ้าบนหาดทรายล้มตัวลงนอนหลับไป
    ส่วนน้องชายของเขามีนิสัยเป็นหัวขโมยมาตั้งแต่เด็ก นั่งคิดวางแผนฉกเอาทรัพย์จึงห่อก้อนหิน
    ขึ้นห่อหนึ่งขนาดเท่ากับถุงห่อเงินนั้น

    เมื่อเรือข้ามฟากมาถึง เขาก็ปลุกพี่ชายแล้วถือถุงสองถุงขึ้นเรือไปก่อน เมื่อเรือไปถึงกลางแม่น้ำ
    เขาก็ทำให้เรือโครงเครงทำทีเป็นเสียหลักโยนถุงหนึ่งลงน้ำไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า
    " พี่ ถุงห่อเงินตกน้ำไปแล้ว เราจะทำอย่างไรละทีนี้ "
    " เมื่อมันตกน้ำไปแล้วก็ช่างมันเถอะ อย่าคิดถึงมันเลยหาเอาใหม่ได้มากกว่านี้ " พี่ชายตอบ

    เทวดาประจำแม่น้ำคงคาเห็นเหตุการณ์นั้นตลอดจึงบันดาลให้ปลาปากกว้างตัวหนึ่งมากลืนกินถุงเงินนั้นไป
    ฝ่ายน้องชายเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็รีบแก้ถุงเงินอีกถุงหนึ่งออกดูด้วยความกระหยิ่มใจ
    แต่พอแก้ห่อดูกลับเป็นถุงห่อก้อนหินจึงได้แต่นั่งคร่ำครวญเสียใจอยู่คนเดียวที่หลงทิ้งถุงห่อเงินลงน้ำไป
    ฝ่ายพี่ชายก็กลับไปบ้านของตนโดยไม่คิดอะไร

    หลายวันต่อมา พวกชาวประมงไปหาปลาจับได้ปลาปากกว้างตัวนั้น จึงเที่ยวเดินขายปลาอยู่ว่า
    " ปลาสดๆ จ้า ตัวนี้ขายตัวละ ๑,๗๐๐ บาท สนไหมครับ "
    ชาวบ้านพากันหัวเราะเยาะว่า " ปลาอะไรจะแพงขนาดนั้นละ "
    จึงไม่มีใครซื้อไป พวกเขาเดินขายไปจนถึงประตูร้านบ้านของพระโพธิสัตว์ได้ร้องขายปลาอยู่หน้าร้านนั้น

    พระโพธิสัตว์เดินออกมาดูปลา สนใจปลาปากกว้างตัวนั้นจึงถามราคาว่า
    " ปลาตัวนี้ราคาเท่าไหร่จ้ะ "
    " ผมขายให้ ๒๘ บาทละกันครับ " ชาวประมงตอบ

    เขาจึงซื้อปลาตัวนั้นไปมอบให้ภรรยาปรุงอาหาร พอภรรยาผ่าท้องปลาเท่านั้นก็พบถุงเงินจึงมอบให้เขา
    เขาเปิดดูเห็นตราประทับห่อของตนก็จำได้ จึงนั่งคิดแปลกใจอยู่คนเดียวว่า
    " แปลกจัง ชาวประมงร้องขายปลาให้คนอื่น ๑,๗๐๐ บาท แต่ขายให้เราเพียง ๒๘ บาท เราได้เงินคืนมาเพราะอะไรหนอ "

    ขณะนั้น เทวดาได้ปรากฏร่างยืนอยู่ในอากาศพูดว่า
    " เราเป็นเทวดาประจำแม่น้ำคงคา ท่านให้อาหารปลาวันนั้นแล้วอุทิศส่วนบุญแก่เรา
    เรา จึงขอมอบทรัพย์แก่ท่านคืน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแผนการณ์ของน้องชายท่านเอง ชื่อว่าความเจริญย่อมไม่เกิดแก่คนผู้มีจิตคิดร้ายผู้อื่น "

    แล้วได้กล่าวคาถาว่า
    " ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของพี่น้องและของพ่อแม่
    ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้มีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่นับถือเขา "


    กล่าวคาถาจบก็หายร่างไป




    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
    ผลบุญกุศลช่วยให้ผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายได้รับของคืน แม้เทวดาก็สรรเสริญยกย่อง

    ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย) : เว็บไซด์ธรรมะไทย dhammathai
    ********************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    นิทาน : บะหมี่ในวันปีใหม่ที่ซับโปโร
    วันที่ 31 ธันวาคม 2528 ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
    ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร

    การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาว ญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี "ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน ในวันนี้คน แน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี

    ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ

    เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา "เชิญนั่งครับ"
    หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า "ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมคะ"
    เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

    "ได้ ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า
    "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"

    บะหมี่ หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่ เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินพลางพูดพลาง "ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด
    "แม่ทานหน่อยสิครับ" ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน

    ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยนแล้วทั้งสามคนก็ชมว่า

    "ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)" พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป

    "ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"

    ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ

    ทำ งานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง 22.00 น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น

    ประตู ร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปี ที่แล้วนั่นเอง

    "ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ"

    "ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ"

    เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง
    พลางตะโกนว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
    เถ้าแก่รับคำพลาง จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
    เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า "นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"
    "ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย"
    สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า......

    "เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"

    ฝ่าย สามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สาม แม่ลูก สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย

    "หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ "
    "ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว"
    "ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"

    กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป

    "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป

    สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง


    ใน วันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้ว สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00น. พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป

    พอคนกลับไป หมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน" และเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว" ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้น แหละ

    22.30 น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัว เดิม

    "เชิญค่ะ เชิญค่ะ"
    เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า

    "รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ"
    "ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"

    เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง แล้วรีบเอาป้าย "จองแล้ว" ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า
    "บะหมี่น้ำสองชาม"
    "ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"
    เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก

    สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย

    "ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"
    "ขอบคุณ ?" "ทำไมครับ"
    "เรื่อง เป็นอย่างนี้ .......คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้ รับบาดเจ็บ และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน"

    "เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ

    ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร

    "แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"
    "จริง ๆ หรือครับ แม่"

    "จริง สิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"

    "ว้าว แม่ครับพี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"

    "ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชาย เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ"

    "ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "

    "แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อนๆ ของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง"

    "จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ"

    "หัว ข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"

    "เรียงความเขียนว่า…หลังจากที่คุณ พ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…"

    "ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ
    อร่อย มาก…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ ต่อไป พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…"


    "ด้วย เหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…"

    สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป
    พวก เขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ

    "พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า .......
    "วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ "

    "จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ"

    "ก็ มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะ อยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร"

    "เมื่อครู่นี้ ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดัง นั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อ สักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ "

    "หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกิน กันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยัน และดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"

    สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี
    จ่าย เงินไปสามร้อยเยน กล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป เจ้าของร้านมองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ พร้อมกับกล่าวว่า

    "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"

    .......... และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง


    พอ ถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย"โต๊ะจอง"ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอ คอย การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย

    ปีที่สอง ปีที่สาม
    โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม

    สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย
    กิจการของร้านฮอกไกดีมาก ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่

    จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม

    "นี่มันเรื่องอะไรกัน"
    ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา

    เถ้า แก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่าง หนึ่ง และก็ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา
    โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข"

    ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป

    มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากินบะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้

    ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปี

    พอ ถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก ก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว

    ใน วันนี้พอเลย 21.30น.ไปแล้ว เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน ต่างก็คึกคักกันมาก

    ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะ เบอร์สอง ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า วันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม

    พวกเขาบ้างก็กิน เหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้าๆ ออก ๆ พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุกๆ เรื่อง จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน


    เวลาผ่านไปจนถึง 22.30น.
    ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
    ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน

    ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน

    พอ เห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า
    "ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ" เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น
    ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน
    ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า

    "เอ้อ…รบกวน…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"

    ทันที ที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำกับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน
    เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก

    "พวกคุณ .. พวกคุณ"
    เขาพูดได้เพียงแค่นั้น คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ

    ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับ เถ้าแก่เนี้ยว่า

    "พวก เราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มา สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้"

    "หลังจากนั้นก็อพยพครอบ ครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว"

    "วันนี้ พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ ......ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"

    สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า

    เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอแล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า

    "อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะ อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"

    ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า

    "ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"

    เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า

    "ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"

    หาก ดูกันตามจริงแล้ว สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ รวมทั้งคำอวยพรว่า
    "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเอง

    แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์ คับขันได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง


    นิทาน เรื่องนี้บอกว่า --- อย่าพยายามมองข้ามตัวเอง ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจเพียงเล็กน้อยเท่า นั้น ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้

    เรา จะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บ ไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ จุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก
    ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่า นั้น .
    ....แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริงๆ

    เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า

    "ใครที่อ่านนิทานเรื่องแล้ว ไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้"

    ถึง แม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้าง แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว รู้สึกประทับใจจริงๆ จนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้น มันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจ แต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจต่อความห่วงใยอย่างจริงใจ และน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=5&t=24770&p=322300#p322300

    ***********************************
    ธรรมะสวัสดีค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2013
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364

    =========

    ขออนุโมทนาครับ ชาวพุทธทั้งหลายต้องไม่งมงายนะครับ ต้องเชื่อด้วยศรัทธาปัญญา ศึกษาให้มาก ปฏิบัติให้มากนะครับแล้วผลจะปรากฏแก่ท่านครับ

    เรื่องเถรส่องบาตร ความจริงก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำตามความเห็นผมนะครับ เพราะว่า เวลาก่อนออกบิณฑบาตร พระสาวกควรตรวจสอบบาตรให้เรียบร้อย คือหมายความว่า ควรตรวจดูว่า
    1 บาตรมีสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งานหรือไม่ บรรจุอาหารได้ดี เพื่อจริยวัตรในการบิณฑบาตรได้อย่างปกติ
    2 บาตรมีมดแมลงสัตว์อยู่ในบาตรหรือไม่ หากมีให้ทำความสะอาดอีกครั้ง แต่ให้ระวังอย่าไปทำร้ายหรือฆ่าเขาถึงแก่ความตาย อีกอย่างเวลาไปบิณฑบาตรจะได้ไม่ไปเผลอทำรายหรือเบียดเบียนมดแมลงสัตว์ที่อยู่ในบาตรโดยไม่ทราบ
    3 เป็นการเตรียมพร้อมก่อนการออกบิณฑบาตรครับ

    แต่การตรวจดูบาตรก็ควรกระทำโดยวิธีที่สุภาพเมื่อตรวจสอบดีแล้วก็ให้ปิดฝาบาตรให้สนิท เตรียมพร้อมออกบิณฑบาตรต่อไปครับ

    ทุกอย่างก็อยู่ที่เหตุผล ความคิดวิธีการที่ละเอียดอ่อนก็ขอให้อย่าไปกังวลครับ ก็ขออธิบายเพิ่มเติมเพียงเท่านี้ครับ สาธุ
     
  15. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    "..หวังพระนิพพาน
    ด้วยความเพียรเท่าฝ่ามือนั้น
    ลองคิดดู กิเลสเท่ามหาสมุทร
    แต่ความเพียรเท่าฝ่ามือนั้น
    มันห่างไกลกันขนาดไหน

    เพียงใช้ฝ่ามือแตะมหาสมุทร
    ทำความเพียรเพียงเล็กน้อย
    แต่หมายมั่นปั้นมือว่า จะข้ามโลกสงสาร
    เมื่อไม่ได้ตามใจ ก็หาเรื่อง
    ตำหนิศาสนา และกาลสถานที่

    งานอะไรก็ต้องฝึกทั้งนั้น
    ฝึกงาน ฝึกคน ฝึกสัตว์ ฝึกตน ฝึกใจ
    นอกจากตายแล้ว จึงหมดการฝึก
    คำว่า ดี จะเป็นสมบัติของ "ผู้ฝึกดี" แล้วแน่นอน.."

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    Cr: เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
     
  16. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การปฏิบัติธรรม คือ การค้นคว้าหาสาเหตุของตัวก่อทุกข์ ที่มีอยู่ในร่างกาย-ใจของเราเพราะถ้าเรายังไม่เห็นต้นเหตุแห่งความเกิดทุกข์แล้วเราก็ยังจะต้องเป็นทุกข์อยู่รํ่าไป...เพราะทุกข์เกิดจากจิตตะอวิชชาที่ก่อเหตุไม่ใช่จิตตะวิชชา เพราะผลที่ผลิตออกจากอวิชชาก็มีแต่ก่อทุกข์ให้ทางด้านจิตใจ เราผู้ปฏิบัติต้องมีเหตุมีผลยังตนให้มีความราบรื่นดีงามในแง่ของธรรม...เพราะเรายังมีกาย วาจา ใจ อยู่แต่ถ้าไม่สนใจในธรรมก็จะมีแต่การแสดงออกของกิเลสเป็นเสียส่วนมาก...กิเลสกับธรรมจึงเดินสวนทางกันแต่เราไม่สามารถรู้ได้...ก็เหมือนเราจูงสัตว์เข้าสู่ที่ฆ่าสัตว์ก็จะไม่สามารถรู้ได้เลย...เหมือนเราเกิดความโกรธเราก็ไม่รู้ตัว และความรักความชังเราก็คิดว่าเป็นเราพอใจที่จะโกรธทั้งวันทั้งปี เพราะกิเลสเป็นเจ้าอํานาจมาช้านานเราก็ไม่รู้ จึงมีแต่การแสดงออกของกิเลสเป็นฝ่ายจูงเราไปสู่ที่ฆ่าโดยไม่รู้ตัว เพราะเราไม่รู้ถึงสาเหตุสิ่งที่พาให้ปรุงอยู่ฉากหลัง...แต่ธรรมะทําให้เรามองย้อนมาดูตนเองได้ก็มีแต่ธรรมะเท่านั้นที่จะพาเรารู้ว่า"กิเลสเป็นตัวก่อเหตุให้เกิดทุกข์"ก็มีแต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้บอกวิธีที่จะทําลายกิเลสที่เราได้นํามาปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้ ขอให้ทุกท่านจงได้เดินรอยตามท่าน"ผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" ท่านก็จะพ้นจากทุกข์ไปได้...
    ที่มาจากเทปธรรมะขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2013
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    กรรมฐานวัดอารมณ์ของจิต โดยเอาชีวิตประจำวันทดสอบว่าจักผ่านหรือไม่ผ่าน จิตตึงเกินไปก็สอบตก จิตหย่อนไป-ขี้เกียจไปก็สอบตก ทุกอย่างต้องเดินสายกลาง จึงจักมีผล ดังนั้นการหวั่นไหวของอารมณ์ ถ้าไม่เพียรละ หรือปล่อยวางด้วยอริสัจ กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันก็เกาะกินใจไปไม่รู้จักจบสิ้น

    อย่าไปแก้ปัญหาของคนอื่น ให้แก้ปัญหาที่ใจของตนเองเป็นประการสำคัญ เห็นทุกอย่างเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปเป็นหลักใหญ่ ในที่สุดนี้ทั้งโลกไม่มีอะไรเหลือ คิดเอาไว้เสมอ ๆ จักเป็นกำลังใจ ที่จักปล่อยวางไม่ยึด ไม่เกาะใด ๆ ในโลก และที่สุดแม้แต่ชีวิตร่างกาย ก็ไม่เหลือ จุดนี้สำคัญมาก คิดเอาไว้ให้ดีเสมอ เป็นการตัดการติดอานตนะขันธ์ได้เป็นอย่างดี


    พระราชพรหมยานมหาเถระ
    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
  18. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
  19. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "ถ้าเราหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบ"

    หรือที่เราติเตียน

    ...เราก็จะไม่เห็นอีก เปอร์เซนที่มีประโยชน์...

    ...ดังนั้นการพัฒนาความกตัญญู...

    ...ต่อวิธีปฏิบัติของเรา...

    ...จึงต้องไม่มองข้ามข้อบกพร่อง...

    ...หรือปฏิเสธข้อบกพร่อง...

    ...แต่ก็ไม่ใชการเพ่งจ้อง...อยู่ที่ความบกพร่องเพียงอย่างเดียว...

    ...เนื่องในวันปี๋ใหม่เมืองที่จะมาถึงอีกสองวันนี้...ขอมอบสิ่งดีๆที่เป็น...

    ...ข้อคิดแด่ผู้อ่านทุกๆท่าน ประเพณีปี๋ใหม่นี้ ทุกๆท่านที่ทำงานอยู่ต่างจังหวัด...

    ...ก็จะกลับบ้านเยี่ยมเยือนผู้ใหญ่และญาติพี่น้อง...เวลานี้ที่เรารอคอยคือ...

    ...กลับบ้าน เพื่อไปขอขะมาพ่อแม่ผู้ใหญ่ที่เรานับถือ ขอพรจากท่าน...

    ...พ่อแม่ เมื่อเห็นลูกหลานมาเต็มบ้านท่านก็ดีใจ...เพราะท่านก็รอวันนี้...

    ...ที่จะมาถึงเหมือนกันซึ่งนี่ คือ ความรู้สึกของพ่อแม่ที่รักและห่วงใย...

    ...ลูกอยู่เสมอเห็นที่อยู่ในสายตาของท่าน...ว่าเรายังเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา...

    ...นี่แหละพ่อแม่ซึ่งเป็นพระอรหันต์ของเรา...ผู้เขียนนี้ แม่ได้จากไป สิบหกปีแล้ว...

    ...เหลือแต่พ่อ...อยู่มาอีกหกปีก็มาเสียพ่อไปอีก...แต่สิ่งดีๆที่จำติดใจผู้...

    ...เขียนอยู่เสมอคือ รู้ว่า พ่อแม่นั้นท่านไม่ได้จากเราไปไหน เพราะเลือดของท่าน...

    ทั้งสองอยู่ในตัวเรา เพราะฉนั้นความจำของผู้เขียนมีแต่ความประทับใจ ไม่ว่าเวลาท่านจะ

    อยู่กับเราหรือจากเราไปแล้ว...ถ้าเราเป็นลูกมีความกตัญญู พ่อแม่ก็จะดีใจ ชาวบ้านก็จะ

    สรรเสริญ...ความดีงามก็จะตกไปถึงลูกถึงหลาน และวงษ์ตระกูล...แต่ขอให้ทุกท่านที่มี...

    ...โอกาสให้ทำความดีกันเพื่อตอบแทนบุญคุณของท่าน นี่แหละผู้เขียนจึงขอฝากไว้

    และขออวยพรให้ทุกท่าน ผู้อ่านความนี้ มีความสุข ปลอดโรคปลอดภัยปรารถนาสิ่งใดๆ

    ขอให้ท่านได้ดั่งใจนึกคิดทุกๆเวลา และสิ่งสำคัญทำความดีตอบแทนบุญคุณของท่าน

    ซึ่งสิ่งนี้แหละที่เราๆต้องทำ และท่านรับรู้ได้ อย่างน้อยๆเราก็รู้ได้ที่ใจเรา แล้วเราก็จะมี

    ความสุขใจที่ได้ระลึกถึงท่าน...ขอมอบให้ผู้อ่านวันนี้ซึ่งเป็นปีเก่าและอีกสองวันก็จะเป็นปี

    ใหม่จะเป็นปีเก่าหรือปีใหม่...ถ้าเราทำดีทั้งปีเก่าและปีใหม่ นั่นแหละเราจะได้รับความสุข

    ตลอดไป...เป็นความสุขที่อยู่ในใจของเราตลอดไป ขอให้ผู้อ่านทุกๆท่านมีดวงตาเห็น

    ความดีที่ทำ และเป็นดวงตาที่เห็นธรรมค่ะ ขออนุโมทนากับผู้อ่านทุกๆท่านค่ะสาธุ...

    ...สวัสดีปี๋ใหม่เมืองเจ้า...

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...