จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    555+ sorry, April Fools Day!
    แหม๊ ใครจะใจดำปิดกระทู้หนีคนน่ารัก คนดีมีบุญกันทั้งนั้นเลยครับ

    ธรรมาทานก็เปรียบเสมือนน้ำซึมบ่อทราย
    คือค่อยๆซึมน้ำบริสุทธิ์ให้กับพวกเราไว้คอยดื่มกิน
    บางครั้งน้ำบ่อทรายนี้อาจจะโดนถล่มทลาย อาจจะทำให้น้ำขุ่นไปบ้างเล็กน้อย
    แต่ท้ายที่สุดแล้ว น้ำในบ่อทรายนั้น ก็จะกลับมาใสดังเดิม
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    555+ นั่นแสดงว่า โดนหลอกมาเยอะอ่ะดิ
    เย้ยย นั่นมันสุนัขไม่ใช่หรอน่ะ นึกว่าพี่สิงห์ซะอีก
    ถ้าพี่ภูเจอนะ มีหวังเผ่นแน๊บเป็นคนแรก

    Trust me I am..eiei
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ว๊ากก! นายแน่มาก เกลียดคนรู้ทัน..อิอิ
    เธอรู้ได้ไง๊เนี๊ย! หมดกันเลยเรา
    นี่แถมกล้าลงรูปหน้าตัวจริง เสียงจริงอีกเล๊อะ (จริงป่าวไม่รุ๊)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 เมษายน 2013
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กระทู้จะปิดหรือไม่ ภัยพิบัติจะเกิดหรือไม่
    มันไม่สำคัญเท่ากับเราจะปิดประตูทุกข์ ปิดประตูอบายหรือนรกภูมิของเราได้ไหม๊ ทันไหม๊
    สาระธรรมมันอยู่ตรงนี้มากกว่า อะไรประมาณหรือเปล่า?
    เอ่อ เข้าท่าๆ โมทนาสาธุ
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โอ้! ธรรมะอันนี้โดน อันนี้โดนอย่างแรง ขอบอกๆ
    โมทนาสาธุกับคุณพี่มาลินีด้วยครับ ไปสรรหาธรรมมาจากที่ใดเนี๊ย ธรรมะนี้เจ็บแสบจริงๆเลย
    ถ้าเป็นคนปากแข็งแต่ใจอ่อนละ ทำไงดี ยิ่งคนมือไม้อ่อนละ ทำไงดี
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ไม่ต้องลุ้น!
    ว่าภัยพิบัติมันจะเกิดเมื่อไหร่ (กิเลสเผาผลาญจิตทุกวัน จิตวิบัติไม่ดูกันมั่ง)
    ว่าเมื่อไหร่เราจะพ้นทุกข์ (มันจะพ้นไหม๊ ในเมื่อเราไม่ยอมรักษาศีล ทำภาวนา)
    ว่าเมื่อไหร่เราจะมีดวงตาเห็นธรรม (มันจะมีไหม๊ วันๆนึงจับจ้องแต่สิ่งสมมุติ)
    ว่าเราตายแล้วจะไปไหน (คงจะได้ไปสวรรค์หรือนิพพานมั้ง)
    (มีชีวิตยังหาทางออกจากทุกข์ไม่ได้ คงหนีไม่พ้นอบายหรือนรกภูมิเป็นแน่)
    ไม่ต้องไปลุ้นอย่างอื่น เพราะทุกสิ่งเกิดย่อมดับไปเป็นธรรมดา

    แต่มาลุ้น..
    ว่ากิเลสเรามันลดน้อยถอยลงไปบ้างไหม๊
    ว่าพรหมวิหารมีในจิตใจเราไหม ให้อภัยผู้อื่นง่ายไหม
    ว่าเราปล่อยวางกับทุกสิ่งได้ไหม ทำใจยอมรับฏฎธรรมดาได้ไหม
    ว่าเมื่อไหร่เราจะออกจากทุกข์ ออกจากการเวียนว่ายตายเกิด
    เป็นต้น
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ปัจจัตตัง!
    ปัจจัตตัง แปลว่า เฉพาะตน
    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ แปลว่า พระธรรมอันผู้บรรลุจะพึงรู้เฉพาะตัว
    ปัจจัตตัง เป็นความสุขที่เกิดจากการบรรลุธรรม จะรู้ด้วยใจของตนเอง
    ต้องเกิดจากการปฏิบัติเท่านั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยการฟังหรือคนอื่นเล่า
    ปัจจัตตังจะรู้ได้เฉพาะตน ส่วนใหญ่จะรู้ในโลกธรรม ซึ่งผู้อยู่เหนือโลกหรือโลกุตระธรรม
    ย่อมรู้ ย่อมเห็น ในสิ่งที่ผู้อยู่ภายใต้โลกธรรม
    นอกจากพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์แท้จริง
     
  8. jackkit

    jackkit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +186
    สวัสดีครับ พี่ภู

    ต้องขอแวะเข้ามาทักทาย และกล่าวคำสวัสดีครับ ดีใจที่เราอยู่ประเทศเดียวกันครับ ต้องขอขอบคุณพี่ภูด้วยที่นำสิ่งดีๆ มาเผยแพร่ และนำพาดวงจิตอีกหลายดวงกลับบ้านครับ

    ขอโมทนาในจิตอันเป็นกุศลและเผยแพร่ธรรมทานของพี่ภู ด้วยครับ
    หนุ่ม
     
  9. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...เรียนธรรม ให้รู้ธรรม...และให้รู้คุณธรรม...รู้ให้ทัน...

    ...แกนกลาง...ของสิ่งที่จะดับทุกข์ได้คือ เราเห็นการเกิดและการดับของสิ่ง

    ทั้งหลายเห็นร่างกายนี้ เห็นจิตใจ...เกิดอยู่แล้วก็ดับไป...เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่เป็น

    ของเรา เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งในตัวและนอกตัวเรา...ไม่ว่าจะเป็นบุคคลอื่นก็ดี เป็นสิ่งของก็ดี

    เป็นโลกทั้งโลกก็ดี...มันเป็นของไม่เที่ยง...เกิดแล้วก็ตั้งอยู่...ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป...

    ไม่ใช่สิ่งที่จะเก็บมาเป็นอารมณ์ทับถมจิตใจ...และสร้างความทุกข์ เป็นสิ่งที่เราต้องปล่อย

    .....แต่ปล่อยด้วยสติและปัญญา...และสิ่งที่สำคัญ คือคุณธรรม...

    คำสั่งสอนของท่านพระอาจารย์ปสันโน วัดป่าอภัยคีรี แคริฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

    ...กราบนมัสการ ขอบพระคุณในธรรมะของท่านขออนุญาตินำมาเป็น...

    ...ธรรมทานเพื่อเป็นประโยชน์ของผู้ปฏิบัติ และผู้เขียนขอน้อมรับ...

    ...พระธรรมคำสอนของท่านเจ้าค่ะ...กราบนมัสการเจ้าค่ะสาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2013
  10. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    2 เมษายน วันคล้ายวันพระราชสมภพ ของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
    ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนคนไทยทั้งชาติ ... ขอจงทรงพระเจริญ


    วโรกาส...กุศล...มงคลมิ่ง
    เจริญยิ่ง "ห้าสิบแปด" พระพรรษา
    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
    สยามบรมราชกุมารี

    ขอน้อมจิต...อารธนา...คุณพระแก้ว
    อันเพริศแพร้ว...เลิศล้น...มงคลศรี
    ตลอดจน...เทวา...ทั่วธาตรี
    จนถึงที่...พรหมา...สุขาลัย

    และเดชะ...พระบารมี...ที่ทรงสร้าง
    ทุกทิศทาง...ทั่วแดน...แสนยิ่งใหญ่
    ทรงงานเพื่อ...ไพร่ฟ้า...มานานไกล
    น้ำพระทัย...ไหลแสน...ชุ่มแผ่นดิน

    ขอพระชนมายุยิ่งยืนนาน
    พระเกษม...สำราญ...มิเสื่อมสิ้น
    พระเกียรติก้อง...ขจรหล้า...ทั่วธานินทร์
    ประดับยิน...คู่กัลป์...พุทธันดร
    .


    *-*-* ขออัญเชิญ จดหมายจากในหลวงถึงพระเทพฯ มาให้ทุกท่านได้อ่านกัน*-*-*-*​


    ลูกพ่อ....

    ในผืนแผ่นดินนี้ ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด

    มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว

    ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว ทุกคนปรารถนาความสว่าง ปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน

    แต่ความปรารถนานั้นจักสำเร็จลงได้ จักต้องมีวิถีที่จักดำเนินให้ไปถึง ความสว่าง หรือ ความดี นั้น ทางที่จักต้องไปให้ไปถึงความดีก็คือ รักผู้อื่น เพราะความรักผู้อื่นสามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ทำให้โลกมีความสุขและเกิดสันติภาพ ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้ พ่อขอบอกลูกดังนี้...

    1. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ด้วยกัน ทั้งหมด

    ทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต...

    2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกตามความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและเหมาะสม

    3. มีความสันโดษ คือ มีความพอเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือได้อย่างไรก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่า มีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือ มีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลม จะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง พอใจตามสมควร คือทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน

    4. มีความมั่นคงแห่งจิต คือ ให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็น
    คุณประโยชน์ของความเพียร และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาให้ภาวนาว่า...
    มีลาภ มียศ สุข ทุกข์ปรากฎ สรรเสริญ นินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศเป็นกฎธรรมดา อย่ามัวโศกา นึกว่า "ชั่งมัน"

    พ่อ

    06/10/2547


    ...ฉันหวังว่า คำสอนพ่อที่ฉันได้ประมวลมานี้ จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านที่ได้พบเห็น และลูกอันป็นที่รักของพ่อทุกคน

    ฉันรักพ่อฉันจัง

    สิรินธร




    ขอขอบคุณ : FB"พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง"
    FB"คนชอบธรรม"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2013
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ความทุกข์นั้นเกิดจากความไม่ตัวไม่รู้ตน คือไม่มีสติในการกระทํานั้นๆ เพราะความคิดที่ไม่รู้ในความจริงนั้นก็ไม่เกิดปัญญาก็มีแต่จะพาก่อเหตุแห่งทุกข์...เพราะการทําอะไรถ้าขาดสติขาดปัญญา ก็จะก่อความทุกข์ในผู้นั้นๆ ความทุกข์นั้นไม่มีใครต้องการแต่ก็ได้มาครองแทบทุกๆคนก็ว่าได้ เพราะนิสัยของคนเราที่เกิดมานั้นจะไม่มีทุกข์เลยนั้นเป็นไปไม่ได้แต่ถ้าใครเห็นทุกข์แล้วรีบหาทางออกจากทุกข์นั้นท่านว่าเป็นคนที่ไม่เสียชาติเกิดที่เกิดมาแล้วพอมีทุกข์ก็หาทางแก้ ก็เหมือนคนที่ป่วยแล้วรีบหาหมอรักษา แต่อีกพวกหนึ่งยิ่งทุกข์ก็ยิ่งมืด คือหาทางออกไม่เจอเพราะไม่มีปัญญาที่จะออก...พวกนี้ก็ไม่ต่างจากคนไข้ที่มาโรงพยาบาลแต่ไม่รู้เรื่อง เพราะมาแบบ ไอ ชี ยู นะ ก็มีแต่จะรอวันตายอย่างเดียวเพราะไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว...จึงได้เปรียบเทียบเอาไว้ว่าถ้าเราทุกข์ก็หาทางออกทางทุกข์ นั้นท่านว่าเราก็เป็นคนฉลาดแล้ว และผู้มาเจอธรรมะของพระพุทธเจ้ายิ่งเป็นคนที่โชดดีอย่างมากๆ เพราะมีธรรมะเท่านั้นที่สามารถช่วยคนที่จะหลุดพ้นออกจากทุกข์ได้ เพราะได้ประจักษ์กับผู้ปฏิบัติทุกๆท่านที่ได้ปฏิบัติตามท่านมาจนถึงความพ้นทุกข์ไปได้...อย่างไม่มีวันที่จะสงสัยแล้วว่า "พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์" นั้นแหละเป็นที่พึงของพวกเราสรณะอื่นนั้นไม่มีแล้วค่ะ สาธุค่ะ
     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...เห็นไหม?คะ ท่าน...ในที่สุดคุณภู ก็ได้นำของฝากมาฝากพวกเราให้

    ได้รับความสุขกับของฝากที่ท่านได้ เมตตาขยายและแบ่งมาให้กับ...พวกเราผู้ปฏิบัต...

    ได้ธรรมะหลายรสชาติ...ตั้งแต่เรื่องของเด็ก คนกลางคน จนถึงผู้ที่กำลังย่านเข้าจะ...

    เป็นผู้ชะรา...ท่านมีความสามารถเอาคำพูดของคนอื่น...ให้กลายเป็นธรรมะให้พวกเรา

    ได้...ลิ้มรส...และทำให้ผู้ที่ได้อ่านมีความสุข แล้วก็หัวเราะได้...เด็กๆหัวเราะเมื่อเขาได้

    ของเล่นถูกใจ แต่ผู้ใหญ่หัวเราะได้เพราะได้อาหารทิพย์...อาหารวันนี้ที่รับประทาน

    ไม่ได้ปรุงแต่งนะ...แต่ได้ด้วยใจที่ใฝ่ในธรรม และผู้ที่อ่าน อ่านแล้วคิดให้เป็นธรรม...แล้วท่านจะมีความสุข.

    ขอบพระคุณทุกๆท่านที่ช่วยกันเจาะใจคุณภูทยานฌาน๒ ให้ท่านได้นำของอันล้ำค่า

    มาฝากให้กับเราๆ...ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2013
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอน้อมกราบทั้งสองพระองค์ท่านเจ้าค่ะ

    ...ขอให้พระองค์ท่านจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานตลอดกาลนาน...

    รักพระองค์ท่านค่ะ...

    ขออนุโมทนากับคุณครูแนทนะคะสาธุ...
     
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    อ่ะจ้าาาา ..ขอบพระคุณท่านพี่ ทีเมตตาตักเตือน ...สาธุ๊​
    :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2013
  15. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ให้มันได้อย่างนี้ซิ้ คุณ Phu Dicovery
     
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระพุทธเจ้ายกเปรียบเทียบสัตว์ ๖ ตัวเหมือนตาหูจมูกลิ้น...

    กายใจ ๖ ประตูที่เราไปรับรู้โลก ปกติแล้วแต่อันไหนมีกำลังมากที่สุด ชอบใจมากที่สุด

    เกลียดมากที่สุด...มีอารมณ์มากที่สุด...ก็จะไปเป็นเรื่องสิ่งที่ตาเห็นก็ดี หูได้ยินก็ดี...

    ลิ้นได้สัมผัสก็ดี...กลิ่นก็ได้รับทางจมูกจะไปทางนั้น...ทางร่างกายได้สัมผัส จิตใจได้คิดนึก

    มีความรู้สึกก็แล้วแต่จะลากไป...แล้วแต่อันไหนจะมีกำลังมากกว่ากัน แต่อย่างนี้วุ่นวาย

    ...ถูกชักลากไปเรื่อยๆ มันขึ้นมันลง...เดี๋ยวลงน้ำขึ้นต้นไม้ไปบ้านวิ่งไปนั่นไปนี่...

    ...แล้วก็ชักลากเรื่องอื่นตัวอื่นไปด้วย...

    ...แต่พระพุทธเจ้าได้ยกเปรียบเทียบสัตว์ ๖ ชนิดเช่นเดียวกัน แต่ว่าจะมีหลัก

    ปักเอาไว้ มีหลักที่แน่นเอาเชือกมามัดสัตว์ ๖ ชนิดเช่นเดียวกัน แต่ว่าเชือกมามัดไว้ที่เสา

    นั้นที่หลักนั้น มันก็วิ่งไปวิ่งมารอบบริเวณของเสาของหลัก มันไปไกลไม่ได้ ในที่สุดก็

    เหนื่อยอยู่ตรงนั้น ไม่วิ่งหนีไปไหน พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบเหมือนกับตาหูจมูกลิ้นกาย

    ใจของเรา...แต่ว่ามีหลักคือสติตั้งไว้ที่กายของเรา มีสติตั้งไว้ที่กายวิธีใดวิธีหนึ่ง จะเป็น

    ด้วยอานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก...ก็เป็นการตั้งสติไว้ที่กาย หรือการ

    ตั้งสติไว้ที่อิริยาบถของเรา...ก็เป็นการตั้งสติไว้ที่กาย สติตั้งไว้มีความรู้สึกต่อร่างกาย

    เป็นธาตุ ๔ เท่านั้น ก็เป็นสติอยู่ที่กาย ก็แล้วแต่ หรือสติตั้งไว้ที่กายในลักษณะที่เป็น

    อสุภกรรมฐาน ๓๒ ประการ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้อยู่ที่

    กายของเรานั่นแหละ...นี่คือธรรมะของท่านพระอาจารย์ปสันโน วัดป่าอภัยคีรีแคริฟอร์เนีย

    สหรัฐอเมริกา...กราบขอบพระคุณท่านพระอาจารย์ และกราบนมัสการเจ้าค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2013
  17. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,086
    ค่าพลัง:
    +10,246
    โลกธรรม 8

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    โลกธรรม 8 หมายถึง ธรรมดาของโลก เรื่องของโลก ธรรมชาติของโลกที่ครอบงำสัตว์โลกและสัตว์โลกต้องเป็นไปตามธรรมดานี้ 8 ประการอันประกอบด้วย

    โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ พอใจของนุษย์ เป็นที่รักเป็นที่ปรารถนา
    1.ลาภ หมายความว่า ได้ผลประโยชน์ ได้มาซึ่งทรัพย์
    2.ยศ หมายความว่า ได้รับฐานันดรสูงขึ้น ได้อำนาจเป็นใหญ่เป็นโต
    3.สรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญคำชมเชย คำยกยอ เป็นที่น่าพอใจ
    4.สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ความเบิกบาน บันเทิงใจเริงใจ

    โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ความไม่พอใจของมนุษย์ ไม่เป็นที่ปรารถนา
    1.เสื่อมลาภ หมายความว่า เสียลาภไป ไม่อาจดำรงอยู่ได้
    2.เสื่อมยศ หมายถึง ถูกลดอำนาจความเป็นใหญ่
    3.นินทาว่าร้าย หมายถึง ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่ดี ถูกติฉินนินทา หรือถูกกล่าวร้ายให้เสียหาย
    4.ทุกข์ คือ ได้รับความทุกขเวทนา ทรมานกาย ทรมานใจ
     
  18. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,086
    ค่าพลัง:
    +10,246
    [๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ ประการนี้ ย่อมหมุนไปตามโลก
    และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการ ๘ ประการเป็นไฉน คือ ลาภ ๑
    ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑
    ทุกข์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ ประการนี้แล ย่อมหมุนไปตามโลก
    และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการนี้ ฯ

    ธรรมในหมู่มนุษย์เหล่านี้ คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑
    ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑
    ทุกข์ ๑ เป็นสภาพไม่เที่ยง ไม่แน่นอน มีความแปรปรวน
    เป็นธรรมดา แต่ท่านผู้เป็นนักปราชญ์ มีสติ ทราบธรรม
    เหล่านั้นแล้ว พิจารณาเห็นว่ามีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
    ธรรมอันน่าปรารถนา ย่อมย่ำยีจิตของท่านไม่ได้ ท่านย่อม
    ไม่ยินร้ายต่ออนิฏฐารมณ์ ท่านขจัดความยินดีและความยินร้าย
    เสียได้จนไม่เหลืออยู่ อนึ่ง ท่านทราบทางนิพพานอัน
    ปราศจากธุลี ไม่มีความเศร้าโศก เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ
    ย่อมทราบได้อย่างถูกต้อง ฯ

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=23&A=3231&w=โลกธรรม
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทำดีของเราเป็นแบบไหน

    ทำดีให้ดีปรากฎ...
    โดยท่านปิยโสภณ
    ฟังให้จบกันนะ เราจะไม่ต้องมาถ้อแท้และเสียใจ
    ว่าทำไม๊ เราทำดีแล้วไม่ได้ดี หรือ ทำดีแล้วไม่มีคนเห็นความดีของเรา
    ถอดมาให้อ่านกันโดยย่อๆ เผื่อใครฟังไม่ได้
    ใครคิดว่าดีแล้ว ไม่ต้องฟัง แต่ถ้ายังดีไม่ปรากฎหรือยังดีไม่พอ ยิ่งต้องอ่านหรือฟังให้จบ

    (ขี้เกียจอ่านก็ฟังpm3 ข้างล่างก็ได้เหมือนกัน ความยาว 31:40 นาที)
    ฟังเทศน์แค่ครึ่งชั่วโมงทำเป็นบ่น ทีฟังเมียบ่นทั้งวันทั้งคืนยังฟังได้เลย เอิ๊กๆๆ

    การทำดีให้ดีปรากฎผลโดยที่คนไม่ปรากฎตัว เป็นการติดทองหลังพระ เป็นการทำดีแท้ เมื่อใดคนมาปรากฎตัว ความดีก็จะวิ่งหนี ความดีจะกลายเป็นความเด่นทันที ดีแท้จะวิ่งหนี จะเหลือแต่ดีปลอม เป็นดีที่ต้องรอคอยคนอื่นชื่นชม ส่วนดีแท้จะวิ่งหนี ว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ละชั่วทำดีทำจิตใจให้ผ่องใส ก่อนจะลงมือทำดีจะต้องละชั่วให้ได้เสียก่อน แต่ถ้าชั่วไม่ได้ แต่จะดีผสม ก็เหมือนทาสีผสมสีอื่นๆ ย่อมจะไม่ได้สีขาวบริสุทธิ์ การทำดีผสมชั่วก็มักจะพูดว่า ทำดีไม่เห็นจะได้ดีเลย ความดีจริงๆนั้น ย่อมทำแล้วจิตใจเราผ่องใส เราภูมิใจในการทำดีของเรา ทำดีต้องการผลอย่างอื่น มิได้ทำดีให้ปรากฎผล เช่น ทำดีจะได้เกียรติในวันข้างหน้า ทำดีเพราะต้องการยศถาบรรศักดิ์ ทำดีเพราะเขาจะยกย่องเรา ให้รางวัลสำคัญในรูปแบบต่างๆ เมื่อตั้งเป้าทำดีไม่ใช่เพื่อดี แต่ต้องการให้คนมายกย่องว่าเราดี เมื่อนั้นเราจะไม่พบดีแท้ เพราะความดีมิได้ทำให้ใจผ่องใส ดีเพราะคนอื่นบอกว่าดี เราก็จะไปกำหนดจิตใจตามที่เขาต้องการมิได้ แต่ถ้าตั้งเป้าให้ดีปรากฎก็จะหมดปัญหา แต่ถ้าเป็นความดีจากการยกย่องคนอื่น ย่อมไม่ต่างกับผสมสีต่างๆเข้าด้วยกัน ดีแท้หรือดีเทียมนั้นว่าเราทำลงไปแล้ว ทำให้จิตใจเราผ่องใสหรือไม่ จิตใจผ่องใสเกิดจากการล้างสนิมใจโดยตัวเราเอง การยกย่องจากคนอื่นบางครั้งอาจจะไม่ได้ล้างสนิมใจ แต่อาจจะเพิ่มสนิมใจให้เพิ่มขึ้นทั้งตัวเราและคนที่จ้องอิจฉาเราอยู่รอบด้าน ความดีมีหลายแบบ ดีสากลมีแน่ แต่ดีที่มนุษย์บัญญัติมีมาก เป็นความดีตามสภาพสังคมและความเชื่อ ว่าทำไมเราทำดีแล้วไม่ได้ดี เพราะเราทำดีไม่เพื่อดี เพราะเราต้องการให้คนมายกย่องมากกว่า ดีแท้ต้องอยู่เหนือคนอื่น ดีจริงต้องอยู่เหนือประกาศนียบัตร ยศถาบรรดาศักดิ์ ดีบริสุทธิ์ต้องอยู่เหนือคำชื่นชมคนอื่น จึงจะทำให้ใจของเราผ่องใสได้ จึงจะทำให้ใจมีอิสระภาพอย่างแท้จริง ทำอย่างนี้แล้วถึงจะไม่โทษตนเองว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี และกล่าวหาคนอื่นว่า เขาไม่เห็นความดีของเรา หากไม่เข้าใจก็เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา มีหลายคนที่หงุดหงิดกับสอนมาก อาจจะพาลเลิกทำดีไปเลย ก็เลยหันกลับมาทำชั่วประชดดีก็มีไม่น้อย ทำดีดีจริง ทำชั่วชั่วจริง ปลูกมะม่วงย่อมได้ผลเป็นมะม่วง ปลูกข้าวย่อมออกผลเป็นข้าวแน่นอน ผลก็คือ ทำดีขณะใด ผลดีย่อมเกิดขึ้นกับจิตทันทีขณะนั้น จิตมีความเร็วสูง พลังความดีย่อมสูงตาม จึงไม่ต้องการผลิตผล ความที่บรรลุใจจึงมีพลังยิ่งใหญ่เท่ากับพลังงานของจิต จิตเป็นพลังงานของชีวิต เหมือนดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานระบบจักรวาล แต่พลังจิตของมนุษย์ยิ่งใหญ่กว่าพลังงานของแสงอาทิตย์ยังเทียบกันไม่ได้ การทำดีหรือการรับผลดีจึงไม่ต่างจากการฉายแสงอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ พลันที่พระอาทิตย์ส่องแสงความมือของโลกก็หายไป ความสว่างไสวก็ตามมา เมื่อจิตฉายแสงความดี ความชั่วก็หมดไปเช่นกัน จิตเหมือนดวงอาทิตย์ ความดีเหมือนแสงอาทิตย์ ความมืดที่ปกคลุมโลก เหมือนความชั่วที่ปกคลุมมนษย์ ถ้าดีแท้เกิดขึ้น ความชั่วก็หมดไป เมื่อรู้ว่าจิตคือพลังงานที่ใหญ่ที่สุด เราต้องบันทึกความดีในจิตให้มาก เราต้องสั่งสมความดี ความดีทำมากๆทีเดียวไม่ได้ เหมือนเด็กๆเรียนหนังสือ ต้องเรียนทุกวัน เราไม่อาจให้ลูกเรียนหนังสือจบปริญญาตรีภายในวันเดียวฉันใด ทำดีมากๆเพียงครั้งเดียวก็มิอาจเรียกว่าดีได้ ดีต้องสะสมเหมือนความรู้ ซื้อขายด้วยเงินทองไม่ได้ ที่เราซื้อหาได้ก็คือปริญญาบัตรให้เป็นเกียรติชีวิตเท่านั้น การทำดีเหมือนการเพาะเมล็ดพันธุ์ การเป็นคนดีต้องอบรม บ่มเพาะ ปลูกฝังที่จริต นิสัยใจคอ กิริยามารยาท ชาติตระกูล แต่ถ้าดีไม่ได้ปลูกฝังตั้งแต่ยังไม่แบเบา ชั่วก็จะเข้ามาแทนที่ เมื่อทำดีแล้วยังไม่ได้ดี ต้องถามตัวเราเองว่าใช่ความดีที่เราต้องการหรือไม่ เราทำความดีที่สังคมบัญญัติหรือไม่ ถ้าสังคมบอกว่าดี เราต้องหันทำดีตามโลกจึงจะได้ดี แม้นจะเป็นดีที่ไม่อยากทำ แต่ต้องฝืนใจทำ หากเราต้องการดีแบบโลก การทำดีไม่หวังตอบแทนจากใคร เหมือนเราลงมือทำการบ้านหาประสบการณ์ตรงเพื่อให้ได้ความรู้และเชี่ยวชาญมากขึ้น แต่การทำดีเพื่อให้มีผลตอบแทนจากคนอื่น เหมือนทำการบ้านให้คะแนนดี อาจได้คะแนนดีจากการลอกการบ้านจากเพื่อนก็ได้ เหมือนปลอมสินค้าผลิตออกขาย ไม่ต้องคิดค้นด้วยปัญญาของตนก็สามารถทำกำไรได้เหมือนกัน ความดีคืออะไร ท่านต้องการให้เป็นแบบไหน ความดีคือเงิน ความดีคือเกียรติ ยศ อำนาจ ความคือเครื่องชำระใจให้ผ่องใส ท่านเลือกทำดีได้ตามที่ต้องการ การดำเนินชีวิตต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนก่อน เมื่อตั้งเป้าผิดก็ดำเนินชีวิตผิด เมื่อตั้งเป้าถูกการก้าวเดินก็ถูก การคิดถูก พูดถูก ทำถูกก็จะตามมา ความดีเหมือนวัคซีนป้องกันชีวิต ความดีจะทำให้เราสำนึกละอายชั่ว กลัวบาป ไม่ว่าใครจะเห็นหรือไม่เห็น ความดีจะเป็นเครื่องส่งเสริมทำให้จิตเบิกบานโดยมิต้องรอให้ใครมายกย่องให้กำลังใจ ทำดี ทำชั่ว มีโจทย์ มีจำเลย มีหลักฐานในตัวเองในเสี้ยววินาทีที่ทำ แม้นอัยการ ทนายความ ผู้พิพากษาก็เกิดขึ้นภายในใจเราวินาทีนั้น ไม่ต้องรอรับผลดีหรือชั่ว เพราะการตัดสินของคนอื่น เราทำดีก็รู้อยู่แก่ใจ มีความสุขอยู่ภายใน ถ้าเรามั่นใจว่าทำดีแล้ว จะมีใครยกย่องหรือไม่ จึงไม่จำเป็น เพราะดีอยู่ภายในใจของเรา จะมีใครเห็นหรือไม่ก็ไม่สำคัญ จะมีคนมายกป้ายบอกหรือไม่นั้น ไม่สำคัญ เพราะดีนั้นตั้งมั่นในใจเราแล้ว ความดีเป็นสมบัติใจเราเมื่อใด เมื่อนั้นเราได้อริยทรัพย์ที่ใจไม่แย่งชิง ลักขโมยไปจากเราได้ สมบัติชิ้นนี้ติดตามเราไปสู่โลกหน้า หลังตาย เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เราต้องพกติดใจไปทุกภพทุกชาติ เป็นสมบัติกำไรงามและเป็นต้นทุนในภพหน้า สมบัติอื่นที่เหลือล้วนเป็นของประจำโลกนี้เท่านั้น ต่อให้มีเงินนับพันๆล้าน มีบ้านหลังงาม มีประสาทหลังหรูก็ต้องกองทิ้งไว้กับโลกนี้ทั้งหมด ถ้าท่านเป็นทุกข์กับการทำดี ท่านจะต้องปรับวิธีคิดให้ได้ คือเมื่อก่อนเราอาจจะเสียใจ น้อยใจ ทำไมทำดีแล้วจึงไม่ได้ดี ถ้อแท้ อ่อนแอ เพราะว่าไม่มีคนมายกย่องว่าเราดี ทั้งๆที่ทำดีมาตลอด เสียสละทุกอย่างแต่กลับไม่มีคนเห็น มีคนมาว่าทำดีขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่ได้ดี ก็ทำให้คิดหนักและเป็นทุกข์มากขึ้น เมื่อพิจารณาให้ละเอียดลงไปแล้ว ก็จะเห็นภาพชัดว่า เราหลอกตนเองมาตลอดว่าเราทำดี แต่ความจริงแล้ว เรามิได้ทำดีเลย เพราะดีที่ทำไม่ได้ทำให้ใจเราผ่องใสแม้นแต่น้อย เป็นความดีต้องหวังพึ่งคนอื่นตลอดเวลา เราทำดีต้องการให้คนยกย่องว่าดี ไม่ใช่ทำว่าเห็นเป็นความดี ดีที่ทำจึงเป็นดีเพื่อหวังผล มิใช่ดีแท้ เป็นดีปลอม มิใช่ดีบริสุทธิ์ แต่กลายเป็นดีแต่ต้องรอคนอื่นมาชมว่าดีจึงจะเป็นความดีได้ เมื่อเราคิดใหม่ว่าดีที่เราทำจะต้องให้ผล มิใช่เพียงชาตินี้ แต่หากให้ผลข้ามภพข้ามชาติและเกื้อกูลต่อคนจำนวนมาก เรารู้สึกสบายใจเป็นการสร้างบารมีอย่างแท้จริง จากเดิมจะหาคำยกย่อง เชิดชูจากคนนั้น คนนี้ ท่านจะหาตัวคำตอบชัดเจนขึ้น ต่อไปไม่รอให้ใครมายกย่อง ชื่นชมในความดีของเรา จากเดิมที่เราคอยทำดีให้คนนั้น คนนี้เห็น เพื่อให้เขารับรองว่าเราทำดี ก็หันกลับมาทำดีเพื่อให้ดีปรากฎผล โดยที่คนมิต้องปรากฎตัว ขอให้เราตัดความคิดเดิมทิ้งไป ยิ่งรอคอยให้คนมายกย่อง ชื่นชม เราจะยิ่งผิดหวัง เพราะคนที่ชมคนหายาก เห็นมีแต่ยกย่องตนเอง แม้นเราคิดว่าคนที่สมหวัง เห็นเขายกย่อง เชิดชู จากคนจำนวนมาก แต่ความจริงเขาก็ยังไม่สมหวังในสิ่งที่ได้มาเลย ขอให้เราปฎิวัติความคิดเสียใหม่ คิดให้ถูกว่า ดีแท้ต้องทำใจให้ผ่องใสได้ ดีแท้จะต้องทำให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ดีแท้ต้องทำให้เราปลื้มปิติในสิ่งที่ทำลงไป แม้นไม่มีคนเห็น ดีแท้ไม่ได้อยู่ที่คำยกย่องอย่างอื่น หากเรามิได้เป็นนั้นจริง ถึงเขาจะยกย่องไปก็ไรค่า แต่ถ้าเราดีจริงแล้วถ้าไม่มีใครยกย่องเลย ดีก็คือดีอยู่นั่นเอง แต่ไม่อาจจะแปรเป็นชั่วไปได้ ความดีเหมือนความเค็มของกลัว แม้นใครจะพูดว่าเกลือไม่เึ็ค็ม เกลือก็ยังเค็มไม่เปลี่ยนแปลง ความเค็มของเกลือ เหมือนความดีของคน คนที่ได้รับการยกย่อง ชื่นชมบ่อยๆ ย่อมจะทราบดีว่าตนเองรู้สึกอย่างไร หลายท่านรู้ดีว่าจริงหรืิอไหม มีคนไม่น้อยเบื่อหน่ายต่อคำยกย่องที่ปราศจากความจริง เป็นการยกยอกันอย่างซ้ำซากไม่สิ้นสุด หลักการเปลี่ยนหรือปฎิวัติอีกข้อนึงก็คือ คิดแต่จะไปพึ่งคนอื่น เอาแต่คิดจะมีใครจะให้เราพึ่ง ใครหน๋อจะเป็นที่พึ่งของเรา เมื่อคิดอย่างนี้เราก็คิดทำเพื่อให้ถูกใจคนอื่น เพื่อให้เขาเอ็นดู เราต้องวิ่งทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเราเป็นที่ปรากฎต่อหน้าเขา แม้นที่จะเสียจุดยืนไปก็ยอม แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถพึ่งพาใครได้จริง เพราะคนที่เราหวังพึ่งนั้น ส่วนใหญ่ก้พึ่งตนเองไม่ได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ จะสังเกตตรงไหนว่าใครจะพึ่งได้หรือไม่ได้ ขอให้ดูความมั่นคงสุขภาพจิต คนที่ยกย่องคนอื่น ให้กำลังใจคนอื่น พูดถึงความดีผู้อื่นมากกว่าความดีของตนเอง ถามถึงงานที่คนอื่นทำมากกว่าตนมีดีอะไร คนเช่นนี้พึ่งตนเองได้ และเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ด้วย ส่วนใครแม้นจะใหญ่โตเพียงใด หากยังรอคำยกย่องจากคนอื่นอยู่ หากรอกำลังใจภายนอก ทั้งยังบ่นปัญหา แต่แก้ปัญหาใดไม่ได้ ชอบบอกว่าตนเองเก่ง คนอื่นไร้ความหมาย แม้นเขาจะใหญ่โตเพียงใดเราก็พึ่งพาอาศัยได้ คนพวกนี้ดูเหมือนสมหวังแต่แท้ที่จริง เขาก็คือคนที่ผิดหวังตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการฝากความหวังกับคนที่ไม่สมหวัง เราย่อมผิดหวังกว่าเขาหลายร้อยเท่า.......................
    มนุษย์ที่โชคร้ายที่สุดก็คือ คนที่ไม่เคยคิดว่าตนโชคดี แต่ถ้าใครคิดว่าตนโชคดีเสมอ ความโชคร้ายที่เคยมีก็จะหายไป เห็นหรือยังว่าอยู่โชคดีหรือโชคร้ายของชีวิตอยู่ที่การปรับเปลี่ยนวิธีคิดของเราให้ถูกต้องนั่นเอง มิใช่ให้รอใครมายกย่องเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนเป็นคติของตน จงเตือนตนด้วยตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ เป็นคำสอนที่ชัดเจนสร้างชีวิตให้มีพลังเพื่อพึ่งตน และให้คนอื่นมาพึ่งเรา ไม่มีคำสอนไหนให้เรายืมจมูกคนอื่นหายใจ คนที่จะมาช่วยเราก็เห็นว่าเรากำลังช่วยตนเอง ให้เราเร่งสร้างพลังให้แกร่งกล้า ไม่ถ้อแท้ เราต้องคิดว่าเราต้องพึ่งตนเองให้ได้ก่อน เพื่อเป็นที่พึ่งของคนอื่นในวันข้างหน้า คนอื่นรอคอยพึ่งเรามีอีกมาก คิดว่าทำอย่างไรว่าเราจะเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ทำอย่างไรคนอื่นจะมาพึ่งพาอาศัยเราได้ การคิดเช่นนี้เป็นอุบายในการสร้างชีวิตที่สำคัญ เพราะทำให้มีจุดยืนชีวิตที่ชัดเจน และทำให้เรามีกำลังใจตลอดเวลา จะไม่มีคำว่าถ้อแท้ อ่อนแอ เสียใจ หมดหวังอีกต่อไป
    เมื่อเราหยุดความคิดหวังพึ่งคนอื่น แล้วให้คนอื่นมาพึ่งเรา ดวงจิตเราจะเปลี่ยนเป็นคนละดวง วิธีชีวิตของเราจะถูกปรับปรุงทันที ทำให้เรามีกำลังใจมั่นคง เพราะทุกอย่างเราต้องลิขิตเอง เราต้องยืนอยู่บนลำแข้งของเราให้ได้ก่อน เหมือนเราต้องว่ายน้ำให้แข็งก่อนจึงอาสาไปช่วยคนจมน้ำ การคิดเช่นนี้ไม่ทำให้จิตใจเราตกต่ำ เมื่อมองภาพไปข้างหน้าก็จะเห็นภาพคนที่อ่อนแอกว่าเราเพื่อให้เราช่วยเหลือ การทำชั่วให้ได้ดี ทำชั่วประชดดีจะไม่เกิดขึ้น การทำดีเอาหน้า ทำบ้าเอาเกียรติก็จะไม่มีอีกต่อไป การทำดีทุกอย่างจะต้องตั้งอยู่บนเหตุผลที่ถูกต้อง มิใช่ว่าจะได้รับโล่ห์รางวัล เกียรติยศประดับชาติ หรือประกาศนียบัตรกับใคร การทำดีแท้อย่าไปลังเลสงสัย เพราะอาจจะทำให้เป็นดีปลอมและอาจจทำให้ดีแตกได้ง่ายๆ เมื่อวิธีคิดเปลียนไป การดำเนินชีวิตก็เปลี่ยนแปลง การสร้างบารมีภพชาติก็เริ่มขึ้นทันที จิตใจท่านจะเบิกบานอย่างบอกไม่ถูก ต่อจากนี้ไปจะไม่มีคำว่า ถ้อแท้ อ่อนแอ สิ้นหวัง
    หรือผิดหวังในเรื่องใดๆอีกต่อไป ที่น่าอัศจรรย์คือ อุดมการณ์ของชีวิตท่านจะแกร่งกล้าอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำสิ่งใด จิตของท่านจะมีพลัง วจาจะศักดิ์สิทธิ์ ความมุมานะบากบั่น พากเพียรความพยายามของท่านจะมีมากขึ้นเป็นร้อยเท่า พันเท่าอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะต่อไปนี้ ชีวิตท่านจะไม่ใช่เพื่อท่านคนเดียวซะแล้ว ชีวิตของท่านจะกลายเป็นสนามการสร้างบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่แก่ชีวิตของตนและของคนอื่นมหาศาล การที่เราคิดว่า เราจะเป็นที่พึ่งของคนอื่นให้ได้นี่เอง จะทำให้ความดีเริ่มปรากฎผล โดยที่ตัวตนของท่านมิต้องออกมาปรากฎ จะทำให้เราเข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หว่านพืชเช่นใดได้รับผลเช่นนั้น จะทำใหเราตระหนักคุณค่าของศีลธรรม คุณของการประพฤติดี โทษของการประพฤติชั่ว เพราะผลกระทบทั้งสองด้าน มิใช่เป็นไปเพื่อตัวเรา หากจะมีผลกระทบอนาคตของคนที่รอคอยหวังพึ่งพิงอีกมากมาย ต่อนี้ไปถ้าเราคิดว่าเป็นที่พึ่งคนอื่น จะทำให้เราปรับปรุงตัวเอง พฤติกรรมเราจะต้องเป็นแบบอย่างให้กับคนทั้งหลาย การทำงานของเราต้องเป็นไปเพื่อเกื้อกูลคนอื่น ปณิธานใหม่จะทำให้เห็นแก่ตัวของเราเริ่มลดลง เห็นอกเห็นใจคนอื่นมีมากขึ้นตามลำดับ ความคิดที่เคยเอารัดเอาเปรียบใครจะเบาบางลง ทุกอย่างจะพิจารณากฎแห่งกรรมมากกว่ากฎหมาย ความเครียดจะมีน้อย ชีวิตจะผ่อนคลาย การที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงชีวิต จะต้องปรับวิธีคิดฝห้ได้ก่อน จะเปลี่ยนอะไรก็ต้องเปลี่ยนที่ใจตนให้ได้ เมื่อเปลี่ยนใจได้ก็เปลี่ยนได้ทุกอย่าง เมื่อครองใจได้ก็ครองได้ทุกอย่าง ทุกอย่างสำคัญที่ใจ เมื่อเราต้องการปรับทุกข์ให้เป็นสุข หรือหาสุขท่ามกลางทุกข์ เราต้องปรับวิธีคิดให้ได้ ขอเป็นกำลังให้ทุกท่านที่กำลังมุ่งมั่นทำความดีเพื่อให้ดีปรากฎ เพราะเมื่อใดความดีปรากฎผล คนจะมีความสุข แต่เมื่อใดทำดีแต่ตัวตนของเราปรากฎก่อน ความดีก็จะหนีเราสุดกู่ เมื่อนั้นเห็นความดีเป็นของเรา ล้วนแต่เป็นภาพลวงตาทั้งสิ้น
    ขอให้เรามาเปลี่ยนแปลงพัฒนาชีวิต สร้างบารมีข้ามภพชาติกันเถิด


    ท่านปิยโสภณ หรือพระราชญาณกวี (พระมหาสุวิทย์ ปิยวิชฺโช)
    สำเร็จเปรียญธรรม ๙ ประโยค จากวัดบวรนิเวศวิหาร
    ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
    ถ.พระราม ๙ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 เมษายน 2013
  20. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ผู้ปฏิบัติธรรมก็เปรียบเหมือนภาชนะที่รองรับหรือบรรจุธรรมเอาไว้ (ภาชนะในที่นี่ก็คือใจนั้นเอง)... แล้วแต่ภาชนะของใครจะเก็บไว้ได้มากน้อยนั้นก็แล้วแต่คุณภาพของภาชนะนั้นๆ ท่านผู้ปฏิบัติต้องเปิดฝาเองถ้าเรามีภาชนะแต่เราควํ้าทางปากลงก็ไม่มีทางที่จะรับสิ่งนั้นๆที่จะเข้ามาเพราะมันโดยควํ้าลงก็มีแต่จะไหลลงทิ้งไป...ผู้จะรับธรรมนั้นๆก็ต้องเปิดฝาเอาไว้แล้วก็ต้องคอยดูว่าภาชนะนั้นได้มีการรั่วไหลไปหรือเปล่าเพราะถ้ารั่วก็ไม่มีวันเติมเต็มได้...ฉะนั้นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติก็คือ คอยตรวจส่องดูภาชนะของตนเองที่รองรับธรรม..ที่จะมาเติมให้เต็มไปได้นั้นเอง...
     

แชร์หน้านี้

Loading...