ชมรมศินารา กำลังเปิดรับสมัคร เปิดบารมีวิชชาสาม รุ่นที่ 7 วันที่ 14 ก.ค. 56 คลิกหน้าสุดท้ย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ภราดรภาพ, 29 มีนาคม 2013.

  1. surer

    surer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,508
    ค่าพลัง:
    +1,317
    จะให้ทำไงละครับ ทุกวันนี้ เจอแต่พวกหลอกลวง แถวบ้านผมก็มี ทำเป้นชักดิ้นชักงอ องค์กุมารทอง จนคิดว่าไอ่พวกองค์ลง มีแต่ของปลอม ของจริงคงน้อยมาก
    บวกกับ คิดว่าเทพคงจะสะอาดมาก แต่มนุษย์ ทั้งกิน ขี้ ปี้ นอน ขี้ไคร ขี ขี้มูก
    ขี้ตา สารพัฒขี้ แบบนี้ เทพองค์ไหนจะอยากมาลงหรอครับ โดยส่วนตัว
    ผมเชื่อว่ามีเทพที่สือสารกับคน แต่ถ้าลงแล้วชักแบบหลายๆคน ผมว่าผีมากกว่า
     
  2. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ผมเข้าใจความในของคุณ

    อย่าได้เพิ่งเชื่อว่า เทพเทวัญ นั้นมีจริง
    อย่าได้เพิ่งเชื่อว่า เจ้ากรรมนายเวร นั้นมีจริง
    อย่าได้เพิ่งเชื่อว่า กฏแห่งกรรมนั้นมีจริง

    คุณอย่าได้เพิ่งด่วนสรุปว่า กับสิ่งเหล่านี้ จนกว่าคนจะได้พิสูจน์จริงใจ และจริงจัง

    ผมยิ่งกว่าคุณจะบอกให้
    เพราะไม่เชื่อสิ่งไร้สาระแบบนี้เหมือนกัน
    ผมมีปัญญา จบเอกทางด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent)
    ผมมีตรรกะในการพิสูจน์ด้วยทางคณิตศาสตร์ ด้วยทฤษฏีแห่งปัญญาประดิษฐ์
    ผมไม่เคยเชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีตัวตนจริง
    ผมไม่เคยเชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวัญ มีจริง

    แถมผมปรามาสสักไม่มีเหลือ เก่งจริงปรากฎให้ ก..........เห็นสิ

    สุดท้ายผมก็จำยอมกับสิ่งนี้
    เพราะผมมีวิธีการพิสูจน์ว่าสิ่งนี้มีจริง ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา
    แต่จะรูปแบบไหน ก็ค่อยๆ รับรู้แล้วกัน

    เรื่องร่างทรงและเรื่องอื่นๆ จะเล่าให้ฟัง
    - ตอนน้องสะใภ้ผมเป็นร่างทรงครับ
    - แรงพยาบาท ตามหาชายคนรัก ถึง 1500 ปี
     
  3. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    บางครั้ง คนเราอาจเชื่อในสิ่งที่ผิด แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดนะครับ
    "มันคือความเชื่อ" เท่านั้นเอง มีทั่วไปครับ เดี๋ยวก็เชื่อว่าขี้แมวก็
    เป็นเทพ, ก้อนเจลใส ก็เป็นของวิเศษ มันไม่ใช่ความผิดหรอกนะ


    ความเชื่อเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเรา ไม่ต่างจาก ความถูก ความ
    ผิด ความจริง ความเท็จ แต่ละอย่างมีหน้าที่ของมันครับ และถ้าเรา
    ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไป ชีวิตคงขาดรสชาตินะครับ


    จริงอยู่ ความเชื่อบางอย่างนำไปสู่ "ความผิด" ได้ เช่น เมื่อพระสงฆ์
    เชื่อว่ายึดพระพุทธรูปแล้วจะได้นิพพานเลยไปสอนให้คนทำตามๆ กัน
    สมมุติอ่ะนะ มันก็ค่อยๆ นำไปสู่ความผิดได้ครับ แต่ความเชื่อบางอย่าง
    ก็ไม่ได้นำไปสู่ความผิดอะไรหรอก มันก็แค่ "วิถีปุถุชนอย่างหนึ่ง" แค่นั้น
     
  4. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    โมทนา สาธุ

    มีคำกล่าวว่า...
    ความเชื่อ + ความศรัทธา มันเหมือนมีเส้นแบ่งกั้น
    จงเชื่อด้วยปัญญา (ผ่านการพิสูจน์ ทดลอง ตามขอสมมติฐาน) ทางพระเรียกว่า โยนิโสมนสิการ
    จงศรัทธาต่อความเชื่ออันดีงาม

    จะเชื่อหรือไม่เชื่อ จงศรัทธาหรือไม่ศรัทธา มันก็แล้วแต่ปัจเจกบุคคล ไม่ใช่หรือ
     
  5. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    ฟังเพลงหน่อยไหม ใจร่มๆ กันอ่ะ


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=CxIN79n4jVo]Mariah Carey & Whitney Houston - When You Believe - YouTube[/ame]
     
  6. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ขอบคุณครับ
    ช่างเจรจาพาทีดีนะพ่อคุณ
     
  7. sutanee

    sutanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    904
    ค่าพลัง:
    +3,248
    เคยไปบ้านคุณมาครั้งหนึ่งตอนที่มีอาการแปลกช่วงนั้นจะหนักไปทางพูดภาษาอะไรไม่รู้เป็นส่วนใหญ่มีอาการทำท่าทำทางยกมือทำท่าแปลกแต่ตอนนี้อาการยกมือทำท่าแปลกหายไปแต่พูดภาษาแปลกๆได้ยังอยู่แถมพูดได้ทุกเวลาที่อยากจะพูดแต่เป็นคำไม่ยาวซ้ำๆคล้ายบาลีแต่ก็ไม่รู้คำแปลแล้วก็มีอาการแกว่งศรีษะไปมาเบาบ้างแรงบ้างกระดูกคอเนี๊ยะดังกร๊อบแก๊ปเลยแต่แกว่งแล้วก็จะนิ่งสงบดีก็เลยปล่อยให้แกว่งมาเรื่อยแถมบางทีอาการเมื่อยไหล่เมื่อยมือเพราะนั่งเล่นคอมนานหายไปก็เลยติดใจแกว่งมาเรื่อยที่นี้เวลาไปวัดฟังพระสวดบ้างเวลาไปถือศีลแล้วสวดมนต์เองบ้างมันก็แกว่งบางทีก็แกว่งซะเร็วแต่ตัวเราก็มีสติอยู่รู้ว่าแกว่งตอนนี้ทีเริ่มกังวลเพราะไปเรียนหลักสูตรครูสมาธิที่สถาบันพลังจิตตานุภาพสาขา๑๘วัดเขาเต่าเวลาเดินจงกลมและนั่งสมาธิมันก็แกว่งตลอดเกิดอาการชักอายเพื่อนที่เรียนบางคนได้ยินเสียงกร๊อบแก๊บเขาก็เสียสมาธิมาดูเราแทนทำอย่างไรล่ะที่นี้ต้องขอคำแนะนำจากอาจารย์ภราดรภาพหน่อยที่สำคัญเข้าใจว่ายังไม่สามารถเข้าสมาธิได้ลึกขึ้นเลยจึงรู้สึกว่าไม่มีความก้าวหน้าทั้งที่จบหลักสูตรแล้วแต่ที่นี่ก็ไม่ส่งเสริมการใช้สมาธิแบบลึกคือฌาน๕-๘แต่ตัวเราเองก็คิดว่าตัวเองยังไม่ได้ฌาน๓กับ๔เลยน่าจะประมาณ๑กับ๒แค่นั้นเพราะถ้าไปไม่ถึงฌาน๔ก็ไม่ถึงจุดที่เรียกว่าจุดพลังอำนาจไม่ได้คิดจะไปใช้ฤทธิ์อะไรแต่อยากรู้แจ้งเห็นจริงในการทำวิปัสนา
     
  8. tassumalee

    tassumalee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    1,579
    ค่าพลัง:
    +8,825
    เรื่องเทพ เรื่องพรมห จิตวิญญาณ นั้น เคยมีพระผู้ประฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทั้งที่มรณะภาพไปแล้ว

    และที่ยังมีชีวิตอยู่ (ซึ่งท่านมีศีล บริสุทธ์ ท่านไม่กล่าวคำโกหกเพื่อให้ศีลท่าน มัวหมองหรอก) ท่านก็

    เคยได้กล่าวไว้ว่ามีจริง


    โดยส่วนตัวดิฉันแล้ว ไม่ได้งมงาย ไม่ได้เชื่อจนขาดสติ เพราะดิฉัน ยึดมั่นในพระธรรมคำสอน

    ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไว้อยู่เหนือเกล้า เพราะไม่มีสิ่งใดๆจะมายิ่งใหญ่เท่ากับ พระธรรมคำสอน

    และ อานิสงค์แห่งบุญที่เราได้ทำ เพราะบุญเป็นตัวชี้นำว่าเรา จะได้ไปที่แห่งใด เมื่อหมดลมหายใจ


    แต่ในขณะเดียวกัน ดิฉันก็ นับถือ องค์เทพเทวาไปพร้อมกันด้วย ( เพราะดิฉันเคยประสบ

    พบเจอ รึมีเหตุบางประการที่พบเจอ พอจะให้เชื่อได้ ) โดยที่ไม่ได้งมงาย หรือเพิกเฉยต่อการปฏิบัติ

    ตามหลักคำสอน ของพระพุทธเจ้า ดิฉันทำควบคู่กันไป ตามความเชื่อที่มีสั่งสมกันมายาวนาน


    ดิฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง แต่ดิฉันก็ปฏิบัติแบบนี้ค่ะ
     
  9. ชลารินทร์

    ชลารินทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +27
    ดีใจที่มีคนคิดเห็นเหมือนกันคะ เมื่อก่อนที่จะมีประสบการณ์ตรงกับตัวเอง ก็เชื่อในระดับหนึ่ง หลังจากที่มีประสบการณ์ มีเหตุการเกิดขี้นมากขึ้นกับตัวเอง และหลังจากที่ไปไหว้ครูกับอาจารย์ภราดรภาพ มา เชื่อร้อยเปอร์เซนต์มามีจริงคะ
     
  10. ชลารินทร์

    ชลารินทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +27
    สวัสดีคะอาจารย์ภราดรภาพ ตอนนี้อยู่ที่อเมริกาคะ หากว่าสิ่งดีๆที่มีเข้ามาในชีวิต สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้บ้างก็จะทำให้ดีที่สุดคะ
     
  11. surer

    surer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,508
    ค่าพลัง:
    +1,317
    เรื่องร่างทรงและเรื่องอื่นๆ จะเล่าให้ฟัง
    - ตอนน้องสะใภ้ผมเป็นร่างทรงครับ
    - แรงพยาบาท ตามหาชายคนรัก ถึง 1500 ปี
    ____________________________________
    รบกวนจัดให้ผมได้อ่านหน่อยครับ ขอบคุณมากครับ
     
  12. หลวงจีน

    หลวงจีน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    861
    ค่าพลัง:
    +1,326
    ติดตามอ่าน ครับ
     
  13. dechay

    dechay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +132
    สวัสดีค่ะ หนูก็เป็นคนนึงที่ถูกทักเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ

    คือหนูมักจะฝันถึงองค์เสด็จพ่อพระศิวะมหาเทพ องค์เสด็จแม่อุมามหาเทวี เสด็จแม่กวนอิม และเสด ็จแม่กินรี องคืนาคี บ่อยนะคะ
    เวลาที่หนูป่วยซึ่งมักจะบ่อยมากๆๆๆ ภ้าเป็นมากหนูก็มักจะฝันถึงท่าน เหมือนท่านมาโปรดแล้วหนูก็จะค่อยยังชั่วขึ้นค่ะ

    บางทีหนูมักจะฝันว่าท่านมาอยู่ในร่างของหนูแล้วกำลังรักษาคนอื่นอยู่น่ะค่ะ

    ไมานานมานี้หนูมีโอกาสได้ไปร่วมงานไหว้ครู แล้วเหมือนกับควบคุมตัวเองไม่ได้ ตอนที่พราหมณ์อ่านโองการเชิญเทพ ตอนที่เชิญเสด็จแม่อุมาหนูก็มีความรู้สึกเหมือนไม่ใช่แขนขาตัวเอง แล้วก็เริ่มรำเป็นรำแขกน่ะค่ะ เหมือนกับว่ามันไปของมันเอง แล้วหนูรู้สึกเหนือยมากเลยค่ะ

    ตอนนี้หนูก็กำลังปฏิบัติธรรมอยู่ ใส่บาตร ถือศีล สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน วันพระถ้าไม่ติดอะไรก็จะถือศีลอุโบศถ แล้วก็นั่งสมาธิ แต่ยังไม่ถึงไหนเลยค่ะ ยังไม่ค่อยสงบเลยค่ะ

    หนูควรที่จะปฏิบัติอย่างไรไหมคะ คือหนูอยากเกิดความสงบและเกิดดวงตาเห็นธรรม

    ในบทความของท่านภราดรภาพ มีที่บอกว่าคนที่มีองคืได้ตาที่สามและได้ตัวรู้แล้ว นี่คืออย่างไรหรือคะ แล้วต้องปฏิบัิติธรรมใช่ไหมคะ ถึงจะได้อย่างนี้

    ถ้ามีสิ่งใดที่ท่านจะสามมารถแนะนำได้ รบกวนท่านภราดรภาพช่วยแนะนำด้วยนะคะ
    อนุโมทนาบุญค่ะ
     
  14. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    เคสที่ 7 : เพราะไม่เชื่อ อยากพิสูจน์ บวชพระสัก 1 พรรษา

    เพราะไม่เชื่อ เลยต้องพิสูจน์ พบประสบการณ์ตรงจากการบวชพระ 1 พรรษา

    เรียน อ.ภราดรภาพ

    ผมอยากแบ่งปันประสบการณ์ตรงที่ผมได้ประสบมา ให้กับคนที่ไม่เชื่อไว้เป็นอทาหอนสอนใจครับ
    เป็นเวลา 27 ปี ที่ผมไม่เชื่อ ไม่รับรู้ ไม่สนใจ เรื่องการปฎิบัติธรรมใดๆ และตัวเองก็ยังนับถือศาสนาอิสลามตามแม่อีกด้วย
    ไม่มีญาณ ไม่มีสัมพัสใดๆ ไม่เคยเจอผี ไม่เคยมีลางสังหรใดๆ ไม่เข้าวัด ไม่ทำบุญ ไม่ไหว้พระ

    เรียนปริญญาตรีอยู่ ก็ผิดหวังในความรักทุกครั้งไป โดนหลอกบ้างรักข้างเดียวบ้าง จบมาก็ติดทหาร ไปหางานทำก็ไม่ได้ที่ตรงสาย
    ขายของก็ขาดทุน ธุรกิจส่วนตัวก็โดนเพื่อนโกง ไปเป็นลูกจ้างโดนเอารัดเอาเปรียบ เป็นเจ้านายคนก็ช่วยเหลือลูกน้อง
    จนเอาตัวไม่รอด พ่อก็...แม่ก็เลยแยกทางไป

    ชีวิตมีแต่ปัญหา ปัจจุบันมีแต่ตัว ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง ปรกติมาตลอด พอมาปี 2012 อยู่ดีดีก็ปวดหัวไมเกรนซะเฉยๆ
    ดูทีวีหรือเล่นคอมได้ชั่วโมงนิดๆจะปวดหัวทันที ไปหางานทำก็ความดันขึ้นอีก เป็นความดันโลหิตสูงซะงั้น

    นอนโรงพยาบาล ปวดหัวมากจนถึงกับคิดว่า กรูจะตายไหมว้า ตาแดงอ้วกแตกแขนขาชาหายใจออกมาแทบเป็นไฟโดนฉีดยาเข้าเส้นพร้อมน้ำเกลือ
    ทรมานอยู่ 2-3 ชั่วโมง ก็หลับไปได้ ตื่นมากลางดึกราวๆ ตี 2 ห้องพิเศษนอนคนเดียว
    ลืมตามา มีเงาดำยืนล้อมรอบเตียง เป็นเงาคนหลายคนเลย คิดว่า มารับเราแล้วรึ? แต่ตอนนั้นปวดหัวก็เลยไม่สนใจ หลับต่อ
    ตื่นมาตอนเช้า อ่าว ไม่ตายนี่หว่า...เมื่อคืนอะไรวะ ออกจากโรงพยาบาลมา ทำงานก็ปวดหัวไมเกรน+ความดัน

    สรุปช่วงนั้นทำงานไม่ได้ เลยอยู่ดูแลคนแก่ มีย่าอยู่3คน ย่าแท้ๆและน้องสาวย่าอีกสอง จู่ๆ น้องสาวย่าทั้งสองคน
    ก็ป่วยเป็นมะเร็งพร้อมกัน มะเร็งลำไส้คนนึง อีกคนมะเร็งถุงน้ำดี เราก็เลยต้องไปคอยดูแล ลำไส้ผ่าก็อยู่โรงพยาบาลไม่นาน กลับบ้านได้

    แต่ที่เป็นถุงน้ำดีนี่สิ อัมพฤษกินครึ่งตัว นอนยาว ต้องคอยเช็ดขี่เช็ดเยี่ยวเปลี่ยนแพมเพิสให้แกตลอด ให้อาหารทางสายยางด้วย
    ดูแกมาตลอดหนึ่งเดือนเต็ม เป็นที่น่าสลดกับชีวิตมาก แล้วแกก็ตายก็หน้าเรา ปลงมรณานุสติไปในตัว เริ่มกลัวกรรม

    ช่วงที่แกยังไม่ตายก็เริ่มอ่านหนังสือธรรมมะของโรงพยาบาล เป็นของวัดท่าซุง มโนมยิทธิ เริ่มสนใจในการทำสมาธิ
    เริ่มอ่านเรื่องญาณ ทิพจักขุญาณ อภิญญา เริ่มนั่งสมาธิวันแรกที่โรงพยาบาล นอนคืนนั้นก็โดนผีอำเลย ถึงได้เชื่อว่านั่งสมาธิได้บุญมากจนผีต้องมาขอ

    เริ่มสนใจคำว่า ญาณทิพ เซิจพี่กรูเกิล ไปเจอเวบชมรมศินาราเข้า ไปเปิดบารมีวิชชา 3 ของอาจารย์ภราดรภาพ
    เพราะอยากรู้อยากเห็นผีว่ามีจริงไหมๆ มาในฝันมันไม่ชัว ต้องจะจะ ปรากฎว่า เปิดไม่ผ่าน อาจารย์บอกว่ายังไม่ถึงวาระ ต้องไปบวชพระ
    ไม่คิดว่าปีเดียว จะทำให้เรากลับมานับถือพุทธ แล้วก็พาตัวเองไปบวชได้ถึง 1 พรรษา ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าจะบวช
    แม่เสียใจที่เรากลับมาเป็นพุทธมาก ถึงกับเสียน้ำตา แต่เพราะความอยากรู้อยากสัมพัสของตัวเอง สรุปก็ได้บวช
    และมีปัจจัยร่วมบุญจากทางศินารา ประมาณ 4000 กว่าบาท ขอโมทนาซ้ำ และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด

    แรกๆที่เพิ่งบวช นั่งสมาธิทุกวัน วันละ 30 นาทีบ้าง 1 ชั่วโมงบ้าง ตามอารมณ์
    แต่ว่าเราเพิ่งเริ่มนั่งสมาธิได้ไม่นาน จิตยังไม่คุ้น ฟุ้งกระจายมากมาย นั่งภาวนาตามลมหายใจเข้าพุทโธออกจิตก็ยังคิดไปโน้นไปนี่ได้
    ทั้งที่จิตนึงก็รู้ว่านั่งอยู่ อีกจิตก็จับลมหายใจอยู่ จิตนึงก็ภาวนาพุทโธอยู่

    ก็ยังคิดเรื่องอื่นไปพร้อมๆกันได้ สุดยอดยิ่งกว่า Core I7 ก็เลยต้องเพิ่มกรรมฐานให้มันแน่นไปอีกลองหลายแบบ นะมะพะถะ ก็แล้ว
    สัมมาอาระหัง ก็แล้ว เพ่งลูกแก้ว ยุบหนอ พองหนอ สุดท้ายมาถูกกจริต

    ที่พุทโธเหมือนเดิม เพราะเด็กๆก็ถูกสอนให้พุทโธ จิตมันติด เผลอเป็นกลับมาภาวนาพุทโธทุกทีก็เพิ่มกรรมฐานเข้าไป
    เป็นหายใจเข้าพุทออกโธนับหนึ่ง เข้าพุทออกโธนับสอง ไปเรื่อยๆถึงร้อยแล้วนับหนึ่งใหม่

    บวกกับจินตนาการถึงภาพที่เป็นเลขที่เรานับอยู่ด้วย(กสินเลข 555+) สรุปใช้กรรมฐาน 4 ชุดภาวนาพุทโธ เป็นพุทธานุสติ
    จับลมหายใจเข้าออก อาณาปานสติ นับเลขกรรมฐานไหนไม่รู้ จิตนาการภาพเป็นกสิน
    น่าจะกสินสีขาว เพราะเลขที่จิตนาการเป็นสีขาว

    แรกๆก็นับไม่ถึงร้อย แค่สัก20-30จิตก็ยังฟุ้งได้ แถมลบกรรมฐานเราทิ้งอีก ลืมว่านับถึงเท่าไร นับต่อไม่ได้ต้องไปเริ่มนับใหม่
    ใช้กรรมฐาน 4กองอยู่ 2-3 วัน จิตก็เลืกฟุ้งนับถึงร้อยได้โดยใช้เวลาประมาณ10นาที

    วันที่8ของการบวช ได้นั่งสมาธิกับเพื่อนพระที่บวชพร้อมกัน สองต่อสองในห้องพระ ปรากฎว่า ภาวนายังไม่ถึง 80
    มีภาพปรากฎมาในจิตในนิมิต เดิมๆจะเห็นเป็นโพลงสีม่วงๆ อยู่ดีดีกลายเป็นภาพ เหมือนฟีมเอกสเร เป็นทารกแฝดในครร
    ลืมตามาด้วยความงง หันไปถามเพื่อนพระว่า

    "มีลูก 2 คนรึเปล่า "
    "เปล่ามีคนเดียว"
    "เมียกำลังท้องลูกอีกคนมั้ง"
    "เมียผมทิ้งไปนานแล้ว ตอนนี้ไม่มีเมีย"

    สุดท้ายก็เลยทักว่า เคยทำแท้งไหม เพื่อนพระก็เงียบไป แล้วบอกว่า
    "...ก็มีบ้าง โอ้ย ใครๆ ก็มีน่ะ สมัยวัยรุ่น"

    เขาคิดว่าเราเดา ก็เลยถามไปว่า
    "ภาพที่เห็นน่ะ เป็นเด็กแฝดนะ" เท่านั้นเอง เพื่อนพระไบ้แด๊กไปแว้บนึง
    "เห็นจริงๆหรือวะเนี่ย"เพื่อนพระอุทานออกมา

    ก็บอกให้อุทิศบุญให้ลูกตามระเบียบ
    เพื่อนพระยังไม่จบ ตามต่อว่า "รู้เพศรึเปล่า"
    พอดีไม่ได้นั่งสมาธิแล้วก็เลยไม่รู้ มาลองนั่งกำหนดรู้ดู ก็ไม่ได้ผล ภาพไม่มา

    จากวันนั้น ผมก็เชื่อแล้วว่า จิตสัมพัส มีจริง ใช้งานได้จริง ฝึกกันได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งบารมีเก่าเลย ไม่จำเป็นต้องเห็นผีมาก่อน
    หลังจากนั้นก็ร้อนวิชา ไปลองนั่งสมาธิกับพระอื่นอีกรูป และก็เณรที่มาบวชแก้บน ปรากฎว่านั่งกับเณร สัมพัสไม่ได้ความ
    ภาพเละมองไม่ออกแต่พระอีกรูปหนึ่งเห็นงูเห่า สีดำตัวใหญ่มาก ไปถามพระรูปนั้นถึงรูปประพันงู ก็ได้ความว่าเขาเคยไปตีงูตายตัวหนึ่ง
    งูเห่าตัวดำเมี่ยมในนา เริ่มสังเกตุว่า คนที่บวชพระน่าจะมีบุญพอที่จะสื่อได้ แต่คนที่บวชเณรบุญอาจไม่พอที่จะสื่อ

    หลังจากบวชได้ 20 วัน นั่งสมาธิทุกวันทั้งเช้าทั้งเย็น ว่างเป็นไม่ได้ และเชื่อเรื่องวิญญาณแล้วก็จะ
    กรวดน้ำลงดินแผ่ส่วนกุศลมาตลอดคืนวันที่ 20 นี่เอง มีดวงจิตคิดว่าเป็นครูบาอาจารย์มาเข้าฝัน
    มาบอกเราเป็นเสียงผู้ชายกับเสียงผู้หญิง สองเสียงพร้อมกันเลย

    บอกว่า "นะโม นะ มะนู ๆๆๆๆ" และก็บอกเราต่อว่า "จงอย่างสงใส เจ้าเป็นหน่อเนื้อไม่ต้องสงใส"(เสียงชาย)"จงอย่าสงใสๆๆๆๆๆ"(เสียงหญิง)
    ไม่เห็นร่าง เห็นเป็นศิลากับภาษาบาลี แล้วตื่นขึ้นมากลางดึก เวลาเพิ่งราวๆสี่ทุ่มเอง ก็เลยอุทิศบุญไปให้เขา บทอิทัง เม

    แล้วลุกขึ้นมานั่ง พิจารณาว่า เมื่อกี้มันอะไร ไม่เหมือนผีอำ แต่อาการคล้ายๆ แล้วผมหันไปทางหน้าต่างกุฏิ ก็ตกใจเล็กๆ
    เห็นเป็นเงาขาวๆ ตาโบ๋ ปากอ้า ตัวยาวมาก กุฏิชั้น2ยังยืนโผล่มาถึง แต่เห็นแว้บเดียวเท่าเวลาฟ้าแลบ
    ประสบการณ์เห็นผีด้วยตาเนื้อครั้งแรกในชีวิต ดีใจมากๆเลย ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง ผีมีจริงเชื่อ 100% วันนี้แหละ

    หลังจากบวชได้ประมารเดือนกว่าๆ นั่งสมาธิสม่ำเสมอ+กรวดน้ำลงดิน ไม่มีภาพนิมิตเข้ามาในหัวอีกแล้ว แต่วันหนึ่งเพื่อนพระรูปที่มีกรรมทำแท้ง
    ก็มาถามผมอีกว่ารู้คำตอบรึยัง เรายืนคุยกันอยู่ พอเขาถามจบปุ๊บภาพแว้บมาในจิตทันที เป็นรูปภาพเหมือนกุมารทองท้าวเอว 2 คน
    ก็เลยบอกไปว่าเป็นผู้ชาย ตั้งแต่นั้นเวลามีการคุยกับใคร เมื่อถูกถาม ก็เริ่มมีภาพแว้บมาในหัว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนเป็นเพียงบางคน

    บางทีคำถามแรกๆภาพก็ยังไม่มา คุยไปเรื่อยๆถึงจะโผล่มา จะเห็นเป็นภาพเหมือนรูปถ่าย บางทีก็เห็นภาพผู้ถามยืนคู่กับคนอื่นๆ
    ที่เราไม่รู้จัก แต่ทักทายได้ถูกต้อง ว่าเขามีพี่มีน้องกี่คนชายหญิงแต่ก็ทำได้แค่เห็น แต่ไม่มีวิธีแก้ไขหรืออะไรขึ้นมาบอก
    หรือไม่ได้มาเป็นภาพ แต่เป็นความรู้สึกนึกคิด คือเข้าใจว่าเขาจะถามอะไรก่อนเขาจะพูดออกมา หรือไม่ก็รู้คำตอบที่เขาถาม
    เริ่มรู้สึกถึงความสว่างของแต่ละคน สัมพัสได้ว่าคนนี้สว่าง คนนั้นยังมืด เข้าใจว่าตรงนี้เป็นส่วนของ เจโตปริยญาณ
    เป็นการระลึกรู้วาระจิตของเขา คือเราไม่ได้ไปเห็นอดีต หรืออนาคต แต่เป็นสิ่งที่เขารู้และคิดอยู่ในจิตขณะนั้น

    แล้วก็งงว่า เราไม่ได้นั่งสมาธิ ทำไมถึงสัมพัสได้ เมื่อก่อนเข้าใจไปว่าจะต้องหลับตานั่งสมาธิเท่านั้นถึงเห็น แต่ในความเป็นจริง
    ภาพมาในจิต ตาจะลืมหรือหลับหรือบอดก็เห็น มาพิจารณาดูก็เข้าใจว่า เป็นสมาธิระดับอุปจารสมาธิ
    คือสมาธิที่เกือบถึงระดับฌานแต่ไม่ถึง อยู่เกือบๆจะเข้าฌาน1 ชีวิตปรกติเราใช้สมาธิกันแค่ระดับขณิกะสมาธิซึ่งสัมพัสอะไรไม่ได้เลย

    ขณิกะสมาธิในชีวิตประจำวันคือ เวลาที่เราดูทีวี และมีคนมาคุยด้วยเราก็หันไปคุยกับเขา หรือปากคุยตาดูทีวี หรือทำการบ้านไปด้วย
    ฟังเพลงไปด้วย คือจิตจดจ่ออยู่กับตรงนี้ทีไปตรงนั้นทีสลับไปมา ส่วนอุปจารสมาธินั้นเป็นสมาธิจดจ่อแน่วแน่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
    โดยไม่สนใจสิ่งอื่น รับรู้แต่ไม่สนใจ เช่นการเพ่งอะไรมากๆ อย่างการยิงปืน ต้องเล็งแล้วยิงเสียงปืนคนอื่นมันดังก็ไม่สนเราเล็งของเรา
    ที่ผมเอาเรื่องราวประสบการณ์ของตัวเองมาลงให้อ่านกันนั้น ก็เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่กำลังปฎิบัติอยู่หรือแค่คิดแต่ยังไม่เริ่มสักที
    ให้ได้มีไฟในการปฎิบัติ อยากบอกให้รู้ว่า ถ้าหากเราตั้งใจแล้ว จะสำเร็จได้แน่

    ทุกๆคน ไม่สำคัญว่าในอดีตจะต้องมีบุญญาธิการหรือบารมีให้มากเลย ที่ต้องมีคือ อิทธิบาต 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา พยายามมันไปเรื่อยๆเจออุปสรรคก็อย่าได้เสียกำลังใจ ท้อแท้แต่อย่าท้อถอย แล้วอนาคตที่สดใสรออยู่
    มาวัดกันว่าระหว่างคุณกับผมใครจะสำเร็จก่อนกัน ณ ปัจจุบัน ผมอายุย่าง28แล้ว ที่ได้ตัวรู้มาทั้งหมดนั้นใช้เวลาแค่1ปี

    คุณๆทั้งหลายอย่าคิดว่า การจะปฎิบัติให้ได้ต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี มันไม่จริงเลย มันอยู่ที่ตัวเรา ครูบาอาจารย์มีตั้งมากมาย
    ตามหาให้เจอให้ถูกจริตเรา และรักษาศีลให้บริสุทธิ์ที่สุด ทำตัวเองให้สะอาดทั้งภายนอกภายใน ปัจจุบันผมทานเจตลอดชีวิตด้วย
    หวังมรรคผลเต็มที่

    ขอผู้ที่ปฎิบัติอย่ายอมแพ้ และผู้ที่ทุกข์ก็ขอให้อย่าท้อ ความทุกข์มันอยู่ที่จิต ผมก้าวผ่านมาได้ ทุกคนต้องทำได้เหมือนกัน
    มีคน 3 คน มีเงินคนละสามแสน ปรากฎว่าเรือล่ม คนแรกร้องไห้ตัดพ้อโชคชะตาและฆ่าตัวตาย คนที่สองโวยวายเหมือนคนบ้า

    คนที่สาม กลับบ้านนอนทำตัวปรกติ ในใจคิดว่า รอดตายมาได้โคตรโชคดีเลย ฉะนั้นทุกข์สุขอยู่ที่จิตเราแท้ๆ ไม่ใช่ว่า
    ขอทานจะทุกข์และคนรวยพันล้านจะสุขเสมอไป

    มีคนว่าเราด่าเราว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น เราโมโหรับอารมณ์มา แสดงว่าเราไปยอมรับว่าเราเป็นอย่างเขาว่า
    ตัดสินตัวเองด้วยคำพูดคนอื่นไปเสียแล้ว หากเราไม่ใส่ใจ ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เขาด่าเขาว่าเราเป็นอย่างหนึ่ง
    เรารู้ว่ามันไม่ใช่อย่างเขาด่าเขาว่า เราก็ปล่อยวางไม่โมโหไม่โกรธ สุดท้ายวจีกรรมนั้นขะเป็นของเขาเอง
    ยึดถือมากทุกข์มาก ยึดถือน้อยทุกข์น้อย ไม่ยึดไม่ถือมันจะทุกข์ได้อย่างไร
    เป็นความเข้าใจส่วนตัวมาจากผลการปฎิบัติและอธิบายให้อ่านเข้าใจง่ายไม่ได้อิงวิชาการมากผิดถูกประการใดขออภัยมาล่วงหน้า

    พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักวาลัง สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2013
  15. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    เท่าที่ผมทราบ ผู้ที่มาเรียนครูสมาธิสายหลวงพ่อวิริยังค์ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
    กับอาคารที่ผมสอนอยู่ ส่วนใหญ่ที่มาเรียน ตั้งใจจริง เพียงแต่กรอบแนวการสอน
    จะต้องเป็นรูปแบบที่กำหนดไว้เดิม การแฉกกรอบจึงเป็นไปได้ยาก
    ทำให้ผู้เรียนต้องมุ่งแนวทางหรือกรอบแนวคิดเดิมๆ เท่านั้น

    ส่วนของผมเป็นอะไรแบบหวือหวา มุ่งไปทางฤทธิ์ แลเห็นผลเร็ว
    ขืนฝึกอย่างนั้น ตายพอดีกัน กว่าจะก้าวหน้า เข้าฌานได้ มีวสีที่คล่องได้
    เหมือนดั่งเขียน ก. กว่าจะผูกประโยคได้ นานจนลืม หรือเบื่อไปเลยก็มี
    สุดท้าย ฝั่งโน้น ก็แห่กันมาขอเรียนฝั่งนี้บ้างกันเป็นทิวแถว

    ของผมมุ่งเน้น ครูบาอาจารย์ที่ไม่มีตัวตน มาสอนให้ตามวาระ
    อันนี้ เร็วดี ถือว่ามีโค้ดประจำตัว ก้าวกระโดด แต่ฐานต้องแน่นนะครับ
    ไม่งั้นจะเอ่อๆ งงๆ งวยๆ ช่วงแรก หรือที่เรียกว่า ปรับกายธาตุ

    ครูบาอาจารย์ที่ไม่มีตัวตน ท่านมาปรับธาตุให้ก่อน
    เพราะของเราเป็นกายธาตุ ของท่านเป็นกายทิพย์
    ท่านเลยต้องจูนให้ บางคนจูนเร็วหน่อยเพราะฐานดี บางคนจูนอยากจูนเย็น
    จนครูบาอาจารย์เบื่อไปเลยก็มี บางคนไม่ค่อยนั่ง ไม่ค่อยจริงจัง
    เห็นแล้วก็เอือมระอา ตอนแรกก็อยากมียากได้ พอฝึกยากหน่อย
    ไม่เอาแล้ว ชอบแบบสำเร็จรูป ถามสแกนดูกับคนที่มีญาณดีกว่า ง่ายดี
    แม้ต้องจ่ายเงินบ้างก็ตาม ประมาณว่า

    เรียนมาก กูเบื่อ เรียนยาก กูเซ็ง กูบอกตรงๆ ว่ากูขี้เกียจ

    ดังนั้น คนใหม่ๆ เวลานั่นฌาน เขาพยายามนั่งให้ต่อเนื่องนานนิดหนึ่ง
    เพื่อญาณจะได้เนียน ไม่งั้นก็เกิดการกระฉาก เกิดอาการรำวงแบบร่างทรง
    อันนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน แต่สำหรับคนใหม่ ยังไงก็ต้องมี
    คล้ายๆ เหมือนประทับร่าง

    ใหม่ๆ ก็จะเป็นอย่างนี้หมด คล้ายคนบ้า เอาละวะ บ้า ก็ บ้า วะ
    อยากรู้เหมือนกัน ว่าจะตายกับเรื่องประมาณนี้หรือเปล่า

    สุดท้ายเห็นแต่ละคน ก็สามารถผ่านด่านนี้มาได้ ไม่เห็นจะตายสักคน
    มีแต่เพี้ยนนิดๆ แต่ก็น่ารักดี

    เรื่องการเข้าฌาน เข้าญาณ เรื่องมันยาว ค่อยๆ เล่าไปแล้วกันนะครับ
     
  16. sutanee

    sutanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    904
    ค่าพลัง:
    +3,248
    ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้คนทีคิดว่ามีองค์มีเทพหรืออะะไรๆก็แล้วแต่
    เยอะะมากแต่เพราะะไม่รู้ไม่เข้าใจไม่รู้จะปรึกษาใคร
    ผลสุดท้ายเลยเป็นเหยื่อตำหนักปลอมแต่เราไม่ยอมไปทางนั้น
    ปัจจุบันก็เลยแกว่งอยู่อายคนขึ้นเรื่อยแต่บางทีก็คิดช่างมันว่ะ
    อยากแกว่งก็แกว่งไปดูซิจะแกว่งจนหัวหลุดเลยไหม
    ก็ไม่เห็นจะหลุดพอมันแกว่งไปมานานเข้ามันก็หยุดเอง
    ก็เลยคิดว่าเอาว่ะไหนก็เป็นตัวประหลาดแล้วช่างมันเถอะ
    ถ้ามันแกว่งแล้วสบายอยากแกว่งก็แกว่งเถอะ
    แต่เราก็พยายามยึดพระไว้ก่อนหมายถึงยึดพระพุทธเจ้า
    ก็เลยพยายามเกาะพุทโธๆๆๆๆแต่ก็รู้ได้ว่ามันไม่ก้าวหน้าเลย
    สงสัยว่าตัวเองไปทำกรรมล่วงเกินอริยชนไว้หรือเปล่า
    อ.เปิดบ้านหรือเปล่าตอนนี้ชักอยากได้วิธีของอ.
    แต่ก็จริงของอ.บางครั้งพอยากเราก็ท้อ
    ขนาดของหล่องพ่อท่านง่ายมากยังไม่ก้าวหน้า
    สงสัยขาดวิริยะไม่เหมือนพระอาจารย์ท่านชื่อวิริยังค์ความเพียรท่านมาก
    แต่ท่านสอนศิษย์ให้ง่ายๆสบายๆแต่ต้องทำบ่อยๆจนเป็นวสี
    แต่ก็ชื่นชมท่านที่มาเผยแพร่วิธีทำสมาธิแบบง่ายๆนะค่ะ
    แต่เข้าใจว่าจริตคนไม่เหมือนกันบวกกับกรรมอดีตสร้างสมมาไม่เหมือนกัน
    เสียดายที่การสอนแบบท่านไม่ได้ใกล้ชิดพระะอาจารย์เหมือนรุ่นแรกๆที่วัดเลย
    ไม่มีโอกาสให้ท่านได้ช่วยแนะะนำ
    แต่มาขอคำแนะนำจากอ.ภราดรภาพแทน
    เพราะคิดว่าตัวเองน่าจะมีอะไรแฝงแน่ๆ
    ไม่งั้นก็เจ้ากรรมนายเวร
    เลยสงสัยต้องหาหมอให้ถูกโรคใช่ไหม
    หากมีบุญสัมพันธ์อ.คงช่วยให้หายแกว่งได้
    และมีความก้าวหน้าทางสมาธิได้ฌานได้ญาน
     
  17. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    ผมเอง ก็ไม่ได้เีชี่ยวชาญเรื่องพระกรรมฐานอะไรมากนัก
    แ่ต่พอมีประสบการณ์บ้างที่จะแนะนำ
    เห็นศิษย์หลายท่านไปเรียนสายนี้
    แล้วก็มาเล่าสู่กันฟัง ว่า...
    ปัจจุบันการเรียนการสอนของสายนี้ หลายหลากความคิดและวิธีการ
    เพราะคนสอน ก็คือ คนที่จบคอร์สครูสอนสมาธิใหม่ๆ ไม่ใช่หลวงพ่อสอนในอดีต ที่มีความเข้มข้นและจริงจัง ได้ผลสัมฤทธิสูงมาก
    อีกทั้งเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันมากขึ้น
    โดยเฉพาะกลุ่มที่ปรนเปรอพระอริยะเจ้า หนักข้อมากขึ้น
    สงสัยว่า คงได้เป็นครูสอนสมาธิรุ่นน้อง อิโกก็เลยเยอะตามไปด้วย

    อันนี้ ก็ถือได้ว่า เราได้เรียนรู้คนอีกประเภทหนึ่ง แล้วย้อนนำกับมาพิจารณาตนเอง
    กรณีของคุณ มีอาการดังกล่าว
    แนะนำว่า ให้อฐิษฐานจิตต่อครูบาอาจารย์
    ขอให้ลูกอยู่ในอาการปกติในระหว่างที่ลูกปฏิบัติธรรม
    อย่าได้แสดงอาการออกมา อันจะก่อให้เกิดเวทนาต่อผู้อื่นเลย

    หรือ ขอน้อมกล้าน้อมกระหม่อม ขอครูบาอาจารย์โปรดเมตตา
    ขอให้ลูกอยู่ในอาการปกติ

    หรือ กรณี นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการ เกรงว่าจะทำให้คนอื่นแตกตื่น
    ให้กำหนดว่า
    ลูกขออัญเชิญครูบาอาจารย์ถอยห่างออกไป 1 คืบ/1 วา / 1ศอก
    ลูกจะเจริญพระกรรมฐานด้วยกำลังของลูกเิอง

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  18. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    เคสที่ 8 : อุทาหรณ์สอนใจ "หมาขี้เรื้อน"

    เวฬุวันโพสต์ 1-6-2011 19:45
    .........................................................
    ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคน หนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก
    ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน
    เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้

    เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว
    ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่ง ที่วัดป่าแถวภาคอีสาน
    พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย
    เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

    แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน
    ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด
    และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ
    วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน
    ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง

    เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย
    ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า

    ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา

    ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป
    ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้
    โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี
    ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น
    ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด
    มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู
    นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมาย
    กากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

    อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาส
    วัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้
    โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง

    วันๆไม่เห็นท่านทอะไรเอาแต่กวาดใบไม้เก็บขยะ
    ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน
    การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน
    จัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา
    เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย
    รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง
    เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำ
    ตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก

    อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้
    หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้
    สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น
    และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเอง
    เป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

    เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ
    หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบส์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย
    ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อย
    ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน
    อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา
    แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง
    ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง จกใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ

    เธอทั้งหลายเห็นหมาขีเรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน
    คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน
    เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้
    อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม
    เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ
    หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก ็ไม่หายคัน
    สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี

    คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน
    แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที
    เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า
    เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่
    แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก
    พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า
    ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว

    ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น
    ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย
    นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู
    ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง
    นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
    จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
    จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง
    เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก

    " อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน
    ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"
    โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย
    แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า
    หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ

    ถ้าเรายังเป็นโรคอยู่ในใจ ไม่พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย หน้าที่การงานไม่พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน
    ไม่ว่าเราย้ายงานไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ สถานที่เหล่านั้นไม่ดี คนไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า
    เราพัฒนาการทำงานของเรามั้ย ขวนขวายหาความรู้หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย

    อ้างอิงบทความของศานุศิษย์ ประพันธ์โดย คุณเวฬุวัน
     
  19. sutanee

    sutanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    904
    ค่าพลัง:
    +3,248
    ขอบคุณอ.มากค่ะที่กรุณาแนะนำจะพยายามทำตามคำแนะนำให้ได้ด้วยความวิริยะ
     
  20. ภราดรภาพ

    ภราดรภาพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +2,762
    โมทนา สาธุ
    ขอให้บุญรักษา เจริญด้วยญาณบารมี
    เจริญไปด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ และโภคทรัพย์เทอญฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...