จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขอกล่าวคําอนุโมทนาสาธุ กับทุกๆท่านด้วย วันนี้ได้เข้ามาอ่านธรรมะของท่านทั้งหลายแล้วก็เกิดความปิติในธรรมของทุกๆท่านที่ท่านได้นํามาแชร์ประสบการณ์การปฏิบัติของท่านผู้หวังความพ้นทุกข์ เป็นธรรมอันประเสริฐแล้วที่เราได้เกิดมาเจอพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ้งท่านได้ชี้บอกเราเป็นเพียงผู้ดําเนินตาม...ให้ท่านทั้งหลายจงได้ภูมิใจกับการปฏิบัติของท่าน และมีความศรัทธาก็จะไปได้จนถึงจุดหมาย...วันนี้ผู้เขียนได้ไปทําบุญที่วัดสาขาของหลวงปู่ชา และพระอาจารย์ได้ก็ได้สอนกรรมฐาน นั่งสมาธิมีชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาได้ผลกับเขาเอง คือเขามีความสุขและเกิดปัญญาเขามีความสงบมากชาวต่างชาติและผู้เขียนก็ได้ทําสมาธิและฟังธรรมไปด้วย ท่านบอกว่าการทําสมาธิก็เพื่อให้เราตามดูตามรู้ความคิดของตัวเองว่าเป็นอย่างไร คือสังเกตุความคิดความปรุงและไม่ต้องหวังผลโดยเร็ววันว่าจะสงบจะทําให้เครียดให้ทําไปเรื่อยๆและบ่อยๆเหมือนการทําความรู้จักความนึกคิด-อ่านของตนเองนั้นเอง...และก็ทําไม่หยุดวันละเล็กวันละน้อย คือให้เรามีสติอยู่กับกาย-ใจและการเคลื่อนไหวให้เข้าใจตนแล้วเราก็จะเข้าใจธรรมชาติในตนเองนั้นเอง...คือเหมือนท่านบอกว่าให้มองโลกในแง่ดีนั้นก็ว่าได้คือจิตดี ธรรมก็ดีนั้นเองผู้เขียนก็เลยนํามาแชร์ค่ะ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,308
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว

    โดย ท่าน ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย


    หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าว “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” กันมาบ้างแล้ว
    คำกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของจิต
    หรืออีกนัยหนึ่งของความคิดได้เป็นอย่างดีว่า
    จิตกำหนดวัตถุ หรือกายเป็นไปตามอำนาจของจิต
    ผู้รู้ท่านหนึ่งเคยกล่าวถึงความสำคัญของจิต หรือความคิดไว้ว่า


    “เธอจงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นการกระทำ

    เธอจงระวังการกระทำ เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัย

    เธอจงระวังนิสัย เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิก

    เธอจงระวังบุคลิก เพราะบุคลิกจะกำหนดชะตากรรมของเธอ”


    ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า
    เรามีความคิดหรือวิธีคิดอย่างไร
    ในทางพุทธศาสนานั้น ท่านให้ความสำคัญกับวิธีคิดเป็นอันมาก
    พระนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้ประมวลวิธีคิดในพุทธศาสนาไว้ว่ามีมากกว่า ๑๐ วิธี


    วิธีคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราควรนำมาปรับใช้ในชีวิตก็คือ วิธีคิดเชิงบวก


    วิธีคิดเชิงบวก หมายถึง การรู้จักเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ
    ซึ่งโดยมากมักแสดงตัวให้เราได้สัมผัสในแง่ลบ
    แต่พอเราพลิกมุมมองใหม่ เราจะได้อะไรดีๆ จากเรื่องลบๆ เหล่านั้น
    เช่น ในชีวิตจริงของผู้เขียนซึ่งทำงานกับคนหมู่มาก
    มักจะพบกับคำชมและคำด่าอยู่เสมอ ๆ
    เมื่อแรกเผชิญกับคำชม ผู้เขียนก็ฟู ครั้นพบกับคำด่าก็แฟบ
    แต่เมื่อเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมและคำด่า
    ก็รู้สึกว่า ได้คุณค่าจากคำด่าคำชมเป็นอันมาก


    คำชมนั้น สำหรับคนที่ไม่คิดอะไรมาก
    ดูเหมือนว่า ไม่ลำบากใจเลยที่จะน้อมรับ
    แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว คำชมนั่นแหละคืออันตรายยิ่งกว่าคำด่า
    เพราะหากเรารู้ไม่ทัน คำชมจะทำให้เราหลงตัวเองและมีโอกาสลืมตัวสูง
    ส่วนคำด่า ถ้าพิจารณาไม่ดีก็ทำให้เราเสียศูนย์ได้ง่ายๆ
    แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งด้วยวิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี
    บางทีคำด่ากลับมีค่ามากกว่าคำชม


    คำด่ามีค่ามากอย่างไร ?


    (๑) คำด่า คือ กระจกเงาสะท้อนความบกพร่องของงานที่เราทำ


    (๒) คำด่า มักแฝงคำแนะนำมาด้วยเสมอ


    (๓) คำด่า บอกเราว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้น
    หากมีคนที่คิดไม่เหมือนเราเขามองดูอยู่
    เขาเห็นอะไรในสิ่งที่เรามองไม่เห็นบ้าง


    (๔) คำด่า คือ กระดาษทรายอย่างดี
    ที่คอยขัดสีฉวีวรรณให้เรามีความกลมกล่อมลงตัว
    เหมือนพระประธานที่ต้องถูกกระดาษทราย ขัดสีฉวีวรรณจนผุดผ่อง


    (๕) คำด่า ทำให้เราไม่ประมาทผลีผลาม
    ทำอะไรด้วยความเชื่อมั่นมากเกินไป


    (๖) คำด่า ทำให้รู้ว่า มีคนรักหรือเกลียดเรามากน้อยแค่ไหน


    (๗) คำด่า ทำให้รู้ว่า อย่างน้อยก็มีคนสนใจในสิ่งที่เราทำ
    หรืออย่างน้อย สิ่งที่เราทำมันกำลังส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
    จึงมีคนอุทิศตนมาสนใจและด่าอย่างเป็นงานเป็นการ


    (๘) คำด่า จะทำให้เราได้หันกลับมาดูภูมิธรรมของตนเองว่า
    เข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน เมื่อทุกข์กระทบแล้วธรรมกระเทือน
    หรือกิเลสกระเทือน ถ้า ธรรมกระเทือนแสดงว่าเราฝึกตนเองมาดี
    แต่ถ้ากิเลสกระเทือนแสดงว่า
    ต้องกลับไปฝึกจิตตัวเองใหม่ให้เข้มแข็งกว่านี้


    (๙) คำด่า ทำให้เราได้รู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครหนีโลกธรรม ๘ ได้
    (ได้ลาภ เสื่อมลาภ, ได้ยศ เสื่อมยศ, สรรเสริญ นินทา, สุข ทุกข์)


    :b36: (๑๐) คำด่า คือ บทเรียนเรื่องการปล่อยวางตัวกูหรืออัตตาที่ดีที่สุด
    เพราะหากเรายังปล่อยวางตัวกูไม่ได้ เราก็จะต้องหาวิธีด่าคืนอยู่ไม่สิ้นสุด



    ที่มา...
    ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว|ความเรียงธรรมะสาระ - ค่ายพุทธบุตรทำดี
    ***********************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ก่อนอื่นต้องขอสวัสดี และขอโมทนาสาธุกับธรรมาทานเช่นกัน
    ขอให้พวกเราผู้ปฎิบัติหรือผู้เจริญทุกท่าน ได้โปรดปฎิบัติตามพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    หรือครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ที่ท่านประพฤติหรือปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ
    โดยเฉพาะที่บรรลุอรหันต์ หรือคนส่วนใหญ่ยอมรับนับถือแล้ว
    หรือดูจากในหลวงท่านก้มลงกราบพระอริยเจ้าท่านใดแล้ว นั่นแหล่ะก็ถือเอาสัญญลักษณ์นั้นก็ได้
    ขอฝากใครก็ตามที่คิดร้าย คิดปรามาส คิดทางลบกับในหลวง จงคิดเสียใหม่เพราะแลเห็นจิตของท่านเข้า...อึมมม
    คนเราทำกรรมมาไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะไปเตือนใครอย่าไปทำเดี๋ยวจะล่วงเกินจิตหรือกรรมผู้อื่น
    จิตผู้ปฎิบัติท่านใด ที่พอจะเข้าถึงขั้นละเอียดของจิต ของธรรมนี่ มันก็เหมือนดาบสองคม
    แต่ผู้จะรอดพ้นไปด้วยดีต้องเป็นผู้ที่ทั้งสติและปัญญาของตนเท่านั้น
    ทำไมผมจึงกร่นซะยาว ผมก็แค่จะอยากจะบอกกับพวกเราแค่ ให้มีสัมมาทิฎฐิดั่งคุณอภิชัยท่านนี้
    กว่าที่จิตเราจะเป็นสัมมาทิฎฐิ เราต้องเจริญสติให้เป็นสัมมาสติ(สัมปชัญญะ)
    และเจริญสมาธิให้เป็นสัมมาสมาธิ(ฌานลำดับ๑๒๓๔)
    เมื่อเรามีปัญญา ปัญญาญาณ คือความรู้และความรู้แจ้งแทงตลอดหรือรู้ตามความเป็นจริง
    อย่าลืมนะ ใครก็ตามที่จะเอาดีในทางปฎิบัติโดยเฉพาะมรรคผล จะต้องรักษาศีลของตนก่อน
    อย่าไปสนใจศีลคนอื่นว่าจะครบหรือไม่ ดูศีลตนอย่างเดียว เรารักษาศีลหยาบครบไหม๊
    มิใช่ถือศีลเฉยๆ แต่ไม่ได้รักษา มันไม่เหมือนกัน
    เมื่อเราแน่ใจว่าศีลของเราครบแล้ว ต่อไปถึงจะเริ่มภาวนา
    การภาวนา เราต้องแบ่งให้ได้เป็น ๑.สมถะ ว่าด้วยเรื่องสมาธิจิตหรือฌาน
    ทำกันได้หรือยัง? แต่ถ้าทำกันได้แล้ว ก็ให้ทำต่อข้อ๒.ก็คือ วิปัสสนา
    ก่อนเราจะวิปัสสนาได้ ขอให้เราย้อนกลับไปถามตนเองนะว่า ในขณะนี้จิตเราทรงฌาน
    หรืออุปจารย์สมาธิ(เฉียดฌาน)หรือเปล่า แต่ถ้าตอบว่าใช่ นั่นแหล่ะวิปัสสนา
    แต่ถ้าไม่ใช่ เขาเรียกว่า วิปัสสนึก ก็คือ ตรูคิดนึกเอาเอง
    การภาวนานั้นเราจักต้องทำคนเดียวนี่สิลำบากสำหรับคนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องภาวนา
    ผู้ปฎิบัติจะต้องทำความเข้าใจให้มาก อ่านเยอะๆ โดยเฉพาะการเจริญสติภาวนา
    โดยเฉพาะอาการข้างเคียงในการทำภาวนา ได้แก่ นิวรณ์๕ อาการปิติทั้ง๕ องค์ฌานทั้ง๕
    รวมไปถึงติดสุขจากฌานแปลว่าอะไร อาการอย่างไรถึงเรียกว่าวิปัสสนาหรือวิปัสสนึก
    ขอให้ตั้งใจทำกันจริงๆจังๆแล้วท่านจะได้ของจริงๆ ดั่งพระอรหันต์ปฎิบัติตามพระพุทธองค์นั้น
    เรื่องจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ถ้าผู้ปฎิบัติที่ยังเข้าไม่ถึงจิตตนเอง(จิตในจิตหรือกระแสจิต)
    ก็ยากที่จะเข้าถึงธรรมะ อย่า่งมากก็แค่เข้าใจเท่านั้น
    เพราะผู้ที่จะเข้าใจและเข้าถึงพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นั้น
    จะต้องเอาจิตเรามาเดินตามอริยมรรค หรือปฎิบัติธรรมตามศีล สมาธิ ปัญญานั้น

    และสิ่งสุดท้ายจึงขอฝากทุกท่านให้เตือน ให้บอกกับผมบ้าง ผมมิใช่พหูสูตรหรือเป็นรู้มาจากไหน
    ผมก็เป็นผู้ปฎิบัติคนธรรมดาๆคนนึงเท่านั้น ที่มีความปรารถนาดีกับทุกท่าน
    นอกจากตนเองปฎิบัติแล้ว ก็อยากนำสิ่งที่ตนได้รับรู้มาได้นำออกมาเผยแพร่ให้กับพวกเราด้วย
    แต่ถ้ามีสิ่งผิดปกติหรือผิดเพี้ยน ก็เตือนผมบ้าง มิใช่ปล่อยให้ผมหลงทางคนเดียว
    ผมยังมีขันธ์๕ เหมือนกับพวกเราทุกอย่าง ผมถือว่ายังสกปรกอยู่ ยังไม่บริสุทธิ์
    พยายามปฎิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย เดินให้ตรงให้ลัดให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้
    และกรุณาอย่ามาหยิบยื่น ต้องให้ผมมาเป็นอะไรกับสมมุติในทางโลกเลย
    เพราะพวกเราต่างก็ปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นด้วยกันทั้งนั้น
    แต่มิได้ไปขัดขวางความศรัทธาพวกเรา เพียงอยากจะชี้แจงให้กับพวกเราในที่นี้
    ขอขอบพระคุณ..ช่วยๆกันนะครับ ติเพื่อก่อ มิใช่ทำร้ายหรือทำลายกัน
    เชื่อทุกท่านเป็นคนดีหมด แต่ไม่ดีเพราะกำลังตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งกิเลสตัณหาอุปาทานของตน
    ดั่งเช่นผม ก็เคยตกมาก่อนแล้ว ผมจึงเข้าใจคนในหมู่เหล่านี้ดี
    เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฎิบัติรอดพ้นหรือออกจากทุกข์ตนเองได้แล้ว ขอให้นำพากันรักษาศีล ทำภาวนากัน
    เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นมีได้มีโอกาสเห็นธรรม มีดวงตาเห็นธรรม เฉกเช่นตัวของเรากันด้วยเถิด
    สาธุๆๆ

    อย่าไปหลงมัวเมาหรือซ้ำเติมกันเลย ถ้าจิตของท่านเสมือนพรหม คือมีจิตเป็นพรหมวิหาร๔
    จงเมตตากับทุกคน มิต้องแบ่งแยกสีหรือคนที่เห็นต่างกับตน หรือชาติตระกูลเลย
    เพราะทุกวันนี้ไหนสิ่งจะยั่วยุหรือสิ่งกระทบจิตทุกวัน ไหนจะตัวเจตสิกตนเองก็ยังตามไม่ค่อยจะทัน
    เมื่อเรามีปัญญาไม่พอที่จะไปรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ เราก็จะวิ่งตามและท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นคำว่าทุกข์
    แต่จะพ้นทุกข์ด้วยปัญญาและต้องไม่วิ่งตาม เช่น เห็นสักแต่ว่าเห็นเท่านั้น
    ก็คือรู้ เห็นหรือรับรู้เรื่องราวอะไรมาก็ให้วางซะเดี๋ยวนั้น
    แต่ถ้าไม่วางก็จะเก็บไปคิดกันอีก แล้วก็จะตามด้วยฟุ่งซ่าน+ปรุงแต่ง=ทุกข์ ก็เท่านั้นเอง
    ที่กล่าวมานี้แค่น้ำจิ้ม คือศัตรูภายในของเรา ก็คือกิเลส ตัณหาและอุปาทานของเราเอง
    นี่ยังไม่นับรวมกับกิเลสภายนอก ที่มันกำลังจ้องจะเข้ามาทำร้าย ทำลายความสุขของเราอีกเล่า
    ไหนจะข่าวภัยพิบัติ ไหนจะข่าวสงครามคนดุอีกหล่ะ จะรอดไหมเนี๊ยตรู...
    ผมไม่ห่วงผู้ปฎิบัติที่ออกจากทุกข์ได้แล้ว แยกกายแยกจิตเด็ดขาดแล้ว
    หรืออยู่เหนือขันธ์ ๕ ตนเองได้แล้ว เพราะพวกนี้ไม่กลัวตาย คือพร้อมจะตายลงทุกเมื่อ
    เพราะทุกคนก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่า ตายแน่ๆ ตายทุกคน แต่จะตายที่ไหน ตอนไหน ไม่สำคัญ
    แต่สำคัญตรงที่ตายแล้วไปไหน สุคติหรือทุคติภูมิ? เราทั้งนั้นที่จะต้องเป็นคนเลือกเอง
    แต่ถ้าไม่เลือกก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม ก็ตามใจ
    แต่ถ้าหากเรายังไม่ตาย เราก็ทานผลนิพพานบนดินกันไปตราบสิ้นอายุขัยแห่งตน

    เราเองนี่แหล่ะจะต้องตอบตนเองให้ได้
    แต่ตัวเราจะดีหรือไม่ดีจะต้องให้คนส่วนใหญ่เขาตอบ มิใช่เราตอบ
    จบ...สนทนาธรรมสำหรับคืนนี้ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 มีนาคม 2013
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (ข้าพเจ้าขอน้อบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า)

    ...พระธรรมนั้นอันใด...อันพระผู้มีพระภาคเจ้า...ตรัสดีแล้ว...

    ...เป็นของอันบุคคลพึงเห็นเอง...เป็นของไม่มีการเวลา...

    ...เป็นของที่จะร้องเรียกผู้อื่น...ให้มาดูได้...

    ...เป็นของอันบุคคลพึงน้อม...เข้ามาใส่ใจ...เป็นของอันวิญญูชนทั้งหลาย...

    ...พึงรู้เฉพาะตัว...ข้าพเจ้าขอบูชาโดยยิ่ง...ซึ่งพระธรรมอันนั้น...

    ...ข้าพเจ้าขอนอบน้อมซึ่งพระธรรม...อันนั้นด้วยเศียรเกล้า...

    ...คัดมาจากหนังสือ สโรชา พ.ศ.๒๕๔๗...


     
  5. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261


    กราบสวัสดีครับ

    ขอบคุณท่านพี่ที่ได้ให้คำแนะนำในทุกๆอย่าง ผมขอเรียนอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา สิ่งที่ผมเขียนไปก็เพื่อเป็นบทเรียนให้ท่านอื่น และเพื่อเตือนในอะไรบางอย่างที่ผมเห็นหรือที่ผมรู้สึกได้ ฝุ่นเข้าตาตัวเองคนเราจะไม่ค่อยเห็น แต่ของผู้อื่นเราจะเห็น แม้ว่าฝุ่นของเขาจะเล็กนิดเดียว แต่ไปเห็นเข้าอะไรทำนองนี้ ฝุ่นในตาของผมก็ยังมีอีกมากมาย แต่ไม่เห็น หรือเห็นแล้วก็ยังเอาไม่ออก(พยายาม..อยู่)... สิ่งที่ผมทำนี้ผมฝืนใจตัวเองมากๆ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน ผมไม่ชอบทำอะไรอย่างนี้เลย ไม่ชอบไปล่วงเกินวาระกรรมของใคร ชอบอยู่อย่างสบายๆ และไม่ชอบให้ใครมายุ่งมาวุ่นวายกับเรา ใจเขาใจเรา ผมไม่สบายใจในสิ่งที่ตัวเองทำ แต่ทำไม? ผมจึงทำอะไรบางอย่างลงไป สิ่งที่ผมทำไม่เคยอยู่ในความคิดผมมาก่อนเลย มีความรู้สึกให้ต้องทำขึ้นมาอย่างแรงกล้า ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้..ท่านพี่คงจะทราบเจตตนาที่ผมสื่อ ...

    กระทู้จิตเกาะพระ ไม่ใช่กระทู้ธรรมดาๆ ที่มาของกระทู้นี้ท่านพี่ก็ทราบดีอยู่แล้ว..สิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง จะต้องถูกปรับให้เข้าร่องเข้ารอย ทุกคนที่มีหน้าที่จะต้องช่วยเสริมเติมแต่ง และปรับปรุงให้ดีที่สุด ต้องเปิดใจให้กว้าง อย่าไปยึดติดในสิ่งใดๆ เป็นงานเพื่อส่วนรวมจริงๆ...พระธรรม และคำสอนของครูอาจารย์ต้องเป็นหลัก ความคิดความเห็นและความเชื่อของเราๆจะเป็นรอง เพียงแต่เอามาช่วยขยายธรรมให้ละเอียดให้เข้าใจในภาษาที่ง่ายเข้าแค่นั้นเอง และต้องไม่ออกนอกกรอบของพระธรรม เป็นหน้าที่ของทุกคนจะต้องช่วยกันดูแล และติติงในส่วนที่ไม่ใช่ ต้องกล้าบอกกล้าชี้แนะ และต้องใจกว้างรับฟัง ไม่ใช่เพื่อใครใดๆทั้งสิ้น ..เพื่อพระศาสนาเท่านั้น..และต้องทำหน้าที่ในส่วนของตนให้ดีที่สุด ตามที่ได้ตั้งความปราถนากันไว้ก่อนที่จะลงมา

    สำหรับเรื่องที่ใครคิดปรามาส และคิดร้ายในหลวง ซึ่งท่านพี่มาพูดอ้างอิงในกระทู้ของผม อยู่ดีๆก็พูดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุ ผมก็ไม่ทราบเจตตนาท่านพี่ ได้แต่เพียงบอกว่า ชาวพุทธซึ่งเป็นนักปฏิบัติภาวนา หากไม่มีใครทราบว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ และยังไปคิดร้าย คิดปรามาสท่าน ก็คงไม่ใช่นักปฏิบัติภาวนาที่เป็นชาวพุทธอย่างแท้จริง ผมขอสำทับให้อีกครั้ง...หากใครคิดก็ขอให้เลิกเสีย หากยังไม่เข้าใจและยังทำต่อไป ก็เป็นกรรมของเขาเอง ใครทำก็รับกันไปเอง..

    สิ่งที่ผมได้ทำไปไม่ใช่ด้วยความหลงมัวเมาอย่างที่เข้าใจ จิตของพวกเราอยู่เหนือจุดนั้นไปแล้ว เหตุผลผมก็ได้ชี้แจงไปแล้ว ความอาฆาตพยาบาท หมดไปจากใจผมเสียแล้ว ซึ่งในบางเรื่องหนักหนาสาหัสซึ่งน้อยคนที่จะเจอเหมือนผม ผมก็อโหสิกรรมให้ทุกผู้ทุกคนหมดสิ้น เพียงแต่ยังมีสัญญาเรื่องเก่าๆเดิมๆที่ผุดขึ้นมา เป็นครั้งคราว เป็นธรรมดาของผู้ที่ไม่หมดกิเลสนะครับ ถ้ารู้ไม่เท่าทันก็ปรุงแต่งกันไปมากมาย (ซึ่งที่จริงแล้วไม่มีใครดีใครชั่ว มีแต่การแสดงผลตามวิบากกรรมของแต่ละคนเท่านั้นเอง) ในส่วนนี้การเจริญสติจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำให้มากเจริญให้บ่อยๆ เพื่อให้รู้เท่าทันกิเลสที่เข้ามากระทบ จะทำได้มากน้อยแค่ใหนอย่างไรก็อยุ่ที่ตัวเราเอง ไม่มีใครช่วยเราได้..

    และที่อยากจะกล่าวอีกเรื่องหนึ่งคือความศรัทธา หากเราศรัทธาผู้ใดมากเราจะไม่ค่อยมีเหตุผลในการพิจารณาข้อเท็จจริง แม้บางครั้งบางเรื่องจะขัดกับหลักการสำคัญๆ แต่เราก็ละเลยเสีย เพราะศรัทธานำหน้า ทั้งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนถึงหลัก กาลามสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรสำคัญในความเชื่อ 10 ประการ แต่ก็ไม่ได้นำมาใช้กันหรือนำมาใช้กันน้อยมาก ปัญหาต่างๆจึงมีมาก ในส่วนนี้ต้องโทษตัวเราเอง

    นักปฏิบัติเมื่อปฏิบัติเมื่อปฏิบัติได้ถึงจุดหนึ่ง ความกลัวตายแทบจะไม่มี ด้วยเข้าใจในสภาวะแห่งธรรม ปีที่แล้วกับปีนี้ก็ต่างกัน เดือนที่แล้วกับเดือนนี้ก็ต่างกัน แม้แต่เมื่อวานนี้กับวันนี้ก็ไม่เหมือนกันเสียแล้ว ต้องดูในปัจจุบันกันจริงๆ ญาณทัศนะถ้าแจ่มใสก็สามารถมองทะลุโลกทะลุจักรวาล แต่ถ้าไม่แจ่มใสเรื่องใกล้ตัวยังมองไม่ออกเลย เป็นโลกียะเป็นของเสื่อม ไม่เที่ยง จะบังคับให้ได้ดังใจทุกครั้งไม่ได้ ถ้าไปยึดถือมากอาจทำให้เข้าใจอะไรผิดพลาด และคลาดเคลื่อนไปจากความจริงได้..ผมเชื่อว่าไม่มีใครรุ้ตัวเราดีที่สุดเท่าตัวเราอีกแล้ว และการรู้ผู้อื่นก็ไม่มีประโยชน์ทำให้เนิ่นช้า และฟุ้งซ่านเสียเปล่าๆ สู้รู้ตัวเองเข้าใจตัวเอง ดูกาย ใจ ของเราให้ได้ตลอดเวลา จึงจะพ้นทุกข์ ..ผมสอนตัวเองอย่างนั้นและจะพยายามทำให้ได้สะสมแต้มไปเรื่อยๆ แค่ใหนก็แค่นั้น

    ก่อนจะโพสก็อ่านซ้ำหลายเที่ยว ทวนไปมาเพื่อไม่ให้ผิดศีลผิดธรรม มีแต่ใจที่ตรง และสื่อตรงใจออกมาเท่านั้น...และกราบขออภัยด้วยครับหากมีส่วนใดที่ล่วงเกิน...สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2013
  6. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261

    ผมได้บอกกล่าวได้ชี้แจงในสิ่งที่ผมคิดว่าควรจะทำ หมดสิ้นแล้ว

    ส่วนที่เหลือ ก็ต้องทำหน้าที่ของตนกันต่อไป ตามกำลังและสติปัญญาที่มี

    จะช้าหรือเร็ว แค่ใหนอย่างไร... ก็ตามบุญบารมี และวิบากกรรมที่ติดตัวมา

    พร้อมทั้งจะช่วยงานพระศาสนาต่อๆไป ตามความสามารถที่จะทำได้

    และตามความปราถนาที่ได้เคยอธิษฐานไว้ในกาลก่อน...

    กราบโมทนาสาธุทุกท่าน ครับ


    (เรื่องของธรรมมีเพียงแค่นี้ สั้นๆ ไม่ยาว จบแล้ว คือจบกัน ..ทำหน้าที่ตัวเองกันต่อ)
     
  7. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนาสาธุ กับคุณ apichai ด้วยค่ะจากธรรมะที่ท่านได้กล่าวนั้น ท่านเป็นผู้ได้ผ่านพ้นอุปสรรคที่เป็นขั้นตอนของการปฏิบัติผู้ผ่านการติดสุขเข้าสู่วิปัสนาได้แล้วนั้นจะไม่มีการหลงแล้ว เพราะท่านได้เห็นประจักษ์ในตัวท่านเอง...เพราะปัญญาที่ได้แทงทะลุไปนั้นแหละคือ การก้าวข้ามอุปสรรค ผู้ปฏิบัติที่ได้รู้เห็นด้วยตนเองนั้นแหละที่เป็นความรู้ที่แท้จริง...เพราะเกิดจากการปฏิบัติไม่ได้เกิดจากการอ่านหรือความจําคือสัญญา เพราะสัญญาจะไม่ทําให้เราหลุดพ้นได้ก็มีแต่แสงสว่างแห่งปัญญาเท่านั้นแหละที่จะพาเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ จึงขออนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (หลวงปู่ท่านได้กล่าวไว้)

    ...ว่าการได้เห็นพระอริยะก็ดี การเข้าหาพระอริยะก็ดี...

    ...ยังไม่ประเสริฐเท่ากับการทำตนให้เป็นพระอริยะ...

    ...สติปัฏฐานนั้นมิใช่อะไรอื่น...นอกจากการใช้สติ พิจารณากำหนดรู้อยู่ทุกขณะว่า...


    ...ในขณะหนึ่งนั้นๆเรากำลังทำอะไรอยู่ทั้งนี้...พิจารณากันในเฉพาะ...

    ...ปัจจุบันเท่านั้น...ไม่พิจารณาย้อนไปถึง อดีต และอนาคต แม้สักวินาทีเดียว...

    ...วิปัสสนาในแนวสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้...เป็นที่รวมแห่งพุทธวจนะทั้งหมด...

    ...เรียกว่า ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม...เพราะฉนั้น ก็ให้ความสำคัญในการปฏิบัติ...

    ขอน้อมรัมธรรมะของหลวงปู่ทอง แห่งวัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร.จ.ช.ม

    ...กราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะกราบ...

     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อย่าลืม! มรณานุสสติ
    มรณานุสสติ
    แปลว่านึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ความตายเป็นของธรรมดาของสัตว์และมนุษย์
    ความตายเป็นของเที่ยง ที่เรามีลมหายใจกันอยู่นี้ มันไม่เที่ยงหรอก
    ธรรมอันนี้แน่นอนกว่าสิ่งอื่นใด เพราะเกิดได้ย่อมตายได้เช่นกัน
    เวลามีลมหายใจก็อย่าหลงระเริง สนุกสนาน เพลิดเพลิน มีความสุขทางโลกมากนัก
    เพราะเดี๋ยวจะขำไม่ออก ถ้าวันและเวลาความตายของเรามาเยือน
    พวกเราเคยนึกถึงความตายกันบ้างหรือเปล่า แต่ถ้านึก ถามว่าบ่อยแค่ไหน
    ผู้ที่บอกว่าไม่เคยหรือไม่อยากพูดหรือถึงกล่าวถึง อันนี้ไม่ดีแน่ๆ
    คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยชอบให้พูดถึงความตาย เพราะเป็นเรื่องอัปมงคล
    เป็นเรื่องไม่ดี อะไรประมาณนั้น
    แต่วันนี้ผมได้คำตอบและรู้ความจริงแล้ว ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
    สำหรับคนที่ไม่ชอบพูดหรือกล่าวถึงความตาย เพราะว่าไม่ยอมรับความจริง
    ทั้งๆที่คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ตายแน่ๆ ตายแน่นนอน
    พระก็พูดเตือนกันอยู่บ่อยๆว่า อย่าประมาท เพราะความตายมันอยู่ใกล้เรานิดเดียว
    แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเราหมั่นระลึกนึกถึงมรณานุสสติบ่อย เราจะได้มีสติกันมาก

    เมื่อก่อนเป็นคนกลัวผีมาก ตอนเด็กชอบฟังคนเล่าเรื่องผี แต่ก็กลัวมาก
    เดี๋ยวนี้มองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนเกิดมาก็ต้องตายแน่นอน
    เมื่อเราตายไปเขาก็จะนำไปฝังบ้าง เผาทิ้งบ้าง แต่ถ้าเราตายจริงก็คงไม่กลัวคนตายด้วยกัน

    คนตายก็เปรียบเสมือนใบไม้แห้งและหล่นล่วงลงมาในที่สุด
    สำหรับใบไม้ที่ยังเขียวสดขจีนั้น จึงเปรียบเสมือนคนหนุ่มคนสาวที่ยังมีชีวิต
    ยามใบไม้ที่ยังอยู่กับกิ่งก้านต้นไม้ก็ยังพอรับแสงแดด รับลม รับฝน
    ไปอีกสักระยะและอีกไม่นานนักก็จะกลายเป็นใบไม้ที่เหี่ยวแห้ง
    และท้ายที่สุดก็ต้องหล่นล่วงลงมาเช่นเคย
    คนหนุ่มคนสาวก็เช่นกัน ไม่ต่างกับใบไม้นั้นเลย
    จากที่เคยเป็นคนหนุ่มสาว และอีกไม่นานก็จะแปรเปลี่ยนเป็นคนแก่
    และก็ต้องตายลาลับจากญาติ จากโลกนี้ไป อย่างแน่นอนที่สุด

    เวลาที่เรายังหนุ่มยังสาวกัน ก็พากันรักษาศีล ทำภาวนา
    รีบเร่งสร้างแต่บุญกุศล สร้างบารมี ไว้ใช้ในโลกหลังความตาย
    เสมือนเราเก็บสะสมเสบียงอาหารไว้กินในยามยาก
     
  10. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    เรื่องอาจินไตร ที่ไม่มีประโยนช์ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านไม่นํามากล่าวถึง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยนช์ เพราะผู้ฉลาดนั้นท่านรู้ว่าสิ่งไหนควรพูดและไม่ควรพูด เหมือนเราโดนหนามทิ่มแทงเราก็ต้องรีบถอนหนามนั้นเสียก่อนหนามนั้นจะทําพิษถ้ามัวแต่ไปถามว่าหนามมาจากไหนและเป็นตระกูลหนามชนิดใดนั้นเท้าเราก็จะเน่าพอดี เราต้องจัดการกับหนามนั้นโดยเร็วแล้วก็หายาใส่ก็จะพ้นอันตรายไปได้...นั้นคือผู้ฉลาดก็เหมือนกันสิ่งไหนไม่มีประโยนช์นั้นก็ไม่ควรกล่าวเพราะการกล่าวแม้จะไม่มีเจตนาแต่ถ้าเราไม่ได้พิจารณาก็จะทําให้เสียหายไปได้...จึงต้องได้พิจารณาในคําพูดตลอดเวลาก่อนว่ากล่าวแบบไหนจะเป็นการกล่าวนํ้าผึ้งที่ทําให้คนฟังแล้วพึงพอใจแต่ไม่ได้หมายถึงการยกยอ เพราะคํากล่าวแบบชมนั้นผู้กล่าวก็มีเจตนาหวังความดีความชอบหรือเปล่าเราก็ต้องพิจารณาแต่คํากล่าวแบบยินดีและเป็นคํากล่าวแบบมรรคมีองค์แปดนั้นแหละเป็นของจริง เพราะเรากล่าวแบบมีการพิจารณานั้นคํากล่าวของเรานั้นเอง...
     
  11. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    วัดท่าซุง อุทัยธานี เคยเขียนไว้ตอนหนึ่งน่าบันทึกไว้เป็นของฝากวันอาทิตย์
    หาฟังยาก..
    .​


    หลวงพ่อฤาษี
    เล่าเรื่อง พระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "ละ" คำเดียวอย่างนี้ไปนิพพานได้


    วันนี้ก็จะขอนำเอาพระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งครั้งหนึ่งได้พบกับพระองค์ หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงเขียนหนังสือมาถาม ทรงพิมพ์เองไม่ได้ใช้ใครเขียนมาถามว่า จาคะอย่างเดียวไปนิพพานได้ไหม อันนี้อาตมาก็ได้ถวายพระพรไปว่า จาคะอย่างเดียวไปนิพพานได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคำว่า จาคะ แปลว่า เสียสละ ถ้าจาคะตัวนี้เรามีกำลังความรู้สึกของใจว่าต้องเสียสละ ยังไปนิพพานไม่ได้ จะไปได้ก็เพียงสวรรค์กามาวจรเท่านั้น ถ้าจาคะตัดคำว่า "เสีย" ออกเหลือแต่ "สละ" อย่างนี้มีกำลังใจเข้มแข็งยังไปนิพพานไม่ได้ ไปได้แค่พรหมโลก ถ้าจาคะกำลังใจเหลือคำว่า "ละ" คำเดียวอย่างนี้ไปนิพพานได้

    ความจริงการถวายพระพรไม่มีคำอธิบาย เพราะว่าทราบอยู่ว่าพระปรีชาสามารถ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีมากจึงถวายพระพรไปด้วยคำย่อๆ เพียงเท่านี้ก็สามารถเข้าพระทัยได้ดี อาตมาไม่เคยดูถูกดูหมิ่นปัญญาของท่านว่าท่านถ้าพูดเท่านี้ท่านจะยังไม่รู้ แต่ความจริงแล้วอาตมาทราบดี ว่าปัญญาความสามารถดีกว่าอาตมามาก พระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งยากที่บุคคลภายนอกจะพึงรู้ได้โดยง่ายเพราะว่าเรื่องภายในไม่มีใครเขารู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ปรากฏในน้ำพระทัยของพระองค์ในใจ ความรู้สึกอย่างนี้รู้กันไม่ได้แม้แต่คนใกล้ชิด นอกจากพระองค์จะทรงตรัสออกมาเท่านั้น

    แต่ทว่าที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไต่ถามมามักจะทรงตรัสว่า ผมไม่รู้จะไปถามใคร เวลาถามใครๆ เขาก็นิ่งหมดเขาไม่โต้ตอบ พระองค์อื่นบางทีถามท่าน ถามคำท่านก็ตอบคำ บางทีถาม ๓ คำ ท่านก็ตอบ ๓ คำ ก็มีหลวงพ่อองค์เดียวที่โต้กันไปโต้กันมาไม่ยอมละ ถ้าอะไรเป็นเหตุเป็นผลก็ไม่ยอมลดจนกว่าเรื่องนั้นจะขาวกระจ่าง จึงได้ถวายพระพรว่า พระองค์อื่นท่านมีอัธยาศัยนิสัยดี มารยาทดี จึงไม่ต่อล้อต่อเถียง ต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของชาติ ของประเทศ สำหรับอาตมานี้ถ้าพูดกันแบบชาวบ้านเขาเรียกกันว่า คนทะลึ่ง เป็นอันว่าอะไรก็ตามที่ถ้ายังไม่ขาวกระจ่างก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสั่งสนทนาอาตมาก็ชอบราชาศัพท์ ชอบศัพท์ภาษาลูกทุ่ง พระองค์ก็ทรงตรัสว่า ผมก็ชอบลูกทุ่งเหมือนกันขอรับ การคุยภาษาลูกทุ่งกับพระองค์จึงคุยกันได้นานพระองค์ชอบ อาตมาก็ชอบ โดยมากถ้าจะให้ใช้ราชาศัพท์ประเดี๋ยวก็เข้ารกเข้าป่าไป เพราะอะไร เพราะใช้ไม่เป็น เป็นพระป่าพระดง

    คำว่า จาคะ ตัวนี้ถ้าเป็นกรรมฐานเรียกว่า จาคานุสสติกรรมฐาน แปลว่า นึกถึงทานการบริจาค ในการที่จะสงเคราะห์บุคคลอื่นให้เป็นสุขไว้เสมอ จิตใจนึกอย่างเดียวว่าเราจะเป็นผู้ให้ จะทิ้งอารมณ์ที่นึกว่าเราจะเป็นผู้แย่งคือว่าแย่งหรือว่าโกงทรัพย์สินของบุคคลอื่นมาเป็นของตน อันนี้ไม่มีในจิตใจของเรามีอารมณ์นึกอย่างเดียวว่าเราต้องการให้เท่านั้นคือให้ให้เขามีความสุข

    สำหรับอารมณ์ที่เราจะให้นี้ต้องแบ่งเป็น ๓ ขั้น ตามที่กล่าวมา

    ขั้นที่1 ถ้าให้ด้วยการเสียสละ เป็นปัจจัยให้เกิดบนสวรรค์ หรือว่าถ้าจะว่ากันยังไม่ตาย ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความรักแก่บุคคลผู้รับ เมื่อเรามีความรักมากเราก็มีความสุขมาก ไปไหนก็มีแต่รอยยิ้มแย้มแจ่มใสมีความเคารพซึ่งกันและกัน แสดงความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน นี่จาคะตัวต้นให้ผลปัจจุบันในชาตินี้มีความสุข ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้วก็ไปสวรรค์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราว่ายังมีคำว่าเสียดายอยู่มาก เสียสละจิตใจมันยังดึงจัด ต้องใช้กำลังสูงจึงจะดึงออกได้

    ถ้ากำลังสูงยิ่งไปกว่านั้น คำว่าเสียหายไปใจคิดว่าเราสละเพื่อความสุขส่วนใหญ่ ของนี้เป็นของนอกกาย แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้ สิ่งใดที่มันเหลือกินเหลือใช้ที่พอจะแบ่งกันได้ เราจะให้เขาด้วยความสุข จิตใจยึดอารมณ์อย่างนี้เป็นปกติจนกระทั่งอารมณ์ทรงตัว เรียกว่า ได้ฌานในจาคานุสสติกรรมฐาน เวลาให้ใจก็สบาย สละไปเสีย ของประเภทนี้ไม่หวังผลในการตอบแทน

    สำหรับข้อต้นที่เสียสละนั้นยังหวังผลในการตอบแทน เราให้เขาแล้วก็คิดว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าถ้าเราขัดข้องเขาคงจะให้เราบ้าง อาการอย่างนี้เรียกว่า เสียสละ จิตยังดึงอยู่มากยังมีความเสียดาย กำลังใจประเภทนี้จึงชื่อว่ากำลังใจยังอ่อนอยู่ สมเด็จพระบรมครูจึงทรงตรัสว่า ยังไปนิพพานไม่ได้ ไปได้แค่สวรรค์ พรหมก็ยังไปไม่ได้

    พอขั้นที่ ๒ เข้ามาถึงจุดเรียกว่า สละ คำว่า "เสีย" หายไป คำว่า "สละ" นี่กำลังใจเข้มแข็งยิ่งขึ้น เราสละทรัพย์สินส่วนนี้เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ไม่มีกำลังใจหวังผลจะตอบแทนแต่ประการใด ให้เพื่อเป็นการเชิดชูบำรุงความสุขแก่ท่านผู้นั้นตามกำลังที่เราจะพึงทำได้ เรามีมากให้มาก มีน้อยให้น้อย ตามที่จะให้ได้ ไม่ใช่ให้หมดตัว การที่จะให้นี้องค์สมเด็จพระชินสีห์กล่าวว่า ต้องพิจารณาเสียก่อนว่าให้แล้วเราไม่เดือดร้อนจึงควรให้ ถ้าให้เขาไปแล้วเราเดือดร้อนเพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจำเป็นจะต้องกินต้องใช้ตามกาลเวลา อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าก็ทรงตำหนิ ว่าการให้อย่างนั้นเป็นความทุกข์จัดว่า เป็นการเบียดตนเกินไป สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่ทรงสรรเสริญ โปรดจำไว้ด้วยไม่ใช่สอนแต่ให้อย่างเดียว ถ้ากำลังใจทำได้อย่างนี้เป็นพรหม เพราะจิตเป็นฌาน

    ขั้นที่3 ถ้าตัดตัว "ส สะ" ออกเสียเหลือแต่ "ละ" ตัวเดียว คำว่า "ละ" ตัวนี้แม้แต่ละวัตถุในอันดับแรกมันก็ละ ถ้าเราละวัตถุได้ หมายความว่าจิตไม่ติดในวัตถุ อย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสกับอาตมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ วันนั้นเป็นวันเททองหล่อรูป หลวงพ่อปาน เนื่องในงานสร้างพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า เวลานี้จิตใจของผมไม่มีห่วงใยในวัตถุแล้วขอรับ เห็นว่าวัตถุทุกอย่างทรัพย์สินทุกอย่างที่เรารับมานี้มันเป็นมรดกตกทอดจากญาติผู้ใหญ่ แต่ว่าญาติผู้ใหญ่ที่หาไว้ให้นั้นก็ปรากฏว่าทุกท่านเวลานี้ไม่มีใครอยู่เหลือเลย ตายหมด แต่ละท่านที่ตายแล้วไม่มีใครแบกภาระคือทรัพย์สมบัติไปได้เลย ปล่อยทอดทิ้งไว้ให้คนอื่นปกครองต่อไป ที่เสียหายไปก็มาก ทรงตรัสต่อไปว่า ผมไม่ติดใจในวัตถุ ไม่เยื่อใยในวัตถุ มียังไงกินอย่างนั้น มียังไงใช้อย่างนั้น มีความต้องการอย่างเดียวถ้ามีวัตถุขึ้นมาถ้าสามารถจะแจกจ่าย หรือหาทางทะนุบำรุงบรรดาประชาชนทั้งหลายโดยทั่วหน้าให้มีความสุขได้อย่างนี้ผมพอใจ

    อารมณ์อย่างนี้เขาเรียกว่า อารมณ์ละ ไม่ติดในวัตถุ ถ้าอารมณ์ละไม่ติดในวัตถุ มีแต่ว่าเราจำจะต้องรักษามันไว้บ้าง เพราะว่าร่างกายยังมีอยู่มันยังต้องกินต้องใช้ ถ้าเสียหายไปแล้ว เราก็ไม่ห่วงใยในมัน แต่ว่าถ้าสิ่งใดอันมีอยู่รักษาด้วยดี อย่างนี้เป็นอารมณ์ใจของบุคคลผู้ละ ถ้าเราไม่ติดในวัตถุ ต่อไปกำลังใจมันก็สูงมันก็ละคือไม่ติดในขันธ์ ๕ คือร่างกาย เพราะว่าการที่จะละได้จริงๆ ในด้านวัตถุต้องเป็นคนที่ปัญญาจริงๆ ที่เขาเรียกว่า วิปัสสนาญาณ

    วิปัสสนาญาณก็คือตัวปัญญานั่นเอง มีปัญญาพิจารณารู้แจ้งตามความจริง รู้ว่าสิ่งทั้งหลายในโลกว่ามีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ทรัพย์สินก็ดี ร่างกายก็ดี เวลาตายแล้วเราเอาไปไม่ได้สักอย่าง สิ่งที่จะได้ไปเมืองผีนั่นก็คือความชั่วกับความดี ถ้าเราดึงความชั่วไปเราก็มีความทุกข์ รับผลของความทุกข์ ถ้าเราดึงความดีไปก็รับผลคือความเป็นสุข

    เมื่อเราละวัตถุได้จิตใจคิดอย่างนี้ก็เลยละร่างกายคือขันธ์ ๕ ได้ เห็นว่าร่างกายมันแก่ก็เป็นธรรมดาของร่างกาย ร่างกายมันป่วยก็เป็นธรรมดาของร่างกาย จำจะต้องรักษาก็รักษาเพื่อระงับทุกขเวทนา ระงับไหวก็ไหว ไม่ไหวก็ตามใจในเมื่อมันจะตายก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของขันธ์ ๕ เกิดมาแล้วมันก็ต้องตาย ใจก็มีความสุข จิตไม่เกาะทั้งวัตถุ จิตไม่เกาะร่างกาย ไม่เกาะวัตถุนอกกาย ไม่เกาะทั้งกาย ไม่มีอารมณ์เกาะใดๆ ไม่เกาะอยู่ในมนุษยโลก ละมนุษยโลก จิตไม่เกาะอยู่ในเทวโลก คือมีอารมณ์ละเทวโลก จิตไม่เกาะในพรหมโลก มีอารมณ์ละพรหมโลก จิตปรารถนาอย่างเดียวคือ ความดับไม่มีเชื้อ ดับความโลภ ความโกรธ ความหลง


    ต้องการดับความโลภ ด้วยทาน การบริจาค คือ จาคะ
    ดับความโกรธ ด้วยมี เมตตา กรุณา มีความรักมีความสงสารปรารถนาในการเกื้อกูล
    ดับความหลง ด้วยการไม่ติดอยู่ในวัตถุ ไม่ติดอยู่ในร่างกาย ไม่ติดอยู่ในโลกใดใดทั้งหมด
    จิตใจของบุคคลทั้งหลายทำได้อย่างนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนีกล่าวว่า ท่านตัดความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ ใจของบุคคลนั้นเมื่อร่างกายตายใจก็ไป นิพพาน


    เครดิต ... FB สะพานบุญ...
     
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    มรณานุสสติ

    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    คนธรรมดาเห็นความตายแล้วลนลาน แต่พระอรหันต์ท่านเห็นความตายแล้วจิตเป็นสุข คำว่าดิ้นรนของจิตนั้นไม่มี เพราะท่านรู้ว่าความตายสำหรับร่างกายนั้นเป็นของจริง และตายชาตินี้เป็นครั้งสุดท้าย ท่านจึงมีความสุขอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงความตาย ท่านควบอุปสมานุสสติกรรมฐานอยู่ในจุดเดียวนั้น รู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออก ควบด้วยในขณะนั้นๆ (รู้ลม รู้ตาย รู้นิพพาน)

    ดุจพุทธพจน์ที่องค์สมเด็จปัจจุบันได้ตรัสกับพระอานนท์ในพุทธันดรนี้ว่า อานันทะ ดูกรอานนท์ เธอคิดถึงความตายยังห่างมากเกินไป ตถาคตคิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก เข้าใจหรือยัง....
     
  13. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขออนุญาตประกาศจิตบุญดวงที่ ๑๓๖ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖

    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๑๓๖
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ


    [​IMG]
     
  14. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681

    ขอโมทนา สาธุกับจิตบุญดวงที่๑๓๖ที่ฝึกปฏิบัติจนสามารถยกจิตได้ในครั้งนี้ พร้อมด้วยครูผู้ฝึกสอนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกๆท่านด้วยครับ


    นิวเวป จบ.๑๔
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนาสาธุ กับ จิตบุญดวงที่ ๑๓๖ และครูผู้สอนทุกๆท่านด้วยค่ะ และขอให้ท่านจงเจริญในธรรมของท่านยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ:cool::cool::cool:
     
  16. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    คุณหนุ่ม จักรกฤช-USA เป็นลูกศิษย์ครูเกษเองค่ะ นอกจากนั้นก็ยังมี ครูคุณลุงกี ครูน้องแหวว และ(ครูปู่ทวด)ลูกพลัง ที่คอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆ...คิๆๆ

    สำเร็จวิชาจิตเกาะพระเป็นจิตบุญน้องใหม่ล่าสุดดวงที่ 136 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2556

    จริงๆ แล้วคุณหนุ่มยกจิตไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วโน้นค่ะ แต่พอให้รายงานอารมณ์จิต ณ ขณะนั้นเข้ามาใหม่ซิ ก็รู้ได้ว่า สติยังงงอยู่มาก สติท่านยังตามจิตไม่ทันค่ะ ก็เลยรอให้ท่านฝึกสติตามให้ทันจิตไปสักพักก่อน นี้คือการบ้านฉบับล่าสุดที่ท่านรายงานเข้ามาค่ะ

    สวัสดีครับ

    วันนี้เกาะพระได้เป็นปกติครับ อารมณ์จิตก็เช่นกัน
    รู้สึกโล่งๆ จิตรู้สึกสบายๆทั้งวัน แม้ร่างกายไม่สบายเล็กน้อย
    อย่างที่ครูกีบอก การดำเนินชีวิตเป็นไปตามปกติ แต่ความคิดเปลียนไป
    พาลูกไปดูหนัง ตาก็ดูไป จิตก็แว็บไปหาท่านพ่อเป็นระยะ
    บางครั้งก็รู้สึกถึงความว่าง ไม่มีอะไร คล้ายเป็นอิสระจากความคิด
    บรรยายไม่ค่อยถูกครับความรู้สึกนี้

    ขอบคุณครับ

    หนุ่ม


    เป็นการรายงานสั้นๆ แต่ได้ใจความค่ะ เพราะเนื้อความหลักๆ ท่านได้รายงานมาหมดแล้วตั้งแต่เริ่มฝึกคือ วท.7/11/12 - 31/3/13 = 4 เดือน กับอีก 24 วัน ค่ะ

    คุณหนุ่มเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่มีโทสะ และ โมหะจริต คุณหนุ่มเป็นคนค่อนข้างใจร้อน และขี้โกรธ แรกๆ ท่านเกาะพระไม่ได้เลยค่ะ เพราะท่านฟุ้งซ่านมาก แต่สติของท่านดีมากค่ะ (เพราะสติสามารถจับกิเลสมาส่งครูได้ทุกตัวในแต่ละวัน ก่อนที่ท่านจะมีสติมาเกาะพระได้ในภายหลัง) บวกกับความศรัทธาในพระรัตนตรัย และความเพียรอย่างแรงกล้าของท่าน ที่มุ่งมั่นจะกลับบ้านพระนิพพาน ครูเกษมีหน้าที่คอยเฝ้าดูอารมณ์จิต และคอยปรับอารมณ์จิตของท่านในขณะฝึก และคอยเสริมเทคนิคบ้างนิดหน่อย และต้องคอยตบสติและจิตท่านให้เดินบนทาง (เพราะคอยจะเดินตกไหล่ทางอยู่เรื่อย..555) และในที่สุดก่อนที่ท่านจะยกจิต ก็ติดอยู่ที่การวางกำลังใจนิดหน่อย (เนื่องจากฝึกมาค่อนข้างนาน ก็มีแบบเขว้นิดหน่อย แต่ขอบอกว่า สติท่านแน่นปึ้กๆ ค่ะ อิๆๆ) ท่านก็ไปค้นหาจนเจอด้วยตัวของท่านเอง แล้วเขียนสรุปมาส่งครูให้ช่วยดู ช่วยพิจารณาว่าใช่มั้ย แล้วครูก็ช่วยเสริมในส่วนที่ขาดไปอีกนิดหน่อย เท่านั้นแหล่ะค่ะ แค่พลิกฝ่ามือขึ้นก็สามารถรับของที่หล่นมาใส่มือได้ เพียงไม่ถึงอาทิตย์ท่านก็เข้าถึงความว่างได้ในเบื้องต้น สาธุ สาธุ สาธุ

    จากประสบการณ์ที่สอนลูกศิษย์มาหลากหลาย ขอยืนยันอีกครั้งว่า "วิชาจิตเกาะพระ" เหมาะกับทุกจริตนิสัยค่ะ แต่ขึ้นอยู่กับว่า คุณฝึกสติในการเกาะพระได้มากน้อยเพียงใด นั้นก็คือ คุณใส่ความเพียรในการนึกถึงพระไปมากน้อยเท่าไรนั้นเอง และที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การวางกำลังใจในการปฏิบัติค่ะ ต้องกลางๆ เบาๆ สบายๆ เท่านั้น ไม่เร่ง ไม่รีบ ไม่ร้อนใจ และไม่อยากในการเอาบุญสร้างบารมี ปฏิบัติไปเรื่อยๆ แต่ไม่เฉื่อยและไม่หยุด เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้นแหล่ะค่ะ สาธุ

    โมทนาสาธุ กับคุณหนุ่ม และครูผู้สอนทุกท่านอีกครั้งค่ะ

    เฮ้อ...ส่งไปถึงฝั่งพระนิพพาน (แต่ที่เหลือ..คุณหนุ่มก็ต้องเดินไปเองให้สุดฝั่งน่ะค่ะ ยังหยุดไม่ได้น่ะเออ..)...โล่งใจไปอีกหนึ่งดวงจิตแล้วค่ะ...555...สาธุ...:cool:

    ปล. อ้อ..คุณพี่อภิชัย ก็ถือได้ว่าเป็นครูอีกท่านหนึ่งของคุณหนุ่มน่ะค่ะ ถึงแม้จะไม่ได้สอนโดยตรงก็ตาม แต่จะเนื่องด้วยอะไรนั้น เดี๋ยวรอให้คุณหนุ่มมาเล่าสู่กันฟังอีกทีจะดีกว่าค่ะ สาธุ

    ขอเชิญคุณหนุ่ม มารายงานตัวบนกระทู้กับท่านพี่ภู และครูทุกท่าน พร้อมบอกเล่าถึงการฝึกจิตเกาะพระของตนเองพอสังเขป เพื่อเป็นธรรมทานให้ทุกท่านได้โมทนาบุญกันด้วยน่ะค่ะ

    สาธุค่ะ

    ครูเกษ จบ.52
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 เมษายน 2013
  17. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    จากสังโยชน์10 ที่ท่านรายงานเข้ามาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วค่ะ..สาธุ..:cool::cool:

    สวัสดีครับ

    ขอตอบเลยนะครับ

    1. สักกายะทิษฐิ ร่างกายเป็นเราเป็นของเรา

    ไม่มีส่วนใดเลย เป็นของผม เราบังคับกฏเกณฑ์อะไรไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ ร่างกายนี้ตกอยู่ในกฏแห่งไตรลักษณ์ เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เกิดขึ้นในขั้นต้น แปรปรวนในขั้นกลางและดับสลายในที่สุด ร่างกายนี้เป็นเพียงที่ประชุมของธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่จิตใช้เกาะยึดเพียงชั่วคราวเท่านั้น

    2. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย

    ผมให้ความเคารพ นับถือและเชื่อในคุณแห่งพระรัตนตรัย ซึ้งได้แก่ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม และอริยสงฆ์สาวกแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าในทุกๆท่านอย่างเต็มหัวใจ

    3. สีลพตปรามาส การไม่รักษาศีลอย่างจริงจัง

    ศึลคือความปกติของมนุษย์ทุกคนที่ควรจะมี ผมในฐานะฆราวาสยอมรับนับถือ ศีล 5 เป็นพื้นฐานขั้นต้นที่ผมพึงมีและพึงปฏิบัติ อย่างจริงจังและครบถ้วน ปัจจุบันผมใช้ศึล 5 ในการดำเนินชีวิต ซึ้งเป็นภูมิคุ้มกันอย่างดี ในการที่หยุดการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

    4. กามฉันทะ ความพอใจในรูป สวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และสัมผัสระหว่างเพศ

    ผมแต่งตัวหวีผมใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ทุกอย่างทำไปเพื่อให้ถูกกฏระเบียบและกาละเทศะเท่านั้น ไม่มีเครื่องหอมชะโลมตน ไม่จำเป็นต้องดูเทห์ เพราะพึงระลึกเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติและมิได้เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ การยึดติดเกาะติดในกามคุณ นำพาซึงความทุกข์มาให้อย่างไม่จบสิ้น และยังเป็นเครื่องกีดขวางการบรรลุธรรม
    การดำรงซึ้งเพศฆราวาสที่มีครอบครัวนั้น การถือเพศพรมจรรย์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะทำได้ง่าย แต่เราสามารถวางจิตให้เป็นไปเพื่อการทำหน้าที่ให้สมบูรณ์เพื่อรักษาสถานภาพการเป็นครอบครัว ไม่ยึดติด ไม่ให้ความสำคัญ และไม่ใช่เรื่องใหญ่


    5. ปฏิฆะ ความโกธร ไม่พอใจ

    ผมมองเป็นเรื่องธรรมดาที่มีร่างกายจะต้องไปรับรู้การกระทบของผัสสะทั้ง 5 เพราะตราบใดที่มีรูปขันธ์ ย่อมมีผัสสะกระทบ โกธร ไม่พอใจ เกิดได้แต่ไม่พยาบาท ไม่ใส่ใจ และวางลงได้อย่างหมดสิ้นหมดจด โทสะ โมหะ และโลภะ นำมาซึ่งความทุกข์ การดับได้ซึ่งกิเลสทั้งปวง ถือเป็นการดับทุกข์ ข้อใช้คำครูบาอาจารย์ที่เคยพูดนะครับว่า โกธรน่ะมี แต่ไม่เอา

    6 และ 7 รูปและอรูปฌาณ

    สองสิ่งนี้มิได้เป็นไปเพื่อการดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่หนทางเพื่อการหลุดพ้น ยังมีตัณหาและอวิชชาซึ่งเป็นเหตุนำพาไปสู่การเกิดอีก 2 สิ่งนี้ผมไม่เอาครับ

    8. มานะทิษฐิ การถือตัวถือตน

    เมื่อก่อนฉันดีกว่าเธอ หรือไม่ เธอก็ดีกว่าฉัน ทุกวันนี้ ฉันไม่ดีไปกว่าใคร เธอมีร่างกายที่เป็นทุกข์ ฉันก็มี เธอไม่สามารถหลีกพ้นความตายไปได้ ฉันก็หนีไม่พ้นเช่นกัน เธอต้องตกอยู่ในกฏแห่งไตรลักษณ์เสมอ ฉันก็เหมือนเธออีกนั่นแหละ แล้วฉันจะไปดีกว่าเธอตรงไหน ตกลงว่าความคิดนี้ผมไม่มีแล้วครับ

    9. อุทธะจะ ความฟุ้งซ่าน

    ผมยังมีความฟุ้งซ่านอยู่ครับ แต่น้อยลงมากตามกำลังสมาธิที่ฝึกมาถึงปัจจุบัน แต่อารมณ์ฟุ้งซ่านในทางอกุศลกรรมนั้น แทบไม่มี วันๆ ผมพิจารณาเรื่องโน้น เรื่องนี้ไปเรื่อย พิจารณาจิตเกิดดับ บางครั้งก็วิปัสสนึกก็มี บางครั้งจิตก็ชอบนึกถึงเรื่องราวที่เราต้องทำ แต่พอสติจับได้ก็กลับมาระลึกอยู่เรื่องที่กระทำอยู่ต่อไป อีกทั้งผมยังใช้กายานุสติในการกำหนดฝีกให้จิตเป็นสมาธิให้เพื่มขึ้นและเป็นกุศโลบายในการดับความฟุ้งซ่านด้วย

    10. อวิชชา ความโง่

    ผมขอเรียกว่าความโง่ตัวนี้ว่า ความไม่รู้นะครับ อวิชชาเป็นความไม่รู้ ยึดถือตัวตน ไม่เข้าใจและไม่ยอมรับกฏแห่งไตรลักษณ์ พึงเข้าใจผิดคิดว่าสรรพสิ่งโลกามิสนี้ไม่มีวันแตกสลาย ทำุอย่างต้องคงอยู่ตลอดไป ตามที่ใจเราปรารถนา ความไม่รู้นี้ เป็นต้นสายต้นเหตุแห่งการเวียนไหว้ตายเกิดอย่างนับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งยังเป็นสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ ความทุกข์และการนำมาซึ้งความทุกข์ วันนี้อวิชชาตัวหยาบๆ ผมได้เห็นและเข้าใจแล้วครับ ผมละความโง่ได้เกือบหมดแล้ว ส่วนอวิชชาตัวละเอียดที่ยังไม่เจอ ที่ต้องใช้สติปัญญาขึ้นสูงขึ้นไปนั้น คงไม่นานเกินรอ

    ขอบคุณครับครูเกษ

    หนุ่ม
     
  18. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ขอโมทนาบุญกับคุณหนุ่ม จิตบุญดวงที่ ๑๓๖ พร้อมด้วยครูผู้ฝึกสอนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกๆท่านด้วยนะค่ะ...สาธุค่ะ
     
  19. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]

    คำสอนของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    สิ่งที่ล่วงไปแล้ว..ไม่ควรทำความผูกพัน
    เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง
    แม้กระทำความผูกพันและหมายมั่นให้สิ่งนั้น
    กลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้
    ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นก็เป็นทุกข์แต่ผู้เดียว
    โดยความไม่สมหวังตลอดไป
    อนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน
    อดีต...ปล่อยไว้ตามอดีต
    อนาคต...ปล่อยไว้ตามกาลของมัน
    ปัจจุบันเท่านั้น...จะสำเร็จประโยชน์ได้
    เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ไม่สุดวิสัย
     
  20. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...