พระพุทธเจ้าน้อย มาจากไหน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย natsu_taa, 11 มีนาคม 2013.

  1. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    ทุกสิ่งในโลกล้วนคือสิ่งสมมุติ.......
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เรื่องพระปัญจวัคคีย์
    [๑๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน
    แขวงเมืองพาราณสี เสด็จเข้าไปทางสำนักพระปัญจวัคคีย์. พระปัญจวัคคีย์ได้เห็น
    พระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล แล้วได้นัดหมายกันและกันว่า ท่านทั้งหลาย
    พระสมณะโคดมนี้เป็นผู้มักมากคลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก กำลังเสด็จมา
    พวกเราไม่พึงอภิวาท ไม่พึงลุกขึ้นต้อนรับพระองค์ ไม่พึงรับบาตรจีวรของพระองค์
    แต่พึงวางอาสนะไว้ ถ้าพระองค์ปรารถนาก็จักประทับนั่ง.

    ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปถึงพระปัญจวัคคีย์ พระปัญจวัคคีย์นั้นไม่ตั้งอยู่ในกติกาของตน
    ต่างลุกขึ้นต้อนรับพระผู้มีพระภาค รูปหนึ่งรับบาตรจีวรของพระผู้มีพระภาค รูปหนึ่งปูอาสนะ
    รูปหนึ่งจัดหาน้ำล้างพระบาท รูปหนึ่งจัดตั้งตั่งรองพระบาท รูปหนึ่งนำกระเบื้องเช็ดพระบาทเข้าไปถวาย
    พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะ ที่พระปัญจวัคคีย์จัดถวาย แล้วทรงล้างพระบาท.

    ฝ่ายพระปัญจวัคคีย์เรียกพระผู้มีพระภาคโดยระบุพระนาม และใช้คำว่า "อาวุโส"
    เมื่อพระปัญจวัคคีย์กล่าวอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสห้ามพระปัญจวัคคีย์ว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าเรียกตถาคตโดยระบุชื่อ และอย่าใช้คำว่า "อาวุโส"
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พวกเธอจงเงี่ยโสตสดับ
    เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว เราจะสั่งสอน จะแสดงธรรม พวกเธอปฏิบัติอยู่ตามที่เราสั่งสอนแล้ว
    ไม่ช้าสักเท่าไร จักทำให้แจ้งซึ่งคุณอันยอดเยี่ยม อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ที่กุลบุตรทั้งหลาย
    ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน
    เข้าถึงอยู่.

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว. พระปัญจวัคคีย์ได้ทูลค้านพระผู้มีพระภาคว่า
    อาวุโสโคดม แม้ด้วยจริยานั้น แม้ด้วยปฏิปทานั้น แม้ด้วยทุกกรกิริยานั้น พระองค์ก็ยังไม่ได้
    บรรลุอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ความเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ ก็บัดนี้
    พระองค์เป็นผู้มักมาก คลายความเพียรเวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก ไฉนจักบรรลุ
    อุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้ความเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ อย่างสามารถได้เล่า.

    เมื่อพระปัญจวัคคีย์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ตถาคตไม่ใช่เป็นคนมักมาก ไม่ได้เป็นคนคลายความเพียร ไม่ได้เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พวกเธอจงเงี่ยโสตสดับ
    เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว เราจะสั่งสอน จะแสดงธรรม พวกเธอปฏิบัติอยู่ตามที่เราสั่งสอนแล้ว
    ไม่ช้าสักเท่าไร จักทำให้แจ้งซึ่งคุณอันยอดเยี่ยม อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ที่กุลบุตรทั้งหลาย
    ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน
    เข้าถึงอยู่.
    แม้ครั้งที่สอง พระปัญจวัคคีย์ได้ทูลค้านพระผู้มีพระภาคว่า ...
    แม้ครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสว่า ...
    แม้ครั้งที่สาม พระปัญจวัคคีย์ได้ทูลค้านพระผู้มีพระภาคว่า อาวุโสโคดม แม้ด้วยจริยานั้น
    แม้ด้วยปฏิปทานั้น แม้ด้วยทุกกรกิริยานั้น พระองค์ก็ยังไม่ได้บรรลุอุตตริมนุสสธรรม
    อันเป็นความรู้ความเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ ก็บัดนี้พระองค์เป็นผู้มักมาก
    คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก ไฉนจักบรรลุอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความรู้
    ความเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ อย่างสามารถได้เล่า.

    เมื่อพระปัญจวัคคีย์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอยังจำได้หรือว่า ถ้อยคำเช่นนี้เราได้เคยพูดแล้วในปางก่อน แต่กาลนี้.
    พระปัญจวัคคีย์กราบทูลว่า คำนี้ไม่เคยได้ฟังเลย พระพุทธเจ้าข้า.

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
    พวกเธอจงเงี่ยโสตสดับ เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว เราจะสั่งสอน จักแสดงธรรม
    พวกเธอปฏิบัติอยู่ตามที่เราสั่งสอนแล้ว ไม่ช้าสักเท่าไร จักทำให้แจ้งซึ่งคุณอันยอดเยี่ยม อันเป็นที่สุด
    แห่งพรหมจรรย์ ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น
    ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่. พระผู้มีพระภาคทรงสามารถให้พระปัญจวัคคีย์
    ยินยอมได้แล้ว. ลำดับนั้นพระปัญจวัคคีย์ ได้ยอมเชื่อฟังพระผู้มีพระภาค เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิต
    เพื่อรู้ยิ่ง.

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๑๔/๓๐๔ ข้อที่ ๑๒
     
  3. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    อืม......ดูดีมีเหตุผล:d
     
  4. ป่ากุง

    ป่ากุง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    416
    ค่าพลัง:
    +784
    .....................................................................

    .... อ้าว ที่บอกว่าพวกช่างค้านผิดแน่ 5555 ผมอยากหัวเราะ ท่านก็ยึดเอาตัวกูเป้นที่ตั้งเหรอ บ้าเหรอครับ ..ถ้าท่านทำผิดยังมาบอกว่าคนที่ตักเตือนท่านผิดแน่ บ้าเปล่า...
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ไม่มีพระพุทธเจ้าน้อย หรือมาก มีคำเดียวคือพระพุทธเจ้า เท่านั้น พระพุทธเจ้าถือกำเนิด ด้วยการตรัสรู้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณบรรลุอนุตระธรรม รู้แจ้งในการหลุดพ้น ห่างไกลจากกิเลสได้แล้วอย่างสิ้นเชิง ในคืนวันเพ็ญ15ค่ำเดือน6 คือวันวิสาขะเป็นต้นไปเท่านั้น

    ก่อนหน้านั้น เราควรกล่าวพระนาม ตามสมมุติเทพ หรือพระโพธิสัตว์ ก็ได้ เช่น

    พระมหาโพธิสัตว์สิทธัตถะกุมาร เป็นต้น ครับ แต่ไม่ควรใช้พระนามว่าพระพุทธเจ้าน้อยครับ เพราะบารมีในขณะนั้นยังไม่ใช่บารมีแห่งพระพุทธเจ้า แต่ในขณะทรงพระเยาว์วัยอยู่นั้น ท่านเป็นพระมหาโพธิสัตว์บารมีครับ ที่ผมกล่าวมาคงจะเข้าใจนะครับ แต่ก็คงห้ามกันไม่ได้ครับ สาธุครับ
     
  6. มารวิกะ

    มารวิกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +526
    เข้าใจในเจตนาของผู้ริเริ่มก่อสร้างโครงการนี้ดีครับ เลยใช้คำกล่าวให้เข้าใจกันโดยง่ายๆให้ชาวบ้านเข้าใจกัน ผมว่าอะไรที่พึงกระทำแล้วบังเกิดผลบุญที่ดี ผมสนับสนุนครับ
    เราอย่าไปแยกแยะกันเลย อย่าถือเอาว่าทางนู้นผิดทางนี้ถูกขึ้นมากันเลย จิตใจเราจะตกต่ำกันเปล่าๆ นะครับ ใครว่าดีก็ช่วยสนับสนุนกันไปใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องร่วมกระทำบุญกองนี้ เท่านั้นเองครับ อย่าให้ความแตกแยกเข้ามาถึงในศาสนาของเรากันเลยครับ
     
  7. ชไลธร

    ชไลธร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +248
    ไม่ผิดแต่ไม่สมควร เหมือนเด็กกินขนมไม่กินข้าวก็ไม่ผิด แต่ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร มีโทษหรือมีคุณ (ดังนี้ทำไมพ่อแม่จึงต้องบังคับให้ลูกกินข้าว)
     
  8. ดุสิตบุรี

    ดุสิตบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +273
    สาธุครับ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุและผล บุญและบาปขึ้นอยู่กับเจตนาเป็นหลักครับ

    เป็นสมมติบัญญัติ ใช้คำไหนถ้าคนเข้าใจก็โอเคครับ ผมเข้าใจว่าผู้จัดงานต้องการใช้คำง่ายๆ สั้นๆ ให้เข้าใจง่ายครับ

    แต่เขาก็มีใช้คำยาวนะครับ
    "องค์พระโพธิสัตว์สิทธัตถะราชกุมาร"
     
  9. wara99

    wara99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    379
    ค่าพลัง:
    +892
    เป็นประเด็นอีก คุณสุดารัตน์ เพิ่งรู้เหมือนกัน ได้ยินข่าว ก็ทะเม่งๆ
    ยุคปัจจุบันยังไม่เท่าไหร่ พอจะรู้โมหะของคนสร้าง
    อนาคตต่อไป คงมีปัญหา เสียเวลาสืบสาวราวเรื่อง
    คนที่เขารู้ความจริง จะดูแคลนเอา เสียหายไปยันอนาคต
    "เปลี่ยนชื่อเถอาะ" ง่ายสุดๆแล้ว ไม่เสียศรัทธา ไม่เสียคนสร้าง และไม่เสียสมองกับอีกหลายๆเรื่อง
     
  10. หนูเฌอ

    หนูเฌอ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +9
    คำว่า "พระพุทธเจ้า" เป็น "สภาวะ" ภายหลังการตรัสรู้แล้ว มิใช่ชื่อบุคคล เจ้าชายสิทธัตถะในวัยแรกเกิด จึงมิใช่ "พระพุทธเจ้า" โลกนี้จึงไม่มี "พระพุทธเจ้าน้อย" รูปที่สร้างกันนี้ เป็นเพียงรูปในจินตนาการถึง "สิทธัตถะกุมาร" ผู้ที่ยังมิได้รู้แจ้งในความจริงของชีวิต จึงมิอาจเรียกว่า "พระพุทธเจ้า" เป็นเพียงรูปวัยเด็กของผู้ที่กาลต่อมา ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

    ความคิดเห็นจาก Facebook ของ คุณปู จิตกร บุษบาค่ะ
     
  11. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    แก้ได้ก็ดี เพื่อความ ชัดเจน หมดจด หมดข้อขัดแย้ง สิ้นคำครหา

    ชาวพุทธอ่อนแอเกินไป อะไรๆก็ปลอยวาง วางเฉย อุเบกขาโง่....

    อุเบกขาแบบคนขี้เกียจ

    เวลามีคนต่างศาสนาเขาทำอะไรลบหลู่ศาสนาพุทธเรา เราก็ปล่อย วางเฉย
    มันมากเกินไป ต่างกับบางศาสนาที่ไม่ค่อยมีใครกล้าลบหลู่ ล้อเล่น
     
  12. MEW

    MEW เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +1,237
    ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้พระองค์ผจญพญามาร
    เหล่าเทวดาเองยังทิ้งพระองค์ไว้เพียงลำพัง
    ตอนนั้นพระองค์ยังเป็นปุถุชนความกลัวย่อมต้องมี
    พระองค์จึงละพระหัตถ์ขวาจากท่านั่งสมาธิมากดพระชานุขวา
    เพื่อเตือนพระองค์เองไม่ให้ลุกจากรัตนบัลลังค์
    จนชนะพญามารในที่สุด

    กิริยาที่พระโพธิสัตว์ทรงกระทำข้างต้นคือประทับนั่งขัดสมาธิ
    พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา พระหัตถ์ขวากดพระชานุขวา
    เป็นที่มาของพระพุทธรูปปางมารวิชัยซึ่งแทบทุกวัดจะมีพระพุทธรูปปางนี้เป็นพระประธาน

    ไม่มีใครสงสัยรึว่าปางนี้ก็เป็นพระโพธิสัตว์
    ก็เห็นเรียกกันว่าพระพุทธรูปทั้งนั้น

    พระพุทธรูปคือสิ่งแทนพระพุทธเจ้า
    อะไรก็ได้ที่ทำให้เรานึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธคุณ ผมถือว่าเป็นพระพุทธรูปทั้งสิ้น
     
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    =========

    ที่ท่านกล่าวมาก็ถูก แต่ในทาง คติ พระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือชนะมาร นั้น แม้พระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ตรัสรู้ อริยะสัจจ4ก็จริง หรือตรัสสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็จริง แต่ทว่าในกาลเวลานั้น การที่พระองค์สามารถดำรงจิตตั้งมั่นและมีชัยชนะเหนือพระยามารทั้งปวงได้หมดสิ้นแล้วนั้น

    การที่พระองค์ทรงมีชัยชนะเหนือกิเลสมาร ในทาง คติหมายถึงพระองค์ได้ เป็นผู้หลุดพ้นแล้วจากภัยทั้งหลาย เข้าสู่ความเป็นอรหันตมรรคแล้ว

    และต่อเนื่องกัน พระพุทธองค์ก็ได้เปลี่ยนอิริยาบทเป็น ท่านั่งแบบสมาธิ ซึ่งหลังจากนั้น พระพุทธองค์ก็ ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นปฐมปางคือปางสมาธิหรือบางทีเรียกว่าปางตรัสรู้ ก็ได้ครับ ดังนั้น ในทางคติ การสร้างพระพุทธรูป ปางมารวิชัย จึงมิใช่ของแปลกอะไรเพราะว่าจิตของพระองค์ในขณะเดินเข้าสู่อรหันตมรรคแล้ว พอท่านเปลี่ยนไปสุ๋ปางสมาธิจิตพระองค์เข้าสู่ปัญญาวิมุตติ อันต่อเนื่องกัน ดังนั้นจากเหตุการเดียวกันที่ต่อเนื่องกัน จึงไม่แปลกหรือผิดอะไรครับ กระผมก็ขอทำความเข้าใจในจุดนี้เพียงเท่านี้ครับ

    แต่การตั้งพระนามก็ควรพิจาณาให้รอบคอบ พระพุทธเจ้าน้อย กระผมคิดว่าพระนามที่ตั้งดูแปลกๆครับ ทำไมไม่ตั้งเป็นพระพุทธเจ้าปาง......เป็นต้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2013
  14. bizkitmanza

    bizkitmanza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2013
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +196
    คุณไปรู้มาจากไหนว่ามาจากสวรรค์ชั้นดุสิต
     
  15. don mob

    don mob สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +17
    เรื่องนี้ควรเรียกพระนามของพระพุทธเจ้าให้เหมาะสมกับช่วงอายุ ก่อนตรัสรู้และหลังตรัสรู้ ว่าควรกล่าวขานพระนามของพระองค์ให้ถูกต้องนั้นสมควรที่สุดแล้ว
    ตอนนี้เราท่านทั้งหลายรู้และเข้าใจ ใครจะเรียกอย่างไรก็อาจถูก ก็อาจผิดบ้าง แต่ก็รู้ประวัติแท้จริงเป็นอย่างไร แต่สำหรับผู้ที่ไม่รู้จัก และผู้ไม่เคยศึกษา คนรุ่นหลัง อาจจะเอามานั่งเถียงกันเป็นเรื่องมากกว่านี้อีก อาจจะสับสน ไม่รู้จักประวัติที่แท้จริง เราท่านทั้งหลายมาก่อนย่อมรู้ ควรทำให้ถูกต้องดีที่สุดแล้วครับ ขอบพระคุณครับผม แต่ใครอาจมีความคิดที่ดีกว่านี้ กระผมยินดีด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2013
  16. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    เป็นสิ่งสมมุติให้เรามั่นคงในพระพุทธศาสนานี่ครับ ผมก็ไปร่วมงานหล่อมา สุขกายสบายใจดีออกครับ อย่าคิดมากเลยว่าชื่อนี้คืออะไร ยังไง ^^
     
  17. kencito

    kencito เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +954
    ใช่ครับผมแอบไม่เห็นด้วยนะลึกๆ ที่มาเน้น"ปาง" นี้กันซะมาก แต่ก็ได้แต่คิดแล้วเฉยๆ
     
  18. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    เป็นปางประสูติ
    ครับ
    ท่าน จขกท. อย่าคิดมากเลยนะครับ
    ไม่ว่า พระองค์จะเป็นพระกุมาร,เจ้าชายหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดาทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุแสนโกฏิจักรวาล ก็พากันนอมสักการะพระองค์ตลอดเวลานะครับ
    ตอนที่ เจ้าชายเสด็จไปสู่ฝั่งแม่น้ำอโนมาแล้วทรงอธิษฐานบรรพชา พระองค์ทรงตัดพระโมลีแล้ว (พระโมลีคือ มวยผมนั้นเอง ผมก็คือ เกศา ส่วนเกศา ก็คือ เกศ หรือที่เรียกว่าเกศธาตุนั้นเอง) ก็ทรงอธิษฐานโยนพระโมลีขึ้นไปในอากาศแล้วตรัสว่า "ถ้าพระองค์จะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ขอให้มวยผมนี้ลอยไปในอากาศแล้วอย่าได้ตกลงมา"
    ในสมัยนั้นท้าวสักกะเทวราชทรงทราบ จึงได้นำเอาผอบทองมารองรับพระเกศาหรือมวยผมนั้นไว้....จากนั้นก็ทรงเสด็จไป ทรงสร้างเจดีย์ไว้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อเป็นที่บรรจุพระเกศธาตุ ดังนั้นพระเจดีย์ที่บรรจุพระเกศธาตุไว้เป็นครั้งแรก จึงได้ชื่อว่า “พระจุฬามณีเจดีย์หรือพระเกศธาตุเจดีย์” อันเป็นที่บูชาของเหล่าเทพยดาทั้งปวง .....
     
  19. paislam

    paislam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +146
    บ สิ่งที่สร้างขึ้นมานั้น มันทำให้ได้ปัญญาอะไรขึ้นมาบ้าง แค่ชื่อ พระพุทธเจ้าน้อย ก็ผิดประเด็นแล้ว แบบนี้คนรุ่นหลังต่อไปก็พากันเข้าใจคลาดเคลื่อนหมด พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เน้นเรื่องปัญญา คำว่าพุทธะ แปลว่า รู้แล้ว ตื่นแล้วจากกิเลส จุดสำคัญในพุทธศาสนา ที่แตกต่างกับศาสนาอื่นๆที่เห็นได้ชัดก็คือ เราเน้นการบรรลุธรรมโดยอาศัยปัญญาของบุคคล โดยที่บุคลนั้นไม่ต้องไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกตัวเอง พระพุทธเจ้าทำเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ประเด็นต่อมาคือ ต้องแยกระหว่าง สถานะภาพ พระโพธิสัตว์ กับพระพุทธเจ้าให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน โดยช่วงที่ประสูตินั้น พระองค์ยังเป็น พระสิทธัตถะกุมาร ในฐานะพระโพธิสัตว์ ลองสืบค้นจากในตำราเล่มไหนดูได้ จะไม่มีข้อความไหนที่บอกว่า พระพุทธเจ้าประสูติ มีแต่กล่าวว่า พระสิทธัตถะกุมารประสูติ ถ้าไม่ใช่คำนี้ อาจเป็นคำว่า พระโพธิสัตว์ประสูติ พระมหาสัตว์ประสูติ หรือพระมหาบุรุษประสูติ จวบจนกระทั้งตอนต่อสู้กับพระยามารก่อนที่ตรัสรู้เป็นพระพทุธเจ้า ยังคงใช้คำว่า พระโพธิสัตว์ พระมหาบุรุษ พระมหาสัตว์ อยู่นั้นเอง พอหลังจากตรัสรู้จึงเปลี่ยนสถานะจากพระโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้า และในวันนั้นเองคือวันที่บังเกิดพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงประสูติ ตรัสรู้ ในวันเดียวกัน พอมาตีความได้ว่า พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ในวันเดียวกัน คือวันเพ็ญเดือน อาสาฬหบูชา ประสูติที่หมายถึงนี้คือประสูติเป็นพระพุทธเจ้านะครับ ไม่ใช่ประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะกุมาร ในฐานะพระโพธิสัตว์ ศรัทธาที่นำคนหลงทางมีเยอะ หลายคนคิดว่านี้คือสิ่งศักดิ์สิทธ์สิ่งใหม่เกิดขึ้น ทุกวันนี้ยังไม่ค่อยมีบรรยากาศที่คนมาศึกษาพระธรรม พระไตรปิฏก ร่วมถึงการเข้ามาปฎิบัติธรรม แต่ส่วนใหญ่เห็นบรรยากาศเรื่องที่คนสร้างรูปเคารพ สร้างสิ่งศักสิทธิ์ และแห่กันไปกราบไหว้ ที่ไหนเขาว่าดีก็ไป
     
  20. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:m6d8o ทุกคนล้วนมีเหตุผลที่อ้างมา จะผิดถูกประการใด ขอให้พวกท่านจงใคร่ควรดู ว่าสิ่งใด มันผิดธรรมวินัยหรือเปล่า และเป็นสิ่งก่อให้เกิดโทษ ประโยชน์ ต่อโลก บ้านเมือง ดูกาลสมัยเป็นเหตุ ทุกอย่างมันต้องมีเหตุและผล ในตัวของมันเอง แค่ตัวเองก็ทุกข์ อยู่แล้ว จะไปหากองทุกข์มาใส่ตัวเองทำไม เอาแค่ หาอาหารทำการงาน เลี้ยงปากท้อง เลี้ยงครอบครัวก็ทุกข์แสนสาหัส พวกเรามิได้ประโยชน์อันใดเลย ถ้ายินดีกับเขา จิตเราก็เป็นสุข ทุกคนมีปัญญา เอามันออกมาใช้ครับ:cool:


    สิ่งไหนเป็นความดี เราควร โมทนา และส่งเสริม พระพุทธเจ้า ท่าน พ้นวัตฏะแล้ว สร้างขึ้นเพื่อ ระลึกถึงความดีของพระองค์ท่าน จะเรียกแบบไหน ก็คงไม่ผิดหรอก มีพวกเราเท่า นั้น ที่ยังวงเวียนตายเกิดกันอยู่ การสร้างรูปพระองค์ท่าน ก็ต้องดูความเหมาะ สมการเวลา กำลังจิตใจก็ไม่เหมือนกัน ก็ไอ้แค่เนี้ย ยังถกเถียงกันถึงเพียงนี้ ทำไมพวกเดียรถีย์ ใช้ผ้าเหลืองหากิน ไม่ช่วยกันป้องป้อง มีออกเคลื่อนแผ่นดิน มีข่าวออกมาให้เราดูเสมอๆ

    พระที่ทรงคุณงามความดี มีหลักธรรมวินัย ให้เรากราบไหว้ ออกมากมาย ในแผ่นดินนี้ ของดีกับของไม่ดี มันก็มีมาในสมัยพุทธกาล มันเป็นของคู่กัน กำลังใจ ก็ไม่เหมือนกัน ไอ้เรา ทำอย่างไร จะให้คนอื่น พูดคิด ทำเหมือน เราเอง ย่อมเป็นไปไม่ได้ครับ เขาทำดี ทำชั่ว เราทำดีทำชั่ว เขาหรือเรามิอาจของใครไปได้ ถ้าไปโมทนากับเขาเราก็ได้ ๒๐ เปอร์เซ็นทั้งดีและชั่ว การปั้นรูปพระโฉมขององค์สมเด็จ ไว้กราบไหว้ บูชา และอานิสงฆ์ คนเผ่าพันธุ์ ใด น่าตาแบบไหน เขาจะปั้นคล้าย ชนเผ่าของเขา และเผ่าไหน ที่ปั้นได้คล้ายสวยงาม ก้เป็นเรื่องของแต่ละพระองค์ ล้วนมีอานิสงฆ์ทั้งสิ้นครับ


    ฉนั้นผมว่าเราหันมาดูใจ ของเราตนเองจะดีกว่าครับ ดูใจตัวเอง เราเองเราดีเลว อย่าไร ใจจิตของเราจะได้มีความสุขตามอัตภาพ ไม่ไปทุกข์ เรื่องของบุคคลอื่น จนเกินไปนัก น่ะครับ แค่นี้พวกเราๆท่านๆ ก็ทุกข์กันหนักหนาแล้วล่ะครับ:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...