สอบถามผู้รู้เกี่ยวกับดวงแสงค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Beginners, 23 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. Beginners

    Beginners Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +58
    สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นสมาชิกใหม่ต้องการสอบถามผู้รู้เพื่อเป็นแนวทางค่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะยาวไปนิด รบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยนะคะ

    เนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อหลายเดือนก่อน ตัวเองมักจะเห็นแสงสีเหลืองคล้ายแสงแดดคอยแว็บผ่านตัดหน้าอยู่บ่อยๆ เวลาจะออกไปเรียนในตอนสายๆ ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าน่าจะเป็นแสงแดดสะท้อนจากแผ่นซีดีหรือกระจกของหอพักค่ะเลยไม่คิดอะไรมาก ต่อมาเมื่อกลับเข้าห้องของตัวเองก็ปรากฏว่ามีแสงวิ่งเข้ามาตัดหน้าเหมือนเดิมเลยค่ะ และพยายามจะไม่คิดอะไร (เป็นแบบนี้มาเกือบทุกวันเลยค่ะ) จนกระทั่งเมื่อวานนี้พอดีได้มีโอกาสไปทำบุญที่องค์พระปฐมเจดีย์้ จ. นครปฐมมาค่ะ ซึ่งตอนขากลับดิฉันมองเห็นแสงแดด (คิดว่าอย่างนั้น) เป็นรูปวงรีสะท้อนป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์ติดมากับล้อรถทางด้านหลังค่ะ (มองเห็นได้จากทางด้านขวาของรถค่ะ) ซึ่งตอนแรกคิดว่าเป็นแสงสะท้อนธรรมดา แต่พอมองรถข้างๆ ก็ไม่มีรถคันไหนมีแสงสะท้อนติดตามล้อมาเหมือนของตัวเองค่ะ (ตอนนี้เริ่มเอะใจนิดหน่อย) จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ ในขณะที่นอนหลับ จู่ๆสมองก็เหมือนจะได้รับสัญญาณคล้ายๆคลื่นความถี่บางอย่าง มันเป็นคลื่นรบกวนค่ะ ฟังคล้ายๆเสียงลมพายุพัดมาพร้อมกับเสียงกระซิบเล็กๆแหลมๆคุยกัน ซึ่งฟังไม่ออกเลยค่ะว่าพูดคุยกันเรื่องอะไร แต่เหมือนจิตของเราสัมผัสได้ ซักครู่หนึ่งก็จะเกิดเป็นแสงสีเหลืองอ่อนๆแล้วค่อยๆสว่างจ้าขึ้นมาทีละน้อยจนกระทั่งสว่างเต็มม่านตาเป็นสีทองเปล่งปลั่ง เกินกว่าที่ตาของดิฉันจะรับได้ รู้สึกตกใจลืมตาตื่นขึ้นมาค่ะ แต่ความง่วงก็ยังมีอยู่จึงนอนหลับต่อ แต่การกลับครั้งนี้เหมือนดวงจิตของตัวเองจะสัมผัสได้ว่ามีแสงสีขาวมาลอยผ่านม่านตาอยู่ตลอดเวลาทั้งที่เราก็หลับตาอยู่ แสงที่ลอยผ่านดิฉันไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นรูปร่างอย่างไร แต่รับรู้ได้ว่ามีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งแสงนั้นค่อยๆหายเข้ามาในตาแล้วปรากฏเป็นแสงสีทองจ้าอยู่พักนึง แปลกใจเหมือนกันที่ครั้งนี้ม่านตาของตัวเองสามารถรับได้และเหมือนตัวเองจะรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่แสงสีทองนั้นจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเงินยวง ให้ความรู้สึกเย็นสบายเป็นอย่างมาก และรู้สึกสงบอย่างประหลาด มีความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองค่อยๆหลับลึกลงไปเรื่อยๆ และสีสีเงินยวงนั้นก็ตามเรามาในความลึกนั้น ก่อนที่แสงสีเงินยวงจะมีรูปร่างเป็นเส้นตรงยาวมองเห็นได้ชัดเจน แล้วสว่างจ้าเป็นสีขาวโพลนไปหมดทั้งศรีษะคล้ายกับว่าไม่มีสีมากกว่าที่จะเป็นสีขาว ดิฉันตกใจมากสะดุ้งตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าเป็นเวลา 9 โมงเช้าแล้วค่ะ ทั้งๆที่คิดว่ามันเกิดขึ้นมาไม่นาน และไม่คิดว่าตัวเองจะตื่นสายขนาดนี้

    หลังจากอาบน้ำทานข้าวเสร็จ ดิฉันจึงมานั่งหาข้อมมูลในอินเตอร์เน็ต และบังเอิญเจอเว็บไซต์ PaLungJit เข้า จึงอยากสอบถามท่านผู้รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดิฉันคืออะไร เพื่อเป็นแนวทางให้กับตัวเองต่อไปค่ะ


    ~~~~~

    ก่อนหน้านี้เคยนั่งสมาธิกับหน้าสาวแล้วเห็นเป็นแสงเทียนสว่างจ้าไปทั้งม่านตาเหมือนกันค่ะ ตอนนั้นตกใจมาก ลืมตาขึ้นมาคล้ายกับลืมหายใจไปเลยค่ะ (เหมือนจิตหลุดออกไปแล้ว แต่บังเอิญดึงกลับเข้าสู่ร่างอย่างแรง คล้ายกับการกระชาก) หลังจากนั้นก็ไม่กล้าที่จะนั่งสามาธิเองอีกเลย
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    ขณิกสมาธิ

    ขณิกสมาธิ แปลว่า ตั้งใจมั่นได้เล็กน้อย หรือนิดๆ หน่อยๆ คำว่า สมาธิ แปลว่า
    ตั้งใจมั่น ต้องมั่นได้นิดหน่อย เช่น กำหนดจิตคิดตามคำภาวนา ภาวนาได้ประเดี่ยวประด๋าว
    จิตก็ไปคว้าเอาความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ภายนอกคำภาวนามาคิด ทิ้งองค์ภาวนาเสียแล้ว กว่าจะรู้ตัวว่า
    จิตซ่าน ก็คิดตั้งบ้านสร้างเรือนเสียพอใจ อารมณ์ตั้งอยู่ในองค์ภาวนาไม่ได้นานอย่างนี้ ตั้งอยู่ได้
    ประเดี๋ยวประด๋าว อารมณ์จิตก็ยังไม่สว่างแจ่มใส ภาวนาไปตามอาจารย์สั่งขาดๆ เกินๆ อย่างนี้แหละ
    ที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ ท่านยังไม่เรียก ฌาน เพราะอารมณ์ยังไม่เป็นฌาน ท่านจึงไม่เรียกว่า
    สมาบัติ เพราะยังไม่เข้าถึงกฎที่ท่านกำหนดไว้

    ฌาน

    ขอแปลคำว่าฌานสักนิด ขอคั่นเวลาสักหน่อย ประเดี๋ยวเลยไปจะยุ่ง จะไม่รู้ว่า ฌาน
    แปลว่าอะไร คำว่า ฌาน นี้ แปลว่า เพ่ง หมายถึงการเพ่งอารมณ์ตามกฎแห่งการเจริญกรรมฐาน
    ถึงอันดับที่ ๑ เรียกว่าปฐมฌาน คือ ฌาน ๑ ถึงอันดับที่ ๒ เรียกว่าทุติยฌาน แปลว่า ฌาน ๒
    ถึงอันดับที่ ๓ เรียกว่า ตติยฌาน แปลว่าฌาน ๓ ถึงอันดับที่ ๔ เรียกว่า จตุตถฌาน แปลว่า ฌาน ๔
    ถึงอันดับที่แปด คือ ได้อรูปฌานถึงฌาน ๔ ครบทั้ง ๔ อย่าง เรียกว่า ฌาน ๘
    ถ้าจะเรียกเป็นสมาบัติก็เรียกเหมือนฌาน ฌาน ๑ ท่านก็เรียกว่า ปฐมสมาบัติ ฌานที่ ๒
    ท่านก็เรียกว่า ทุติยสมาบัติ ฌาน ๓ ท่านก็เรียก ตติยสมาบัติ ฌาน ๔ ท่านก็เรียกจตุตถสมาบัติ
    ฌาน ๘ ท่านเรียก อัฎฐสมาบัติ หรือสมาบัติแปดนั่นเอง

    อุปจารสมาธิ

    อุปจารสมาธินี้เรียกอุปจารฌานก็เรียก เป็นสมาธิที่มีความตั้งมั่นใกล้จะถึงปฐมฌานหรือ
    ปฐมสมาบัตินั่นเอง อุปจารสมาธิคุมอารมณ์สมาธิไว้ได้นานพอสมควร มีอารมณ์ใสสว่างพอใช้ได้
    เป็นพื้นฐานเดิมที่จะฝึกทิพยจักษุญาณได้ อารมณ์ที่อุปจารสมาธิเข้าถึงนั้นมีอาการดังนี้
    ๑. วิตก คือความกำหนดจิตนึกคิดองค์ภาวนาหรือกำหนดรูปกสิณ จิตกำหนดอยู่ได้
    ไม่คลาดเคลื่อน ในเวลานานพอสมควร
    ๒. วิจาร การใคร่ครวญในรูปกสิณนิมิต ที่จิตถือเอาเป็นนิมิตที่กำหนด มีอาการเคลื่อนไหว
    หรือคงที่ มีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร เล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำ จิตกำหนดรู้ไว้ได้ ถ้าเป็นองค์ภาวนา
    ภาวนาครบถ้วนไหม ผิดถูกอย่างไร กำหนดรู้เสมอ ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็กำหนดรู้ว่า หายใจเข้า
    ออกยาวหรือสั้น เบาหรือแรง รู้อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เรียกว่าวิจาร
    ๓. ปีติ ความปลาบปลื้มเอิบอิ่มใจ มีจิตใจชุ่มชื่นเบิกบาน ไม่อิ่มไม่เบื่อในการเจริญภาวนา
    อารมณ์ผ่องใส ปรากฏว่าเมื่อหลับตาภาวนานั้นไม่มืดเหมือนเดิม มีความสว่างปรากฏคล้ายใคร
    นำแสงสว่างมาวางไว้ใกล้ๆ บางคราวก็เห็นภาพและแสงสีปรากฏเป็นครั้งคราว แต่ปรากฏอยู่ไม่นาน
    ก็หายไป อาการของปีติมีห้าอย่างคือ
    ๓.๑ มีการขนลุกขนชัน ท่านเรียกว่าขนพองสยองเกล้า
    ๓.๒ มีน้ำตาไหลจากตาโดยไม่มีอะไรไปทำให้ตาระคายเคือง
    ๓.๓ ร่างกายโยกโคลง คล้ายเรือกระทบคลื่น
    ๓.๔ ร่างกายลอยขึ้นเหนือพื้นที่นั่ง บางรายลอยไปได้ไกลๆ และลอยสูงมาก
    ๓.๕ อาการกายซู่ซ่า คล้ายร่างกายโปร่ง และใหญ่โตสูงขึ้นอย่างผิดปกติ
    อาการทั้งห้าอย่างนี้ แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอาการของปีติ ข้อที่ควรสังเกตก็คือ
    อารมณ์จิตชุ่มชื่นเบิกบานแม้ร่างกายจะสั่นหวั่นไหว บางรายตัวหมุนเหมือนลูกข่างแต่จิตใจก็เป็นสมาธิ
    แนบแน่นไม่หวั่นไหว มีสมาธิตั้งมั่นอยู่เสมอ การกำหนดจิตเข้าสมาธิก็ง่าย คล่อง ทำเมื่อไร เข้าสมาธิได้
    ทันที อาการของสมาธิเป็นอย่างนี้
    ๔. สุข ความสุขชื่นบาน เป็นความสุขที่ละเอียดอ่อน ไม่เคยปรากฏการณ์มาก่อนเลยในชีวิต
    จะนั่งสมาธินานแสนนานก็ไม่รู้สึกปวดเมื่อย อาการปวดเมื่อยจะมีก็ต่อเมื่อคลายสมาธิแล้ว ส่วนจิตใจ
    มีความสุขสำราญตลอดเวลา สมาธิก็ตั้งมั่นมากขึ้น อารมณ์วิตกคือการกำหนดภาวนา ก็ภาวนาได้ตลอด
    เวลา การกำหนดรู้ความภาวนาว่าจะถูกต้องครบถ้วนหรือไม่เป็นต้น ก็เป็นไปด้วยดี มีธรรมปีติชุ่มชื่น
    ผ่องใส ความสุขใจมีตลอดเวลา สมาธิตั้งมั่น ความสว่างทางใจปรากฏขึ้นในขณะหลับตาภาวนา อาการ
    ตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แหละ ที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ หรือเรียกว่า อุปจารฌาน คือเฉียดๆ จะถึง
    ปฐมฌานอยู่แล้ว ห่างปฐมฌานเพียงเส้นยาแดงผ่า ๓๒ เท่านั้นเอง ตอนนี้ท่านยังไม่เรียกฌานโดยตรง
    เพราะอารมณ์ยังไม่ครบองค์ฌาน ท่านจึงยังไม่ยอมเรียกว่าสมาบัติ เพราะยังไม่ถึงฌาน

    คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ๔๐ กอง

    โดย พระราชพหรมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถ้าอ่านตามที่เล่ามานะครับ มีข้อมูลแค่นี้ ขอบอกว่า

    ไม่ต้องตกใจ แปลกใจอะไร กลัวอะไรครับ

    อาการที่ จขกท. เป็น คือ จิต รวมลง จน จิต เป็นสมาธิ ครับ

    เวลามันสว่าง มันจะสว่างหมด 360 องศา ใช่ไหมครับ มองไปทางไหน ก็ไม่มีที่สิ้นสุด สว่างรอบไปหมด

    หาต้น หาปลายไม่เจอ เหมือนลอยอยู่ ไม่รู้เหนือ รู้ใต้


    อาการแบบนี้ เรียกว่า จิตรวมลงเป็น สมาธิ ครับ


    จะสีขาวสว่างๆ บ้าง

    สีขาวนวล ออกเหลือง นิดหน่อยบ้างก็ดี

    จะสว่างแจ่มใส

    แล้วแต่บุคคลครับ

    ไม่ต้องไปกลัวอะไรใดๆ ครับ

    ตอนที่ จิต มีความสว่างอยู่ ถ้าเห็น เส้นแสง สีใดๆ ก็แล้วแต่ จะเส้นตรง หรือ ยาวแค่ไหน เราก็ไม่ต้องไปตามดู

    เส้นแสงพวกนั้น จะยาวไปเรื่อยๆ ไม่มีต้น มีปลาย หรอกครับ ตามดูไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แนะนำว่า ให้ ตัดทิ้ง ถ้าเห็นเป็น เส้นอีก อย่าไปตามดูครับ


    จิตคนเรา เวลามัน รวมลงเป็นสมาธิ จิตมันเข้าไป สัมผัส สมาธิ มันไม่เคยเจอ เคยรู้ มันก็เลย วิตก กลัวขึ้นมาเพราะความไม่รู้

    เกิดความสงสัย สงสัยไปหมดว่า อะไรต่างๆนาๆ สิ่งที่ตัวเองไปเจอมา มันคืออะไร ทำให้ไม่กล้า ทำสมาธิ

    เรื่องพวกนี้ ถ้าไปคุยกับคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ปฏิบัติ ก็จะคุยกันไม่รู้เรื่องใดๆ


    แนะนำว่า ไม่ต้องกลัวอะไร ใดๆ ทั้งสิ้นครับ ไม่ต้องไปแก้ไขอะไร ครับ

    แล้ว ปฏิบัติ ให้ จิตรวมลง เป็น สมาธิ ให้ชำนาญครับ จะควบคุม การเข้า การออก สมาธิ ได้ครับ จขกท.


    เป็นคนที่ เรียกได้ว่า ส้มหล่น จิตรวมลงเป็น สมาธิ จิตไปเห็น จิต เห็นภพ ส้มหล่น อาจเรียกได้ว่า ของเก่า สร้างมาดีละครับ

    เพราะการที่จะ ปฏิบัติส่วนใหญ่ คนปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติ จะเจอแต่ ความมืด ความ ฟุ้งซ่าน ไปหมด กว่าจะปฏิบัติ จนจิตรวมเป็นสมาธิได้ เหมือนจขกท ละครับ

    รักษาเอาไว้ให้ดีๆละครับ ส้มหล่น ไม่บ่อยหรอก ถ้าปล่อยผ่านไป ไม่เก็บเอาไว้ โอกาสแบบนี้ มีไม่บ่อย

    ถ้าต้องการเป็นผู้ ปฏิบัติ พยายาม ทำ สมาธิ ให้ชำนาญ เป็นเบื้องต้น ให้ได้ก่อนครับ

    ปฏิบัติ ให้ จิต มีกำลัง ก่อนที่จะไป พิจารณาอะไร เพราะ ถ้า จิต ไม่มีกำลัง แล้วออกไปใช้งาน จะพังไม่เป็นท่า สมาธิ หายหมดเอาได้ง่ายๆ ครับ

    .

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2013
  4. Beginners

    Beginners Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +58
    เป็นดังที่ท่าน Saber กล่าวมาทุกประการค่ะ
    มันจะสว่างหมด 360 องศา
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลและคำแนะนำนะคะ
    ไม่ทราบว่าหากจะปฏิบัติให้เป็นสมาธิ ควรมีผู้แนะนำใช่ไหมค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2013
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ปฏิบัติ มีครูบาอาจารย์ ของจริง รู้จริง จะไปไวครับ ถ้าศึกษาเอง 10 ปีผ่านไปก็ไม่ได้อะไรมากหรอก

    ถ้าอยู่ กทม.

    บ้านวิริยบารมี

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี

    http://palungjit.org/threads/กำหนดก...ดเสียงสอนกรรมฐาน-ตารางเดินรถตู้บริการ.275197/


    http://palungjit.org/threads/แผนที่-ทางไปวัดท่าขนุน-และบ้านวิริยบารมี.81273/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2013
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระอาจารย์สงบ มนัสสันโต วัดป่าสันติพุทธาราม(วัดป่าเขาแดงใหญ่)

    http://www.sa-ngob.com/content.php?contentid=05


    ถ้าอยู่ต่าง จว. ลองฟังธรรมผ่านเน็ต เพิ่มได้ครับ

    มีข้อสงสัยในการปฏิบัติ ก็ส่งคำถามผ่านเน็ต ได้ครับ

    พระป่า สายหลวงปู่มั่น ครับ
     
  7. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    เวลาเห็นแสง แล้วมีความเพลินอยู่ไหม จรงใช่ สติ ค่อย ค่อย พิจารณา ดู ให้สุดพอเห็นแสงแดงดับ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่าไปใส่ใจแสงสี รับรู้ทุกอารมณ์ แล้วกลับมาดูที่ ลมหายใจ คือ อานาปานสติ สาธุ ขอให้ได้มรรคผล นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2013
  8. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    อุปทานที่ท่านต้องหาให้เจอว่าสิ่งนั้นคืออะไร
    อุปทานพี่ของตัณหา
    ดับได้
    ดับไม่ได้
    ภพ
    ๙าติ
    ขรา
    มรณา

    หรือไม่อย่างไร

    บุญท่านมี
    แต่อย่าหลงทาง
     
  9. ~!ปราบไตรจักร!~

    ~!ปราบไตรจักร!~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +265
    อย่าไปสนใจเลยครับ ถ้าอยากเห็นอีกก็หมั่นสวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติภาวนาเจริญสมาธิ
    แล้วจะได้เห็นมากกว่านี้ แต่อย่าไปอยากเห็นมากจนเกินไปนะ ให้ทำใจเป็นกลาง
    เห็นก็ได้ ไม่เห็นก็ได้ แล้วจะได้เห็นอีก
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

    ถ้าเริ่มต้น ศึกษา แนะนำให้ ไล่อ่านกระทู้ให้หมดครับ

    หลวงพี่เล็ก - PaLungJit.com

    ลองอ่านดูให้หมดทุกกระทู้นะครับ


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ปฏิบัติ มีครูบาอาจารย์ ของจริง รู้จริง จะไปไวครับ ถ้าศึกษาเอง 10 ปีผ่านไปก็ไม่ได้อะไรมากหรอก

    ถ้าอยู่ กทม.

    บ้านวิริยบารมี

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี

    http://palungjit.org/threads/แผนที่-ทางไปวัดท่าขนุน-และบ้านวิริยบารมี.81273/
     
  12. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210

    มีเพื่อนท่านหนึ่ง
    มาเสวนา
    กระผมตกใจ

    ปฏิบัติมาสามสี่ปี
    ปีละครั้ง
    ที่เชียงใหม่พระอาจารย์อะหยังลืมตาถามเลยลืมจัยลืมสงลืมสัย

    หากหลับตาคงจำ

    ท่านเล่าว่าจิตดับ
    เป็นการฝึกระดับหก

    กระผมลังสิบสองขวด
    ลังเล

    มากกว่าก๋วยเจ๋งมีอึ้งกิมกี่
    นี่หากมาปฏิบัติอีกครั้งเดียวหากเป็นไปตามที่เข้าใจ
    กระบี่จ่อลำคอ
    จะหันหลังให้เสียบ

    ปุณ.......บุญญาวาสนา......บารมีแข่งกันไม่ได้

    ท่านดับอย่างไร

    ยังสงอยู่ขอรับ
    คุยมาได้แจ้วๆ
    กระผมแทบจะต้องนั่งต่ำกว่าท่านเสียแล้ว

    ที่เจียงมั่น

    ขอท่านเจริญในธัมยิ่งแล้วขอรับ
     
  13. Beginners

    Beginners Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +58
    สอบถามเพิ่มเติมอีกครั้งค่ะ

    เนื่องจากช่วงนี้ เหตุการณ์เดิมๆได้เกิดขึ้นจนแทบจะเรียกได้ว่าทุกวันเลยค่ะ
    ปกติจะเป็นคนนอนดึกประมาณ 1.00 น. (เริ่มวันใหม่แล้ว) เป็นประจำ
    ซึ่งช่วงนี้ทุกวันจะรู้สึกว่าตัวเองหลับลึกมาก พอล้มตัวลงนอนได้ไม่นานก็จะปรากฏเห็นภาพเลื่อนเข้า คล้ายๆกับการฉายสไลด์รูปถ่าย แล้วพอเราเห็นภาพชัดเจนก็จะหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่เคลื่อนไหวค่ะ
    ครั้งแรกเห็นเป็นรูปงูสีขาวกับสีดำ เลยตกใจตื่น ดูนาฬิกาเป็นเวลา 3.00 น
    .
    วันต่อมาเห็นเป็นรูปสัมพเวสีค่ะ ตอนนั้นในใจนึกว่าเปรต เลยเพ่งดูจนมันหายไป จึงลืมตาตื่น แล้วลุกขึ้นแผ่เมตตา นอนต่อก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ

    วันที่ 3 เริ่มเอะใจ เลยขอว่าให้เห็นเป็นดวงแก้วได้ไหม ที่เห็นมา 2 วันเป็นภาพที่น่ากลัวทั้งนั้น พอล้มตัวลงนอนแป๊ปเดียวภาพดวงแก้วก็มาเลยค่ะ เลื่อนมาเป็นสไลด์ภาพถ่ายเหมือนเดิม และสว่างจ้ามาก รอบนี้ตกใจตื่นเพราะไม่คิดว่าจะมาเร็วแบบนี้ ประมาณว่าตัวเองยังรู้สึกตัวว่ายังไม่หลับเลยค่ะ หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นมาสวดมนต์แล้วนอนต่อ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    วันที่ 4 นอนไปซักพักภาพค่อยๆเลื่อนเข้ามาอีกแล้วค่ะ แต่รอบนี้ตั้งตัวทัน (อาจเพราะเจอมาทุกวัน ในใจก็เลยตั้งสติทันค่ะ) เห็นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งเปิดหน้าเองเป็นรูปคล้ายๆสัตว์ในป่าหิมพานต์ค่ะ เห็นเป็นภาพสีในกระดาษมันสองหน้าที่หางออก มีสัตว์หิมพานต์หลายตัวมาก พยายามเพ่งดูเพราะสีสรรสวยมากๆเลยค่ะ แต่เมื่อเพ่งภาพก็ค่อยๆถอยห่างออกจากเราจนจางหายไปเหลือแต่สีดำในความมืด จึงลืมตาตื่นค่ะ ตอนนั้นมีความรู้สึกเสียดายมากๆ ไม่รู้เพราะอะไร ก่อนที่จะนอนต่อ รอบบนี้อีกซักพักเห็นเป็นภาพถ่ายเลื่อนเข้ามาอีกแล้วค่ะ แต่เป็นภาพบุรุษทรงชุดไทยคล้ายๆชุดของเทวดาแต่เสื้อเป็นสีม่วงสลับขาว กางเกงทรงโจงกระเบนสีม่วงค่ะ นั่งอยู่บนบัลลังก์ทอง รอบนี้ไม่คิดอะไรมากเลยมองดูเฉยๆ ภาพก็ไม่ยอมเลื่อนไปไหนเลยค่ะ หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น จนเรามองแล้วเกิดความรู้สึกว่าพอแล้วล่ะ เพราะได้แต่มองไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ เนื่องจากภาพก็ไม่เคลื่อนไหวไปไหน พอเราคิดว่าพอภาพก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นหนังเหี่ยวๆหุ่มกระดูกค่ะ ก่อนที่ผิวหนังจะค่อยๆกลายเป็นฝุ่นแล้วปลิวออกไป ดิฉันคิดว่าเดี๋ยวต้องเห็นเป็นกระดูกแน่ๆเลย เลยตัดสินใจลืมตาขึ่นมาค่ะ เพราะมีความรู้สึกกลัวนิดหน่อย มองดูนาฬิกาที่ฝาฝนังเป็นเวลา 5.00 น.

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นติดต่อกัน 4 วัน เลยอยากจะถามท่านผู้รู้ว่าเป็นเป็นเพราะอะไรค่ะ เนื่องจากจะว่าฝันก็ไม่น่าจะใช่เพราะภาพไม่เคลื่อนไหวไปไหนเลยค่ะ หลังจากเจอเหตุการณ์ในวันที่ 2 ก็จะนอนเปิดไฟที่หัวเตียงไว้ตลอดเลยค่ะ (เนื่องจากตัวเองก็รู้สึกกลัวหน่อยๆ เพราะเหตุการณ์แบบนี้เพิ่งจะเจอเป็นครั้งแรกในเดือนนี้เลยค่ะ ปกติก็ฝันอยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้ภาพมันไม่ยอมไปไหนเลย)


    เรื่องอาจจะยาวนิด แต่ดิฉันต้องการทราบว่าแท้ที่จริงแล้วมันเป็นอะไรกันแน่ รบกวนท่านผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยนะคะ
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    ไม่ต้องไป สงสัยอะไรหรอกครับ

    จิต มันออกรู้ มันส่งออก นะ



    เวลา ทำความสงบของจิตลง เวลา จิต เป็น สมาธิ เราอยากรู้อะไร เราก็สามารถ ที่จะ รู้ จะเห็น สิ่งต่างๆ ได้ครับ

    ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติ นะครับ ครูบาอาจารย์ จะสอนเอาไว้ว่า ให้เลิกส่งจิต ออกไปรู้เรื่องพวกนี้ เพราะ มันเป็นสิ่งภายนอก

    ให้กลับมาดู ใจ จิต ตัวเอง กาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฐฐาน4 อย่าไปส่งออก ออกรู้เรื่องต่างๆ ครับ


    แต่ จขกท มือใหม่ อาการก็เป็นแบบนี้ละครับ เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ คอยแนะนำ สอนสั่ง



    ตอบ คำถาม ที่ อ่านมานะ

    1.ที่เห็น คือ จิต มีกำลัง ส่วนนึง ไม่มาก จะเห็น เป็น ภาพขาว ดำ เทา ครับ

    ถ้าเป็นคนที่ จิต มีกำลัง สมาธิ มีกำลังมาก ก็จะเห็นเป็น ภาพสี สดใส หรือบางวัน สมาธิดีมากๆ ก็เห็นเป็นภาพสี

    ส่วน งูขาว งูดำ นั้น ไม่ต้องไปสนใจ หรือ ให้ใคร ทำนาย หรอกครับ ผมก็ไม่รู้หรอกว่า มันสื่อถึงอะไร


    โดยส่วนใหญ่ ถ้า ฝันเห็นงู แสดงว่า กำลัง จะมีปัญหา เรื่องความรัก รักๆ ใคร่ๆ นี่ละครับ ให้ระวังให้ดี ขาว ดำ ตีความเอาเองนะ



    2.สัมพเวสี หรือ พวก สิ่งอื่นๆ ต่าง ภพภูมิ พวกนี้ แนะนำให้ อุทิศ ส่วนกุศล ด้วยนะครับ ถ้าไม่ อุทิศ ก็ไม่ได้รับ ครับ


    3.ธรรม มาแสดงให้เห็น ครับ คนที่ จิต มีกำลัง จิต เป็น สมาธิ ได้ ก็จะสามารถ เป็นแบบที่ จขกท เป็นได้

    ยกตัวอย่างเช่น อยากเห็นอะไร ก็จะมาแสดงให้เห็นได้ เวลาที่ จิต เป็น สมาธิ อยู่ครับ


    4.เป็น กำลังของ จิต ที่เป็น สมาธิ ครับ จะ สามารถ เห็น อะไรก็ได้ครับ ตอนที่ดู รูป สัตว์ ต่างๆ จิต มัน สงบอยู่ แต่ พอ จขกท เริ่มไป เพ่งภาพ กิเลสเริ่มเกิด จิต มัน เคลื่อนออกจากฐาน ก็คือ ความสงบ อยากเห็นภาพสวยๆ อยากดู จิตที่เคย สงบ มันก็เลยไม่สงบ ก็เลย เหลือแต่ความมืด ครับ

    สังเกตได้ ตอนเห็นภาพใหม่ๆ จิต มันจะ นิ่ง สงบ ไม่มีอาการอื่นๆ อารมณ์ใดๆ เข้ามาแทรก

    แต่พอได้เห็นภาพแปลก อยากเห็น อยากดูเพิ่ม มันเกิด อารมณ์อื่น เพิ่มเข้ามาใน จิต ที่เป็น สมาธิ อยู่ มันเลยหลุดออกจาก สมาธิ ครับ

    ถ้าคนที่ ฝึก ปฏิบัติ โดยชำนาญ เวลา เห็นพวก สิ่งเหล่านี้ ก็ให้ สักแต่ว่า เห็น สักแต่ว่า รู้ อย่าให้เกิดอารมณ์ ตาม ก็จะสามารถ เห็น ดูภาพได้ไปเรื่อยๆ ครับ

    จนกว่า สมาธิ จะหมด กำลังลง ก็จะคลายออกมาจาก สมาธิ เอง


    5.ภาพบุรุษทรงชุดไทยคล้ายๆชุดของเทวดา พอ มองเฉยๆ ไม่คิดอะไร ไม่เกิดอารมณ์อื่นเข้ามาแทรก มันก็เลยมองได้ดูได้นาน ไม่หลุดจากสมาธิ ครับ


    6.ภาพก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นหนังเหี่ยวๆหุ่มกระดูกค่ะ ก่อนที่ผิวหนังจะค่อยๆกลายเป็นฝุ่นแล้วปลิวออกไป 555555555555555555555+ ขอ ก๊ากๆๆ หน่อยครับ

    เรียกว่า ธรรม มาแสดงให้เห็น เกิด แก่ เจ็บ ตาย สัจจะธรรม มาแสดงให้เห็น ครับ

    แต่ จขกท ดันกลัว... หนีไปซะก่อน


    บางคน ปฏิบัติ 1 ปี 5 ปี 10 ปี จะเกิดธรรมแบบที่ จขกท เจอ ก็ยังไม่เคยเจอเลย

    ถ้าเป็นคนอื่นๆ ที่ ปฏิบัติธรรม เจออาการแบบนี้ นะ ดีใจจะตาย ครับ ถ้าไม่หลง อุปทาน ว่าตัวเอง บรรลุธรรม ไปซะก่อน นะ


    แนะนำว่า ถ้าเห็นอะไรแบบนี้อีก หรือ เรียกภาพแบบนี้ขึ้นมา ให้ พิจารณา ไปเรื่อยๆ ครับ จะหนังหลุด สลายอะไร ก็ พิจารณา สิ่งเหล่านั้นไปเรื่อยๆ ครับ

    เรียกว่า พิจารณาธรรม ครับ ถ้ากำหนดได้ทุกครั้ง ก็ให้ทำทุกครั้งไปเรื่อยๆ จนชำนาญ ให้การพิจารณาธรรม ครับ


    7.ติดต่อกัน 4 วัน หรือจะ ต่อไปเรื่อยๆ 5 6 วันขึ้นไป เป็นเพราะ ช่วงนี้ จิตสงบ เป็น สมาธิ ครับ

    ไม่ต้องไปคิดมากครับ คนเป็นใหม่ๆ ก็อาการแบบนี้ เจอนั้น เจอนี้ แล้วหาคำตอบไม่ได้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร

    พอผ่านไปนานๆ แล้วจะเข้าใจเอง ว่าเป็นเพราะ จิตสงบเป็น สมาธิ แล้วมัน ออกรู้ นะครับ

    8.ต่อไป เวลาเป็นแบบนี้ เจอแบบนี้ ถ้า สติ มีกำลังมาก เราก็จะ สมารถ กำหนด สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน จิต ได้ครับ

    ว่าจะเห็นอะไร จะทำอะไรได้บ้าง

    แต่ถ้า สติอ่อน กำลังอ่อน ส่วนใหญ่ จะเป็น เรื่องต่างๆ ไหลเข้ามาให้เราเห็นแทน เรื่องนี้เข้ามา จบปุบ ไหลไปเรื่องอื่นๆต่อ
    ถ้าสติตามไม่ทัน ก็จะหลง ดูเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยๆ

    แต่ถ้า สติ มีกำลังมาก เราก็สามารถ ที่จะ สั่ง ตัด พวก นิมิต เรื่องต่างๆ พวกนี้ ให้หายไปได้ครับ
    หรือจะ สั่งให้ นิมิต อะไรก็ตาม ที่ต้องการ ออกมาแสดงให้เห็นก็ได้ ตาม กำลังของ จิต ที่เป็นสมาธิ ครับ




    เรื่องที่เกิดกับ จขกท เพราะ จขกท ไม่รู้ว่า สมาธิ ทำอะไรได้มั่ง นะครับ



    แนะนำ วิธีใช้งาน นะครับ

    ตอนที่ จิตเข้าสมาธิ จิต เป็นสมาธิ อยู่



    ถ้าอยากรู้ อยากเห็นอะไร ให้ รำพึงใน จิต ครับ

    แล้ว จิต จะเป็นผู้สอน ผู้ตอบ ให้ จขกท ครับ


    ยกตัวอย่างเช่น ต้องการเห็นพระพุทธรูป

    ก็ให้รำพึงใน จิต ว่า จะเห็นพระพุทธรูป ก็จะมี ภาพปรากฏ ขึ้นมาให้เห็น เป็นต้นครับ

    แต่ระวังอย่างนะ ถ้าเกิดต้องการเห็นผี ระวัง จะมีภาพมาให้เห็น ครับ 5555555+



    หรือ จขกท ไปเห็นอะไรก็แล้วแต่ จะหนังสือ หรือ ตัวอักษร อะไรก็แล้วแต่ ที่ตัว จขกท อ่านไม่ออก หรือ ไม่รู้ว่าเขียนเอาไว้ว่าอะไร


    ก็ให้ รำพึงในจิตว่า สิ่งเหล่านั้น แปลว่าอะไร

    แล้ว ตัวอักษรที่อ่านไม่ออกเหล่านั้น ก็จะกลายเปลี่ยนมาเป็น ภาษา ที่ จขกท อ่านแล้วเข้าใจความหมายให้ ครับ

    หรือ เห็นสิ่งใดๆ แล้วเกิดความสงสัย ว่าคืออะไร

    ก็ให้ถามจิตตัวเอง โดยการรำพึงในจิต ว่า มันคืออะไร แล้ว จิต จขกท จะเป็นผู้ให้คำตอบ เองครับ




    แล้ว แนะนำว่า ฝึก สมาธิ ปฏิบัติให้เกิด สมาธิ จน ชำนาญ จะเข้าสมาธิ หรือ ออกสมาธิ ได้ ครับ

    แล้วจะเป็นผลดีใน ชีวิตประจำวัน ครับ

    .

    แนะเมื่อไหร่ จขกท กลับไปใช้ ชีวิตแบบทางโลกๆ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมต่อ จิตลงสมาธิ ไม่ได้ ก็จะเหมือนคนทั่วๆไป ที่ไม่ได้ปฏิบัติ ครับ


    สรุปให้สั้นๆ นะครับ

    เรื่องทั้งหมด เกิดจาก สมาธิ ครับ ช่วงนี้ จิตสงบ จน จิต เป็นสมาธิ ครับ

    จิต มัน เข้าไปเห็น ภพ เห็น จิต ตัว จิต มันเลย ทำได้ เป็นได้ ทุกเรื่องที่ จขกท เล่ามาครับ

    .

    ส้มหล่น มาให้แล้ว อยู่ที่ตัว จขกท จะเก็บ ส้ม นั้นไว้ หรือจะ ปล่อยทิ้งไปละครับ


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

    ถ้าเริ่มต้น ศึกษา แนะนำให้ ไล่อ่านกระทู้ให้หมดครับ

    หลวงพี่เล็ก - PaLungJit.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  15. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918

    เคยฟังเทศนาดีๆ ของ พระอาจารย์สงบ ที่ราชบุรี ไหมครับ

    ท่านจะเทศนาเรื่องแบบนี้ บ่อยมาก เกือบทุกกัณฑ์เลย เพราะ คนเข้า
    ไปถามคำถามทำนองนี้ ซ้ำกันหลายราย แต่ แตกต่างกันใน เรื่องราวที่เห็น

    แต่ จุดสังเกตระหว่าง จิตออกรู้( ด้วยเพราะจิตมีกำลังสมาธิ) กับ ส้มหล่น
    (หรือ จิตฝุ้งซ่าน หรือ หลับแล้วบังเอิญ ฝันเห็นเป็นเรื่องราวธรรมะ )

    จุดสังเกตคือ ความตั้งใจ ความตั้งจิต การอธิษฐาน และ ฝันไป จะมีประมาณนี้

    1. ความตั้งใจ ก็คือ ก่อนจะเห็น นิมิตภาพ เราจงใจประกอบ สมาธิ พร้อม
    ด้วย สติสัมปชัญญะ รู้เนื้อรู้ตัว มั่นคงแน่นอน มั่นใจว่า ทำสมาธิอยู่ แล้ว
    จิตมันออกรู้ การออกรู้แบบนี้ จะไม่มี เรื่องตกใจขณะเห็นภาพ เด็ดขาด
    .....เมื่อออก สมาธิมาแล้ว พอมาทบทวนถึงจะ เริ่มปริวิตก กังวล

    2. ความตั้งจิต จะคล้ายๆ ตั้งใจ แต่ ตั้งจิตนี้ จะหมายถึง เราชำนาญ ซึ่ง
    ก็หมายถึงพวกเล่นกสิน จนควบคุมจิตได้ มีปฏิภาคนิมิต อุคหนิมิต บริหาร
    ได้อย่างใจ สำเร็จได้ด้วยใจ

    3. อธิษฐาน อันนี้จะเป็นด้วย อำนาจวาสนา บารมี คือ เราอาจจะทำสมาธิ
    มานานยังไม่เห็นอะไร หรือ ยังไม่เคยทำสมาธิเลย แต่ อยากเห็น ก็เลย
    ประกอบสมาธิเล็กๆน้อยๆ กุศลเล็กๆน้อยๆ แต่ มหาศาล(เพราะ เลือก นาบุญ
    ได้ถูก ) ก็จะเอา กำลังจิตที่ยังมีปิติ มีสุข ที่ได้จากวิบากเล็กๆน้อยๆ จากการ
    ประกอบบุญ มาตั้ง อธิษฐาน กำหนดให้จิตมันเห็น ซึ่ง การเห็นจะไม่เป็น
    ทางการไม่ได้เห็นด้วย อำนาจสมาธิภายใน แต่ เกิดจากอำนาจของกำลัง
    สมาธิภายนอก ซึ่งเมื่อเห็นแล้ว อย่ามัวแต่กังวลที่ได้เห็น หรือ ไปนั่งสงสัย
    ว่า ใครหนอช่วยเรา ให้มุ่งมาที่ เห็นแล้วและจะยังไง จะเดินหน้าต่อ หรือ
    ว่าจะเอาแต่ ลังเล ต่อไป

    4. ฝันไป ..... ฝันไปนี่ง่าย ตัดสินแค่ว่า แล้ว เราทำสมาธิอยู่หรือเปล่า
    หรือว่า ตั้งใจนอนหลับมาแต่ต้น แต่ มาจับพลัดจับพลู ตื่นเอากลางดึก
    แล้วความที่ เรากำลังเจ้มจ้นเรื่องปฏิบัติ ทำให้ จิตมันแฉลบออกทางการ
    คิดนึกปรุงแต่งการปฏิบัติ แบบนี้ ภาพนิมิต จะเป็น ความฝัน

    ถ้าฝันเป็นธรรมะ ก็จัดว่า ฝันดี แต่ ไม่ใช่ ความสำเร็จในการเห็น ถ้าเผลอ
    ไปยกว่าเป็น ความสำเร็จแบบอำนาจสมาธิ ก็จะเรียกว่า " ส้มหล่น " คือ
    เราจะเห็นซ้ำอีกครั้งไม่ได้ ต่างจาก การเห็นด้วยอำนาจสมาธิที่เราจะน้อม
    นึกเห็นเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้ก็ได้

    ถ้าฝันไม่เป็นธรรมะ ก็จะว่า ฝันไม่มีคุณภาพ จะ สำเร็จธรรมหรือไม่ ขึ้นกับ
    การยอมรับไปตามความเป็นจริง แล้ว มุ่งมั่น ตั้งอกตั้งใจ ไม่ท้อถอย

    เนี่ยะ ลองเอาไปพิจารณา

    จุดสังเกต พระท่าน เน้นตรงเรื่อง ความตั้งใจ เริ่มต้น ออกสตาร์ท ว่า
    เราประกอบสมาธิ หรือว่า ตั้งใจนอน กันแน่

    ถ้าตั้งใจนอน ก็ ยกให้เป็น ฝันดี ฝันเด่น ไปให้หมด อย่าเอามายกว่า
    เป็นความสำเร็จทางการภาวนา

    ถ้าตั้งใจภาวนา ก็ต้อง เห็นแบบนั้น ซ้ำ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
    ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ โดยไม่ใส่ใจเลยว่า ทำไมต้องทำ
    ซ้ำๆ ถ้า สงสัยว่า ทำไมต้องเห็นแบบนั้นซ้ำๆ ก็แปลว่า ความตั้งใจไม่มี
     
  16. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ทีนี้ จากที่ คุณ beginner ปรารภมา มีตัวเดียว ที่คุณ ต้องแยบคาย ยกขึ้นมาพิจารณา

    ก็คือ จิตมันปฏิวัติ หรือ จิตมันวิวัฏ

    แม้นว่า จะเริ่มว่า นอนไปซักพัก ก็ตามที แต่ เชื่อแน่ว่า คุณนอนโดยที่มีการตั้งจิต
    ที่จะพิจารณา แล้ว รำพึงจิตเอาไว้ก่อนว่า หากเห็นอะไรก็ตามแต่อีก รอบนี้จะตั้งตัว
    ทัน "จะรู้เท่าเอาทัน"

    ไอ้ตรงการ วางจิต แยบคาย มีลูกล่อลูกชน อะไรแบบนี้ คุณสังเกตเลยว่า จิตที่
    ปารภอะไรแบบนี้ จะอาศัย อนิจจัง อนัตตา ทุกขัง เข้าสัมปยุตกับ จิต ขณะที่
    ทำการยกสิกขา เราเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ"

    ให้พิจารณา พฤติจิต ที่แสดงอาการ มี โยนิโสมนสิการ นี้ ใน ขณะที่มันเกิด
    เอาไว้ด้วย เพราะ ตัวจิตวิวัฏตัวนี้ ต่างหากที่จะเป็น ปุพพภาคนิมิตของมรรค
    ไม่ใช่เรื่องราว ภาพ ที่เห็นหลังจาก ผ่านวาระของจิตโยนิโสมนสิการ

    เหมือนว่า จิตเรามีลำดับการ ปฏิวัติ วิวัติ ประวัติเริ่มจาก

    0. นอน
    1. สักพัก
    2. จิตรำพึงไปในนิมิตกาลก่อนๆ แล้ว พิจารณาลงไตรลักษณ์ ยกดาบเล่มคม
    ขึ้นใช้ ( สำนวนหลวงปู่มั่น )

    3. จิตเริ่มเบาแล้วโน้มเข้าสู่ภวังคบาท ( ตามความชำนาญ บางคน ชำนาญ
    การน้อมเข้าเห็นนิมิตด้วยอำนาจสมาธิ บางคนชำนาญด้วยความตั้งจิตฝุ้งธรรม
    บางคนชำนาญในการไหลหลงในภาพที่ให้ความสุข ฯลฯ เยอะมาก ในการน้อม
    เข้าสมาธิจิต )
    4. ภาพฉายไปตาม วิบากจิต ตามข้อ 3

    ทีนี้ 0. 1. 2. 3. 4. จิตที่เราจะ ยกเอามาทำให้เจริญ คือ ส่วนที่ 2. ข้อเดียว
    นอกนั้นเราถือว่า เป็นส่วนประกอบ ใช้อาศัยระลึกจิตใน ข้อ 2. เห็นจิตใน ข้อ 2.
    มันทำงานเนืองๆ มีความไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา จนกว่า จะสลัดคืน
    จิตที่เป็นจิต โยนิโสมนสิการ นี้ออกได้ เพราะเข้าใจ คุณ และ โทษ โดยรอบ ก็จะ
    สามารถยกการเห็น อริยสัจจ เห็นแสงอรุณของนิพพานได้ ไม่มากก็น้อย

    อีกนัยหนึ่ง องค์ธรรม หรือ จิตวิวัฏในข้อ 2 เท่านั้น ที่เกียวข้องกับ มรรค

    นอกนั้น ถือว่า เป็น โลกธรรมที่มีส่วนช่วย ประคับประครอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ มรรค


    ***************

    แสงอรุณในธรรม ที่ทำให้ แจ้งนิพพาน จะมี 3 อย่าง คือ นอกจาก โยนิโสมนสิการ
    แล้ว ก็มี กัลยาณมิตร และ ความไม่ประมาท

    หาก สังเกตดีๆ จิตที่ เตรียมพร้อมจะเผชิญการเห็น อันนี้ก็คือ ความไม่ประมาทในธรรม
    และ สังเกตได้ใสแจ๋วกว่านั้น ก็จะพบว่า จิตที่พร้อมจะก้าวหน้าในหนทาง จะมุ่งเจริญ
    ตรงนี้ก็คือ มรรค(อีกชื่อหนึ่งคือ กัลยณมิตร )

    ดังนั้น "โยนิโสมนสิการ กัลยณมิตร และ ความไม่ประมาท" ก็คือ จิตที่ แสดงพฤติจิต
    ตาม ข้อ 2. นั้นเพียงข้อเดียวนั่นแหละ


    กัลยณมิตร จึงไม่ได้แปลว่า คนอื่น พระ เณร ชี สัตว์ หน้าไหน ทั้งนั้น แต่ หมายถึง "ธรรม"
    ที่แนบสนิทอยู่ใน มรรค ตรงนั้น ไม่มียิ่ง หรือ หย่อนกว่านี้

    ลองเอาไป พิจารณาดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  17. Beginners

    Beginners Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +58
    ข้อนี้ไม่ทราบจริงๆค่ะ เพราะเมื่อเห็นแล้วคิดว่าสุดท้ายต้องเป็นกองกระดูกแน่นอนก็รีบลืมตาขึ้นมาเลยค่ะ เพราะความกลัวเป็นเหตุ ยอมรับว่าเป็นคนที่กลัวที่จะเห็นสิ่งที่เป็นลักษณะแบบนี้ค่ะ แต่ตอนที่เห็นนี่ชัดเจนมาก และเหมือนจะมีสติรับรู้ด้วยค่ะ จึงชิงลืมตาขึ้นมาเองเสียก่อน ไม่ได้เป็นการตื่นลืมตาแบบตกใจเหมือน 2 วันแรก




    วันแรกกับวันที่ 2 นี่ตั้งใจนอนเป็นปกติค่ะ

    แต่วันที่ 3 และวันที่ 4 นี่จะเรียกว่าตั้งใจนอนไหม ก็ไม่เชิงค่ะ เพราะวันที่สามก่อนนอนก็ตั้งจิตว่าขอให้เห็นเป็นดวงแก้ว ดวงแก้วก็มาปุ๊ปแบบยังรู้สึกตัวเลยว่ายังไม่หลับเลยค่ะ ยิ่งวันที่ 4 ไม่ต้องพูดถึงค่ะ เพราะตั้งจิตรับสถานการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว เนื่องจากมีความรู้สึกว่าเดี๋ยวต้องเจอเหมือนทุกวันแน่นอน และรับสถานการณ์นั้นทันค่ะ







    เป็นดังที่กล่าวมาค่ะ เนื่องจากเห็นติดๆกันมาหลายวัน ในวันที่ 4 เลยตั้งจิตมั่นก่อนนอนว่าถ้าเจออีกคราวนี้จะรับสถานะการณ์ได้ทันค่ะ และสามารถตั้งจิตรับได้ทันจริงๆตามตั้งใจไว้ค่ะ

    นอกจากนี้พอภาพสัตว์หิมพานต์หายไปจนกลายเป็นสีดำ แล้วลืมตาตื่นขึ้นมา ตอนนั้นเหมือนจิตมันสั่งให้ลืมตาก็ลืมตาค่ะ ไม่ได้ลืมตาเพราะความตกใจเหมือนวันแรกๆ( เหมือนรู้ตัวตลอดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอนและเห็นภาพ พอภาพหายก็ลืมตา ประมาณนี้ค่ะ) พอตื่นมาก็เสียดาย แอบคิดว่าน่าจะมีใครพาไปให้เห็นของจริงที่ไม่ใช่ภาพในหนังสือนะ คิดแค่นั้นพอนอนใหม่อีกครั้งซักพักก็เห็นเป็นบุรุษทรงชุดคล้ายเทวดาขึ้นมาค่ะ


    ~~~~~~~~



    ส่วนตัวเคยนั่งสมาธิแบบจริงจังที่บ้านกับน้าสาวแค่ครั้งเดียวเท่านั้นค่ะ ครั้งแรกก็เห็นแสงสว่างจ้าไปทั่ว ตกใจลืมตา เลยไม่กล้านั่งสมาธิแบบตั้งใจจริงจังอีกเลย เนื่องจากตอนนี้อยู่คนเดียวเลยไม่กล้านั่งค่ะ

    ยกเว้นในรอบเดือนนี้ที่นอนแล้วเกิดเหตุการณ์ดังที่กล่าวมาค่ะ ครั้งแรกๆนี่ตั้งใจนอนอย่างเดียวค่ะ ไม่คิดอะไรมาก แต่ครั้งหลังๆที่พอเจอเหตุการณ์เดิมๆหลายครั้งเข้าก่อนนอนก็ตั้งจิตมั่นเพื่อพร้อมรับสถานการณ์ดังกล่าวมาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  18. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    นักกรรมฐานสมัครเล่น ทุกวันนี้ไปหลงติดกับเรื่องนี้มาก แสงเป็นดวงเป็นจุด เมื่อเพ่งดูสงสัย กำหนดตารู้ตามดู อาการเหล่านี้ จะพัฒนาไปภูมิรู้ อดีตชาติ เหตุการณ์ในอนาคต
    อันใกล้ และยาวไกล เมื่อมาสนใจกับความรู้แบบนี้ แล้วไม่คืบหน้าเพราะไม่รู้สภาวธรรม
    ตามความเป็นจริง ของการเกิดและการดับของ แสงเป็นดวงเป็นจุด เมื่อไม่รู้แจ้งตามความเป็นจริง นักปฏิบัติหลงไปกับ เรื่องแบบนี้กันมาก นึกว่าได้อะไรบ้างแล้ว สำเร็จแล้วบรรลุแล้ว
    แต่อาการของจิตเหล่านี้ ภูมิรู้ลักษณะนี้มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้หลุดพ้น อาการนี้เป็นกิเลสมาร
    เป็นการเนินช้า ถ้าแวะข้างทางแล้ว ส่งจิตออกไปข้างนอกกายไปกับนิมิตความฝันการตามรู้ตามเห็นตามดู แสงสว่างแสงทอง เสียเวลามาก คุณต้องไว้ใจผมถ้าผมไม่เคยติดมาก่อน
    จะออกมาอ้างความรับผิดชอบไม่ได้เลยครับ เรามาว่ากันต่อ หลงยึดมั่นถือมั่นอยู่ลึก ๆในส่วนที่ฝังลึก (อนุสัย กิเลสทะยายอยากที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานของสรรพสัตว์) พอ หลงยึดมันมากเข้า มันก็เกิดฤทธิ์ในใจ แค่นึกก็ไป ฤทธิ์มันเกิดระหว่างนี้ก็หลงฤทธิ์ ติดอารมณ์
    การหลุดพ้นตลอดถึงการดับเพลิงทุกข์อย่างสิ้นเชิง จะไม่เกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ และปาฏิหาริย์
     
  19. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณเจ้าของกระทู้ขอรับ อย่าคิดว่าข้าพเจ้าขัดศรัทธาคุณเลยนะขอรับ สิ่งที่คุณเล่ามา จะว่ากันไปตามหลักความจริงแล้วละก้อ ระบบสายตา และระบบประสาทของคุณมีปัญหา ยิ่งคุณบอกว่า คุณเคยฝึกสมาธิแล้วมองเห็นแสงเทียน นั่นเป็นอาการของ "ฌาน"(ชาน) ซึ่งเวลาที่คุณจะฝึกนั่งสมาธิ คุณควรศึกษาในเรื่องของ "ฌาน"(ชาน)ก่อน จึงจะได้รู้ จะได้เข้าใจว่า เมื่อเวลาคุณฝึก สมถกัมมัฏฐาน (ฝึกสมาธิ) จะมีอาการเป็นอย่างไรบ้าง
    ถ้าจะให้ดีนะขอรับ คุณควรไปตรวจเช็คสายตา กับจักษุแพทย์ และเล่าอาการต่างๆที่คุณเขียนมานั่นแหละให้จักษุแพทย์ได้วินิจฉัย น่าจะดีมีประโยชน์ต่อตัวคุณขอรับ
     
  20. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,947
    ผัสสะ ครับ อย่าไปยึดติดครับ ที่คุณเห็นก็คือ จักขุสัมผัส กายสัมผัส

    จักขุสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางตา คือ ตา+รูป+จักขุวิญญาณ
    โสตสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางหู คือ หู+เสียง+โสตวิญญาณ
    ฆานสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางจมูก คือ จมูก+กลิ่น+ฆานวิญญาณ
    ชิวหาสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางลิ้น คือ ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ
    กายสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางกาย คือ กาย+โผฏฐัพพะ(เช่น ร้อน เย็น อ่อนแข็ง)+กายวิญญาณ
    มโนสัมผัส หมายถึง ความกระทบทางใจ คือ ใจ+ธรรมารมณ์(สิ่งที่ใจนึกคิด)+มโนวิญญาณ


    มีสติและไตร่ตรองสิ่งที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้แล้ว ก็วางเฉย กลับมาดู ลมหายใจต่อ เห็นแล้วก็วางเฉย กลับมาดูลมหายใจต่อ แล้วจะ เป็น ปัจจัตตัง เองครับ

    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...