รวมพลให้กำลังใจพระอาจารย์รัตน์กันครับ มาลงชื่อกัน

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย maehongsorn, 16 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. ลูกความดี

    ลูกความดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2012
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +525
    ทำอะไรแล้วท่านสนุกมีความสุขก็จงทำไปเถิด ไม่มีใครเขาว่าอะไรคุณ จขกท
     
  2. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    เปลี่ยนเป็นรวมพลคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายดีกว่า
     
  3. jeedrider151

    jeedrider151 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +6
    กระทู้ตั้งเอาฮาเหรอ
     
  4. pandadao

    pandadao สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +6
    จขกท. มีเจตนาคิด เขียน ทำ สิ่งใดอยู่หรือ.....
     
  5. โอสถฤาษี

    โอสถฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +234
    ของหายากจุง ที่บ้านมีแต่ น้ำแข็งเอาไว้ถูหลังได้มิ๊........
     
  6. navyhawk

    navyhawk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +33
    555 กระทู้รวมพลคนมาช่วยกระตืบ ..
    ไฟฉายอันละ 20.- ใส่ถ่านก้อนเล็ก เปิดยังมีแสงสว่าง ..
    ปิรามิดอันละสองพัน ทำไรได้บ้าง สู้ไฟฉาย 20.-บาทก็ไม่ได้ ....
     
  7. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ระวังปากนะ จะพูดยกย่องหรือจะโจมตีพระอาจารย์รัตน์อย่างไรก็เชิญ
    เพราะกระทู้นี้กระทู้พระอาจารย์รัตน์
    แต่อย่าพาดพิงโจมตีไปถึงท่านอื่น แม้จะไม่ได้ออกชื่อท่านตรงๆก็เถอะ

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เรื่องของพระนิพพาน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    หากว่าท่านไม่สามารถสร้างทิพยจักขุญาณให้ปรากฏ
    แล้วก็ไม่สามารถจะทำจิตของท่านให้เข้าถึงโคตรภูญาณ
    เรื่องของพระนิพพานเย็บปากไว้เสียก่อนดีกว่า เย็บเสียเลยนะ อย่าเผยอพูดไปเลย
    พูดเท่าไรผิดเท่านั้น เพราะอะไร?
    ฟังมาเยอะแล้ว ฟังมามากแล้วที่ท่านไม่เข้าถึงจังหวะแล้ว พูดถึงพระนิพพานไม่เห็นใครพูดถูกสักราย
    แม้แต่เพียงแค่เปรตยังพูดไม่ถูก อสุรกายก็พูดไม่ถูกแล้ว
    ทำไมจะไปพูดเรื่องพระนิพพาน
     
  8. malangpong

    malangpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +813
    ไม่ใช่ลูกศิษย์พระอาจารย์รัตน์

    ดูเนื้อหาก็รู้เลยว่าคุณ maehongsorn ไม่ใช่ลูกศิษย์พระอาจารย์รัตน์

    พระอาจารย์รัตน์บอกว่าพีระมิดไม่ใช่ศาสนาพุทธ

    พระอาจารย์รัตน์ไม่เคยบอกว่าพีระมิดคือทางหลุดพ้น

    คิดเหมือนกันว่าเป็นกระทู้ล่อเป้า มีวาระซ่อนเร้นอยู่

    แต่ คุณ maehongsorn ก็ทำให้เห็นชัดเลยว่า คนบางกลุ่มก็เสี้ยมได้ง่ายๆ

     
  9. ืืืืืืnalunta

    ืืืืืืnalunta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +203
     
  10. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    สำหรับคนที่ตกข่าวหรือหาข้อมูลเก่าไม่พบครับ

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นพระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากรรมฐานที่สำคัญในยุคปัจจุบันท่านหนึ่ง ในสายสมาธิหมุน (หมุนพระธรรมจักร) ท่านศึกษารายละเอียดเชิงลึกจากสาส์นของชาวมายัน และจารึกโบราณจากสโตนเฮ้นจ์ ที่ประเทศอังกฤษ และ ทำกรรมฐานเชิงลึกขั้นถอดจิตออกจากกายได้ โดยให้ลูกศิษย์ทำการตรวจสอบ เป็นข้อมูลคู่ขนาน คือ พระชัยวัฒน์ พนมยงค์ หลานฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ และ ดร.สรัญฯ อาจารย์คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า ได้ข้อมูลตรงกัน

    เนื่องจากข้าพเจ้า นายมงคล กริชติทายาวุธ ซึ่งได้เข้ารับการอบรมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นครั้งแรกจากพระอาจารย์รัตน์ฯ และ พระอาจารย์รัตน์ฯ แจ้งว่า การอบรมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในครั้งนี้ จะเป็นการจัดอบรมเป็นครั้งสุดท้ายของปี 2555 ในระหว่างวันที่ 8-9 ธันวาคม 2555 ณ ห้องกาหลา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต โดยได้แจ้งให้ทราบว่าตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไป ท่านจะกลับขึ้นเขาไปที่แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อทำกิจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่อไป ใครจะนินทาให้ร้ายอย่างไร จะเชื่อหรือไม่เชื่อในเรื่องที่ท่านนำมาเตือนภัยนี้ ก็สุดแต่จะพิจารณากันเอาเอง

    ขออนุญาตเรียนย้ำว่า ท่านพระอาจารย์รัตน์ฯ ได้องค์ความรู้ฯ จากการศึกษาค้นคว้าในศาสตร์โบราณ และ จารึกโบราณ ว่าด้วยการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ และ เสริมด้วยองค์ความรู้ฯ ที่ได้มาจากการศึกษาทาง “จิต” ที่สงบนิ่งได้องค์ฌาน เป็นญาณทัศนะ ถอดจิตออกจากกายไปรับรู้เรื่องราวในอดีต และ ทราบเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้พระอาจารย์รัตน์ฯ รู้ถึงเหตุและผล ของแต่ละปรากฏการณ์ ในความเชื่อมโยงของแต่ละเหตุการณ์ ได้ด้วยการใช้ แรงสืบต่อ หรือ แรงสันตติ สาวหาเหตุและผล ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ สลาย ของสรรพสัตว์ ปรากฏการณ์ สุริยจักรวาล กาแลคซี่ และจักรวาล ฯลฯ


    หากมีเหตุต่างๆหลายประการเกิดขึ้น และต่อมา ในช่วงตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไป ถ้า มีแรงดันที่ท้องของแต่ละคนมากขึ้น จนรู้สึกอยากโค้งตัวลง หรือ งอตัวลง จึงจะรู้สึกสบาย คือ เกิดสภาวะการยืดตัวตรงลำบาก ซึ่งจะเห็นได้จากคนอื่นๆ และ ตัวของเราเอง มีการหายใจติดขัด ไม่คล่องจมูกมากขึ้น และ สิ่งบอกเหตุ 8 ประการก็มีมากขึ้น ท่านทั้งหลายที่อยู่ในเขตภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และ ภาคตะวันตก ขอให้ท่านรีบเดินทางไปหาที่พักในเขตภาคเหนือ และ ภาคอิสาณโดยเร็ว น่าจะมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ท่านอยู่อาศัยในปัจจุบันโดยเร็ว (ชายทะเลใหม่อาจไปอยู่ที่สระบุรี ลพบุรี และ นครสวรรค์ สำหรับพื้นที่ภาคกลาง จะมีปริมาณน้ำท่วมสูงกว่าปี 2554 ได้)

    นั่นคือ จะมีการเปลี่ยนสัณฐานของโลกครั้งใหญ่ พื้นดินในเขตภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และ ภาคตะวันตกนั้น อาจยุบจมหายไปได้


    แรงเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ท่านอยู่อาศัยในปัจจุบันโดยเร็ว (ชายทะเลใหม่อาจไปอยู่ที่สระบุรี ลพบุรี และ นครสวรรค์ สำหรับพื้นที่ภาคกลาง จะมีปริมาณน้ำท่วมสูงกว่าปี 2554 ได้)

    นั่นคือ จะมีการเปลี่ยนสัณฐานของโลกครั้งใหญ่ พื้นดินในเขตภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และ ภาคตะวันตกนั้น อาจยุบจมหายไปได้

    ความรุนแรงมากที่สุด น่าจะเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 3 มกราคม – 14 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นเวลารวม 42 วัน ที่อาจไม่มีการทำงาน และ ไม่มีการประกอบอาชีพใดๆได้ นั่นคือ จะไม่มีการเดินทางด้วยยานพาหนะทุกชนิด หากอยู่ระหว่างการเดินทาง ต้องหยุดการเดินทางทั้งหมด เพราะพลังงานของกระแสแม่เหล็กโลก และ พลังงานกระแสไฟฟ้าลบ เข้ามาในโลกอย่างรุนแรงหนาแน่น จนไม่เหลือช่องว่าง และ ทุกคนอาจไม่สามารถทรงตัวยืน เดิน ตามปกติได้ และ อาจต้องเคลื่อนไหวโดยการคลานสี่เท้า รวมทั้งต้องนอนตะแคงใบหน้ากินอาหาร หรือ กรอกน้ำใส่ปากในช่วง 42 วันดังกล่าวนี้ก็อาจเป็นได้

    ก่อนหน้าวิกฤติช่วง 42 วันนี้ ท่านต้องรีบเตรียมสำรองอาหาร ที่รับประทานได้ง่ายที่สุด หากเป็นแคปซูลได้ยิ่งดี อาหารที่ไม่ต้องเสียเวลาปรุง ไม่ต้องสนใจในรสชาติ ขอให้ท้องอิ่ม เพื่อให้มีลมหายใจอยู่ให้รอด 42 วันที่ยืนเดินไม่ได้ ท่านต้องเตรียมอาหารและน้ำดื่มบนพื้นห้องนอน

    อาหารที่ท่านต้องรีบเตรียมการโดยด่วน อาทิ อาหารที่ใช้รับประทานในอวกาศต่างๆ เช่น อาหารที่ผลิตใส่ในแคปซูลเม็ด หากหาไม่ได้ ก็ต้องเป็นประเภทนำใส่ปากรับประทานได้เลย เพราะช่วง 42 วันดังกล่าว จะไม่มีไฟฟ้าใช้ ผู้ที่อยู่คอนโดมิเนียมทั้งหลายจะเดือดร้อน อาหารแห้งที่ต้องเตรียมพร้อม เช่น สาหร่ายประเภทต่างๆ ไมโล โอวัลติน ถั่วต่างๆ เมล็ดทานตะวัน เม็ดมะม่วง ข้าวเม่า ข้าวตัง กล้วยอบแห้ง ผลไม้อบแห้ง ฯลฯ ต้องหาอาหารที่ไม่ต้องขับถ่ายมากมารับประทาน
    น้ำดื่มสะอาดจำนวนมาก พร้อมหลอดดูด ต้องเตรียมไว้ให้มากพอ

    ท่านต้องนอนกับพื้น และ มองหาที่พอคลานไปขับถ่ายได้ อย่าลืม จะทรงตัวยืนไม่ได้ในช่วงระหว่างวันที่ 3 มกราคม – 14 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นเวลารวม 42 วัน สำหรับเรื่องอาบน้ำนั้น ไม่ต้องสนใจ


    ข้อมูลจาก สมุนไพรพลังพีระมิดพระอาจารย์รัตน์ รัตนญาโณ fb
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1 universe.jpg
      1 universe.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.5 KB
      เปิดดู:
      108
  11. forest60

    forest60 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +4,197
    ข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บอิงธรรม

    2 พ.ย. 2555

    ผู้ดูแลเว็บขออนุญาตเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลจากลูกศิษย์พระอาจารย์ท่านหนึ่งดังต่อไปนี้

    " เรียน สมาชิกเว็บไซต์และผู้สนใจข้อมูลข่าวสารทุกท่าน

    เรื่อง ขอชี้แจงข้อมูลของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

    เนื่องด้วยกระผมเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ที่มีความใกล้ชิดและปฏิบัติธรรมกับท่านมาตลอดอย่างสม่ำเสมอมาเกือบ 20 ปี กระผมสัมผัสได้ว่าท่านเป็นผู้มีเมตตาสูงมาก ท่านเน้นอบรมให้ความรู้เพื่อสร้างปัญญาในด้านต่างๆให้กับผู้ที่มาปฏิบัติเพื่อให้ผู้ปฏิบัติมีปัญญาเห็นจริงตามจริงด้วยตนเอง โดยท่านไม่เคยทำนายอดีตชาติให้กับผู้ใดและไม่เคยให้การรับรอง(พยากรณ์)ว่าผู้ใดปฏิบัติธรรม*ได้ในระดับใด และเนื่องจากปัจจุบันมีบุคคลหลากหลายกลุ่มที่เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ความรู้ของพระอาจารย์ ซึ่งย่อมเป็นธรรมดาที่อาจมีข้อมูลบางประการคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง กระผมจึงขอชี้แจงข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ในฐานะลูกศิษย์ที่มีความใกล้ชิดและปฏิบัติธรรมกับท่าน ดังนี้

    1. จริยวัตรของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

    - พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เป็นผู้มีจริยวัตรงดงาม พร้อมบริบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใส ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้

    - พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ฉันอาหารมังสวิรัติ โดยท่านให้เหตุผลของการฉันอาหารมังสวิรัติว่า “เนื่องมาจากเมื่อท่านปฏิบัติธรรมไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ท่านก็ทราบอดีตของตนว่าเคยได้สร้างกรรมอันใดมา ขณะนี้ตัวท่านเองเป็นเช่นนี้ อนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร และกรรมอันใดที่ได้สร้างไว้แล้วจะส่งผลไปถึงแค่ไหน เพียงใด ฉะนั้น การฉันเนื้อสัตว์ก็เปรียบเสมือนการกัดกินเนื้อของตนเองในอดีตชาติ สัตว์นั้นมีความอาฆาตพยาบาทมาก ความอาฆาตพยาบาทดังกล่าวจะแทรกซึมอยู่ในเนื้อของเขา ท่านจึงฉันไม่ลง ฉันไม่ได้”


    2. การอบรมให้ความรู้

    การอบรมให้ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ท่านได้ให้ความรู้โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ด้านใหญ่ คือ

    2.1 ด้านการอบรมสมาธิเพื่อความหลุดพ้น

    การอบรมด้านนี้ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จะเน้นให้ผู้ปฏิบัติสมาธิมีจิตหลุดพ้นหรือการพ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากท่านเห็นว่าสิ่งนี้คือจุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม เป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาและเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบและทรงอบรมสั่งสอนหมู่เวไนยสัตว์มาตลอดชีวิตของพระองค์ท่าน

    วิธีการสอนสมาธิเพื่อความหลุดพ้นของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จะมีหลายรูปแบบโดยแต่ละรูปแบบจะมีความเหมาะสมแตกต่างกันไปตามจริตของผู้ที่มาปฏิบัติ แต่ท้ายที่สุดของรูปแบบต่างๆที่พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้อบรมให้ความรู้ก็มุ่งไปสู่การพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง

    2.2 ด้านการอบรมสมาธิเพื่อการรักษาโรค

    การอบรมด้านนี้ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ประยุกต์การปฏิบัติสมาธิเพื่อบำบัดโรคทางกายและโรคทางใจ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติมีชีวิตที่ดีขึ้นมีสุขภาพทางร่างกายและทางใจที่สมบูรณ์ไม่เป็นทุกข์กับโรคที่เกิดขึ้นทางร่างกายที่จะส่งผลให้เกิดความทุกข์ทางใจ โดยเริ่มแรกท่านได้สอนสมาธิเพื่อการรักษาโรคให้กับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณการอบรมจากกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข และต่อมาท่านได้ประยุกต์การปฏิบัติสมาธิมาบำบัดโรคอื่นๆ เช่น มะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งผลการปฏิบัติสมาธิเพื่อการรักษาโรคของผู้ที่มาปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัดก็จะสามารถหายจากโรคที่เป็นอยู่ได้ โดยผู้ปฏิบัติที่หายจากการเป็นโรคต่างๆนั้นล้วนมีผลการตรวจจากแพทย์แผนปัจจุบันรับรองและสามารถที่จะตรวจสอบและพิสูจน์ได้

    ในปลายปี พ.ศ. 2542 ท่านได้นำความรู้และคุณประโยชน์ของ “พีระมิด” ที่ท่านได้จากญาณทัสสนะมาเป็นอุปกรณ์ช่วยเสริมในการทำสมาธิเพื่อรักษาโรคอื่นๆ จนกระทั่งปัจจุบัน


    3. อุปกรณ์เสริมเพื่อใช้ในการปฏิบัติสมาธิเพื่อรักษาโรค

    3.1 อุปกรณ์เสริม

    เนื่องจากพลังงานของโลกและจักรวาลได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งชั้นบรรยากาศของโลกได้ถูกทำลายลงไปอย่างมาก ส่งผลทำให้พลังงานไม่ดีและรังสีต่างๆจากนอกโลกสามารถเข้ามาสู่โลกได้ง่ายขึ้นและทำลายเซลล์ของมนุษย์ได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิมยิ่งขึ้น พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงได้ใช้ปัญญาที่ได้จากญาณทัศนะของท่านผลิตอุปกรณ์เสริมเพื่อใช้ในการปฏิบัติสมาธิเพื่อรักษาเซลล์ร่างกายให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มากที่สุด ให้ถูกทำลายน้อยที่สุด และจากที่กล่าวไว้แล้วว่าท่านได้ทราบคุณประโยชน์ของ “พีระมิด” จากญาณทัศนะ ท่านจึงได้ผลิต“พีระมิด” แบบต่างๆ เหรียญสุขภาพแบบต่างๆ เป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อใช้ในการปฏิบัติสมาธิรักษาโรค

    โดยอุปกรณ์ต่างๆ ที่ท่านผลิตขึ้นมีไว้ให้ทำบุญนำไปใช้ในราคาไม่แพงเนื่องจากต้องมีต้นทุนที่เป็นค่าใช้จ่ายในการผลิตอุปกรณ์ให้กับผู้ผลิตอุปกรณ์และค่าขนส่งในการจัดส่ง โดยท่านไม่ได้ทำเป็นการค้าเพื่อแสวงหากำไรจากการจำหน่ายอุปกรณ์ สำหรับผู้ที่มีฐานะทางการเงินไม่ดีท่านก็จะแจก

    3.2 การทำบุญรับอุปกรณ์ไปใช้

    อุปกรณ์ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จะมีไว้ให้ทำบุญนำไปใช้เฉพาะสถานที่ที่ท่านไปให้การอบรมเท่านั้น ไม่เคยมีการโฆษณาเพื่อจำหน่ายอุปกรณ์ทางเว็บไซต์หรือช่องทางอื่นๆ และไม่เคยให้ผู้ใดเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ของท่านในเชิงพาณิชย์ โดยสถานที่ที่มีอุปกรณ์ไว้ให้รับไปใช้ คือ

    3.2.1 สวนบูรณะรักษ์ธรรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

    3.2.2 การอบรมที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

    3.2.3 การอบรมที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

    3.2.4 การอบรมสถานที่อื่นๆที่จัดขึ้นเป็นครั้งคราว ที่พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณไปอบรมและท่านอนุญาตให้จำหน่ายอุปกรณ์ของท่านได้


    4. สถานที่ที่ให้การอบรมให้ความรู้

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ท่านเมตตาสอนสมาธิด้วยตัวของท่านเอง โดยท่านไม่เคยให้ผู้ใดเป็นตัวแทนของท่านในการอบรมสมาธิในรูปแบบของท่าน โดยท่านได้เมตตาไปสอนสมาธิในสถานที่หลักๆ ดังนี้

    4.1 สวนบูรณะรักษ์ธรรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ - ไม่มีค่าใช้จ่าย

    4.2 การอบรมที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต - มีค่าใช้จ่ายตามความจริง

    4.3 การอบรมที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ - มีค่าใช้จ่ายตามความจริง



    ทั้งนี้ ทางผู้ชี้แจงขอแนะนำว่าหากท่านสนใจศึกษาความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ท่านสามารถที่จะมาศึกษาได้จากสถานที่อบรม 3 สถานที่ดังกล่าว ขอให้ท่านที่ยังมีความสงสัยหรือมีความคลางแคลงใจในองค์ความรู้และอุปกรณ์เสริมของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ มาพิสูจน์ด้วยตัวของท่านเอง ด้วยปัญญาของท่านเอง ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนให้ชาวพุทธพิจารณาเรื่องต่างๆ ก่อนที่จะเชื่อไว้ในหลัก “กาลามสูตร 10 ประการ” ซึ่งเป็นการพิจารณาเรื่องต่างๆตามหลักเหตุและผล

    และผู้ชี้แจงขอตั้งข้อสังเกตว่า พระพุทธศาสนาได้เน้นสอนในเรื่อง “กรรม และ ผลของกรรม” ซึ่งสอดคล้องกับหลักทางวิทยาศาสตร์ในเรื่อง “action = reaction” ดังนั้นเมื่อท่านได้ส่งพลังงานใดออกไปไม่ว่าทางความคิด คำพูด และการกระทำ ท่านย่อมได้รับผลแห่งการกระทำนั้นๆกลับมาอย่างแน่นอนตามหลักเรื่อง “กรรม และ ผลของกรรม” ตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ดังนั้น ชาวพุทธควรปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยให้สติ ปัญญา พิจารณาไตร่ตรองเรื่องต่างๆให้ถี่ถ้วน รอบคอบ ก่อนที่จะเชื่อ ก่อนที่จะพูด หรือกระทำสิ่งใดลงไป และควรมีความเมตตาต่อกันเพื่อช่วยกันสร้างสังคมของเราให้เป็นสังคมที่สงบสุข พ้นทุกข์อย่างถาวร ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

    สุดท้ายนี้ ผู้ชี้แจงขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ท่านไม่เคยทำนายอดีตชาติให้กับผู้ใด ไม่เคยรับรอง(พยากรณ์)การปฏิบัติธรรม*ของผู้ใดว่าอยู่ในระดับใด สิ่งที่ท่านสอนและเน้นเสมอ คือ การทำกรรมปัจจุบันให้ดี ดับที่เหตุ มั่นคงในศีล ปฏิบัติสมาธิภาวนาเพื่อให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง "

    * หมายเหตุ: คำอธิบายเพิ่มเติม ของการ "ไม่รับรอง(พยากรณ์)ระดับการปฏิบัติธรรมของผู้ใด"

    ผู้ดูแลเว็บขอให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมในเรื่องนี้

    ความหมายของการพยากรณ์ระดับการปฏิบัติ"ธรรม" ในที่นี้หมายถึง การทำนายว่าบุคคลผู้นั้นเป็นอริยบุคคลระดับใด
    ซึ่งพระอาจารย์ท่านไม่พยากรณ์

    ดังที่พระอาจารย์ได้อธิบายไว้ในหนังสือ "เราจะทำดวงตาให้เห็นธรรมได้อย่างไร" และในที่อื่นๆ
    หากจะกล่าวให้ถูกต้องแล้ว ผู้จะปฏิบัติ"ธรรม"ได้ บุคคลผู้นั้นจะต้องเข้าถึง "ธรรม" ก่อน
    (ความหมายของคำว่า ปฏิบัติ"ธรรม" หมายถึง บุคคลผู้นั้นเข้าถึง"ธรรม" หรือบรรลุ"ธรรม"แล้ว ดำรงอยู่กับสภาวะ"ธรรม"นั้น
    หากบุคคลยังไม่เข้าถึงธรรม แต่ปฏิบัติ "วิปัสสนากรรมฐาน" เรียกว่าเป็น"ผู้แสวงธรรม" คือกำลังปฏิบัติอุบายวิธีเพื่อที่จะเข้าถึง"ธรรม")

    พระอาจารย์บอกลูกศิษย์แค่ไหนว่าใครปฏิบัติได้ถึงระดับใด?

    สมมติว่าเราบอกทางให้คนที่ยังไม่เคยไปวัดแห่งหนึ่ง เมื่อคนผู้นั้นได้เดินทางไปถึงแล้วตามที่เราบอก
    หากเราต้องการข้อยืนยันว่าคนผู้นั้นไปถูกที่ถึงที่วัดนั้นจริง เราก็ต้องถามเขาว่าไปถึงแล้วที่นั่นมีลักษณะเป็นอย่างไร
    อาจไม่ถามถึงในตัววัด แต่ถามว่าทางเข้าวัดเป็นอย่างไร ประตูวัดเป็นอย่างไร เท่านี้ก็รู้แล้วว่าเขาไปถึงจริง

    การเข้าถึงธรรมก็เช่นกัน ผู้เป็นอาจารย์ก็เพียงถามศิษย์ในลักษณะเดียวกันนี้ ซึ่งคำตอบของศิษย์นั้นเองที่เป็นสิ่งยืนยัน ว่าศิษย์ได้เข้าถึงสภาวะ "ธรรม" แล้ว
    ส่วนเข้าถึงธรรมแล้วจะทำลายกิเลสได้มากน้อยเท่าใดและเป็นอริยะบุคคลระดับได้นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พระอาจารย์ท่านไม่ทำนายในจุดนี้

    นี้เป็นความจริงที่ผู้เขียนสังเกตุเห็นจากการได้เข้าอบรมกับพระอาจารย์ในวาระต่างๆเช่นเดียวกันกับลูกศิษย์ท่านอื่นๆ

    จากเว็บอิงธรรม 2552

    ที่มา https://sites.google.com/site/ingdhamma/news
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2013
  12. forest60

    forest60 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +4,197
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2013
  13. phirus

    phirus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +318
    ขายของชัดๆๆ
     
  14. Yurichan

    Yurichan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +97
    ผมก็สงสัยว่า ท่านพระอาจารย์ มาศึกษาปิระมิดทำไม ? ไม่สอนเรื่องการไปนิพพานให้พ้นทุกข์

    และยังออกมาเตื่อนเรื่องภัยพิบัติให้คนกลัวตาย แสวงหาของที่จะช่วยให้รอดตายได้ แถมของสิ่งนั้นก็เป็นของนอกศาสนา

    ถ้าปิรามิดมันดีจริง พระพุทธเจ้าท่านสอนไปแล้ว นี่อาจจะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีก มีปิรามิดแล้วรอดตายได้ เรียกเมฆได้ เรียกฝนได้ เก่งกว่าเทวดาอีก

    ไม่นับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่เคารพในกฏแห่งกรรม สอนให้คนกลัวความตาย ทั้งที่พุทธศาสนาสอนให้รู้จัก มรณานุสติ คิดถึงความตายเป็นอารมณ์อยู่แล้ว ไม่สอนให้ไปนิพพาน ให้พ้นนรก

    ปลายทางอยู่ที่ไหน ท่านทั้งหลายคงทราบกันดี
     
  15. forest60

    forest60 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +4,197
    ข้อมูลเพิ่มเติม

    เสียงธรรมบรรยาย ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

    1. การออกจากทุกข์ ด้วยความเป็นกลาง

    2. การเจริญสติเทียบเคียงวิทยาศาสตร์

    3. การเจริญสติ

    4. มรรคองค์ 8

    5. ตายก่อนตาย (การเจริญมรณานุสติ)

    6. การหมุนธรรมจักร

    ที่มา : จากเว็บธรรมะมาสเตอร์

    http://www.dhammaster.com/th/index....k=category&id=111:ธรรมบรรยายทั่วไป&Itemid=270
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2013
  16. forest60

    forest60 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +4,197
    “มรณานุสสติ”
    สมาธิการเตรียมตัวตายก่อนตาย
    โดย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ


    หลักการ

    วาระสุดท้ายของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ทุกชั้นวรรณะ ทุกระดับชั้น ทุกตำแหน่งหน้าที่การงาน ต่างตกอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรมที่เหมือนกัน คือ การสิ้นสลายของรูปร่างกาย หรือ “การตาย” นั่นเอง มนุษย์แทบทุกคนจะกลัวตาย และไม่มีใครอยากตาย

    ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วย ได้มีโอกาสศึกษาถึงเรื่อง กิเลส และการตายบ้าง จะรู้ว่า กิเลสและการตายยังผูกโยงไปถึงการเกิดใหม่อีกด้วย เนื่องจากถ้าเราเสียชีวิตลง แต่ยังมีกิเลสเหลืออยู่ กิเลสเหล่านั้นคือเชื้อหรือสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดใหม่ตามกระแสของบุญหรือบาปที่แต่ละบุคคลได้เคยทำไว้ ดังนั้น การตายสำหรับบางคน จึงเป็นเพียงการถอดเสื้อผ้าชุดเก่าที่ขาด เปื่อยยุ่ย ไม่สามารถปะชุนได้อีก ด้วยความชราภาพ หรือถูกโรคร้ายกัดกินทำลาย แล้วหาเสื้อผ้าชุดใหม่ หรือร่างใหม่ ดำเนินชีวิตต่อไปตามกระแสของกรรม

    การพิจารณาความตาย การมีสติรู้เท่าทันความตาย เป็นอุบายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญ ไว้มากยิ่งนัก หากผู้ฝึก ผู้ป่วยได้ฝึกปฏิบัติทดลองตายก่อนตายจริง จะเป็นการช่วยให้ผู้นั้นไม่กลัวตาย กล้าเผชิญหน้ากับความตายที่มาถึงได้อย่างกล้าหาญ


    วิธีปฏิบัติ

    ก่อนอื่น ผู้ฝึก ผู้ป่วย ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่าอุบายวิธีนี้เป็นการทดลองฝึก “ตาย” ก่อนตายจริง ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย เนื่องจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ฝึก คือการตายหลอกที่จะให้ความรู้สึกเหมือนกับการตายจริง

    8.1 ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย คลายอารมณ์ปล่อยความรู้สึกนึกและคิดที่เป็นอนาคต อดีต ปัจจุบัน รวมทั้งความดี ความชั่ว ฯลฯ ให้ออกไปพร้อมกับลมหายใจออกเป็นความว่างสักระยะหนึ่ง

    8.2 ลำดับต่อมา ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย นึกมาที่ฐานอารมณ์ในโพรงจมูก จะเห็นว่าจุดฐานอารมณ์ จะอยู่ประมาณกึ่งกลางในโพรงจมูก หรืออยู่ระหว่างกลางของต่อมไซนัสทั้ง 2 ข้างหรือจุดที่ผู้ฝึกเคยรู้สึกคัดจมูกในเวลาที่เป็นหวัด

    8.3 ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย วางหรือจี้ความรู้สึก (จิต) ลงที่ฐานอารมณ์ซึ่งหาไว้ได้แล้ว กำหนดจี้ลงไปที่ฐานเดียว ไม่เคลื่อนความรู้สึก (จิต) แส่ส่ายออกไปที่อื่นๆ พร้อมทั้งกำหนดว่า ตาย ตาย ตาย และสร้างความรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่ตาย ไม่เสียหายชีวิตเพราะทุกคนหนี “ความตาย” ไม่พ้น

    8.4 หลังจากกำหนด ตาย ตาย ตาย ไปสักระยะหนึ่ง ผู้ฝึกและรู้สึกว่าลมหายใจเข้า-ออก ได้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนรู้

    สึกอึดอัด หูอื้อ จมูกจะห่อ ตาถูกบีบเหมือนจะถลนออกมา รู้สึกชา และเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ผู้ฝึกจะรู้สึกกลัวตาย ครองสติให้มั่นคง และยอมตาย ลมหายใจจะค่อยๆ อ่อนลงๆ ความดำมืดจะแผ่คลุมไปทั่วไป จนผู้ฝึกหมดความรู้สึกไปในที่สุด เหมือนกับการตายจริง

    8.5 สำหรับผู้ฝึก ผู้ป่วย บางท่านที่มีความเจ็บปวดมากเพราะโรคร้ายกำลังลุกลาม ให้ผู้ฝึกให้จุดเจ็บปวดเหล่านั้น เป็นฐานกำหนดมรณานุสสติ แทนฐานอารมณ์ โดยการจี้ความรู้สึก (จิต) ลงไปที่ความเจ็บปวดนั้นๆ และกำหนด ตาย ตาย ตาย ความรู้สึก (จิต) ตั้งมั่นอยู่ที่ฐานเดียว ไม่หนีไปที่อื่นๆ ความเจ็บปวดทรมานจะเพิ่มมากขึ้นๆ จนรู้สึกหูอื้อ ตาลาย หายใจอึดอัด ฯลฯ ความดำมืดแผ่ซ่านเข้าไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ให้ยอมตาย อย่าแอบสืบลมหายใจเข้า จนกระทั่งความรู้สึกจะดับวูบไป

    8.6 ผู้ฝึก ผู้ป่วย จะผ่านการดับของเวทนา ซึ่งไม่ใช่การตายที่เกิดเพราะหมดลมหายใจ คือไม่มีก๊าซออกซิเจนไหลเข้าสู่ร่างกายอีกต่อไป และหัวใจหยุดทำงาน การดับในครั้งแรกๆ ผู้ฝึกจะรู้สึกว่าทรมานมากและแต่ละบุคคลให้เวลาของการดับมากน้อยแตกต่างหัน เมื่อผู้ฝึก ผู้ป่วย เริ่มรู้สึกตัว ฟื้นคืนกลับมา จะรู้สึกเย็น โล่ง สบาย แสงสว่างปรากฏอยู่ทั่วร่างกาย และในขณะนั้น ผู้ฝึก ผู้ป่วยจะยังคงไม่มีลมหายใจ เข้า-ออก เช่นเดียวกับก่อนจะเกิดการดับแต่ไม่ตายหลับมีแต่ความสดชื่น ความเจ็บปวดทรมานหมดสิ้นไป


    คุณประโยชน์

    1. ผู้ฝึก ผู้ป่วย มีโอกาสได้สัมผัส และเห็นขั้นตอนของการดับซึ่งเหมือนกับการตายได้อย่างละเอียดชัดเจน ในชีวิตประจำวันร่างกายของทุกคนจะมีการเกิดและดับอยู่ ทุกๆ 1 วินาที นับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก จนจิตมนุษย์ทั่วๆ ไปตามไม่ทัน ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วยได้รู้ซึ้งถึงความไม่เที่ยงของร่างกาย ไม่ยึดติดในขันธ์ 5 ได้แก่ รูป คือร่างกาย, เวทนาคือความรู้สึกทุกข์ สุข เฉย, สัญญาคือความจำได้ และวิญญาณคือ ตัวรู้ สภาพรู้ เกิดการปล่อยวาง ผู้นั้นมีโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมได้

    2. ผู้ฝึกที่มีความเจ็บปวดมาก หรือเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ยาก ถ้าสามารถกำหนด ตาย ตาย ตาย ให้ผ่านจุดดับไปได้ โรคภัยทุกชนิดจะหายหมดไปด้วยเช่นกัน นับได้ว่าเป็นยาขนานเอกเลยทีเดียว

    3. ถ้าผู้ฝึก สามารถผ่านจุดดับไปได้ ผู้ฝึกจะไม่กลัว “ความตาย” เพราะสามารถเอาชนะความตายมาได้แล้วด้วยการทดลองตายก่อนตายจริง และเมื่อถึงคราวสิ้นอายุขัย ผู้นั้นจะสามารถเผชิญกับความตายอย่างกล้าหาญและมีสติ จะไม่มีพญามัจจุราชหรือยมทูตมาปรากฏให้เห็น


    ข้อเสนอแนะ

    ความเจ็บ ความปวด หรือภาวะที่รู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่เข้า เป็นการลวงหลอกของขันธ์ 5 ชักจูง ดึงจิตของผู้ฝึกให้ไขว้เขวไม่ตั้งมั่น เช่น จะถูกดึง ชักนำให้เลิกฝึกบ้าง ให้แอบสืบลมหายใจสักนิดเดียว ผู้ฝึกต้องตั้งสติให้มั่นคง สร้างความรู้สึกที่ถูกต้องก่อนว่า ขณะนี้ตนเองยังมีลมหายใจเข้า-ออกเป็นปกติ ไม่ได้เอามืออุดจมูก บีบจมูก หรือใช้วัสดุใดๆ มาปิดจมูกไม่ให้ก๊าซออกซิเจนไหลเข้าสู่ร่างกาย

    สิ่งที่ผู้ฝึกได้กระทำคือ เพียงแต่จี้ความรู้สึก (จิต) ลงที่ฐานอารมณ์ ซึ่งเป็นทางผ่านของลมหายใจเข้าและหายใจออกเท่านั้น เมื่อจิตอยู่ในอารมณ์สมาธิ คือ ตั้งมั่น ตั้งใจทำ จะส่งผลให้ลมหายใจเข้า-ออกตามปกติ ค่อยๆ ช้าๆ ลงจนสัมผัสไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ไม่มีลมหายใจเข้า-ออกอีกเลย สิ่งที่หมดไปหรือหยุดไปหรือดับไป คือความรู้สึก ทุกข์ สุข เฉย ที่อาศัยการเกิดขึ้นหรือปรุงแต่งจากการมีลมหายใจเข้า-ออกต่างหาก


    อุปสรรค

    1. ความกลัวตาย ที่จะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ตลอดเวลา

    2. ถ้ากดหรือจี้ความรู้สึก (จิต) ลงไปที่ฐานอารมณ์ เป็นจังหวะๆๆ จะเป็นการส่งความรู้สึก (จิต) เข้าไปชนที่ฐาน ไม่ใช่การจี้หรือการนิ่งที่ฐาน ซึ่งเป็นการส่งความรู้สึก (จิต) ไปชนที่ฐานเป็นจังหวะๆๆ นั้น จะทำให้เกิดพลังงาน คือแสงสว่างปรากฏขึ้นในโพรงจมูก หรือที่ฐานอารมณ์ หรือกล่าวได้ว่า ผู้ฝึกทำผิดวิธีนี้ จะไม่เห็นการดับ

    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8037
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2013
  17. forest60

    forest60 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +4,197
    ข้อมูลจากเว็บอิงธรรม 2552

    [​IMG][/url][/IMG]

    ประวัติพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

    ชาติกำเนิด

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ (พระครูอนุสนธิ์ประชาทร) เกิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2491 ในสกุล “ฝั้นเต่ย” ที่บ้านแม่สะเรียง ตำบลแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โยมบิดาของท่านชื่อ นายผัด โยมมารดาชื่อ นางใส มีอาชีพทำนา ฐานะครอบครัวอยู่ในระดับปานกลาง ท่านเป็นลูกคนที่ 7 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 9 คน เป็นชาย 5 คน และหญิง 4 คน ตัวท่านเองมีพี่ชายสามคน พี่สาวสามคน กับน้องชายและน้องสาวอีกสองคน

    การศึกษาและการอาชีพ

    ในวัยเยาว์ท่านเริ่มต้นการเรียนชั้นประถมศึกษาปีที 1-4 ที่โรงเรียนบ้านจอมแจ้งในตัวอำเภอแม่สะเรียง แล้วจังไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนแม่สะเรียงบริพัตรศึกษา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเดิมนัก ผลการเรียนของท่านอยู่ในลำดับที่ 1-3 ของทุกชั้น อุปนิสัยเมื่อยังเป็นเด็กนั้น โยมอุปัฏฐากสูงอายุของท่านผู้เริ่มก่อตั้งวัดดอยเกิ้งเล่าว่า ท่านเป็นเด็กที่รักสันโดษ จนถึงกับเคยไปปลูกเพิงเล็กๆ อยู่ท้ายบ้านคนเดียวในยามว่าง เมื่อจบ ม.ศ. 3 อายุของท่านยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะรับราชการได้ จึงไปอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นเวลา 1 ปี แล้วกลับมาสอบเข้ารับราชการเป็นครู ม.6 ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ท่านเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 18 ปีเศษ เมื่อ พ.ศ. 2510 ในตำแหน่งครูประจำชั้น ป.1 ที่โรงเรียนแม่ลาศึกษา ในตัวอำเภอแม่ลาน้อยของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นเวลา 1 ปี แล้วถูกย้ายไปรักษาราชการแทนครูใหญ่โรงเรียนบ้านห้วยฮ่อม ตำบลแม่ลาน้อย ประมาณ 3 เดือน ต่อจากนั้นก็ได้ไปช่วยสอนที่โรงเรียนบ้านแม่หาร อำเภอแม่สะเรียง เป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะย้ายไปประจำที่โรงเรียนบ้านผาผ่า กิ่งอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน อีก 1 ปี ซึ่งในช่วงที่เป็นครูอยู่นี้ท่านได้สอบวิชาครูชุด พ.ก.ศ. ไปด้วย โดยสอบได้ทั้ง 5 ชุดภายในเวลาปีครึ่ง ในขณะที่คนอื่นๆ ใช้เวลาประมาณ 2 ปี แต่ท่านก็ไม่ได้สอบวุฒิ ป.ม. ซึ่งเป็นชุดสุดท้ายต่อ เนื่องจากต้องการจะยุติการศึกษาวิชาครูไว้เพียงเท่านั้น

    จากโรงเรียนบ้านผาผ่า ในปี พ.ศ. 2515 ท่านได้ย้ายกลับมาอยู่ที่โรงเรียนบ้านจอมแจ้ง ซึ่งตนเองเคยเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษา ปีนั้นปีที่ท่านเริ่มสในใจธรรมะโดยเริ่มต้นจากความกลัวว่าจะเสียชีวิต ท่านเล่าว่าขณะที่ตนเองนอนหลับอยู่ในตอนกลางวันของวันหนึ่งได้ฝันเห็นคนนุ่งขาวห่มขาวถือไม้เท้าเดินมาอยู่เหนือศีรษะแล้วพูดว่า “ระวังให้ดีๆ ตายโหงมาแล้ว 3 ชาติ ชาตินี้ถ้าไม่ทำความดีก็จะตายโหงอีก” ท่านจึงสะดุ้งดื่นแล้วถามตัวเองว่าจริงหรือหลอก เพราะจริงก็เหมือนฝัน ฝันก็เหมือนจริง ระยะนั้นท่านใช้ชีวิตในวัยหนุ่มอย่างสนุกสนาน เป็นประธานกลุ่มหนุ่มสาว เป็นหัวหน้าวงสตริงในหมู่เพื่อนๆ ทั้งดื่มสุราและเล่นการพนัน ใจคอกว้างขวางเลี้ยงเพื่อนฝูงไม่อั้น จนกระทั้งมีหนี้สินมากมาย เงินเดือนที่ท่านเคยรับเต็มจำนวนและเคยพอใช้ ทั้งยังส่งเสียบิดามารดาอีกเป็นประจำก็ร่อยหรอลงทุกที ความฝันในครั้งนั้นจึงเท่ากับเหนี่ยวรั้งชีวิตของท่านที่ล่องลอยไปตามกระแสโลกให้หันเหมาทางธรรม

    สู่ร่มกาสาวพัสตร์

    ไม่กี่เดือนต่อมาในช่วงใกล้พรรษา เพื่อนครูที่สำมะเลเทเมาด้วยกันกับท่านได้พูดขึ้นในวันหนึ่งว่า ใครที่อยากจะบวชก็บวชได้แล้ว เพราะใบลาบวชมาถึงแล้ว ท่านมาได้คิดว่าอายุของตนเองก็จวนเจียนจะถึงวัยเบญจเพศเต็มทีจะตายโหงหรือไม่หนอตามความฝันคำพูดของชีปะชาวผู้นั้นก็ยังคงกึกก้องอยู่ในหูของท่านตลอดเวลา ใจก็หมองจนคิดอยากจะบวชให้พ้นจากชะตากรรมที่ชีปะชาวทำนายในพรรษาของปี พ.ศ. 2515 นั้นเองท่านจึงได้ตัดสินใจลาราชการเพื่ออุปสมบทเป็นเวลา 3 เดือน โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดจอมแจ้งในตัวอำเภอแม่สะเรียง พระอุปัชฌาย์ของท่านคือพระครูอนุศาสนปุญญาทร (คำน้อย) ได้ตั้งฉายาให้ท่านว่า “รตนญาโณ” หมายถึง “ผู้มีญาณเป็นแก้ว” ในช่วงแรกของการอุปสมบทนี้ ท่านได้เริ่มปฏิบัติธรรมด้วยวิธีอานาปานสติ กำหนดพุทโธ และหาหนทางฝึกกรรมฐานด้วยตนเอง

    พระอาจารย์รัตน์เล่าว่า ประวัติการฝึกปฏิบัติธรรมและการได้ธรรมะของท่านนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องอัศจรรย์เหลือเชื่อทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านต้องการจะเรียนธรรมะด้วยตนเองแต่ไม่มีครูบาอาจารย์สอน ก็มาคิดว่าจะเริ่มต้นจากจุดใดดี ท่านได้ไปที่ตู้หนังสือของวัดแล้วหลับตาอธิษฐาน ขอให้หยิบหนังสือที่เกี่ยวกับสมาธิภาวนาออกมาด้วยเถิด ปรากฏว่าท่านหยิบได้หนังสือ “กรรมฐาน 40” หรือวิธีปฏิบัติสมาธิ 40 วิธี จึงมาเลือกดูว่าวิธีปฏิบัติวิธีใดจะถูกกับจริตนิสัยของตัวเองบ้าง ท่านอ่านพบว่าตนเองเป็นคนวิตกจริต ควรจะต้องใช้วิธีอานาปานสติ จึงมานั่งปฏิบัติโดยกำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยตัวเองไม่ถึง 5 นาที ท่านก็รู้สึก “ตาสว่างหมด” และเห็นภาพนิมิตต่างๆ จากนั้น ท่านก็ลองปฏิบัติสมาธิอีกหลายๆ วิธีตามแนวทางในหนังสือเล่มนี้ จนกระทั้งมีความคิดว่าตนเองสามารถปฏิบัติกรรมฐานได้แล้ว แต่อย่างไรก็ดีท่านเห็นว่ากรรมฐานที่ได้ทดลองปฏิบัติไป ก็ไม่ได้ทำให้ท่านเกิดปัญญาและมีจิตหลุดพ้นได้ ครั้งต่อมาท่านจึงไปที่ตู้หนังสือเดิมอีก แล้วก็ตั้งอธิษฐานใหม่ ว่าหนังสือเล่มใดที่จะช่วยทำให้จิตของตนเองหลุดพ้นได้ก็ขอให้หยิบหนังสือเล่นั้นขึ้นมาด้วยเถิด คราวนี้ท่านหยิบได้หนังสือ “คิริมานนทสูตร” เมื่อท่านดูแล้วท่านก็ได้ธรรมข้อที่ว่า “จิตมีไว้สำหรับโลก ลมมีไว้สำหรับโลก”

    เข้าถึงสภาวธรรม

    ช่วงที่ท่านเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์นี้เอง ที่ความลับเรื่องหนี้สินที่มีอยู่เกิดแตกขึ้นมา เนื่องจากเมื่อถึงสิ้นเดือนโยมมารดาของท่านได้ไปรับเงินเดือนแทน และทราบว่าเงินเดือนเดือนนั้นของท่านเหลือเพียง 60 บาท โยมมารดาก็ตกใจเพราะไม่ทราบว่าพระลูกชายนำเงินไปใช้ที่ใดหมด ภาพลักษณ์การเป็นเด็กดี ส่งเสียบุพการีในสายตาของโยมบิดามารดารของท่าน ก็เปลี่ยนมาเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก ครั้นพระอาจารย์รัตน์ทราบว่าโยมมารดาล่วงรู้ความลับของตัวท่านเองหมดแล้วก็สำนึกผิด จิตใจกระวนกระวาย นั่งสมาธิไม่ได้อยู่หลายวัน ผุดลุกผุดนั่ง กว่าท่านจะเริ่มปฏิบัติได้อย่างจริงจังก็ต่อเมื่อถึงวันที่ 1 กันยายน 2515 วันนั้นท่านบอกว่าเป็น “วันตายของอาตมา แล้วก็ได้ธรรมวันนั้นพอดี” ขณะที่ท่านนั่งสมาธิไป จิตใจก็ฟุ้งซ่านมากคิดไปว่า “เราจะเป็นบ้าแล้วละกระมังอย่างที่เขาเรียกว่ากรรมฐานแตก พี่ชายก็เป็นบ้าไปคนหนึ่งแล้ว สร้างความทุกข์ยากให้กับพ่อแม่ อย่ากระนั้นเลย เราฆ่าตัวเองตายเสียดีกว่า แล้วเอาเงิน ช.พ.ค. (ช่วยเพื่อนครู) ให้พ่อแม่” แต่ปรากฏว่าท่านหาสิ่งใดๆ ที่จะฆ่าตัวเองตายก็ไม่ได้ กำลังคิดจะเอาไฟฟ้าช็อตเข้ามือตัวเองอยู่พอดี ทันใดนั้นผ้าสังฆาฏิก็ตกลงมาต่อหน้า ท่านจึงรู้สึกตัวว่า “เอ๊ะ เราเป็นพระนี่ เราไม่ควรตายด้วยวิธีนี้” แล้วก็นึกถึงหนังสือคิริมานนทสูตรที่เคยอ่านขึ้นมาได้ว่า ที่แท้จิตเป็นลม มีไว้สำหรับโลก ถ้าลมดับจิตก็ดับเพราะว่าจิตนี้อาศัยลมอยู่ ถ้าเราดับลมโดยการกลั้นลมหายใจตาย จิตก็คงจะดับไปเอง คิดได้ดังนั้น ท่านก็ตั้งใจกลั้นลมหายใจของตนเองจนกระทั่งรู้สึกเหมือนกับมีก้อนหินมาทับหน้าอกชั่วขณะจิตที่ลมหายใจของท่านกำลังใกล้จะดับอยู่นั้นเอง ก็รู้สึกว่าจิตของตัวเองหลุดออกไป แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเราคงจะต้องไปเป็นผีแน่นอน แล้วก็ต้องไปทนทุกข์อีก จิตของท่านก็ไม่อยากไปเป็น จึงหวนคืนเข้าสู่ร่างอีก ท่านจึงได้กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ท่านก็ไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ในขณะที่จิตของท่านอยู่ตรงกึ่งกลางไม่ทราบจะไปทางไหนดี เพราะไปเป็นผีก็ไม่อยากเป็น เป็นคนก็ไม่อยากเป็นอยู่นั้นเอง ก็เกิดความสว่างวาบ จิตของท่านก็หลุดจากอุปาทานของขันธ์ขึ้นในตอนนั้น รู้สึกว่า “โล่ง” ความคิดความนึกของท่านได้หายไปหมด ท่านจึงได้บรรลุธรรมในวันนั้น พร้อมกับหมดความสงสัยในเรื่องของบาปบุญคุณโทษ เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรื่องนิพพานหรือเรื่องใดๆ ที่ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้ไปด้วย

    พระอาจารย์รัตน์ได้บันทึกประสบการณ์ทางธรรมที่ท่านได้ประจักษ์ด้วยตนเองเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2515 ซึ่งท่านเรียกสภาวะเช่นนั้นว่า “ตถตา” หรือ “ตถาตา” หรือ “ความเป็นเช่นนั้นเอง” ซึ่งผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ไม่อาจบอกใครได้ ไว้ในกลอนเปล่าที่ชื่อว่า “สิ่งนั้น” ในหน้าก่อนสุดท้ายของหนังสือ “เราจะทำดวงตาให้เห็นธรรมได้อย่างไร” ของวัดดอยเกิ้ง ดังนี้

    “สิ่งนั้น”
    โอ้ สิ่งนี้ช่างประเสริฐจริงหนอ
    ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือแตกแยก
    นอกเหนือจากกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
    ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยกาละเวลา
    ไม่มีใครหรือธรรมชาติอันใด
    ที่จะเข้าไปเกี่ยวและยึดถือ
    ช่างไม่รู้จะสรรหาสิ่งใดเข้าไปเปรียบเทียบ
    ทั้งไม่สามารถบรรยายเป็นภาษาพูดได้
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
    แม้กาละเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไป
    ตราบนาน เท่านาน แสนนาน
    ทว่าสิ่งนี้ก็หาได้แปรเปลี่ยนไปตามไม่
    ไม่มีใครที่จะอาจเอื้อมเข้าไปแตะต้องได้แม้แต่น้อย
    ถึงขุนเขาจะละลาย แม่น้ำจะเหือดแห้งไป
    แต่สิ่งนี้ก็ยังคงดำรงสภาพของมันอยู่
    คงฟ้า คงดิน คงจักรวาล
    ไม่มีใครจะร้องเรียกหรือตั้งชื่อมันได้
    ไม่มีคนที่จะเข้าไปรู้เห็นมัน
    ไม่อาจที่จะเข้าไปยึดถือว่าเป็นของคนนั้นคนนี้
    โอ้ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้
    ถึงแม้กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติจะไหลเรื่อยไป
    ทุกขณะของกงล้อแห่งกาละ
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย
    อยู่แล้วๆ เล่าๆ
    แต่สิ่งนี้ก็ยังคงสภาพเดิมของมัน
    ช่างไม่รู้ร้อน รู้หนาว รู้เปลี่ยนแปลงจริง
    ฉันไม่รู้จะร้องเรียกสิ่งนั้นว่าอย่างไร
    เพราะมันมิได้อยู่ใต้กฎแห่งธรรมชาติและสมมุติบัญญัติ
    หรือกฎเกณฑ์ขอบข่ายของอะไรทั้งสิ้นในอนันตจักรวาลนี้

    รัตน์ รตนญาโณ
    1 กันยายน 2515

    เมื่อแรกที่พระอาจารย์รัตน์ได้บรรจุธรรมนั้น ท่านยังไม่อาจจะสั่งสอนธรรมะให้แก่ผู้ใดได้เลย เพราะท่านเห็นว่าวิถีทางที่ตนเองได้เข้าถึงธรรมโดยการกลั้นลมหายใจตาย เป็นการเสี่ยงต่อชีวิตและยากที่จะหาใครทำได้ ตามวิสัยของสัตว์โลก ทุกคนย่อมมีห่วงและมีความรักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น คงจะไม่มีใครกล้ากลั้นลมหายใจเพื่อให้เข้าถึง “ธรรม” ได้อย่างแน่นอน ด้งนั้นวิธีการที่ทำให้บรรลุธรรมของท่านจึงคงไม่น่าที่จะให้ผลแก่บุคคลใดได้

    พระอาจารย์รัตน์ได้ให้อรรถาธิบายเพิ่มเติม ถึงสภาวธรรมที่ท่านได้เข้าถึงว่าเป็น “สิ่งที่ไม่มีที่ยึดเกาะ ถ้าสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี ถ้าสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นก็ดับ เป็นไปตามเหตุและปัจจัยที่ต่อเนื่องตามเหลักพุทธศาสนา ไม่ติดอยู่ที่ความว่าง ความสะอาด สงบหรือบริสุทธิ์ต่างๆ เพราะถ้ามีการข้องติดอยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ความสะอาด บริสุทธิ์ ต่างๆ ซึ่งเป็นสมถกรรมฐานแล้วก็จะไม่เกิดการวนรอบที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตตามที่เป็นจริง” ท่านได้เปรียบเทียบสภาวะนี้ว่าเสมือนกับมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งทีใครก็มองไม่เห็น แสงก็ไม่มี แต่เป็นเมืองที่มีความสงบร่มเย็นมาก มีผู้เรียกว่าเป็นเมืองนิพพาน หากมีคนไปเห็นเมืองนี้ก็ถือว่ายังไม่ถึงเพราะเป็นการไปเห็นด้วยตา หรือหากมีคนทราบว่ามีเมืองนี้อยู่ ก็ถือว่ายังไปไม่ถึงอีกเพราะเป็นการทราบด้วยใจ ผู้สอนธรรมเพียงแต่บอกทางให้คนอื่นทราบว่าหนทางที่ไปสู่เมืองนี้คือทางใดเท่านั้น และเมื่องไปถึงเมืองนี้แล้วผู้ที่ไปถึงก็บอกใครไม่ได้อีกเช่นกันว่าเมืองนี้เป็นอย่างไรเพราะเป็น “สิ่ง” ที่พึงรู้เฉพาะตน หรือ “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ” เรียกผู้อื่นให้มาดูได้ ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ซึ่งพระพุทธองค์เองก็ไม่เคยตรัสว่าพระธรรมนั้นเป็นสีขาว สีดำ สีแดง หรือเป็นความสงบ เย็น บริสุทธิ์ แต่เป็น “สิ่ง” ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้วเท่านั้น

    สภาวะที่เรียกว่า “สิ่งนั้น” ซึ่งพระอาจารย์รัตน์ได้เข้าถึงนี้จะไม่สามารถเขียนออกมาได้ และจะพูดว่าเป็นความว่างก็ไม่ได้หรือความสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสงบก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะไม่เช่นนั้นก็จะมี “ของคู่” ของสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาเกิดขึ้นทันที สภาวะนี้จะเป็นตัวคงที่เป็นสภาวะตถตา คือความเป็นเช่นนั้นเองของมันจะลืมตาหรือหลับตาก็เป็นอยู่เช่นนั้น ไม่เห็นความแตกต่าง อีกทั้งยังเป็นการไม่ยึดติดในทิฏฐิหรือความเห็นสองส่วนด้วย อันได้แก่ อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญคือ เห็นว่าทุกอย่างนั้นว่างเปล่าไม่มีตัวตน ตายแล้วก็หมดไปสิ้นไป กับสัสสตทิฏฐิ หรือความเห็นว่าทุกสิ่งเป็นสิ่งเที่ยงถาวร คือโลกนี้เที่ยงตลอด เช่น ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายหรือการเวียนว่ายตายเกิด แต่กลับเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแต่เหตุ เกิดแต่ปัจจัย เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี ซึ่งในสมัยพุทธกาล การไม่ยึดติดในสองส่วนดังกล่าวก็อยู่ในรูปของ “ธรรมจักร” หรือ “การหมุน” นั่นเอง โดยที่ภายในตัวมนุษย์ทุกคนก็จะมีผัสสะหรือการกระทบสองส่วนคือภายนอกและภายในเกิดขึ้นอยู่เสมอ ภายนอกก็ได้แก่การกระทบที่เกิดขึ้นที่อายตนะภายนอก อันได้แก่ตา หู จมูก ลิ้น กาย และสมอง ส่วนการกระทบภายในก็จะเกิดขึ้นที่ใจ ปรุงแต่งขึ้นเป็นเรื่องราวต่างๆ ถ้าหากบุคคลใดไม่ติดการกระทบ ไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายใน แล้วอาการหมุนของเขาก็จะเกิดขึ้นทันทีเรียกว่า “ธรรมจักร”

    หลังเข้าถึงสภาวธรรม

    พระอาจารย์รัตน์กล่าวว่าคำสอนของพระพุทธองค์อาจจะมีเรื่องละเอียดลึกซื้งมากมายกว่าที่ตนเองทราบ แต่เนื่องจากท่านหมดสิ้นความสงสัยแล้วหลังจากเข้าถึงสภาวธรรม ท่านก็ได้เปลี่ยนทัศนคติของตนเอง จากเดิมที่จะอุปสมบทเพียงเพื่อหนีชะตากรรมที่ชีปะขาวทำนายไว้ มาเป็นการมุ่งที่จะช่วยเหลือพระศาสนาช่วยเหลือชาวโลก เพราะตระหนักดีว่าอายุจริงๆ ของท่านนั้นหมดแล้วตามที่ชีปะขาวมาเตือนสติ แต่ด้วยอำนาจคุณธรรมของศาสนามาช่วยไว้ จึงทำให้ท่านมีชีวิตรอดมาได้ ดังนั้นชีวิตที่เหลือยู่ของท่านก็จะช่วยพระศาสนาไปจนถึงที่สุด เพื่อให้คนทั่วไปทราบว่าธรรมะคืออะไรต่อจากนั้นท่านจึงได้ตั้งต้นศึกษาแนวทางการสอนธรรมะสายต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทยโดยละเอียด ศึกษาภูมิธรรมของครูบาอาจารย์สายต่างๆ และการหลุดพ้นของท่านเหล่านั้น รวมทั้งอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ด้วยว่าเกิดขึ้นมาจากอะไร โดยใช้ “ญาณทัสสนะ”ของตนเอง พระอาจารย์รัตน์กล่าวว่า ญาณทัสสนะนี้เป็นความรู้ที่ไม่ต้องนึกคิดหรืออ่านจากที่ใดและจะเป็นไปเองโดยธรรมชาติ จากการที่บุคคลใดเมื่อเข้าถึงสภาวะเดิมของจิตไประยะหนึ่งแล้วเมื่อใดที่มี “เหตุ” ทำให้ต้องการทราบเรื่องใด ๆ ขึ้นก็จะมีการตั้งคำถาม ป้อนข้อมูลจนสามารถสืบสาวไปหาเหตุของสิ่งนั้นๆ ได้ในที่สุด

    ต่อมาพระอาจารย์รัตน์ก็ได้มาพิจารณาดูว่าการสอนคนนั้นสอนไม่ยาก เพราะว่าทุกๆ คนหรือแม้แต่สัตว์ เช่น หมูหมากาไก่ ก็มีสภาวะ “ตถตา” หรือ “สิ่งนั้น” อยู่แล้ว เหมือนกันกับมี “แก้ว” อยู่ในตัวของเขาเอง หากแต่มีโมหะหรืออวิชชามาบดบังเอาไว้เท่านั้น เราจึงควรจะเป็นผู้แนะวิถีทางที่เขาจะเอาเศษขยะ สิ่งสกปรกต่างๆ ออกมา ให้เขาเห็นโทษเห็นภัยจากการเข้าไปยึดติดจนทำให้สภาวะตถตาดังกล่าวนี้เปลี่ยนแปรไป กระทั้งคนเราไม่เห็นสัจจะความจริงแต่อย่างไรก็ดี ท่านก็ยังไม่ได้เริ่มสอนการปฏิบัติธรรมให้แก่สาธุชน เนื่องจากเป็นการอุปสมบทระยะสั้นเฉพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น ต่อมาหลังจากออกพรรษาของปี พ.ศ. 2515 แล้ว พระอาจารย์รัตน์ก็ได้ลาสิกขาบทออกมารับราชการในตำแหน่งครูตามเดิมที่โรงเรียนจอมแจ้ง อำเภอแม่สะเรียง เพื่อชดใช้หนี้สินที่มีอยู่ก่อนอุปสมบท ช่วงปลายนั้นเองที่ท่านเริ่มฝึกกายทิพย์ด้วยตนเอง จากความรู้ที่ได้จากญาณทัสสนะ ขณะเดียวกันท่านก็เริ่มต้นรับประทานอาหารมังสวิรัติโดยใช้วิธี “เจเขี่ย” ในการรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวก่อนนานวันเข้าบิดามารดาและพี่น้องก็เริ่มสังเกตเห็นและทำอาหารมังสวิรัติให้แก่ท่าน

    กลับสู่ร่มกาสาวพัสตร์

    ประมาณปีเศษหลังจากลาสิกขาบทออกมารับราชการครูตามเดิมแล้ว หนี้สินของท่านก็หมดลง ท่านจึงลาออกจากราชการด้วยปณิธานอันแน่วแน่ที่จะช่วยผดุงพระศาสนาในเพศของบรรพชิตไปตลอดชีวิต ตามที่ได้เคยปวารณาตัวไว้ ครั้งแรกผู้บังคับบัญชาไม่ยอมให้ท่านลาออก แต่อนุญาตให้ลาป่วยเป็นเวลา 2 เดือน แต่เมื่อท่านยืนยันความตั้งใจเดิม ผู้บังคับบัญชาก็จำต้องอนุญาต การอุปสมบทใหม่ของท่านในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2517 นี้มีพระคูรอนุสรณ์ศาสนเกียรติ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้พำนักอยู่ ณ วัดจอมทอง ตำบลแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง ประมาณ 2 เดือนเศษ แล้วจึงไปอยู่วิเวกที่ดอยสันป่าคาในอำเภอแม่สะเรียงอีก 2 เดือนเศษ ก่อนจะย้ายกลับมาอยู่ที่วัดจอมแจ้งตามเดิม เพื่อมาจำพรรษาแรกของการอุปสมบทครั้งที่สองที่นี่

    หลังการอุปสมบท พระอาจารย์รัตน์ก็ได้เริ่มฉันอาหารมังสวิรัติ แบบค่อยเป็นค่อยไปโดยใช้วิธี “เจเขี่ย” แรก ๆ ท่านพบความยากลำบากตามสมควร ปีเศษต่อมาญาติโยมก็เริ่มทราบและทำอาหารมังสวิรัติถวาย เช่น ถั่วลิสงทอด ถั่วเน่าทอด (อาหารพื้นบ้านภาคเหนือคล้ายกะปิ) ต้มผัก น้ำพริก ฯลฯ ทำให้ท่านมีความสะดวกมากขึ้น พระอาจารย์รัตน์ได้ให้เหตุผลของการฉันอาหารมังสวิรัติว่า เนื่องมาจากเมื่อปฏิบัติธรรมไประยะหนึ่งแล้วก็จะทราบอดีตของตนเองว่าได้เคยสร้างกรรมอันใดมา ขณะนี้ตัวท่านเองเป็นเช่นนี้ อนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร และกรรมอันใดที่ได้สร้างไว้แล้วจะส่งผลไปถึงแต่ไหน เพียงใด ฉะนั้น การฉันเนื้อสัตว์ก็เปรียบเสมือนการกัดกินเนื้อของตนเองในอดีตชาติ สัตว์นั้นมีความอาฆาตพยาบาทมาก ความอาฆาตพยาบาทดังกล่าวจะแทรกซึมอยู่ในเนื้อของเขา จึงฉันไม่ลง ฉันไม่ได้

    การเผยแผ่ธรรมะสู่กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง

    ความเมตตาของพระอาจารย์รัตน์ในการชี้แนะสาธุชนทั้งหลายออกจากทุกข์นั้น ไม่จำกัดแต่ผู้คนบนพื้นราบเท่านั้นแม้บนดอยสูงที่ท่านเคยเป็นครูเมื่อครั้งเป็นฆราวาส ท่านก็ขึ้นไปเทศนาธรรม และอบรมสมาธิให้แก่กลุ่มลัวะหรือละว้า (ชนพื้นถิ่นของภาคเหนือตอนบนก่อนคนเมือง หรือชาวล้านนาจะมาตั้งถิ่นฐาน) และปกาเกอะญอ มาตั้งแต่ พศ. 2517 ขณะอุปสมบทเป็นครั้งที่สองท่านเห็นว่าชาวลัวะหรือละว้า และปกาเกอะญอนับถือผีมาแต่บรรบุรุษ ไม่มีศาสนา จึงควรจะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้มีพุทธศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวประจำใจ อย่างไรก็ดีท่านเห็นว่าความเชื่อเรื่องผีของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสองกลุ่มเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจะต้องใช้อุบายวิธี โดยค่อยผสมผสานพระพุทธศาสนาให้กลมกลืนไปกับการนับถือผี ท่านจึงได้ตีความและอธิบายคำสอนให้กลมกลืนไปกับการนับถือผี ท่านจึงได้ตีความและอธิบายคำสอนให้กลุ่มลัวะและและปกาเกอะญอรับได้และปฏิบัติได้จริงโดยในสาระสำคัญ ท่านสอนให้ชาวบ้านทั้งสองกลุ่มสวดมนต์ไหว้พระ ให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิ (แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม) และให้ปัญญาเพื่อให้รู้สิ่งต่างๆตามความเป็นจริง ส่วนในรายละเอียด ก็จะมีอุบายสอน เช่น บอกชาวบ้านว่าในตัวคนเรามีผีอยู่ 3 ตัว ได้แก่ ผีโลภ ผีโกรธ และผีหลง เราจะต้องรักษาตัวเองให้ดี จะต้องกำจัดผีร้ายนี้ออกไป ไม่ให้มาครอบงำ ตัวเราได้ ผีที่ดี ก็เหมือนกับพระที่คนเมือง (คนเหนือตอนบน) นับถือ เช่น ครูบาศรีวิชัย ครูบาขาวปี ที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์ เมื่อมรณภาพแล้วท่านจะไปเทวดา เป็นผีที่ไปกินเครื่องเซ่นของชาวบ้าน เราจึงต้องพยายามขจัดผีที่ไม่ดีออกไป จิตใจจะได้สูง ผีที่ไม่ดีก็จะมาหลอกหลอนเราไม่ได้

    เมื่อชาวลัวะและปกาเกอะญอ ในเขตอำเภอแม่สะเรียง และแม่ลาน้อยของจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีศรัทธาปสาทะในพุทธศาสนาและพระอาจารย์รัตน์อย่างมั่นคงแล้ว ก็ได้ช่วยกันจัดสร้างอาศรมขึ้น ในหลายหมู่ให้เป็นที่พำนักหรือจำพรรษาของท่านหรือพระภิกษุลูกศิษย์ในแต่ละปี จากอาศรมแห่งแรกที่บ้านอมพาย อำเภอแม่สะเรียงที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2526 อีกเกือบทศวรรษต่อมา ชาวบ้านก็ได้สร้างอาศรมแห่งที่สิบสองขึ้น ที่บ้านแม่ลิด ป่าแก่ อำเภอแม่ลาน้อย ต่อมาวัดดอยเกิ้งได้ยกฐานะของอาศรมทั้งหมด 12 แห่งนี้ ขึ้นเป็นสำนักสงฆ์สาขาของวัด เพื่อเป็นจุดเผยแพร่ธรรมะให้แก่ชาวลัวะและปกาเกอะญอ ดังกล่าว โดยชาวบ้านในชุมชนที่ตั้งสำนักสงฆ์เหล่านี้ หรือชุมชนใกล้เคียงจะช่วยกันดูแลความสะอาดเรียบร้อยของสถานที่ และอุปัฏฐากเมื่อมีพระภิกษุไปพำนัก ส่วนในช่วงเข้าพรรษาก็จะมีพระภิกษุซึ่งลูกศิษย์ของท่านและพระภิกษุจากที่อื่นไปจำพรรษา ณ สำนักสงฆ์เหล่านี้ แม้จะไม่ทุกแห่งก็ตาม ส่วนพระอาจารย์รัตน์ก็จะขึ้นไปเทศนาธรรมเป็นครั้งคราว โดยสำนักสงฆ์ที่ท่านมักจะไปพำนักและอยู่ปริวาสกรรมมากที่สุด คือ สำนักสงฆ์ สันติสุข ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่สะเรียง

    การอนุเคราะห์สังคม

    ตลอดระยะเวลา 35 พรรษาในการครองเพศบรรพชิตของพระอาจารย์รัตน์ ไม่ว่าท่านจะจำพรรษาหรือพำนักอยู่ที่ไหน วัตรปฏิบัติอันสำคัญยิ่งของท่านก็คือ การสนับสนุนกิจการน้อยใหญ่ของพระศาสนา และการอนุเคราะห์คนในสังคมสมดังปณิธานเดิมที่ท่านตั้งไว้

    ในด้านการสนับสนุนกิจการของพระศาสนา พระอาจารย์รัตน์ เป็นพระภิกษุสงฆ์ผู้หนึ่งที่ช่วยให้กิจการของสงฆ์ โดยเฉพาะในเขตอำเภอแม่สะเรียงดำเนินไปด้วยดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เช่นการสร้างเมรุ เจดีย์ กำแพงวัด สนับสนุนการศึกษาปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณร การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ถวายภัตตาหาร และวัตถุปัจจัย พระภิกษุสามเณร สอนวิปัสสนากรรมฐานแก่พระภิกษุสงฆ์ อบรมพระภิกษุ วิทยากร ท่านไม่รับนิตยภัติ แต่ได้รับนิตยภัติในฐานะเจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้งถวายพระผู้ใหญ่ ในช่วงก่อนเข้าพรรษา ท่านและญาติโยมในวัดจะตระเวณไปเปลี่ยนหลอดไฟของวัดต่างๆให้ใช้การได้ดีเป็นประจำทุกปี เป็นต้น

    ในด้านการอนุเคราะห์สังคมของท่านได้สนับสนุนกิจกรรมอันเป็นสาธารณประโยชน์ต่างๆในหลายด้าน เช่น สร้างศาลาอเนกประสงค์ให้ชาวบ้าน สนับสนุนรถยนต์แก่ อป.พร. อำเภอแม่สะเรียง และรถจักรยานยนต์แก่สภานีตำรวจภูธรอำเภอแม่สะเรียง สนับสนุนการสร้างงานของชาวบ้านและกองทุนหมู่บ้าน สร้างศาลาริมทางบริเวณทางเข้าวัดดอยเกิ้ง เพื่อเป็นแหล่งสร้างงานและท่องเที่ยว สนับสนุนเครื่องส่งวิทยุชุมชนสงเคราะห์วัตถุปัจจัยแก่ชาวบ้านที่ประสบภัยพิบัติและเผชิญอากาศหนาว เลี้ยงอาหารและวัตถุปัจจัยแก่ผู้สูงอายุที่รักษาอุโบสถศีล สร้างที่เก็บน้ำ สร้างตลาดชุมชน สนับสนุนเตียงผู้ป่วยให้แก่โรงพยาบาลอำเภอแม่สะเรียง สร้างที่พักญาติผู้ป่วยที่มารับการักษาที่โรงพยาบาล

    นอกจากนี้ในฐานะที่เป็นครูมาก่อนท่านยังได้เกื้อหนุนการศึกษาและกิจกรรมของนักเรียนตลอดมา เช่น สนับสนุนทุนก่อสร้างต่อเติมอาคารเรียน อาคารเอนกประสงค์ จัดหาเครื่องเสียงให้แก่นักเรียน ให้ทุนการศึกษานักเรียน ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา สร้างร้านค้า ป้ายและรั้วโรงเรียน สนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียน เช่น พัดลม เก้าอี้ โต๊ะอาหาร ฯลฯ สนับสนุนจักรยานแก่นักเรียนที่มีความจำเป็น จัดงานวันเด็กที่วัดดอยเกิ้งทุกปีที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัด อบรมสมาธิให้แก่ครู และนักเรียน ฯลฯ และประการสุดท้าย ท่านได้อนุเคราะห์ผู้คนบนดอยโดยช่วยชาวบ้านสร้างสำนักสงฆ์สาขาและให้การอุปถัมภ์อย่างต่อเนื่อง สร้างเจดีย์ประดิษฐานพระธาตุ ณ บ้านบ่อมิโจ๊ะ ในอำภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน สร้างประปาภูเขาให้แก่หมู่บ้าน สร้างศาลาเอนกประสงค์ มอบผ้าห่มแก่ชาวบ้าน ให้ทุนการศึกษานักเรียนชาวเขาที่ลงมาเรียนในพื้นที่ราบ ฯลฯ

    รางวัลในโลก

    การอุทิศชีวิตที่เหลือในเพศบรรพชิตเพื่อเข็นกงล้อธรรมจักรตามรอยบาทพระพุทธองค์ โดยเทศนาธรรม สอนสมาธิให้แก่ประชาชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สงเคราะห์สังคม สงเคราะห์สาธุชนทั้งพื้นที่ราบและบนพื้นที่สูงของท่านทำให้ท่านได้รับการถวายรางวัลและยกย่องเกียรติคุณดังต่อไปนี้ คือ

    1. เกียรติบัติจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ในด้านส่งเสริมผู้ปฏิบัติธรรม ปีพุทธศักราช 2535

    2. เสาเสมาธรรมจักรพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดฯสยามบรมราชกุมารีในด้านผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาปีพุทธสักราช 2535

    3. โล่เกียรติคุณจากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ในฐานะอาสาสมัครดีเด่น ประเภทสงเคราะห์ผู้มีปัญหา ปีพุทธศักราช 2540

    เป็นพระครูอนุสนธิ์ประชาทร

    ในวันที่ 5 ธันวาคม 2551 ท่านได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์พัดยศ เป็นพระครูอนุสนธิ์ประชาทร การอุทิศตนเองตลอดระยะเวลา 35 พรรษา ในร่มกาสาวพัสตร์ของท่านในการสอนสมาธิภาวนา เทศนาสั่งสอนธรรมสนับสนุนกิจการของบวรพุทธศาสนา และอนุเคราะห์สังคมนั้น ท่านมิได้มุ่งหวัง ลาภ ยศ สรรเสริญใดๆ ข้อธรรมอย่างหนึ่งที่ท่านสั่งสอนศิษยานุศิษย์เสมอๆ ก็คือ ทำดี แล้วต้องไม่ติดดีและยึดติดในครูอาจารย์ เพราะทุกคนก็เป็นครูตัวเองได้ ตัวท่านก็ได้ทำตัวเป็นแบบอย่างแก่ลูกศิษย์ในการละวางสิ่งต่างๆแม้อุบายวิธีสอนธรรมะตามแนวทางของท่านก็เน้นให้ผู้ปฏิบัติปล่อยวางเพื่อเข้าถึงซึ่งความหลุดพ้น แม้บทร้อยแก้วอันเป็นอมตะของท่านชื่อ “สิ่งนั้น” หรือคติธรรมที่ท่านให้ยึดถือหลังจากบุคคลเข้าสู่การหลุดพ้นแล้วก็ล้วนแต่มีนัยของการไปให้พ้นจากการยึดติดทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นก็คือ

    ธรรมะที่แท้จริงไม่มีธรรมะ

    ไม่มีธรรมะนั่นแหละคือธรรมะ

    ปัจจุบันถ่ายทอดไม่มีธรรมะแล้ว

    ธรรมะจะเป็นธรรมะไปได้อย่างไรกัน

    ปัจจุบัน

    ปัจจุบัน พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ (พระครูอนุสนธิ์ประชาทร) เป็นเจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งได้รับเลือกเป็น "ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ" ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้เผยแพร่คำสอนและการฝึกปฏิบัติมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2530 ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีการประชาสัมพันธ์มากนัก เนื่องจากบุคคลากรส่วนใหญ่ต่างเป็นผู้ปฏิบัติธรรม หมดความทะเยอทะยาน จึงให้แต่ละบุคคลได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้กันตามกระแสบุญ ในช่วงแรกๆเป็นการสอนฝึกปฏิบัติเพื่อมีจิตหลุดพ้น มีดวงตาเห็นธรรมเพียงอย่างเดียว ต่อมาได้มีการนำอุบายของวิปัสสนากรรมฐานมาดัดแปลง เพื่อแก้ไขปัญหาของสุขภาพร่างกายที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในธรรมชาติ โดยได้ประยุกต์หลักการของวิปัสสนากรรมฐานที่ศึกษา "การเคลื่อนที่ของจิต" เพื่อให้พ้นจากการครอบงำของขันธ์ 5 และประหารกิเลสของแต่ละบุคคล มาเป็น "การเคลื่อนที่ของ พลังจิต พลังงาน" เพื่อซ่อมแซมรักษาสิ่งที่หยาบกว่า คือ "กาย" ด้วยตนเอง

    ผลงานด้านสมาธิบำบัด ได้มีวิวัฒนาการมาตามลำดับ ตั้งแต่เป็นทางเลือกของสุขภาพแบบองค์รวม และวิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัดในปัจจุบัน ซึ่งจัดว่าเป็นทางเลือกของสุขภาพที่ไม่ใช้ยา ได้แพร่หลายในบุคคลหลายกลุ่มด้วยกัน เช่น ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ มะเร็ง เอดส์ อัมพฤกษ์ อัมพาต และผู้ป่วยสารเสพติด ฯลฯ

    เนื่องจากวัดดอยเกิ้ง ตั้งอยู่ที่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน การเดินทางไปมาค่อนข้างลำบาก พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงใช้วิธีเดินทางออกไปเผยแพร่คำสอนนอกสถานที่ด้วยตนเอง ซึ่งได้เริ่มจัดขึ้นที่อาคารสัมมนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นประจำทุกเดือน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2540-2545 และในปี พ.ศ.2542 ได้สร้างศูนย์ฝึกอบรม "สวนบูรณะรักษ์ธรรม" ขึ้นที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และมีการจัดฝึกอบรมให้เป็นธรรมทาน ทุกๆ สัปดาห์ที่ 1 หรือ 2 ของแต่ละเดือน โดยให้ผู้สนใจหรือผู้ป่วยเข้าพักค้างคืน ครั้งละ 3 วัน 2 คืน รับได้ครั้งละไม่เกิน 50 คน สำหรับการฝึกอบรมในกรุงเทพฯ หลังจากพ.ศ. 2545 เป็นต้นมาก็ได้ย้ายไปจัดที่อาคารเคยูโฮม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทุกเดือนเว้นเดือนจนกระทั่งถึงสิ้นปี 2553 ได้ย้ายมาจัดที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิตเป็นประจำทุกเดือนจนกระทั่งถึงปัจจุบัน (2555)

    จากเว็บอิงธรรม https://sites.google.com/site/ingdhamma/rattanayano
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2013
  18. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    สอนให้กลัวตายไม่ถูก ควรสอนให้เข้าใจมรณานุสติ เผชิญความตายได้อย่างสงบ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่ไปในแต่ละวันด้วยความหวาดกลัว ระแวงภัยไอ้นั่นไอ้นี่ จิตตกวันละหลายรอบ

    ยังงั้น เกิดหัวใจวาย เส้นเลือดแตก โดนรถชน โดนฆาตกรรม รึสารพัดประเภทตายอย่างกระทันหัน ต่อให้ทำทานมาเยอะ ทำบุญมาแยะ จิตที่หม่นหมอง ก็พาดิ่งลงนรกก่อนอยู่ดี แล้วกว่าจะตะกายพ้นนรกมาได้ มันไม่ง่ายเด้อพี่น้องเด้อ

    เรื่องภัยพิบัติธรรมชาติทั้งหลายแหล่ มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ในทุกวัน ทุกที่ทุกเวลา แล้วแต่จะแจ็คพ็อตที่ไหน จะหนักจะเบา ก็ว่ากันไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีวัตถุสิ่งของวิเศษวิโสอะไร จะป้องกันได้

    คนบนโลก เล็กเท่ามดปลวก ถ้าเทียบกับความยิ่งใหญ่ รึพลังของธรรมชาติ ดูอย่างอุกกาบาตตกใส่รัสเซียสิ เขาทำอะไรได้ นอกจากรอให้มันตกลงมา จะหนีไปไหนพ้นล่ะ

    พอๆ กะความตายของแต่ละคนนั่นแหละ ไม่มีสักคนเดียวที่หนีพ้น ต้องตายกันทั้งนั้น ในวันใดวันหนึ่ง

    อ้อ..ภัยหลายๆ อย่าง ถ้าจะมาที่ไทยก็จะเบาแรงลง อย่างภัยพายุ ภัยสึนามิ ที่มีประเทศข้างเคียงเป็นด่านหน้ารับความรุนแรงระลอกแรกไปก่อนแล้ว ส่วนภัยแผ่นดินไหว ก็จะเบากว่าประเทศข้างเคียง เพราะเราเป็นรอยเลื่อนแขนง

    ส่วนภัยก้อนหินจากอวกาศ ทั่วโลกมีโอกาสรับทั้งหนักและเบาเท่าๆ กัน อย่างไม่มีการลำเอียง
     
  19. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    มันต้องสอนให้เข้าใจ เรื่องสัญญาณเตือนของเทวทูตทั้งสี่ เอาให้ถ่องแท้ ตกผลึก

    เพราะมันเป็นของตาย ที่แต่ละคนต้องเจอแหงมๆ ในวันใดวันหนึ่ง เดือนใดเดือนหนึ่ง ปีใดปีหนึ่ง โมงยามใดโมงยามหนึ่ง หนีไปไหนไม่พ้น

    ไม่ว่าจะรวยล้นฟ้า รึจนกรอบ ไม่ว่าจะรูปหล่อรูปสวย รึขี้เหร่ ไม่ว่าจะมีเกียรติ รึไร้เกียรติ

    เรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันไม่ใช่เรื่องอัปมงคล บางคนที่กลัวเทวทูตทั้งสี่นี้ โดยเฉพาะเทวทูตที่ชื่อความตาย ควรทำความเข้าใจเสียใหม่ ว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ

    [​IMG]

    ภาพประกอบจาก วัดโพธิสมภรณ์

    travel WatPhoEquationPorn
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...