อยากทราบเกี่ยวกับน้ำปัสสวะนะครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย To Find The Thuth, 19 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. To Find The Thuth

    To Find The Thuth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +416
    คือถ้าเรานำมากิน หรือ นำมาล้างหน้า นี้ ดีจริงหรอครับ

    เพราะ ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าให้ใช้น้ำปัสสาวะในการบำบัดโรคของตัวเอง อันนี้จริงไหมครับ


    ยังไงก็ขอบคุณล่วงหน้านะครับ
     
  2. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    จริงครับ ผมยังถึงขั้นเคยลองมาแล้ว ช่วยต่ออายุได้หน่อย
    แบกรับบาปกรรมไว้เยอะครับต้องทำใจ ต้อองกินตอนมันใสๆเค็มนิดๆนะครับ จะดีมาก
     
  3. To Find The Thuth

    To Find The Thuth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +416
    ครับ ขอบคุณนะครับ

    คือผมอยากจะฝึกไว้นะครับ มีความหวังระยะแรกเลยคือ อยากเอามารักษาสิว(เพราะผมอยู่ในช่วงวัยรุ่นและสิวขึ้นเยอะมากๆ แต่ตอนนี้ลดลงเยอะละครับ แต่ยังมี เพราะว่าผมหันมากินผักไม่กินเนื้อ(บางครั้งยังกินอยู่ครับ แต่จะกินน้อยมาก) และดื่มน้ำวันละประมาณ 10 แก้ว)

    ระยะหลังเลยคือ หากผมได้เดินทางธรรมแล้ว จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการทำให้ร่างกายนี้ ยังมีแรงขัดเกลากิเลศต่อไปได้นะครับ เพราะผมมีความคิดที่จะเดินทางธรรมอยู่
     
  4. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ต้องลองค้นหาในเว็บวิชาการดอทคอมนะครับ

    เห็นว่า "ฝรั่งยืนยัน" ว่ามีสารตั้งต้นเซลอะไรซักอย่างแล้วล่ะครับ
     
  5. Inwpower

    Inwpower เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +105
    ทำไมคิดว่ามันจะรักษาสิวได้ล่ะคับ ก่อนทำถ้าสนใจลองหาดูก่อนมั้ย

    ว่าสิวเกิดจากอะไร ยารักษาสิวมันออกฤทธิ์ยังไง

    แล้วฉี่มันมีสารอะไรน่าจะรักษาสิวได้บ้าง

    หรือง่ายๆก็ลองถามในเวบวิชาการอย่าง thaiclinic ก็ได้ครับ

    ผมว่าถามในนี้ส่วนใหญ่ก็ได้คำตอบที่เปนความรู้สึกส่วนตัว แบบว่า เคยใช้แล้วดี

    หรือเหนคนใช้แล้วดีประมานนี้
     
  6. ผงธุลี

    ผงธุลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    476
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ผมดื่มมาแล้วครับ แรกๆสักสองวัน จะกินยากเพราะจิตไปคิด เรื่องกลิ่น สกปรก รสชาติ
    พอเริ่มกินก็ชิน รสชาติฉี่ในแต่ละวัน ไม่เหมือนกัน ส่วนมากเค็มเป็นหลัก ถ้าออกเหลืองมากจะฉุน ถ้าวันไหนทานผัก ทานเนื้อสัตว์น้อย ฉี่ก็จืด วันไหนกินก๋วยเตี๋ยวที่มีใส่ผงปรุงแต่ง ฉี่จะเค็มมากๆ
    บางส่วนผมเอามาล้างจมูกด้วย แปลกครับ ล้างได้ดี ไม่แสบ

    ขอให้เป็นสุขกับการกินฉี่ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. Factor

    Factor สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +15
    ศึกษาให้ดีทางการรักษา ทางการแพทย์ ก่อนจะใช้กับตัวเองจะดีกว่านะคะ ลองศึกษาเรื่องไตที่ทำหน้าที่ขับปัสสาวะด้วยก็ดีค่ะ จะทราบว่าขับอะไรออกมาบ้าง__
     
  8. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ตัดแปะจากพระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน CD

    พระวินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวรรค ภาค ๑
    นิสสัย ๔
    ๑. บรรพชาอาศัยโภชนะคือคำข้าวอันหาได้ด้วยกำลังปลีแข้ง เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่ง
    นั้นตลอดชีวิต อดิเรกลาภ คือ ภัตถวายสงฆ์ ภัตเฉพาะสงฆ์ การนิมนต์ ภัตถวายตามสลาก
    ภัตถวายในปักษ์ ภัตถวายในวันอุโบสถ์ ภัตถวายในวันปาฏิบท.
    ๒. บรรพชาอาศัยบังสุกุลจีวร เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิต อดิเรกลาภ
    คือ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่าน ผ้าเจือกัน. (เช่นผ้าด้ายแกมไหม)
    ๓. บรรพชา อาศัยโคนไม้เป็นเสนาสนะ เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิต
    อดิเรกลาภ คือ วิหาร เรือนมุงแถบเดียว เรือนชั้น เรือนโล้น ถ้ำ.
    ๔. บรรพชาอาศัยมูตรเน่าเป็นยา เธอพึงทำอุตสาหะในสิ่งนั้นตลอดชีวิต อดิเรกลาภ
    คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย.


    พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

    [๕๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมูตรเน่าอันระคนด้วยยาต่างๆ. บุรุษที่เป็น
    โรคผอมเหลืองมาถึงเข้า. ประชุมชนบอกเขาว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ มูตรเน่าอันระคนด้วยยาต่างๆ
    นี้ ถ้าท่านหวังจะดื่ม ก็ดื่มเถิด มูตรเน่าจักไม่ชอบใจแก่ท่านผู้ดื่ม ทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งรส ก็แต่
    ท่านครั้นดื่มเข้าไปแล้ว จักมีสุข. บุรุษนั้นพิจารณาแล้วดื่มมิได้วาง ก็ไม่ชอบใจ ทั้งสี ทั้งกลิ่น
    ทั้งรส ครั้นดื่มแล้ว ก็มีสุข แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวธรรมสมาทานนี้ ที่มีทุกข์
    ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากต่อไป ว่ามีอุปมาฉันนั้น.

    อรรถกถา เล่ม๑๙ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย

    คำว่า "น้ำมูตรเน่า" ก็คือน้ำมูตร
    นั่นแหละ. เหมือนอย่างว่า ร่างกายของคนเราต่อให้เป็นสีทอง ก็ยังถูกเรียกว่า
    ตายเน่าอยู่นั่นแหละ และเถาอ่อนที่แม้แต่เพิ่งเกิดในวันนั้น ก็ย่อมถูก
    เรียกว่า เถาอ่อนอยู่นั่นแหละ ฉันใด; น้ำมูตรอ่อนๆ ที่รองเอาไว้ในทันทีทัน
    ใด ก็เป็นน้ำมูตรเน่าอยู่นั่นเองฉันนั้น. คำว่า "ด้วยตัวยาต่างๆ" คือ ด้วยตัวยา
    นานาชนิดมีสมอและมะขามป้อมเป็นต้น.


    อรรถกถาขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ

    ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ใส่สมอดองกับมูตรเน่าลงในภาชนะใบหนึ่ง ใส่
    ของมีรสอร่อย ๔ อย่างลงในภาชนะใบหนึ่ง เมื่อถูกเพื่อนภิกษุบอกว่า ท่าน
    ต้องการสิ่งใด ก็ถือเอาเถิดท่าน ถ้าว่า อาพาธของภิกษุนั้น ระงับไปด้วย
    สมอดองน้ำมูตรเน่าและของรสอร่อยทั้งสองนั้น อย่างใดอย่างหนึ่งไซร้ เมื่อเป็น
    ดังนั้นเธอคิดว่า ธรรมดาว่าสมอดองด้วยมูตรเน่า พระพุทธเจ้าเป็นต้นทรง
    สรรเสริญแล้ว และพระพุทธเจ้าตรัสว่า บรรพชาอาศัยมูตรเน่าเป็นเภสัช พึง
    ทำความอุตสาหะในมูตรเน่าเป็นเภสัชนั้น จนตลอดชีวิต ปฏิเสธของมีรสอร่อย
    เป็นเภสัช แม้กระทำเภสัชด้วยสมอดองด้วยมูตรเน่า ก็เป็นผู้สันโดษอย่างยิ่ง
    นี้ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษในคิลานปัจจัยของภิกษุนั้น.


    อรรถกถาขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ
    อิติวุตตกวรรณนา

    บทว่า ปติมุตตํ ได้แก่ น้ำมูตรโคชนิดใดชนิดหนึ่ง อธิบายว่า ร่างกาย
    แม้มีผิวพรรณดุจทองคำ ก็เป็นร่างกายที่เปื่อยเน่าอยู่นั่นเองฉันใด น้ำมูตรแม้
    จะใหม่ก็เป็นน้ำมูตรเน่าฉันนั้นเหมือนกัน ในเรื่องนั้น อาจารย์บางพวกเรียก
    ชิ้นสมอที่ดองด้วยมูตรโคว่า น้ำมูตรเน่า อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า เภสัช
    ชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่เขาสละ คือ ทิ้ง ได้แก่ นำออกมาจากร้านตลาด เป็นต้น
    เพราะเป็นของเสีย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอาว่า เป็นน้ำมูตรเน่า.

    ลิงค์ของฉันvacharaphol เวปพลังจิต
     
  9. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ยาปัสสาวะ มี 2 ประเภท

    1. รักษาโรค - ใช้ปัสสาวะ สดๆ ของผู้ป่วยเอง ควรใช้ยานี้เฉพาะเวลาป่วยเท่านั้น เพื่อเป็นการใช้หลักของ “พิษ – ถอน – พิษ” แต่ถ้าท่านใช้ยานี้เป็นประจำ ระบบร่างกายจะมีความเคยชิน และ เมื่อมีอาการป่วยหนักอีก ยานี้จะใช้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะร่างกายจะดื้อยาขึ้น, ควรรองช่วงกลางของน้ำปัสสาวะ ( พระบางท่าน ก็รองเลย โดยไม่ได้ตัดหัวท้ายค่ะ )

    2. บำรุงร่างกาย – ยาดองน้ำมูตรเน่า ใช้ปัสสาวะใครๆมารวมกันก็ได้ นำไปต้มก่อน แล้วค่อยเอาไปดอง เพื่อช่วย
    ๑. เจริญอาหาร, รับประทานอาหารได้
    ๒. ช่วยเลือดลมไหลเวียนสะดวก
    ๓. ช่วยในการขับถ่าย ( ถ้ายิ่งดื่มน้ำ ยิ่งจะทำให้ถ่ายบ่อย )
    ................................................................................

    ยาดองน้ำมูตรเน่า - " สูตร ต้มกับเกลือ "

    1. นำปัสสาวะทั้งหมด ใส่หม้อเอาตั้งไฟ, เอาเกลือใส่, ต้มจนเดือด เดือดแล้วจะมีฟองลอยฟ่อง หรี่ไฟให้อ่อนลง แล้วคอยตักฟองออกทิ้ง (ยิ่งต้มจะยิ่งส่งกลิ่น) จากนั้นปิดไฟ ยกลงจากเตาเลยก็ได้ ทิ้งไว้ให้เย็นlสนิทก่อนนำไปเทลงขวดโหล

    ยาดองน้ำมูตรเน่า - " สูตร สมอ-เกลือ"
    * ถ้าเกลือน้อย..สมอจะเน่า, ถ้าเกลือมาก..จะเค็มเกิน ทานไม่ได้
    วิธีทำเหมือนข้างบน

    ยาดองน้ำมูตรเน่า - "สมอ-มะข้ามป้อม-เกลือ"
    วิธีทำเหมือนข้างบน

    ยาดองน้ำมูตรเน่า - (สูตร..เครื่องเทศ)

    เครื่องเทศ :
    1. เกลือ 2. กระชาย 3. พริกไทย
    4. สมอ - เลือกอย่างเปรี้ยว 5. ข่าแก่ๆ 6. ดีปี (คล้ายๆพริก)
    7. ตะไคร้ 8. กระเทียม 9. เหงือกปลาหมอ
    10. ช้างงาเอก (เป็นรากไม้ชนิดหนึ่ง)
    11. สะสมปัสสาวะ..จะเอาของใครๆมารวมกันก็ได้ ให้ได้ปริมาณเพียงพอ
    ปล..!!. เครื่องเทศนี้ถ้าหาได้ไม่ครบ ก็ใช้เฉพาะที่หาได้

    วิธีทำ :
    1. เตรียมเครื่องเทศน์ทั้งหมด เอาใส่โหลไว้ พักรอไว้ก่อน
    2. นำปัสสาวะทั้งหมด ใส่หม้อเอาตั้งไฟ, เอาเกลือใส่, ต้มจนเดือด เดือดแล้วจะมีฟองลอยฟ่อง หรี่ไฟให้อ่อนลง แล้วคอยตักฟองออกทิ้ง (ยิ่งต้มจะยิ่งส่งกลิ่น) จากนั้นปิดไฟ ยกลงจากเตาเลยก็ได้ ทิ้งไว้ให้เย็นสนิทก่อนนำไปเทลงขวดโหล

    ดองประมาณ 4-5 อาทิตย์ก็ใช้ได้ ส่วนเครื่องเทศน์ และ สมอ ฯลฯ รับประทานเป็นปรมัตได้
    ..............................................

    สิ่งนี้นั้น..มันก็คือยาค่ะ ยาแต่ละตัวก็มีกลิ่นประจำของเขา และ ยาส่วนมากที่มีคุณสมบัติในการรักษาก็จะมีรสขม และ ถ้าชิมได้ทุกวันเราจะรู้จักสุขภาพเราขึ้น พอวันไหนรสแปลกไปเราก็จะรู้ และ หาเหตุได้ก่อนที่จะมีอาการของกายค่ะ เพราะร่างกายเรานั้น คือ ธาตุทั้ง 4 มารวมกันชั่วคราว ถ้าธาตุไม่สมดุลย์กันก็จะมีอาการต่างๆค่ะ

    คุณอติคะ ขอให้หายไวๆค่ะ ถ้ายังทานยานี้ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่าไปฝืนเลย จะยิ่งพะอืดพะอมไปอีก คุณอติหมั่นทานน้ำเยอะๆแทนนะคะ จะได้ช่วยระบาย ให้ของเหลวไหลเวียนถ่ายเทปรับระบบในร่างกายได้


    คุณปางคะ..

    วิธีใช้ล้างตานี่ จิตฐิเพิ่งเคยได้ยินจากคุณปางนี่หล่ะคะ ขอบคุณค่ะ
    เจอกันที่เมืองไทยนะคะ

    ขอลาทุกๆท่าน แล้วคงได้พบกัน Bye Bye
    จากคุณ : จิตฐิ [ 7 ก.พ. 2545 / 05:48:12 น. ]
    [ IP Address : 66.169.176.114 ]
     
  10. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 08:52:21 AM »

    คนที่สามตอบว่า

    เอานี้ไปอ่านเลย เชื่อไม่เชื่อก้อตามใจ แต่มีคนเขาสมาทานการดื่มน้ำปัสสาวะ
    จำนวนมากมายในประเทศนี้ ชาวสันติอโศกทุกคนละครับ เป็นหมอให้ตัวเองมา
    เป็นสิบๆปีแล้ว โรงพยาบาลค้อนตาประหลับประเหลือกเลยเชียว เมื่อพูดเรื่องนี้

    "พระสงฆ์จากชุมพรชี้น้ำปัสสาวะรักษาโรคมีบัญญัติไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล วิธีดื่มให้ดองสมอไทย สมอพิเภก รักษาอาการผอมแห้งแรงน้อย ตัวเหลือง แพทย์ธรรมชาติบำบัดระบุมีการจัดประชุมเรื่องน้ำปัสสาวะระดับโลกมาแล้วถึง 3 ครั้ง ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตบอกชัดรักษาโรคได้สารพัด ขณะที่เจ้าของสวนปาล์ม จังหวัดชุมพรเผยประสบการณ์ดื่มปัสสาวะกว่า 2 ปี รสชาติบอกภาวะสุขภาพได้ ถ้าเปรี้ยวเป็นผลจากรับประทานอาหารมีสารกันบูด รสขมกินอาหารมีสารพิษตกค้าง รสเค็ม เกิดจากการดื่มน้ำสะอาดน้อย อย่างไรก็ตาม น้ำปัสสาวะรักษาโรคยังไม่มีข้อสรุปทางวิชาการมายืนยัน เรียกร้องนักวิชาการทำการวิจัย

    ที่มา : สมุนไพรดอทคอม เว็บสุขภาพอันดับ1 Samunpai.com

    กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือกจัดเสวนา เรื่อง “น้ำปัสสาวะรักษาโรค” พระดุษฎี เมอังกุโร สำนักสงฆ์ทุ่งไผ่ จังหวัดชุมพร กล่าวว่า การดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรคมีตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในพระธรรมวินัย เป็นแนวทางยังชีพของพระสงฆ์เรียกว่า นิสัย 4 ได้แก่

    1.ต้องนุ่งห่มด้วยผ้า 3 ชิ้น นำมาจากผ้าห่อศพ ผ้าบังสุกุล เป็นผ้าที่ไม่มีราคานำมาทำความสะอาด ตัดเย็บอย่างง่าย ๆ ไม่มีราคา ตัดปัญหาเรื่องถูกลักขโมย

    2.อาศัยอยู่โคนต้นไม้ ได้รับอากาศบริสุทธิ์

    3.ฉันอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตรเท่านั้น การเดินเท้าเปล่าในยามเช้าได้รับแสงแดดและเป็นการนวดเท้าไปในตัว

    4.ฉันน้ำมูต(น้ำปัสสาวะ)เมื่ออาพาท เจ็บป่วย โดยนิสัย 4 กำหนดไว้ชัดเจนในพระไตรปิฏก

    “ใน สมัยพุทธกาลเขียนไว้ว่า พระสงฆ์ที่ผอมเหลืองให้ฉันน้ำมูตโค คืออินเดียเขานับถือวัว นำน้ำปัสสาวะวัวมาดองสมอไทย สมอภิเษก ฉันรักษาอาการอาพาท แต่พระสายวัดป่าเวลาธุดงค์ จะได้รับการสั่งสอนให้รู้จักนำสมุนไพรมาใช้ในการรักษาโรค อย่างไข้ป่าหรือไข้มาลาเรีย ฉันสมุนไพรแล้วก็นั่งสมาธิ ทำจิตแน่วแน่ ไม่หายก็ตาย พระธุดงค์ผ่านโรคนี้ได้ ถือว่าเป็นพระที่ผ่านภาวะวิกฤต มีความเข้มแข็ง มีสภาวะจิตที่แข็งแกร่ง ด้านเภสัชบริขาลไม่ได้เขียนไว้มากนัก”พระดุษฎี กล่าว

    พระดุษฎี กล่าวด้วยว่า ที่สำนักสงฆ์ทุ่งไผ่ มีพระสงฆ์และฆราวาสจำนวนหนึ่งที่ดื่มน้ำปัสสาวะตนเองรักษาอาการเจ็บป่วย เช่นอาการปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก อีกทั้งการดื่มน้ำปัสสาวะเป็นการ “วัดใจ” เพราะกลิ่นของปัสสาวะแต่ละคนมีรุนแรงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน หากกินเนื้อ ชา กาแฟ เบียร์ ดื่มน้ำสะอาดน้อยจะส่งผลต่อรสชาติ ถ้ากินอาหารโปรตีนน้อย ดื่มน้ำมาก กลิ่นของปัสสาวะจะไม่แรง ส่วนตัวเห็นว่าการดื่มน้ำปัสสาวะไม่น่าเสียหาย เพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อ การที่หมอแผนปัจจุบันไม่สนับสนุนอาจเป็นเพราะหมอยังไม่ได้มีความรู้เกี่ยว กับประโยชน์ของปัสสาวะ หมอเลือกพูดแต่สิ่งที่ตัวเองรู้ ขณะที่สังคมไทยเป็นสังคมที่เชื่อผู้เชี่ยวชาญ จึงขาดโอกาสที่จะบำบัดด้วยธรรมะโอสถ

    “ส่งเสริมให้ดื่มน้ำปัสสาวะมาก ขึ้น หมอก็ไม่ได้เงินเพิ่ม คือ เราไม่ได้ใช้เงินซื้อ อย่างสาหร่าย ยาราคาแพง อาหารเสริมต้องใช้เงินซื้อ บางอย่างก็ไม่เกิดประโยชน์ แต่น้ำปัสสาวะ บางคนลองแล้วได้ผล บางรายได้ผลน้อย บางรายยังไม่เห็นผล แต่เราก็ไม่เสียเงินซื้อ ต้องดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ วันละ 1-2 ครั้ง ไม่ใช่ดื่มวันละ 7-8 แก้ว ร่างกายยังต้องการน้ำสะอาดจากแหล่งอื่นอาตมาเห็นว่า ควรมีการศึกษาวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นข้อพิสูจน์ให้คนยุคปัจจุบันเห็น แต่สมัยพุทธกาลได้บัญญัติเรื่องนี้ไว้แล้ว”พระดุษฎี กล่าว

    นาย ไพฑูรย์ เจียรณาสาธิต เจ้าของสวนปาล์มในจังหวัดชุมพร หนึ่งในผู้มีประสบการดื่มน้ำปัสสาวะตนเองรักษาโรค กล่าวว่า คนที่ยังไม่เคยลองดื่มก็ยังไม่รู้ว่า น้ำปัสสาวะมีสรรพคุณอย่างไร เหมือนการนั่งสมาธิ ทุกคนรู้ว่าสมาธิดี ให้ความสงบ แต่หากไม่ลงมือปฏิบัติย่อมไม่รู้ว่า จิตเกิดความสงบอย่างไร ครั้งแรกที่ตนฟังพระสิงห์ทน บรรยายเรื่องน้ำปัสสาวะรักษาโรค เกิดความอยากรู้ จึงทดลองดื่ม ครั้งแรกก็รู้ว่ารสชาติแย่มาก แต่ถือเป็นการเอาชนะใจตัวเอง ต่อมาเรียนรู้ว่าการจะให้น้ำปัสสาวะมีรสชาติดื่มง่าย ต้องงดอาหารเย็น ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ ดื่มนมหรือน้ำเต้าหู้ รสชาติปัสสาวะจะมีกลิ่นหอมเหมือนปัสสาวะเด็กทารก

    “รสชาติปัสสาวะบอก ภาวะสุขภาพเราได้ ถ้าเค็ม แสดงว่า วันนั้นดื่มน้ำน้อย รสขม แสดงว่าเรากินอาหารที่มีสารพิษตกค้างในร่างกาย รสเปรี้ยว แสดงว่าอาหารที่กินมีสารกันบูด คือสุขภาพดีไม่ดี น้ำปัสสาวะตอนเช้าบอกเราได้ ยิ่งทางใต้มีอาหารสะตอ ลูกเนียง ถ้ามื้อเย็นกิน เปิดหน้าต่าง 3 บานกลิ่นก็ยังไม่หมด ทำให้เราระมัดระวังในการกินอาหาร เมื่องดมื้อเย็นน้ำหนักก็ลดลงผมเป็นโรคภูมิแพ้ เป็นหวัดตลอดปีเพราะภาคใต้ฝนตกบ่อย แต่พอดื่มน้ำปัสสาวะเช้า 1 แก้ว ไม่เป็นหวัดมา 2 ปีแล้ว ถ้ามีอาการปวดหัว เจ็บคอจะดื่มเช้า 1 แก้ว เย็น 1 แก้ว อาการดีขึ้นชัดเจน ถ้าภาวะปกติดื่มเฉพาะเช้า 1 แก้ว”นายไพฑูรย์ กล่าวและว่า ขณะนี้ภรรยาซึ่งเป็นพยาบาล รวมทั้งลูกสาวอายุ 7 ขวบก็หันมาดื่มน้ำปัสสาวะ นอกจากผลด้านโรคภูมิแพ้แล้ว อาการปวดเมื่อยจากการขนปาล์มน้ำมันก็บรรเทาลง อีกทั้งศีรษะที่เคยล้านเถิกก็มีผมขึ้นดกดำ

    นายไพฑูรย์ ย้ำว่า การดูแลสุขภาพต้องทำแบบองค์รวม คือดูเรื่องอาหารการกิน การฝึกสมาธิ ทำใจให้สงบ ผู้ที่กำลังตัดสินใจว่า จะดื่มน้ำปัสสาวะหรือไม่นั้น ตนเห็นว่า ทดลองดูก็ไม่เสียหาย

    ด้าน น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เจ้าของศูนย์ธรรมชาติบำบัดแห่งหนึ่ง กล่าวว่า จากการค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต พบว่า มีการประชุมระดับโลกเกี่ยวกับน้ำปัสสาวะรักษาโรคแล้ว 3 ครั้ง ที่อินเดีย เยอรมนีและบราซิล มีการรายงานน้ำปัสสาวะรักษาอาการปวดข้อ ไมเกรน ภูมิแพ้ โรคเอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ แผลไฟไหม้ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ใหญ่ ทารักษาเชื้อราตามผิวหนัง สวนล้างช่องคลอดแก้อาการตกขาว

    “หมออยากให้ มองน้ำปัสสาวะรักษาโรคเป็นแบบองค์รวมทั้งทางกายและทางจิต คนที่เจ็บป่วยเป็นมะเร็งหรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ ก็ต้องไปหาหมอ พิจารณาการดื่มน้ำปัสสาวะเป็นทางเลือกเสริม”น.พ.บรรจบ กล่าว

    น.พ.บรรจบ กล่าวด้วยว่า ในต่างประเทศมีการวิเคราะห์น้ำปัสสาวะ พบว่า ประกอบด้วยน้ำร้อยอละ 95 ยูเรียร้อยละ 2 ที่เหลือเป็นสารอื่น ๆ ข้อมูลทางวิชาการที่หาได้จากอินเตอร์เน็ตระบุว่า ยูเรียในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง แต่หากมีมากจะทำให้เกิดโรคเก๊าท์ ส่วนที่เป็นสารอื่น ๆ มีทั้งฮอร์โมนและสารเคมีกระตุ้นการเจริญเติบโต น้ำปัสสาวะมีสารให้ความชุ่มชื้นหรือมอยเจอร์ไรเซอร์ สารละลายลิ่มเลือดในหัวใจเรียกว่า ยูโรไคเนส บริษัทยาในสหรัฐได้ตั้งจุดเก็บกักน้ำปัสสาวะกว่า 10,000 แห่ง นำน้ำปัสสาวะ 40 ล้านแกลลอนมาสกัดเอาสารยูโรไคเนส ได้ 40 แกลลอน สกัดส่งขายทั่วโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 สารตัวนี้มีมูลค่าการตลาดประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี นอกจากนั้นยังพบสารอิเล็กโตรพล็อยติน กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง มีฮอร์โมนเมลาโตนินทำให้นอนหลับดี

    “ช่วง ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขออกมาห้าม เตือนอันตรายจากการดื่มน้ำปัสสาวะ ก่อนที่จะเตือนประชาชนหรือห้ามนั้น หน่วยงานของรัฐควรมีข้อมูลที่ชัดเจนก่อน หากไม่มีข้อมูลแต่ห้ามเลย เป็นการปิดทางเลือกของประชาชนหรือไม่”น.พ.บรรจบ กล่าว
     
  11. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    มีจริงครับ ในพระไตรปิฎก
    วิธีดองครับ

    สมอไทย 1 ส่วน
    สมอเทศ 1 ส่วน
    สมอดีงู 1 ส่วน
    แล้วก็ปัสสาวะของเรา

    ปรับสภาพฉี่โดยการปฏิบัติธรรมสัก 7 วัน
    แล้วฉี่ให้ท่วมสมอ เอาผ้าขาวบางปิดปากโหล
    นำไปตากแดด สักระยะ แล้วค่อยปิดฝา สักเดือนก็ใช้ได้

    หลวงพ่อท่านสอนมานะครับ
     
  12. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 28, 2010, 09:15:37 AM »

    ข้อว่า "ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า" ตัวอย่างเล็กๆ ซึ่งชาวพุทธนำมาพูดกัน ซึ่งก็เรื่องเดียวกัน แต่ก็พูดเหมือนคนละเรื่องเดียวกัน หากใช้ตัวอย่างนี้มองให้กว้างออกไป ถึงการนำข้อธรรมต่างๆจากพระไตรปิฎกมาพูดมาตีความกัน เรื่องเดียวกัน แต่พูดเหมือนคนละเรื่อง


    หากพูดเสียใหม่ว่า "กินยา ซึ่งดองด้วยน้ำมูตรเน่า" น่าจะชัด ยาก็คือมะขามป้อม หรือ ผลสมอนี่เอง
    น้ำมูตรเน่า ก็คือฉี่ (ที่ปราศจากโรคติดต่อ) ฉี่แล้วก็รวบรวมใส่ตุ่มเล็กๆ ตากแดดจนสุก (หมักจนมันเน่า นึกภาพวิธีหมักน้ำปลา ที่ทุกครัวเรือนซื้อมากินนี่ล่ะ ทำนองเดียวกัน) เมื่อฉีเน่าคือสุกได้ที่แล้วก็นำผลสมอ หรือ มะขามป้อมซึ่งบุๆ (ทุบๆ) พอแตกแล้วผึ่งแดดพอหมาดๆ แล้วนำไปใส่ในตุ่มน้ำมูตรที่เตรียมไว้แล้ว เขากินผลสมอ หรือ มะขามป้อมนั้นซึ่งมันเป็นยาระบาย ไม่ใช่ไปกินฉี่หรือน้ำมูตรเน่า ไม่ใช่ แต่กินมะขามป้อม หรือลูกสมอ ซึ่งธรรมชาติของมันก็เป็นยาระบายถ่ายท้องอยู่แล้ว ไม่ต้องดองอย่างว่าก็กินได้

    นึกภาพ หากเราเก็บสมอมาครั้งละมากๆ กินไม่หมดก็เน่าเสีย ท่านคงหาวิธีถนอมไว้ ก็เหมือนคนโบราณได้ปลามาเยอะ ก็นำมาใส่เกลือตากให้แห้งเป็นปลาเค็ม หรือทำปลาร้า เก็บไว้กินนานๆได้ ทำนองเดียวกัน สมัยพุทธกาลสาธารณสุขคงไม่ทันสมัยอย่างปัจจุบัน จึงทำอย่างนั้น แต่ปัจจุบันความสำคัญนั้นก็หมดไป แต่ยังคงไว้ในคัมภีร์
     
  13. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    น่าจะจริง แต่ผมไม่ เคยพิสูจน์ครับ แต่ถ้าพระพุทธเจ้าบอก ก็จริงนะครับ เพราะพระพุทธเจ้าเป็นพระสัพพัญญู
     

แชร์หน้านี้

Loading...