อยากบรรลุธรรมเข้ามา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 13 ธันวาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    คุณ นิวอเมสซิ่ง มีนัม ว่ามันไม่ถูกนะ กับคำว่า ไม่สงสัยอะไรทั้งนั้น กับ จงเชื่อในพระองค์
    กับทานเนี่ย มันยังแตกๆกันอยู่
    ศรัทธา ความเพียร กับถึงแล้ว มันยังรวมๆกันไม่ได้ อ่านๆไปหลายๆรอบ เหมือนความเชื่ออะไรซักอย่าง มันยังไม่ธรรมชาติ
     
  2. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    อยากเห็นลมที่พัดไปเรื่อยๆ ไม่อยากเห็นว่าวที่ผูกติดกับเชือก เพราะลึกๆแล้วถ้าเชือกขาดก็คงไปตกที่ไหนซักที่
     
  3. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    เหมือนคำว่า ใบไม้ไม่ได้ไหว ใจต่างหากที่ไหว แล้วเอาใจที่ไหวไปพัดให้ว่าวลอย
    ก็ถ้าพี่จะเรียกสิ่งนี้ว่าอานาปานสติ ที่แก้กับวิตกจริต ยังไงๆก็ต้องต่อยกับพี่เล่าปังร่วงแน่ๆเลย โดยไม่เน้นไปที่ความเชื่อ เหมือนที่ลุงขันธ์เคยทำมา ขันติไง กั๊กๆๆ
     
  4. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ชอบคำว่ามหาสติ ถ้าเอาไปว่าที่หน้าแรกของกะทู้ล่ะ ใช่เลย ถ้าไม่ว่างๆไปซะก่อน
     
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากให้มีศรัทธามากที่จะนำไปสู่ความเพียรที่แรงกล้าเท่านั้นเองสำหรับผู้ปฎิบัติใหม่ๆหรือผู้ที่ปฎิบัติที่ยังเข้าไม่ถึงธรรมที่แท้จริงเท่านั้นเอง เพราะการที่จะเข้าถึงธรรมนั้นผมเองได้สัมผัสมานั้น บอกตรงๆเลยว่ามันยอมตายเลยนะ ผมถึงเน้นที่ศรัทธาให้มากๆ แต่ก็อาจจะไม่ใช่ทุกคน ผมเองก็กล่าวในทางที่ผมเดินมา และก็ตรวจสอบบางอย่างกับที่พระองค์ทรงแสดงไว้ในเรื่องของความเพียร
    ส่วนเรื่องทานนั้น สำคัญยิ่งนักบนเส้นทางเดินแห่งมรรค ถึงทานจะมีอนิสงค์น้อยนิดเมื่อเทียบกับการภาวนา แต่ขาดพลังแห่งทานสนับสนุนไม่ได้เลย เพราะทานเป็นเครื่องวัดจิตใจของผู้ที่เจริญแล้ว ฉะนั้นจึงเริ่มต้นด้วย ทาน ศิล ภาวนา ผู้ที่ปฎิบัติที่เจริญแล้วนั้นจะต้องมีทานเเป็นพื้นฐานแห่งจิตใจเลย ซึ่งผมเองมีน้อยมาก เช่นผู้มีทรัพย์ก็บริจาคทรัพย์ ผู้มีกำลังก็ช่วยเหลือกำลัง ผู้มีปัญญาก็บริจาคปัญญา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2012
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ----พระวจนะ" (พระผู้มีพระภาคเสร็จการบิณบาต ในย่านตลาดแห่งอังคุตราปนิคม แล้วเสด็จเข้าไปประทับเพื่อทิวาวิหาร ในพนาสนท์ใกล้นิคมนั้น ประทับนั่งอยู่ ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง คฤหบดีคนหนึ่งชื่อโปตลิยะผู้อาสัยอยู่ในนิคมนั้น ซึ่งได้จัดตัวเองไว้ในฐานะเป็นผู้สำเร็จกิจแห่งชีวิต พ้นจากข้อผูกพันของฆราวาส ยกทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานหมดแล้ว ดำรงชีวิตอย่างคนหลุดพ้น ตามเขาสมมุติกัน นุ่งห่มอย่างคนที่ถือกันว่าหลุดพ้นแล้ว มีร่ม มีรองเท้า เดินเที่ยวหาความพักผ่อนตามราวป่า ได้เข้าสู่พนาสณท์ที่พระองค์ประทับอยู่ ทักทายให้เกิดความคุ้นเคยกันแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสแก่โปตลิยะคฤหบดีผู้ยืนอยู่อย่างนั้น ว่า)---ท่านคฤหบดี ที่นั่งนี้ก็มีอยู่ เชิญท่านนั่งตามประสงค์--(โปตลิยะ โกรธ ไม่พอใจ ในข้อที่พระพุทธองค์ตรัสเรียกเขา ว่าเป็นคฤหบดี ในเมื่อเขาจัดตัวเองว่าเป็นผู้พ้นจากความเป็นผู้ประกอบกิจอย่างฆราวาส ซึ่งเป็นเสมือนหนึ่งการดูหมิ่นเขาอย่างมาก เขาก็ยืนเฉยเสียไม่นั่งลง แม้พระผู้มีพระภาคจะตรัสเชื้อเชิญเขาเป้นครั้งที่สอง ด้วยถ้อย คำอย่างเดียวกัน เขาก็โกรธไม่พอใจ ยืนเฉยเสียไม่นั่งลง ครั้นพระองค์ ตรัสเชื้อเชิญเขาให้นั่งลงเป้นครั้งที่สาม ตามถ้อยคำอย่างเดียวกันอีก เขาก็กล่าวตอบด้วยความดกรธไม่พอใจว่า)--ท่านโคดมเอ๋ย นั่นไม่ถูก นั่นไม่สมควร ในการที่ท่านจะมาเรียกข้าพเจ้าว่า คฤหบดี...ท่านคฤหบดีเอ๋ย ก็กริยาอาการ ลักษณะ ท่าทางของท่าน แสดงว่า ท่านเป็น คฤหบดีนี่...ท่านโคดม การงานต่างต่าง ข้าพเจ้าเลิกหมดแล้ว โวหาร(การลงทุนเพื่อผลกำไร) ต่างต่าง ข้าพเจ้าตัดขาดแล้ว...ท่านคฤหบดี ท่านเลิกการงานต่างต่าง ตัดขาดจากการลงทุนต่างต่าง หมดสิ้นแล้วอย่างไรกันเล่า....ท่านโคดม ในเรื่องนี้นะหรือ ทรัพย์ใดใดมีอยู่ ข้าวเปลือก เงิน ทองมีอยู่ ทั้งหมดนั้น ข้าพเจ้าได้มอบให้บุตรทั้งหลายไปหมดสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าไม่สั่งสอนบ่นว่าใครอีกต่อไปในที่นั้นนั้น ต้องการเพียงข้าวกินและเสื้อผ้าเป็นอย่างยิ่ง อยู่อย่างนี้ ท่านโคดมเอ๋ย นี่แหละการงานต่างต่าง ที่ข้าพเจ้าเลิกหมดแล้ว การลงทุนต่างต่างข้าพเจ้าตัดขาดแล้ว...............................ท่านคฤหบดี การละเลิกโวหาร(การลงทุน) ตามที่ท่านกล่าวนั้น มันเป็นอย่างหนึ่ง การละเลิกโวหาร ในอริยะวินัยนั้น มันเป้นอย่างอื่น..............ข้าแต่พระองคืผู้เจริญ การละเลิกโวหาร ในอริยะวินัยนั้นเป็นอย่างไรเล่า?
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคจงแสดงธรรมเรื่องการละเลิกโวหาร ในอริยวินัยเถิด......คฤหบดี ถ้าอย่างนั้นท่านจงฟัง จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว....คฤหบดี ธรรมทั้งหลาย 8 ประการเหล่านี้เป้นไปเพื่อการตัดขาดซึ่งโวหาร(การลงทุนเพื่อแสวงหากำไรอย่างใดอย่างหนึ่ง) ในอริยวินัยนี้ แปดประการอย่างไรเล่า แปดประการคือ--1 อาสัยกรรมอันไม่เป้นปาณาติบาต ละเสียซึ่งกรรมอันเป็นปาณาติบาต...2 อาสัยการถือเอาแต่สิ่งที่เขาให้ ละเสียซึ่งการถือเอาสิ่งซึ่งเขาไม่ได้ให้....3 อาศัยวาจาสัตยืละเสียซึ่ง มุสาวาท..4 อาศัยอปิสุณวาจา ละเสียซึ่งปิสุณวาจา...5 อาศัยความไม่โลภด้วยความกำหนัด ละเสียซึ่งความโลภด้วยความกำหนัด...6 อาสัยความไม่มีโทสะเพราะถูกนินทา ละเสียซึ่งโทสะเพราะถูกนินทา 7 อาสัยความไม่คับแค้น เพราะความโกรธ ละเสียซึ่งความคับแค้นเพราะความโกรธ8 อาสัยความไม่ดูหมิ่นท่าน ละเสียซึ่งความดูหมิ่นท่าน...คฤหบดี ธรรม แปดประการเหล่านี้แล อันเรากล่าวโดยย่อ ไม่ได้จำแนกโดยพิสดาร แต่เป็นไปเพื่อการตัดขาดโวหาร ในอริยะวินัย-----------------(มีต่อ):cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญธรรม แปดประการ ที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วแต่ดดยย่อ มิได้จำแนกโดยพิสดาร ก็ยังเป็นไปเพื่อการตัดขาดโวหาร ในอริยะวินัยนั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงจำแนกธรรม แปดประการเหล่านั้น โดยพิสดารเพราะอาศัยความเอ็นดูแก่ข้าพระองค์เถิด..............คฤหบดี ถ้าอย่างนั้นท่านจงฟัง จงทำในใจให้ดี เราจักกล่าว คฤหบดี ข้อที่เรากล่าวว่า อาศัยกรรมอันไม่เป็นปาณาติบาต ละเสียซึ่งกรรมอันเป็นปาณาติบาต ดังนี้นั้น เรากล่าวเพราะอาศัยเหตุผลดังนี้ ว่า อริยสาวกในกรณีนี้ ย่อมใคร่ครวญเห็นดังนี้ว่า เราปฎิบัติแล้วดังนี้เพื่อละเสีย เพื่อตัดขาดเสีย ซึ่งสังโยชน์อันเป็นเหตุให้เรากระทำปาณาติบาต อนึ่ง เมื่อเราประกอบกรรมอันเป็นปาณาติบาตอยู่ แม้เราเองก็ตำหนิตนเองได้เพราะปาณาติบาตเป้นปัจจัย วิญญูชนใคร่ครวญแล้วก็ติเตียนเราได้เพราะปาณาติบาตเป้นปัจจัย ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ทุคติก็หวังได้เพราะปาณาติบาตเป็นปัจจัย ปาณาติบาตนั้นแหละเป็นสังโยชน์ ปาณาติบาต นั่นแหละเป็นนิวรณ์ อนึ่ง อาสวะเหล่าใดเป้นเครื่องกระทำความคับแค้นและเร่าร้อนเช่นนั้นเหล่านั้นย่อมไม่มี ดังนั้น พึงอาศัยกรรมอันไม่เป้นปานาติบาต ละกรรมอันเป้นปานาติบาตเสีย ดังนี้(สำหรับหัวข้อธรรมะที่ว่า อาศัยการถือเอาแต่สิ่งที่เขาให้ ละอทินนาทานเสีย ก็ดี อาศัยสัจจวาจา ละมุสาวาทเสีย ก้ดี อาสัยอปิสุณวาจา ละปิสุณวาจาเสียก้ดี อาสัยอโกธุปายาส ละโกธุปายาสเสียก้ดี อาศัยอนติมานะ ละอติมานะเสียก้ดี ซึ่งมีคำแปลและความหมายดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็ได้ทรงอธิบายด้วยข้อความทำนองเดียวกันกับคำอธิบายของหัวข้อธรรมมะที่ว่า อาศัยอปาณาติบาต ละปาณาติบาตเสีย ดังที่กล่าวมาข้างบนนี้ คือ อริยสาวกพิจารราเห็นว่า มีสังโยชน์เป็นเหตุให้กระทำ ครั้นทำแล้วตนเองก็ตำหนิตนเองได้ ผู้ใคร่ครวญก็ติเตียนได้ ตายแล้วไปสู่ทุคติ จึงจัดการกระทำนั้นนั้นว่าเป็นสังโยชน์ เป็นนิวรณ์ ครั้นละการกระทำนั้นนั้นเสียก้ไม่มีอาสวะอันเป็นเครื่องคับแค้นเดือดร้อน อีกต่อไป แล้วได้ตรัสข้อความสืบไปว่า)---คฤหบดี ธรรมทั้ง8ประการเหล่านี้ กล่าวแล้วโดยสังเขป ไม่ได้จำแนกโดยพิสดาร เพื่อการตัดขาดโวหาร ในอริยวินัยก็จริง แต่ยังไม่ได้เป็นการตัดขาดซึ่งโวหารกรรมนั้นนั้นทั้งหมดทั้งสิ้น โดยประการทั้งปวงในอริยวินัยนี้ ก่อน......ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงแสดงธรรมซึ่งธรรมอันเป็นการตัดขาดซึ่งโวหารกรรมนั้นนั้น ทั้งหมดทั้งสิ้น โดยประการทั้งปวงในอริยวินัย แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด....คฤหบดี ถ้าอย่างนั้นท่านจงฟัง จงทำในใจให้ดีเราจักกล่าว.....
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    (ต่อจากนี้ พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสถึงกามและโทษอันเลวร้ายของกาม ซึ่งเปรียบด้วย ท่อนกระดูก ไม่สามารถสนองความหิวของสุนัขหิว ชิ้นเนื้อในปากนกมีนกอื่นแย่ง จุดคบเพลิงถือทวนลม หลุมถ่านเพลิงอันน่ากลัว ของในฝันซึ่งตื่นแล้วหายไป ของยืมซึ่งต้องคืนเจ้าของ และเปรียบด้วยผลไม้ที่สุกแล้ว ย่อมฆ่าต้นของมันเอง(รายละเอียดในหน้า 300ของอริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคต้น) อันอริยสาวกใคร่ครวญเห็นโทษทุกขือุปายาสอยอันยิ่ง ด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง แล้วละอุเบกขา มีอารมณ์ต่างต่าง เสียได้แล้วเจริญ อุเบกขามีอารมณ์อันเดียวอันเป็นที่ดับอุปาทานในโลกามิสโดยไม่มีส่วนเหลือ....อริยสาวกนั้น อาศัยสติอันบริสุทธิ์เพราะอุเบกขามีอารมณ์อันเดียวอันไม่มีอื่นยิ่งกว่านี้แล้ว ระลึกได้ซึ่ง ปุพเพนิวาสานุสติญานมีอย่างเป็นเอนก และมีจักษุทิพย์เห็นสัตว์จุติอุบัติไปตามกรรมของตน และในที่สุดได้กระทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติอันไม่มีอาสวะ ในทิฎฐิธรรม ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วแลอยู่ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า.....คฤหบดี ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล ชื่อว่ามีการตัดขาดโวหารกรรม นั้นนั้นทั้งหมดทั้งสิ้น โดยประการทั้งปวง ในอริยวินัยนี้...คฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ท่านได้มองเห็นการตัดขาดซึ่งโวหารกรรมอย่างนี้เหล่านี้ ว่ามีอยู่ในท่านบ้างใหม?.................ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จะมีอะไรกันเล่าสำหรับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยังอยู่ห่างใกลจากการตัดขาดจากโวหารกรรมอย่างนี้ เหล่านี้ ในอริยวินัยนั้น.......ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกาลก่อน ข้าพระองค์ได้สำคัญพวกปริพาชก เดียร์ถีย์เหล่าอื่น ซึ่งไม่ใช่ผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป้นผู้รู้ทั่วถึง ได้คบปริพาชกเดียร์ถีย์เหล่าอื่น ผู้ไม่รู้ทั่วถึง ในฐานะเป็นการคบผู้รู้ทั่วถึง ได้ตั้งผู้ไม่รู้ทั่วถึงไว้ในฐานะผู้รู้ทั่วถึง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สำคัญภิกษุทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป้นผู้ไม่รู้ทั่วถึงได้คบภิกาุผู้รู้ทั่วถึง ในฐานะการคบผู้ไม่รู้ทั่วถึงได้ตั้งผู้รู้ทั่วถึง ในฐานะแห่งผู้ไม่รู้ทั่วถึง..................ข้าแต่พระองคืผู้เจริญ บัดนี้ ข้าพระองค์จักรู้จักพวกปริพาชกเดียร์ถียืเหล่าอื่น ซึ่งไม่ใช่ผู้รู้ทั่วถึง ว่าเป็นผู้ไม่รู้ทั่วถึง จักคบผู้ไม่รู้้ทั่วถึงในฐานะเป็นการคบผู้ไม่รู้ทั่วถึง จักตั้งผู้ไม่รู้ทั่วถึงไว้ในฐานะผู้ไม่รู้ทั่วถึง ข้าแต่พระองคืผู้เจริญ ข้าพระองค์จักรู้จักภิกษุทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึงว่าเป็นผู้รู้ทั่วถึง จักคบผู้รู้ทั่วถึงในฐานะเป้นการคบผู้รู้ทั่วถึง จักตั้งผู้รู้ทั่วถึงไว้ในฐานะแห่งผู้รู้ทั่วถึง.....ข้าแต่พระองคืผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคได้ทรงยังความรักสมณะของข้าพระองค์ให้เกิดขึ้นในหมู่สมระ ยังความเลื่อมใสสมระของข้าพระองค์ให้เกิดขึ้นในหมู่สมระ ยังความเคารพสมระของข้าพระองค์ให้เกิดขึ้นในหมู่สมณะแล้ว ไพเราะนักพระเจ้าข้า ไพเราะนักพระเจ้าข้า เปรียบเหมือนการหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตั้งประทีปน้ำมันไว้ในที่มืด เพื่อว่าคนมีตาจะได้เห็นรูป ดังนี้(ต่อจากนี้ เขาได้แสดงตนเป้นอุบาสก)---ม.ม.13/33-47/36-55...(อริยสัจจากพระดอษฐ์ ท่านพุทธทาส):cool:
     
  10. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    วินัย หมายถึง ระเบียบ กฎเกณฑ์ข้อบังบับสำหรับควบคุมความประพฤติทางกายของคนในสังคมให้เรียบร้อยดีงาม เป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวกัน ...
    ต่างจากจิตผู้ที่บรรลุถึงปรมัต์ธรรม ที่ตัวตนถูกทำลายลงตามธรรมนั้นๆ เมื่อความเป็นตัวตนถูกทำลายความเห็นแก่ตัวย่อมถูกทำลายลง การอยู่ในสังคมแห่งความสมมุติผู้บรรลุแล้วจะต้องมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กื้อหนุนแก่ผู้ที่พร่องกในสังคมรอบข้าง อยู่เป็นนิจ และทานเป็นเครื่องพิสูจน์ใจตนเองได้ด้วย ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเองที่จะรู้ตัวเองว่าการสละมีจริงมั้ย ตระหนี่มั้ยพิสูจน์ด้วยการให้ ลองทดสอบใจตนเองได้ด้วยการให้ ลองซิ
     
  11. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    แต่ก็เถอะข้าพเจ้าเข้าใจดีว่าแต่ละคนไม่ได้มีจริตเหมือนกันตามการสะสมมา มากน้อยต่างกันตามเหตุปัจจัย แต่อย่างไรการให้ก็เป็นบทพิสูจน์ใจตนเองได้ ว่าอัตตามากน้อยประการใด นี่ต่างหากที่เป็นจุดประสงค์ที่ข้าพเจ้าอยากให้ตรวจสอบกันกับตนเอง สมควรกับคำว่าว่าง ไม่มีตัวตน ฯลฯ
     
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ฮึย !!

    ตกลง คุณจำแลง ศาสนามาแน่เลยคร้าบท่าน

    ไม่มีหรอก คนในบริษัท จะต้องออกไปเที่ยวสะกิด ขอกู้โลก แบบนั้น

    บริษัท หรือ สังคม หรือ ที่แปลกลับเป็นบาลีอีกทีว่า สงฆ์ หากเป็น
    ผู้ที่ถือว่าเป็นคนในบริษัทแล้ว เขาก็บำรุงแต่ สงฆ์ หรือ สังคม

    อีกทั้ง สงฆ์ จะต้องจัดการ สงฆ์ นั่นหมายถึง ต้องเป็น สังคม ใช้การ
    ประชุมสงฆ์ ในการทำอะไรก็ตามที่อาจจะไป " คาบเกี่ยวโลก "

    จะไปสุ่มสี่สุ่มห้า ตายกันยกมณฆลเลยหน่าคร้าบ

    ************************

    ผมว่า คุณ จขกท หากมีธรรมจริง เงียบๆ ไปดีกว่า ท่าจะ ไม่ได้เรื่อง
    ได้ราวอะไรเลย

    ตัวเอง จุดไฟ ศรัทธา เป็นประเด็นนะ แต่ ทะลึ่งเรียกผมว่า "ผู้มีจิตปรุงแต่ง"
    แค่นี้ มันก็ ขัดหลักที่คุณนำเสนอแล้วหละคร้าบท่าน

    คนที่เขามีธรรม เขามีแต่ จะเอา ธรรมเป็นใหญ่ ไม่เที่ยวสอดแทรกตัวบุคคล
    เข้าไป เพราะมันเป็นการ เข้าไปคาบเกี่ยว " โลก " มันเป็นการทำที่ไม่เหมาะ
    สม ไม่ใชลักษระของคนมีศีล มีทาน

    แล้วยิ่งคุณ แฝงเร้น ศรัทธา บวกกับ ทาน หรือ มาบอกว่า จรณะของ
    พุทธศาสนาคือ เรี่ยไร รับเงิน นี่ คุณอย่ามาย่ำยีศาสนากันดีกว่า

    คุณอาจจะบอกว่า เฮ้ย กูบอกให้ทำทานแก่สิ่งทั่วไป ไอ้นี้คุณไม่ได้รู้เรื่อง
    ศาสนาพุทธ แม้นจะไม่ได้ระบุว่า ผู้รับทานคือใคร แต่ ตรงนี้มันจะออกมา
    จากใจของมีธรรม ไม่มีหรอกคร้าบ ที่จะไปเลือกปัจจัยของทานที่เป็น "นอกเขต"

    ดังนั้น หากยกเรื่อง ทาน บ่อยๆ เดี๋ยวก็ ทาน เอะอะก็ทาน ในทางศาสนา
    เรา เราจะเอา"ส้นสิบ"ประทับหน้ามันเลยหละ ว่าพวกนี้ มันเดียรถีย แอบแฝง
    เข้ามาในศาสานแล้ว เพราะว่า การพูดเรื่องทานบ่อยๆ นั้นหมายถึง การ
    แอบแฝงเรียกรับเงิน .......ยิ่งใช้ ศรัทธา เข้าประกอบด้วยแล้ว นี่มันก็
    ยิ่งฝ้องเลยว่า กูขอ กูขอ โคตรพี่เลย ( พี่ เป็นแสลงต้อง แปลงเป็น
    จีน แล้วตีลังกากลับนิดหน่อย จะเข้าใจความหมาย หากไม่สมใจ ต้อง
    มบอปริญาโทแบบรวดเร็วให้ด้วย )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  13. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    คุณจะเอา " ข้าพเจ้า " แทรกลอดออกมาจากกลีบเนื้อ แจ้งเกิด ทำส้นสิบ
    อะไรคร้าบ

    คนที่เขา ภาวนาเป็น คนที่เข้าใจ การพัฒนา การ วิวัฏ

    เขาไม่จำเป็นต้องทำเสนอหน้าแทรกกลีบเนื้อออกมาบอกว่า เข้าใจ หรือ
    ไม่เข้าใจหรอก มันเป็นเรื่อง เยิ่นเย้อเสียเวลา

    หากทำก็แปลว่า กำลังลามกจกเปรต ต้องการ เรียกศรัทธาเข้าตน ต้อง
    การสำแดงตนว่ามีธรรม ทั้งๆที่

    หากภาวนาเป็น เขาก็ จัดหนัก กล่าวแต่ ธรรม เอาเรื่องตัวบุคคลออก
    ได้เลย ไม่จำเป็นต้องเอามาเกี่ยว

    ใครมีอินทรีย์อย่างไร เขาก็หยอดซ้ายชวา ซ้ายชวา บนๆล่างๆ บี เอ
    ซีเล็ค สตาร์ทกันไปได้เลย

    ไม่ต้องมานั่งห่วงหน้าพะวงหลังว่า ใครจะเข้าใจหรือไม่ เพราะ เรา
    หยอกกันโดยปัจจัยการ เราไม่ได้หยอดกันให้หวานหู โอ้โลม อย่าง
    พวกเดียรถียโง่เง่า สอนธรรมไม่เป็น !
     
  14. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ใจเย็นๆก่อนท่าน ! ท่านกำลังติดหล่มแล้วเอาตัวตนเข้ามาเกี่ยวแล้ว 555+บิ๊กๆเลยล่ะเข้าใจได้ เราก็ต่างยังมีอาสวะติดตัวกันทั้งนั้น มีผู้นิ่งคือท่านมือปราาปเทวดานับถือๆๆ
     
  15. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    กั๊กๆ เห็นตัวหนังสือ เขียนอย่างนั้น อย่างนี้ ก็ ละเมอ คิดว่า มีบางอย่าง
    เกิดขึ้นตามข้อความ ตัวหนังสือเหรอครับ

    เวรกรรม เนี่ยะนะ คนตัดสักกายทิฏฐิได้

    กระเด้ง กระเด็น กระดอน ไหล เป็นโจ๊ก เลย

    ********

    ถ้าตัวหนังสือ คุณอ่านแล้ว สำคัญว่าเกิดเหตุการณ์นั้น เกิดเหตุการณ์นี้

    สงสัยว่า เวลาคุณอ่านหนังสือพวก สืบสวน ฆ่าตกรรม สงสัย ด่าคนเขียน
    จะเอา คนเขียนเข้าคุก สิท่า
     
  16. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ]เรานึกว่าจะเข้าใจ การภาวนามันเปํนปัจจัตตัง เราก็บอกแล้วทำอย่างไร ใครเจออะไรก็เฉพาะตน อนิจัง ทุกขัง อนัตตา เราก็บอกให้ปล่อยซิทรัพย์น!ะปล่อยได้โดยใจไม่สั่น ไม่หนี่ยวเหนือดก็ใช่แล้วมาถูกทางแล้วท่านอริยชนทั้งหลาย ไม่ใช่ดูอาการภายนอกเดินจากทานซะเมื่อไหร่ จิตภายในต่างหากที่รู้ได้ด้วยตน และก็ตอบตน นี่แก่นเลยนะอนัตตานะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2012
  17. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    เจอแล้วอริยะบุคคล นับถือๆๆ ยิ้ม
     
  18. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    แก่น กะ เปรต สิ ฮับ

    อาศัย บัญญัติมาสนับสนุน ประดับ ประดา สำคัญ อย่างนั้น อย่างนี้

    ติด บัญญัติ โง หัว ไม่ขึ้น ยังจะมาเสวนา

    จิต ไม่ถึงฐาน ฐีติจิต ฐีติวิญญาณ ยังไม่รู้จักเลยนะนั่น
    ละเมอออกมาได้ว่า " แก่น "

    จะใน จะนอก เขาก็ไม่ได้เอามาเป็น ฐานในการสรุปอย่างงั้นอย่างงี้
    หรอกคร้าบ

    ไม่ไหว.............ถ้าเป็นแบบนี้นะ เดี๋ยวก็เดินตาม พี่สี เรวดี ไปเป็น
    เจ้าลัทธิอะไรสักอย่างไปโน้น มันทนไม่ได้หรอก ที่จะอยู่ในสังคม
    ( คนอื่นเขาเห็นอย่างอื่นหมด ตน กลับเห็น ตน แจ่ม คนเดียว เห็น
    แบบนี้ไปเรื่อยๆ มันจะเป็นปัจจัยให้เป็นแบบ พี่สี เรวดี5 ไปตามเวรตามกรรม

    แล้ว แก้ไม่ได้ด้วยนะ เกิดอีกกี่ชาติก็จะ หนัก และ ห่างไกล ศาสนาไปได้
    เรื่อยๆ )

    เวรกรรมแท้ๆเลยนะคร้าบ เชื่อสิ อย่าไปเชื่อในในสิ่งที่คุณเห็น

    มันไม่ใช่หรอก ไกลริบลับเลย
     
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เนี่ยะ สังเกตไหมว่า

    เอาของที่ไม่มี เที่ยวยกให้

    เขาเรียกว่า พวกที่ยังติดบัญญัติ ติดโลกธรรม เวลาจะ ยกสิ่งใด
    ที่เป็นประโยชน์ในทางตรง หรือ อ้อมก็ดี จะวิ่งเข้าไปอาศัย สิ่ง
    ที่ชาวบ้านเขาพึงสรรเสริญ แล้ว เที่ยวยกให้ อย่างเลื่อนลอย

    หวังว่า เขาจะรับ หรือ เขาจะปฏิเสธ

    หากรับ ก็จะเสร็จอย่างใดอย่างหนึ่ง

    หากปฏิเสธ ก็จะยกตนขึ้นแท่นต่อได้

    เนี่ยะ เขาเรียกว่า อาการแหวกกลีบเนื้อออกมาเกิด !!
     
  20. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ก็เป็นซะอย่างนั้น เราบอกว่าเข้าใจควาแตกต่างก็ว่าโอ้อวด บางอยากแค่ทดสอบอารมณ์ผู้สนทนาธรรมด้วย ว่าถึงขั้นไหน ก็ไปซะแล้ว
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...