อยากบรรลุธรรมเข้ามา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 13 ธันวาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ......คุณกล่าวถูกส่วนหนึ่ง...แต่มันก็ธรรมดาอยู่แล้ว ถ้าเราไม่มีศรัทธา เรา ย่อมไม่ปฎิบัติภาวนา...จะตีความว่า คนที่ปฎิบัติภาวนาย่อมมีศรัทธาทุกคนก็กล่าวได้...และการบอกว่า จง มีศรัทธาเถิด..ศรัทธาของคนคนนั้นเกิดได้อย่างไร?..:cool:
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..........อ้างอิงจากคำพระนิดนึงครับ----คบสัปบุรุษ ยังให้ฟังสัทธรรม ยังให้ศรัทธา ยังให้โยนิโสมนสิการ ยังให้ สติสัมปชัญญะ ยังให้ อินทรีย์สังวรณ์ ยังให้สุจริตสาม ยังให้ สติปัฎฐานสี่ ยังให้โพชฌงคืเจ็ด ยังให้วิชชา และ วิมุติ บริบูรณ์:cool:---ควรเริ่มจากการได้พบสัปบุรุษก่อน ใช่ใหมครับ:cool:
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ยังไม่เข้าใจอีก...

    ผมถามท่านว่า

    ท่านเห็นประโยชน์ของการแสดงธรรม ตามภูมิความรู้ที่ตนเห็น ไม่ว่าอย่างไรก็จะแสดง

    แม้ว่ามันจะมี หรือไม่มีประโยชน์ หรือ มีโทษ ต่อสัตว์โลกก็ตาม ท่านก็ยังดึงดันจะแสดงธรรม ตามที่ท่านได้เห็น โดยท่านจะไม่พิจารณาว่าสัตว์โลกใดได้ประโยชน์ หรือ เสียประโยชน์บ้าง ใช่ไหม?

    ถ้าท่านแสดงธรรม โดยเห็นแค่เบื้องต้นนี้ กล่าวได้ไหม ว่าท่านเห็นประโยชน์ของการแสดงธรรมแบบของท่าน มากกว่าประโยชน์ของการพาให้สัตว์โลกพ้นทุกข์
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    บางคนปฏิบัติมา 30-40 ปี เพียรตลอด ด้วยอานาปานสติ แต่ยังไม่ถึงฝั่งสักที เป็นเพราะอะไร?
     
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    เราก็มีสัปบุรุษประจำใจอยู่แล้วนี่ครับ ตราบใดพระพุทธองค์ยังไม่สูญหายไปจากใจเรา และคำสอนที่เราได้อ่านได้ฟังก็น่าจะพอสร้างศรัทธาได้แรกล้า เพื่อที่จะลงมือกระทำที่สุดแห่งทุกข์ให้ปรากฎ โดยพระสูตร อานาปานสติได้แล้ว
     
  6. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ต้องเป็นประโยชน์แก่ผู้มีศรัทธาแน่นอนเพราะ ทำให้ผู้ที่มีศรัทธาเข้าถึงธรรมที่แท้จริงได้เช่นกัน ส่วนท่านอื่นไม่เห็นสุภาษิตนี้มีประโยชน์ สุภาษิตอื่นก็มีให้แต่ล่ะท่านได้ศึกษามากมายเพราะพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงไว้หลายนัย ตามจริตของแต่ล่ะท่าน
     
  7. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ดูเหมือนเวลา 30-40ปีจะดูนานแต่ไม่นานเลย ขอเพียงเชื่อในสิ่งที่พระองค์แสดง ทำต่อไปก็จะประสบความสำเร็จ ต่อให้ให้รู้ว่าจะสำเร็จอีกล้านปีข้างหน้าโ้ดยอานาปานก็จำเป็นต้องทำต่อไป
     
  8. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    เราเข้าใจเรื่องของเวลาดี ทุกคนมีเวลาที่เหมาะสมของแต่ล่ะคนดี เพียงเราพบความหายสงสัยในธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้โดยวิธีนี้ และขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่มีศรัทธาที่นำมาปฎิบัติ ขอให้เชื่อเถอะเวลาของท่านต้องมาถึง ขอให้ท่านมีศัทธาที่แรงกล้า เพื่อพัฒนาความเพียรให้ถึงที่สุด ความสำเร็จมีอยู่เพียงสามคำเท่านั้น อาตาปี สัมปชาโน สติมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มันก็พูดวกไปวนมา กลับมาเรื่องเดิมนั่นแหละ

    ผู้ศรัทธาในพระพุทธองค์ เขาก็ปฏิบัติอยู่แล้ว

    ส่วนผู้ยังไม่ศรัทธา อยู่ดีๆ จะมาศรัทธาเฉยๆ แล้วเริ่มปฏิบัติ แค่เพราะมีคนนึงมาบอกว่าตัวเอง "ฮานาก้า" แล้ว แถมตอนแรกยังไม่พูดถึงความดีของพระพุทธองค์เลยนะ พูดแค่ว่า "ข้าไปถึงแล้วเพราะข้าทำแบบนี้" ต้องรอให้คนมาสะกิด ถึงจะค่อยๆ คลายที่อมพะนำไว้ ว่า ที่ทำไปหนะ เดินตามพระพุทธองค์

    ถามจริงๆ เหอะ โดนอะไรบังอยู่เลยมองไม่เห็นความจริงหรือเปล่า?

    แล้วตอนที่อ่านข้อความนี้เลย รู้สภาวะจิตตัวเองไหม ว่าสติ กำลังจับอะไรอยู่ เห็นอะไรอยู่บ้าง?
     
  10. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    สุภาษิตสั้นๆนี่แหล่ะมีพลัง ทำให้ผู้มีศรัทธาได้เข้ามาสนใจ เมื่อเข้ามาสนใจธรรมทั้งหลายก็จะค่อยๆปรากฎจนกระจ่างแท้ สัพเพธรรมาอนัตตา
     
  11. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ก็เพราะว่าความเป็นตัวตนของเราไม่ได้ถูกทำลายลงเลย เพียงเป็นการละเล่นทางเชาว์ปัญญาเท่านั้น ผู้ที่ทำลายสักกายทิฎฐิลงได้นั้นจะต้องมีการบริจาคทานเป็นเครื่องหมาย(นิมิต)ในการดำเนินชีวิตบนเส้นทางนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ฮั่นแน่ ....

    ไอ้ตอนแรกคิดว่า จะมาแนว กางแขนกางขาเทินมาหามกันมา

    มาตอนนี้ ฟาดก้านคอว่าเป็น เรื่องอมมะปรัชญาเดินมาปัดชะเซแถแถนา
    หาว่า สักกายทิฏฐิ เป็นเพียง ปรัชญา เท่านั้น !?

    แล้วตบท้ายด้วย " กะจ๊าก " ทานแบบ " กะจ๊าก " เหรอครับ

    นี่ๆ ถามหน่อย คุณ ซื่อขนาดมองไม่ออกเลยเหรอ

    ก็อุตสหาจั่วว่า อนัตตา ไม่มีอะไรเป็นตน แถมด้วยไม่มีอะไรเป็นของตน

    แล้ว " ทาน " มันจะมาจากไหนหละคร้าบ ในเมื่อ ผู้มี หรือ มีของ
    เนี่ยะ คุณพึ่งกล่าวมาหยกๆว่า ไม่มี

    ฮะเอ่อ ....งง ไหม

    ทาน หรือ จาคะ การ สลัดคืน เนี่ยะ หากไม่ได้ ภาวนา มาตามความ
    เป็นจริง มันจะมองไม่ออกหรอกว่า รากเง้าที่เห็นเหตุให้เกิด " ทาน "
    หรือ " นิทาน " เนี่ยะ เขาภาวนากันอย่างไร ทำไมเห็นแล้วต้อง
    ทำทาน ..........

    อ้อ แล้วเคยได้ยินหรือเปล่า หากมี ทิฏฐิในการประกอบกริยาจิตใดๆ
    ก็ตาม เป็นไปเพื่อสิ่งที่เป็น เครื่องหมาย ของสิ่งที่ชื่อว่า " ดี " อัน
    นี้มันเป็น เหตุปัจจัยให้ไปเกิดใน สวรรคิ์ชั้นพญามาร หนะคร้าบท่าน !!

    ...........

    ดังนั้น เวลาคนเขาภาวนาแล้วไปเห็น สภาพธรรมบางประการ คนภาวนา
    เป็นจะ สละออก ทันที ....ทำไมต้องสละออกหละ

    หาก โง่เต็มทน มันจะ " กะจ๊าก " นะ ต้องแบ่งออกเป็น 4 ส่วนแล้ว
    " กะจ๊าก " หนึ่งส่วนหรือไงนี่แหละ แต่ คนละเรื่องเลย นิม๊ง นิมิต หมายๆ
    ให้พอเหมือนๆ อะไรนั่น ........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  13. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อีกแง่หนึ่ง

    เผื่อ คุณจะเอาไปปรับ คำกล่าวของคุณอีก ก็จะบอกไว้ว่า

    คนที่เขาภาวนาในพระพุทธศาสนา เขาจะ ยืนยันความบริสุทธิด้วย "........"

    ไม่มีหรอกจะไปปล่อยไก่โต้งยอโย่ง ไป "คุ้ยๆเขี่ยๆ" สิ่งที่ เป็นธรรมของโลก ธรรมคู่
    กับโลกเอามา ทาหน้าทาตา(นิมิตหมาย) เพื่อละเลงตัว ยืนยันความบริสุทธิ

    เอาโลกมายืนยัน วิถี หรือ ความบริสุทธิ นี่มันเรื่องของผู้มีแนวโน้มไม่พ้น 1000%
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  14. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ส่วนอันนี้ จะ ถือว่า จัดเป็นข้อมูลเสริม ประกอบการ พิจารณาของ จขกท

    คุณคงเคยได้ยิน

    ทำทาน 500 ครั้ง ไม่เท่า รักษาศีล 1 ครั้ง

    เรียกว่า การสละออก 500 ครั้ง ยังไม่เท่า รักษาศีลสำเร็จหนึ่งครั้ง

    แล้ว รักษาศีล500 ครั้ง ไม่เท่า ภาวนาชั่วระยะเวลาช้างกระดิกหูงูแล๊บลิ้น1ครั้ง

    ************

    ส่วนตรงนี้ จำไม่ได้ว่า ผมไปฟังมาจากไหน แต่ มันลั่นตามมาด้วย ก็เห็น
    ว่าเป็น ข้อมูลพอช่วยประกอบการตัดสินใจได้เหมือนกัน

     
  15. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    555+++ท่านผู้มีเชาว์ปัญญาเลิศ อานิสงค์ที่ได้คงเป็นไปตามนั้นถ้าทุกอย่างบริสุทธิ์จริงตามธรรมนั้นๆ อย่าพึ่งตกใจไม่ได้มาแจกซองผ้าป่าจนทำให้สดุ้งกลัว ในเมื่อทรัพย์ทั้งหลายมันต้องมลายหายไปอยู่ดี อาการนี้ต่างหากที่หมายถึงทำไมเราถึงเหนียวนัก ไหนว่าตัวตนไม่มีแล้วความเหนียวนี่นั้นคืออะไร ไม่ใช่เพียงการคุยเล่นทางปัญญาหรอกหรอ นักภาวนาทั้งหลายจะขอเตือนไว้พูดถึงแต่ความว่าง แม้แต่ธรรมหยาบๆอย่าทานยังสลัดไม่ขาด แล้วจะไปถามหาศิลบริบูรณ์ยอมเป็นได้อยาก และนั้นจะเป็นการภาวนาที่บริสุทธิ์เข้าถึงจุดหมายอย่างแท้จริงอย่างไร
     
  16. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    ทำทาน 500 ครั้ง ไม่เท่า รักษาศีล 1 ครั้ง

    เรียกว่า การสละออก 500 ครั้ง ยังไม่เท่า รักษาศีลสำเร็จหนึ่งครั้ง

    แล้ว รักษาศีล500 ครั้ง ไม่เท่า ภาวนาชั่วระยะเวลาช้างกระดิกหูงูแล๊บลิ้น1ครั้ง
    สุภาษิตนี้ดูเหมือนทานจะมีค่าน้อยมากเสียจนแทบมองไม่เห็นค่าเมื่อเทียบกับการภาวนา ผู้ที่เข้าถึงสภาวะปรมัตถ์ธรรม แม้จะรู้ว่าทานนั้นอนิสงค์น้อยนิดก็มีความยินดีที่จะทำ เพราะทำไปไม่ได้หวังอะไรในสิ่งที่สละไป ฉะนั้นอนิสงค์น้อยนิดนี้พระอริยไม่รังเกลียดที่จะทำ และยิ่งทำมากขึ้นเพื่อเป็นการละความตระหนี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ ตัวอย่างอย่างนางวิสาขา และท่านอนาถะ
     
  17. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    คนภาวนาไม่เป็น คิดเอา เวลามันบรรลุ มันจะอ้างโลก มันจะย้อนไป
    ยกสิ่งที่ต่ำกว่าบุญจากการ " ภาวนา " พวกมิจฉาทิฏฐิพวกนี้ สังเกตง่าย
    ตัวหนังสื่อสีแดงที่ท่านเล่าปังยกมา ทานอานิสงค์น้อยกว่าศิล ศิลอานิสงค์น้อยกว่าภาวนา สุภาษิตนี้ถูกต้องครับ แต่ผู้ที่บรรลุปรมัถต์ธรรมแล้ว ทั้งสามอย่างมีค่าเท่ากัน แต่ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงปรมัตถ์ก็จะแสวงหาสิ่งที่มีคุณค่าที่มากกว่า
     
  18. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    แหม รู้สึกเหมือน deja vu เลยนะเนี่ย

    ก่อนหน้านี้ ก็มีท่านนึง มาบอกว่าตัวเองบรรลุแล้ว โลกธาตุแตกดับ ไม่เป็นตัวตน ขาดสิ้นในกามราคะ ช่วงนั้นใครเตือนก็ไม่ฟัง อะไรๆ ก็ฉุดไม่อยู่ แต่มาแบบอาการเดียวกันเลย คือ อ้างการรักษาธรรมในชั้นที่ด้อยกว่า ว่า "ตัวเอง" รักษาได้ "ตัวเอง" ทำได้ เป็นตัวยืนยันถึงการได้คุณธรรมชั้นสูง

    ต่อมาอีก 2 เดือน มาบอกว่า เพิ่งรู้ตัว ว่าเข้าใจผิด รู้แล้วว่าตัวเองยังต้องเดินทางอีกไกล...

    นี่เป็นท่านเดิม มาเล่นเพลงซ้ำหรือเปล่านี่?
     
  19. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เล่นซ้ำให้อีกรอบ กับพระพุทธวัจนข้อนี้

    ขยายความให้ด้วย เผื่อความจำสั้น หรือ ทำเบลอแกล้งลืม

    การกล่าวธรรมะแต่ใจความ ไม่น้อมตนเข้ามาเปรียบเทียบ คือ การกล่าวธรรมะ เฉพาะเนื้อหาสาระของธรรม โดยไม่มีตัวเองเข้าไปอยู่ในเนื้อหาของธรรมนั้นด้วย

    ส่วนพวกที่เป็นโมฆะบุรุษ คือพวกที่ชอบแสดงธรรม พร้อมกับเอาตัวเองไปไว้ในธรรมนั้นด้วย...
     
  20. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    อรหันต์ย่อมกล่าวธรรมไม่มีตัวตนเข้าไปกับธรรมนั้น
    ส่วนเราไม่ใช่อรหันต์จะกล่าวธรรมนั้นได้อย่างไรในเมื่อเรามีตัวตนอยู่ ถ้าเรากล่าวเช่นนั้นก็เท่ากับเรากล่าวตู่แก่ธรรมแท้ที่เิกิดมีแก่ตัวเรา
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...